ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fate/Grand Order] วันๆ ณ คาลเดียกับยูมิ [END]

    ลำดับตอนที่ #41 : Episode 8 ตัดสินชะตากรรม [Part 2]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 182
      14
      15 ก.ย. 63

    B
    E
    R
    L
    I
    N

    Episode 8 ตัดสินชะตากรรม [Part 2]

    ----------------------------------------------------

    [ มุมมองของยูมิ ]

    “...?”

    หลังจากนั่งคุกเข่าสิ้นหวังกับเหตุการณ์อันน่าเจ็บใจ...เหตุการณ์ที่เซอแวนท์ทั้งสิบคนสละชีพเพื่อปกป้องโฮกุของเดจาวูในร่างเกเทียและถูกอาบด้วยของเหลวสีดำจากจอกศักดิ์สิทธิ์ ฉันก็ลืมตาขึ้นพร้อมเงยหน้ามองจนพบว่าตัวเองกำลังเข้าไปในสถานที่แห่งใหม่ 

    ซึ่งเป็นบ้านไม้ฝาเฌอร่าชั้นเดียวหลังเก่าท่ามกลางป่าไม้เขียวชอุ่ม บวกกับท้องนภายามค่ำคืน เหล่าแสงดาวดวงน้อยส่องประกายระยิบระยับเบาๆ หยาดของเหลวสีดำโปรยปรายลงราวกับฝน เมื่อเงยหน้ามองขึ้น พบกับวงแหวนสีดำออร่าสีแดงเข้มปรากฏรอบวง

    ที่นี่มัน...

    ฉันค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตรงหน้าบ้านแล้วมองดูรอบทิศให้แน่ใจก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าเข้าไปเตรียมเปิดประตู แต่ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีเสียงพูดของใครบางคนดังขัดจังหวะจากทางด้านหลัง

    เป็นมาสเตอร์แห่งคาลเดียคนแรกที่ได้เข้ามา ณ สถานที่แห่งนี้เลยนะเนี่ย...

    พอลองหันกลับไปมอง เจ้าของเสียงเมื่อครู่นั้นคือตัวแทนแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์หรือไอริสฟีล ฟอน ไอนซ์เบิร์น ตัวเธอกำลังอยู่ในรูปลักษณ์หญิงสาวผมขาว ผิวหนังขาวซีด นัยน์ตาสีเหลือง และใส่ชุดธีมสีดำ-แดงอันแสดงตัวตนบ่งบอกว่าเป็นจอกสีดำ ซึ่งผิดแปลกจากเซอแวนท์ในคาลเดียที่อยู่ในชุดธีมสีขาว

    คุณคือ...ไอริสฟีลงั้นเหรอ...

    แล้วคิดว่าฉันเป็นจริงๆ รึเปล่าล่ะ...อิชิมารุ ยูมิ

    อีกฝ่ายทักถามกลับมาด้วยรอยยิ้มกว้างและแววตาเยี่ยงนางร้ายจนรู้สึกได้เลยว่าเธออาจเป็นตัวแทนแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์ผู้ทำลายบ้านเมือง โลกมนุษย์ หรือแม้แต่มวลมนุษยชาติเหมือนกับความปรารถนาของเดจาวู

    ต่อจากนั้นจึงเริ่มเกิดบทสนทนาขึ้นระหว่างพวกเราทั้งสองคนอย่างจริงจัง...

    ในคาลเดียแห่งนี้ไม่มีใครสามารถเป็นภาชนะคอยเติมเต็มความปรารถนาได้นอกจากไอนซ์เบิร์น...งั้นแปลว่าคุณ...

    ฮึๆๆ นั่นสินะ ถ้าจะบอกว่าเป็นเพียงแค่เปลือกนอกล่ะก็...ไม่ผิดหรอก หลังจากที่พวกเธอเข้าร่วมอีเว้นท์จนถูกไล่ออก...ฉันก็สังเกตพฤติกรรมมาโดยตลอด แถมยังเป็นช่วงที่คนๆ หนึ่งกำลังปรารถนาอยากมีกายหยาบพอดี

    เดจาวู...งั้นเหรอ

    หืมม...รู้จักกันด้วยเหรอเนี่ย น่าแปลกใจจังแฮะ...ก็แอบนึกอยู่ว่าทำไมตอนนั้นถึงมีเงาดำร่างเธอยืนเคียงข้างกับเขา

    ฉันจ้องมองไอริสฟีลชุดดำแล้วกำหมัดไว้แน่น เพราะเรื่องที่เจ้านั่นเคยเล่าให้ฟังมันตรงกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่จริงๆ ไม่มีผิด ทั้งความปรารถนาเรื่องกายหยาบและเงาดำในร่างของฉันที่คอยตามหลอกหลอนถึงฝันร้ายเมื่อครั้งก่อนนู้น

    งั้นระหว่างที่คุณมอบกายหยาบให้เดจาวูตอนเวลาเที่ยงคืนก็...

    จะบอกว่ายึดร่างเซอแวนท์ของเธอสินะ...หญิงสาวผมขาวเอียงคอมองพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เชิงเยาะเย้ยให้ฉันรู้สึกเสียท่า

    “...”

    คิดผิดแล้วล่ะ...ฉันมีร่างนี้มาตั้งนานแล้วนี่ ก่อนที่มาสเตอร์อย่างเธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในคาลเดียด้วยซ้ำ เพราะถ้ายึดจริงๆ เซอแวนท์คลาสแคสเตอร์นามว่าไอริสฟีล ฟอน ไอนซ์เบิร์นคงไม่อยู่เคียงข้างเพื่อช่วยเหลือโลกหรอก

    มีร่างนี้ตั้งนานแล้ว...?”

    จริงด้วยสิ...เธอคนนี้เคยปรากฏตัวในอีเว้นท์อยู่เหมือนกัน

    แต่การที่ยังอยู่รอดแบบนี้มัน...ค่อนข้างเป็นไปได้ยากไม่ใช่เหรอ

    ทำไมกันนะ...ทำไมถึงยังปรากฏให้เห็นอีก...

    ทีนี้...ตาฉันถามบ้างละกันตัวแทนจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำเริ่มก้าวเท้าเดินเข้าหาอย่างช้าๆ แล้วเอื้อมมือบางขาวภายใต้ผ้าคลุมมาแตะแก้มซ้ายของฉันไว้เบาๆ ความปรารถนาของเธอ...คืออะไรกันแน่

    “...”

    คนที่ฉันกำลังเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ไอริสฟีลตัวจริง...เป็นแค่เจตจำนงของจอกศักดิ์สิทธิ์...เป็นแค่ตัวเติมเต็มปรารถนาด้านมืดและไม่สามารถดลบันดาลคำขอในด้านสว่าง ถึงแม้จะขอให้ลบตัวตนของเดจาวูออกจากโลกใบนี้หรือช่วยมาชูให้หลุดพ้นจากขุมนรกก็คงเป็นไปไม่ได้

    เพราะงั้น...สิ่งที่ทำได้คือปิดปากเงียบเอาไว้ก่อน

    “...”

    ไม่ตอบสินะ ถ้างั้นจากตรงนี้ไป...ฉันจะขอให้เธอลองมองดูอดีตที่เคยลืมเลือนและย้อนถามข้างในตัวเธอเองละกัน ฮึๆๆ

    สิ้นเสียงของจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำปุ๊บ เธอก็ได้หายตัวไปพร้อมพาฉันเข้าสู่สถานที่แห่งใหม่ ครั้งนี้เป็นโรงเรียนขนาดกลางที่มองดูแล้วน่าจะเป็นโรงเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงมัธยมต้น เพราะสภาพแวดล้อมบ่งบอกชัดเจน ทั้งเหล่าผลงานประกวดวาดภาพที่เขียนป้ายว่า รางวัลชนะเลิศในระดับประถม สนามเด็กเล่นระดับชั้นอนุบาล หรือแม้กระทั่งอาคารเรียนจำนวนสี่หลัง

    ใช่...มันคือบ้านหลังที่สองของฉันในช่วงวัยอนุบาลหนึ่งนั่นเอง

    แต่เท่าที่เห็นมาทั้งหมดกลับไม่พบกลุ่มนักเรียนหรืออาจารย์เดินป้วนเปี้ยนสักคน ประตูห้องต่างๆ ถูกปิดแน่นสนิทราวกับอยู่ในช่วงปิดเทอม แม้กระทั่งเขตบริเวณทำความสะอาดของนักเรียนแต่ละระดับชั้นก็ไม่ได้รับการเก็บกวาดเลย

    เธอคนนั้นต้องการจะบอกอะไรกันแน่นะ...

    ฉันลองเดินสำรวจตามทางผ่านหน้าอาคารเรียนหลังต่างๆ จากอาคารหนึ่งถึงสี่ไปเรื่อยๆ ซึ่งโดยรวมก็ยังไม่พบอะไรผิดแปลกมากกว่านี้ จนกระทั่ง...

    อิชิมารุ ยูมิ ลองไปดูที่โรงยิมให้หน่อยสิ

    “...?”

    เสียงเรียกอันแหลมใสของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังกึกก้องภายในสถานที่แห่งนี้ แต่พอพยายามกวาดสายตามองรอบตัว กลับมองไม่เห็นใครจนทำให้รู้สึกฉงนใจไม่น้อย

    เธอเป็นใครน่ะ...

    เอาน่า...ตัวตนของฉันยังไม่สำคัญหรอก เพราะตอนนี้มีคนกำลังเรียกร้องขอความช่วยเหลืออยู่

    เรียกร้องขอความช่วยเหลือ...?

    เพียงแค่ได้ยินประโยคเดียว ขาสองข้างก็เริ่มออกแรงมุ่งหน้าโดยอัตโนมัติ ในฐานะมาสเตอร์แห่งคาลเดีย ฉันจะต้องตามไปดูสถานการณ์ในโรงยิมดังกล่าวที่อยู่ห่างจากอาคารสี่ประมาณห้าร้อยเมตร

    ตึกๆๆๆๆ

    แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...

    พอวิ่งมาถึงหน้าตัวอาคารแล้ว สิ่งที่พบคือประตูเหล็กปิดลงเกือบหมดยกเว้นอีกหนึ่งบานกำลังเปิดขึ้นต้อนรับแขกทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น...ภายในโรงยิมไม่มีทั้งเก้าอี้ โต๊ะ ผ้าม่าน เหลือทิ้งไว้แต่โพเดียมตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางเวที และ...

    “...!!? นะ...นี่มัน...”

    มีซากศพเหล่านักเรียน อาจารย์ หรือแม้กระทั่งผู้ปกครองกำลังนอนตายจมกองเลือดเหมือนเพิ่งถูกสังหารทิ้งเมื่อไม่นานนัก กลิ่นคาวเลือดลอยตลบอบอวลมาเตะจมูกพร้อมรอยแผลของทุกคนบริเวณกลางอกและคอหอยที่บ่งบอกให้รู้ว่าถูกทิ่มแทงด้วยอาวุธมีด

    เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่นะ...

    ฮึๆๆ นี่แหละผลงานของเธอ...ยูมิ  

    ระหว่างนั้น เสียงเด็กผู้หญิงคนเดิมก็ดังกึกก้องอีกครั้งภายในโรงยิม เธอหัวเราะในลำคอให้กับฉันพร้อมเปิดเผยความลับเพิ่มเติมจากตอนที่มาชูอัลเตอร์เคยเล่าให้ฟัง

    มันเป็นผลงานชิ้นแรกอันแสนล้ำค่า ช่วยแสดงตัวตนให้โลกได้รู้ว่าเธอเริ่มก้าวสู่เส้นทางแห่งฆาตกรสาว...ผู้ใสซื่อ

    อึ่ก...

    งั้นต่อไปก็...เข้าบ้านของ พวกเรา ด้วยกันดีมั้ย...

    หลังจากเด็กคนนั้นพูดจบ ฉันค่อยๆ ถูกนำพาไปยังสถานที่แห่งใหม่อีกครั้ง รอบนี้เป็นบริเวณห้องนั่งเล่นภายในบ้านที่พบเห็นตอนเข้ามายังจอกศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรก พอลองหันมองตรงหน้าก็ได้พบกับหญิงสาววัยทองคนหนึ่ง เธอปล่อยผมสีดำลงยาวถึงสะบักหลัง นัยน์ตาสีน้ำเงิน รูปลักษณ์ใบหน้ายังคงเด็กอยู่แม้มีอายุประมาณเลขสาม

    ใช่แล้ว...เธอคนนี้คือ...

    คุณแม่...

    ยูมิ! ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้ตั้งใจเรียนกว่านี้หน่อย! ได้แค่ 3.05 มันไม่ถึง 3.50 ด้วยซ้ำ!”

    ยังไม่ทันที่จะตั้งตัวทำอะไรต่อ แม่ก็โถมเข้าหาพร้อมจับไหล่สองข้างบีบลงแน่นและเขย่าตัวฉันด้วยอารมณ์โกรธเคือง ไม่พอใจกับผลการเรียนที่น้อยเกินคาดหวังตามประสาผู้ใหญ่ทั่วไปในสังคม

    ดะ...เดี๋ยวสิคะ...คุณแม่

    ไม่ต้องอ้างว่าทำไม่ได้เลยนะ! นี่เธอไม่อยากให้แม่ของตัวเองภูมิใจอีกน่ะสิ...ใช่มั้ย! ใช่มั้ย!!”

    มะ...ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ...หนูต้องการให้แม่ภาคภูมิใจ...

    นี่!! ขึ้นเสียงใส่ฉันแบบนี้อยากจะตายตามพ่อรึไงกัน!!”

    บ้าจริง...ถึงพยายามพูดประโยคอื่นออกไป แม่ก็ไม่ยอมรับฟังหรือคิดเปลี่ยนใจเลยแฮะ

    “...”

    งั้นแปลว่านี่...เป็นการจำลองเหตุการณ์ในอดีตงั้นเหรอ

    พอนึกได้เช่นนั้น ฉันจึงพยายามเงียบปากไว้ในขณะที่ยังคงถูกเขย่าตัวอย่างรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งเธอคนนั้นหยุดการกระทำดังกล่าวพร้อมจ้องเขม็งเข้ามาใกล้ๆ ราวกับว่าต้องการฟังใหม่อีกครั้ง

    ห๊า!? เมื่อกี้พูดอะไร...

    จริงด้วยแฮะ...เป็นเหมือนกับที่มาชูเคยเล่าให้ฟังไม่มีผิดเลย...

    งะ...งั้นหนูขอตัวไปก่อนนะคะ คุณแม่...

    “...!!! นั่นมัน...มีดของฉันนี่...!!!”

    ฉึ่ก!!!

    ในจังหวะที่กำลังดันตัวแม่ออกทีละนิดเพื่อตีตัวออกห่างไป จู่ๆ เสียงอาวุธแหลมคมทิ่มแทงเข้าร่างกายก็ดังขึ้นลั่นหู มันจะเป็นอย่างอื่นใดได้นอกจากการสังหารอีกฝ่ายด้วยมีดในร่มพกพา แถมยังเป็นฝีมือของตัวฉัน...ในปัจจุบัน ไม่ใช่ตัวตนในอดีต

    คุณ...แม่...

    มือข้างขวาที่ถือมีดทิ่มเข้าคอหอยสั่นระริกและรู้สึกตกใจจนหน้าถอดสี หญิงสาววัยเลขสามกระอักเลือดสีแดงลงบนแขนฉันก่อนที่จะจับข้อมือเอาไว้แน่น เธอพยายามเปล่งเสียงพูดอะไรบางอย่างแต่มันกลับไม่ชัดถ้อยชัดคำเท่าไหร่จนกระทั่งค่อยๆ ปล่อยมือพร้อมคุกเข่าลงบนพื้นและเอนตัวนอนคว่ำภายในทันที

    ดะ...เดี๋ยวสิ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้...มือมัน...เลื่อนไปเอง...

    พ่อคะ...หนูจัดการคนที่เคยฆ่าพ่อแล้ว ทีนี้...ไม่ต้องห่วงว่าแม่จะฆ่าหนูเป็นคนต่อไปแล้วล่ะค่ะ

    “...!!?”

    ฉันเริ่มหันมองตามต้นเสียงเด็กสาวอันน่าคุ้นเคยเมื่อครู่จนพบว่าเป็นเด็กนักเรียนมัธยมต้นในทรงผมโพนี่เทลสีดำ นัยน์ตาสีน้ำเงินอันว่างเปล่า เธอกำลังใส่ชุดนักเรียนแบบกะลาสี เสื้อแขนสั้นสีขาวปกกรมท่า เนคไทสีแดง กระโปรงยาวคลุมเข่ากับถุงเท้าสีกรมท่า รองเท้าส้นเตี้ยสีดำ

    ทุกองค์ประกอบบ่งบอกให้รู้ว่า...นั่นคือตัวฉันสมัยมัธยมต้นนั่นเอง!

    แถมยืนยันได้ชัดเจนอีกเรื่องหนึ่งว่า เสียงพูดที่ดังกึกก้องในโรงเรียนตอนนั้นก็คือเสียงคนๆ นี้!

    ต่อมา สถานที่ที่ยืนอยู่ ณ ตรงนี้ก็ได้เปลี่ยนเป็นโรงยิมของโรงเรียนมัธยมเซย์โชว ทุกอย่างแทบไม่ต่างไปจากโรงเรียนแห่งแรก เพียงแต่เหล่าศพคนตายถูกกองรวมเข้าด้วยกันคล้ายกับเตรียมจุดไฟเผาเท่านั้นเอง

    การที่ไม่มีใครเหลียวแลตอนพวกเรามีปัญหารุมเร้าแบบนี้...สมควรตายจริงๆ แหละเนอะ...

    ไม่! ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องตายสักหน่อย! มันต้องมีใครสักคนในชีวิตที่คอยรับฟังอยู่แล้ว! เพียงแต่มีอุปสรรคหลายๆ อย่าง...คอยขัดขวางเท่านั้นเอง!

    วินาทีนั้น ฉันเริ่มเปิดปากคุยกับตัวเองในร่างเด็กนักเรียนหลังจากได้ยินคำพูดเมื่อครู่ เพราะสิ่งที่นึกในหัวตอนนี้คือ...อย่างน้อยมันต้องมีสักคนบนโลกใบนี้...ที่ยอมรับฟังปัญหาในใจของพวกเรา

    ก็ถ้ามีอยู่จริงๆ ทำไมพวกเขาถึงไม่แสดงออกให้เห็นชัดๆ ล่ะ...แฝงตัวเข้ากับคนอื่นแล้วยังหน้าด้านปล่อยให้พวกเราเป็นแกะดำฝ่ายเดียว...เธอคิดว่ามันยังจะมีคนเป็นห่วงเป็นใยอยู่อีกเหรอ

    เธอคนนั้นคว้ามีดจากมือฉันแล้วเก็บเข้าไปในร่มพกพาสีดำก่อนที่จะโยนทิ้งใกล้ๆ กองศพคนตายและยืนกอดอกจ้องมองอย่างไร้อารมณ์

    ระ...เรื่องนั้น...

    ใกล้ถึงเวลาตัดสินใจแล้วไม่ใช่เหรอ...มาสเตอร์แห่งคาลเดีย

    ในจังหวะที่พวกเราสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ เสียงของไอริสฟีลหรือตัวแทนจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำก็ดังขัดจังหวะบทสนทนา เสียงรองเท้ากระทบตามจังหวะก้าวเดินดังกึกก้องในโรงยิมแห่งนี้พร้อมกับร่างหญิงสาวที่กำลังเข้าหาอย่างช้าๆ ด้วยรอยยิ้มกว้างพลางส่งสายตาจ้องมองมายังตัวฉันเอง

    ตะ...ตัดสินใจ...?”

    ใช่...ตัดสินใจว่าจะปรารถนาอะไร แต่ถ้าเธอไม่มีจริงๆ ฉันคงต้องทำตามคำขอของเดจาวู...ด้วยการทำให้เป็นพรรคพวกเดียวกันกับเขา...

    “...!!”

    ฉันพยายามเดินก้าวถอยหลังไปอย่างหวาดกลัว ความรู้สึกสิ้นหวังได้ผุดขึ้นในใจอีกครั้งเพราะนึกถึงเหตุการณ์สูญเสียมิตรภาพและคนรัก อีกฝ่ายย่างก้าวมุ่งเข้าหาพร้อมหัวเราะในลำคอแล้วโลมเลียริมฝีปากตัวเองราวกับกำลังหิวโหยอยู่

    ยะ...แย่ล่ะสิ...

    พอเดินถอยออกห่างจนแผ่นหลังชิดกับประตูห้องเก็บของ ฉันก็เริ่มรู้ตัวว่าหมดหนทางหนีเรียบร้อย มือสองข้างยกขึ้นกุมกลางอกไว้แน่น พยายามภาวนาให้ใครสักคนช่วยพาหลบหนีออกจากขุมนรกแห่งนี้ เพราะในใจฉันไม่ได้อยากเป็นเหมือนมาชูอัลเตอร์...ไม่ได้อยากปล่อยให้โลกของพวกเราถูกทำลาย

    ถ้าชีวิตนี้ยังพอมีความหวังอยู่...แม้มันจะมีเพียงน้อยนิด

    แต่...ขอร้องล่ะ...

    ฉัน...ฉันน่ะ...”

    อย่าเพิ่งด่วนทำหน้าทำตาสิ้นหวังแบบนั้นสิ...อิชิมารุ ยูมิ

    ภายในเสี้ยววินาทีแห่งการภาวนาอ้อนวอน เรื่องไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น เสียงพูดอันน่าคุ้นเคยดังมาจากด้านหลังประตูห้องเก็บของซึ่งอยู่ใกล้กันพอดี คนๆ นั้นเริ่มทำการเปิดประตูจนทำให้ร่างของฉันเผลอเอนล้มลงข้างหลังโดยไม่ทันตั้งตัว 

    คำพูดสุดท้ายของทั้งสองคนที่ได้ยินก่อนที่จะถูกโอบกอดและหมดสติไปคือ...

    ฉันขอรับตัวเธอคนนี้ไว้ละกัน...จอกศักดิ์สิทธิ์สีดำ ไม่สิ...อังรี มายู

    ชิ...ยัยบ้านี่บังอาจขัดขวางฉันได้นะ!!”

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    อึ่ก...

    พอเวลาผ่านไปไม่นานนัก ฉันก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นพร้อมยันตัวลุกขึ้น พยายามพยุงตัวเองไม่ให้เอนล้มลงนอนและกวาดสายตาซ้ายขวา พบว่าตัวเองกำลังยืนท่ามกลางป่าไม้ทึบยามค่ำคืน ไอหมอกสีขาวบางๆ ลอยอยู่รอบตัว ทางตรงหน้ามองเห็นประตูเหล็กปิดกั้นไว้และแสงไฟสีเหลืองอ่อนๆ บนยอดเสาที่ตั้งห่างออกไกล

    “...ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ท่าทางลำบากแย่เลย”

    ต่อมา เสียงผู้หญิงอันน่าคุ้นเคยได้ดังขึ้นอีกครั้งจากทางขวามือ ฉันเริ่มหันหน้ามองเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าคนที่ช่วยให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของตัวแทนแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำเป็นใคร แถมยังอยู่ในรูปร่างเงาสีดำทึบอีก

    เธอคือ...

    ไม่รู้ว่าจะจำได้รึเปล่า...แต่ฉันคือส่วนหนึ่งในร่างกายเธอตั้งแต่ช่วงสมัยมัธยมปลาย...

    ส่วนหนึ่ง...ในร่างกายฉัน...?”

    ถ้าลองอิงจากเรื่องราวที่มาชูอัลเตอร์เล่าให้ฟังตอนนั้น...เธอบอกว่ามีเงาดำส่วนหนึ่งปรากฏตัวออกจากท้ายทอยและแผ่นหลังซึ่งเป็นฝีมือของเดจาวูร่างหลักที่ฝากฝังเป็นคำสาป

    เดจาวู...ร่างหลัก?

    งะ...งั้นแปลว่า...เจ้านี่ก็เป็น...

    ดะ...เดจาวู!?”

    ฉันตกใจตื่นด้วยสีหน้าซีดเผือดทันทีแล้วรีบหาอะไรบางอย่างเตรียมใช้ป้องกันตัวไว้ แต่เจ้าตัวกลับยกนิ้วชี้ขึ้นโบกเหมือนกำลังบ่งบอกว่าอย่าเพิ่งคิดร้ายอะไรแบบนั้น

    ใจเย็นก่อนสิ...ฉันไม่ได้มาเพื่อหวังสังหารเธอสักหน่อย จำไม่ได้เหรอ...ว่าฉันเป็นคนเสนอทางเลือกให้เธอล้างมลทินและหลีกหนีออกจากร่างหลักน่ะ ถึงจะต้องเลิกเป็นซานิวะก็ตาม...

    เฮ้อ...ฉันถอนหายใจออกด้วยความโล่งอกที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องหวาดระแวงอะไรมากมาย แล้วจุดประสงค์ที่มาช่วยฉันแบบนี้คืออะไรกันแน่

    แม้เมื่อก่อนเคยยอมรับข้อเสนอดังกล่าวเพื่อหลีกหนีเดจาวูร่างหลักให้ไกลที่สุด ล้างมลทินทั้งหมดด้วยการฝึกเป็นจอมเวทที่หอนาฬิกาในลอนดอนและถูกเลือกเป็นมาสเตอร์แห่งคาลเดีย แต่พอได้ฟังอดีตเหล่านั้นแล้ว มันกลับรู้สึกสงสัย ทั้งที่ปกติพวกเดจาวูจะต้องหวังร้ายต่อฉันแท้ๆ

    เธออาจจะสงสัยจริงๆ สินะ...เพราะเดจาวูร่างหลักเป็นคนฝากฝังคำสาปในรูปแบบอาการลมชักด้วยตัวเอง และคำสาปที่ว่าคือตัวฉัน แต่ว่า...ตอนพวกดาบหนุ่มพากันช่วยเตรียมยารักษาหรือควบคุมอาการนั้น ฉันก็รู้สึกผิดทันทีเลยล่ะ...

    รู้สึกผิด...?”

    อย่างที่เคยบอก...พวกเราไม่มีตัวตนที่แน่นอน เป็นเพียงกลุ่มหมอกดำล่องลอยไปตามความมืด แต่นั่นไม่ใช่ว่าความคิดจะลงรอยกันสักหน่อย หลังจากถูกเจ้านั่นเรียกให้เข้าฝังบนท้ายทอยกับแผ่นหลังของเธอ...ฉันเหมือนรู้สึกเป็นอิสระแปลกๆ ยังไงไม่รู้...

    มะ...หมายความว่าไงกัน...

    อันที่จริง...

    หญิงสาวในร่างเงาดำทึบเว้นช่วงประโยคไว้ก่อนที่จะเดินเข้ามาหาฉันแล้วยกมือขึ้นจับไหล่ทั้งสองข้าง บรรยากาศรอบข้างเริ่มมีลมพัดโบกและไอหมอกเบาๆ จนเกิดความรู้สึกขนลุกด้วยความหนาวเย็นหน่อยๆ พร้อมกับคำตอบที่ไม่เคยคาดคิด

    ฉันเกลียดเดจาวูร่างหลักเข้าไส้เลย...เจ้านั่นเป็นคนควบคุมพลังอำนาจของพวกเราในทางที่ไม่ดี หวังแต่ผลประโยชน์ในการเข่นฆ่าทุกคนบนโลก เหยื่อหลายคนต่างตกเข้าสู่ความมืดมิด แสดงสันดานดิบจนรู้สึกว่านั่นคือตัวตนที่แท้จริง

    “...”

    ท้ายสุด...ร่างของคนๆ นั้นถูกยึดไว้และเปลี่ยนจิตวิญญาณเป็นร่างเงาภายใต้สมาชิกเดจาวู ไม่เว้นแม้แต่วิญญาณคนตายที่ไม่ว่าจะยังไม่หลุดพ้นจากบ่วงกรรมหรือหลุดไปแล้วด้วยซ้ำ

    โหดร้ายที่สุด...

    ฉันฟังอีกฝ่ายเล่าความจริงเมื่อครู่นี้พลางกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจที่เดจาวูร่างหลักบังอาจใช้เหล่าวิญญาณคนตายเป็นเครื่องมือ และพอผนวกเหตุการณ์ในชีวิตทั้งหมดแล้ว ยิ่งรู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือจิตสังหารภายใต้สันดานดิบที่เคยพยายามลืมเลือน

    ทั้งคนในครอบครัว...สมาชิกในโรงเรียนทั้งสองแห่ง...เหล่ากองทัพข้ามเวลา...เซอแวนท์ที่เคยกำจัดในจุดพลิกผัน...หรือแม้แต่เกเทียเองก็เช่นกัน

    บ้าที่สุดเลย...

    เธอยังโชคดีหน่อยที่เจ้านั่นส่งตัวฉันให้ฝังตามท้ายทอยกับแผ่นหลังในตอนนั้น...ไม่งั้นคงไม่มีโอกาสรอดชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ก็ได้ อีกอย่าง...ยาที่ยะเก็นเคยปรุงให้เธอกิน...ฉันก็คอยเป็นตัวแบกรับฤทธิ์ยาไว้และกำจัดออกไปด้วย

    หมับ...!

    “...!!?”

    ร่างเงาทึบค่อยๆ จับมือสองข้างของฉันมากุมไว้ระดับอกพร้อมเผยตัวตนใหม่ที่แท้จริง กลุ่มหมอกเงาดำแยกตัวออกจากกันจนกระทั่งได้เห็นเป็นรูปลักษณ์หญิงสาวผู้มีความสูงประมาณ 146 เซนติเมตร (ส่วนฉันสูง 153 เซนติเมตร) เรือนผมสีดำถูกมัดรวบลงต่ำสองข้างปล่อยไว้ข้างหน้า นัยน์ตาสีน้ำเงิน เนื้อตัวขาวนวลใส

    เธอกำลังอยู่ในชุดมิโกะซึ่งเป็นกิโมโนสีขาวที่ครึ่งล่างมีผ้าคล้ายกางเกงสีน้ำเงินใส่ทับไว้ระดับเหนือเอว ผ้าคลุมไหล่สีน้ำเงิน ถุงเท้าทาบิสีขาว รองเท้าแตะโซริสีดำอ่อน และเครื่องประดับอันน่าคุ้นเคยอย่างแว่นตากรอบสีดำ

    สรุปง่ายๆ ก็คือ...

    ตัวฉัน...อีกคนหนึ่ง?”

    อื้ม...อิชิมารุ ยูมิในร่างซานิวะเองแหละหญิงสาวตรงหน้าแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงใสแล้วส่งรอยยิ้มบางเหมือนกับที่ฉันเคยทำไม่มีผิด หลังได้เป็นอิสระจากเงื้อมมือของเดจาวูร่างหลักด้วยการฝังเข้าร่างของเธอ...ฉันก็ได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริง เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ในวังวนแห่งเดจาวูเพื่อต่อต้านความคิดชั่วร้ายนั่น

    วังวนแห่งเดจาวู...งั้นเหรอ

    อ้อ...นี่คงจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับเธอสินะ

    “...” ตัวฉันที่ยังคงสับสนและไม่เข้าใจเรื่องใหม่ๆ เหล่านี้ไม่อาจพูดอะไรได้นอกจากพยักหน้าลงหนึ่งทีเพื่อรอฟังต่อ แต่ตอนนี้พวกเรามีเวลาเหลือค่อนข้างน้อยแล้วนี่นา...จะตามหยุดยั้งหายนะจากเดจาวูร่างหลักทันรึเปล่ายังไม่รู้เลย

    ถึงเจ้านั่นจะบอกว่าให้เวลาตัดสินใจห้านาที แต่ฉันก็ได้พาเธอหนีจากจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำและมาที่เมืองฟุยุกิแทนแล้ว ส่วนเรื่องเวลาในโซโลมอน...ตอนนี้เหลือประมาณสิบนาที แบบนี้คงสรุปสั้นๆ เข้าใจง่ายได้อยู่...”

    งั้น...ขอฟังสักหน่อยละกัน...

    เดจาวูในร่างซานิวะสาวพยักหน้าตอบรับพร้อมเริ่มจูงมือฉันเพื่อเดินออกจากป่าไม้ทึบแห่งนี้และพามุ่งหน้าไปยังอาคารหลังหนึ่งคล้ายโบสถ์ประจำเมืองฟุยุกิ ในระหว่างนั้นเธอก็อธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับวังวนดังกล่าว

    “วังวนแห่งเดจาวู...หรือถ้าจะให้เรียกอีกแบบคือ โลกจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำ มีอังรี มายูเป็นตัวแทน แน่นอน...ไอริสฟีล ฟอน ไอนซ์เบิร์นในชุดสีดำนั่นก็กลายเป็นเปลือกนอกหลังจากถูกกำจัดทิ้งไป

    งั้นแปลว่า กลุ่มสมาชิกเงาดำเริ่มได้ที่อยู่ใหม่หลังจากล่องลอยตามความมืดมานาน...?”

    ประมาณนั้น...พอได้ที่อยู่พักพิงแห่งใหม่แล้ว พวกเขาต่างทำหน้าที่ในการยึดร่างวิญญาณคนตาย ปรากฏตัวตามคำเรียกของเดจาวูร่างหลัก เหมือนกับเหล่ากองทัพข้ามเวลาในโซโลมอนอ่ะนะ

    อื้ม...

    ส่วนต้นกำเนิดของเดจาวูร่างหลัก...ฉันคาดเดาว่ามาจากโลกจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำและน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับอังรี มายูอย่างแน่นอน

    อย่างนี้นี่เอง...

    อีกอย่าง...จุดประสงค์ที่ฉันเสนอทางเลือกให้เป็นมาสเตอร์แห่งคาลเดีย คือหลอกล่อเจ้านั่นตามมา เผื่อว่ามีความคิดอยากมีกายหยาบเป็นใครสักคน และพอถึงเวลาอันสมควรปุ๊บ...ก็จะได้กำจัดให้สิ้นซากไปเลย

    “นี่เธอ...หวังดีกับฉันจริงๆ ด้วยสินะ...

    เพราะฉันเกลียดร่างหลักเข้าไส้...ดังนั้นเธอถึงเป็นคนหนึ่งและคนเดียวที่มีความคิดตรงกัน สามารถไว้วางใจพร้อมร่วมมือกันปกป้องทุกคนได้ยังไงล่ะ

    ถือเป็นการอธิบายที่ค่อนข้างดีสำหรับฉันเลย...อย่างน้อยก็ทำให้เข้าใจเกี่ยวกับเดจาวูร่างหลักมากขึ้นเยอะ ทั้งความชั่วร้ายที่ตามยึดร่างหรือวิญญาณ รวมพลกำลังของตัวเองเป็นกลุ่มเงาดำรูปแบบต่างๆ อย่างเช่นกลุ่มกองทัพข้ามเวลา

    แต่สิ่งที่ยังคงค้างคาใจตอนนี้คือ...รุ่นน้องประจำคาลเดียอย่างมาชู เพราะฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าการเลือกเส้นทางเป็นอัลเตอร์...มาจากใจจริงหรือถูกสะกดจิตกันแน่

    เอี๊ยดด~

    ถึงแล้วล่ะ...

    หลังจากได้รับฟังคำอธิบายจนจบ ซานิวะสาวก็จูงมือพาฉันเปิดประตูโบสถ์และมุ่งหน้าเข้าไปข้างใน ซึ่งทางเดินมีเพียงแค่ตรงกลางและริมซ้ายขวาเนื่องจากมีเก้าอี้ยาววางเรียงกัน พอเดินเกือบสุดทางพบว่ามีโต๊ะวางหนังสือไบเบิลและจุดเทียนขนาบข้าง

    สำคัญยิ่งกว่าคือ ประตูสองบานเหมือนกับทางเข้ามิติเวลาที่ไม่น่าจะมีในสถานที่แห่งนี้แม้แต่นิดเดียว ซึ่งกำลังฉายภาพเหตุการณ์ในฮงมารุและเหตุการณ์ในโซโลมอนอยู่

    นะ...นี่มัน...

    ทางเลือกพวกนี้...จะเป็นตัวตัดสินชะตากรรมของทุกคนบนโลก ระหว่างกลับฮงมารุเพื่อช่วยกำจัดกองทัพข้ามเวลาที่บุกรุก...และเข้าสู่โซโลมอนเพื่อยืนหยัดสู้กับเดจาวูร่างหลักอีกครั้ง”

    ตัวตัดสินชะตากรรม...

    อื้ม...ใช่แล้วล่ะ แต่ว่ามันจะติดปัญหาหรือข้อแลกเปลี่ยนอยู่เหมือนกัน ถ้าเธอเลือกฮงมารุ โอกาสที่โลกใบนี้จะแตกสลายมีสูง แต่ถ้า...เลือกโซโลมอน โอกาสที่เธอจะรอดจากการต่อสู้ก็มีน้อยเช่นกัน

    “...”

    กลับฮงมารุไปช่วยโทมะ...หรือกลับโซโลมอนเพื่อหยุดยั้งแผนการของเดจาวูงั้นเหรอ

    ฉันกำหมัดสองข้างแน่นหลังมองเหตุการณ์ภายในประตูทางเข้ามิติแห่งชะตากรรม ไม่ว่าทางไหนก็อยากเข้าไปช่วย อยากกำจัดศัตรูทิ้งให้ทุกคนรอดพ้นจากอันตราย

    แต่พอไม่มีใครคอยอยู่เคียงข้างตอนเลิกเป็นซานิวะแบบนี้...ฉันจะไปสู้ไหวได้ยังไงกัน

    และถ้า...ไม่หยุดยั้งแผนการของเดจาวู ยุคของมวลมนุษยชาติจะจบลง 

    ทุกอย่างที่ทุ่มเทและความหวังของทุกคนจะสูญเปล่า...

    “...”

    ฉันควร...จะทำยังไงดีนะ...

     

    ...เจ้าต้องอยู่รอดต่อไปให้ได้...และก็กำจัดเจ้านั่นทิ้งซะ

    ...จงทำหน้าที่สุดท้ายของตัวเองต่อไปเสียเถิด ข้ารู้ว่าเจ้าต้องทำได้แน่นอน...

    ...จงสู้ต่อไปเพื่อกอบกู้มวลมนุษยชาติเสียเถิด

    ...ข้าขอส่งต่อความเกลียดชังให้กับเจ้าเพื่อกำจัดศัตรูครั้งนี้ เพราะงั้นอย่าทำอะไรผิดพลาดซะล่ะ

    มาสเตอร์/คุณหนู/นายท่าน/ยูมิ...!!”

     

    เสี้ยววินาทีนั้นเอง คำพูดบางส่วนของเหล่าเซอแวนท์ของฉันก็ดังกึกก้องขึ้นภายในหัวราวกับพยายามย้ำเตือนหน้าที่ ณ ตอนนี้...และไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้ได้ เพราะพวกเขารวมถึงเหล่านักวิจัยและดา วินชี่ต่างฝากฝังความหวังให้กับตัวฉันผู้เป็นมาสเตอร์แห่งคาลเดียเพียงคนเดียวที่สามารถกอบกู้โลกใบนี้ อีกทั้งยังมีเดจาวูในร่างซานิวะคอยช่วยเหลือ

    เส้นทางแห่งชะตากรรมของทุกคน...ทั้งในเมืองฟุยุกิ คาลเดีย ฮงมารุ โลก หรือแม้กระทั่งจักรวาลของพวกเรา...กำลังตกอยู่ในกำมือฉันเพียงคนเดียว

    “...”

    คงต้องเลือก...แล้วสินะ

    เพราะฉันเคยเป็นซานิวะประจำฮงมารุ ความรู้สึกเป็นห่วงต่อเหล่าดาบหนุ่มก็เลยยังคงฝังลึกไม่จางหาย แต่ว่า...ที่นั่นมีซานิวะอีกหนึ่งคนอย่างโทมะคอยอยู่เคียงข้างพวกเขาและช่วยต่อสู้กับกองทัพข้ามเวลาแล้ว ถึงจะแอบถามในใจว่าเขามีโอกาสรอดมากน้อยแค่ไหนก็เถอะ

    แล้ว...จะเอายังไงต่อล่ะ...

    แน่นอนอยู่แล้วสิ...ตอนนี้ตัวตนของฉันคือมาสเตอร์แห่งคาลเดียนัมเบอร์ 021 อิชิมารุ ยูมิ...ผู้คอยช่วยแก้ไขจุดพลิกผันต่างๆ ไม่ให้อนาคตข้างหน้าของมนุษยชาติเปลี่ยนแปลงไปอีกทาง และฉัน...จะต้องช่วยเหลือโลกใบนี้เพื่อเติมเต็มความหวังของทุกคน

    “...”

    ใช่แล้ว...ถ้าหยุดยั้งแผนการทำลายล้างมวลมนุษยชาติทัน ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี โทมะเองก็คงไม่เจอกับอันตรายไปมากกว่านี้ ถึงเขาเคยแอบทรยศเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นแกะดำอีกคน...แต่มันกลับอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ

    เพราะเขา...เป็นเพื่อนสมัยมัธยมปลายที่ได้รู้จักกันคนแรกภายในรั้วโรงเรียนมัธยมเซย์โชว

    ฉันเปิดกระเป๋าคาดเอวเพื่อหยิบกลัดมณีเวทย์เม็ดสุดท้ายออกมาเตรียมยืนยันเส้นทางแห่งชะตากรรมอันไร้ซึ่งความลังเลใจพร้อมหันหน้าตอบกับเดจาวูในร่างซานิวะสาวด้วยสีหน้าจริงจังที่สุด

    ฉะนั้น...แม้ต้องเสียเลือดเนื้อมากน้อยเพียงใด...ฉันขอยืนหยัดต่อสู้กับเดจาวูต่อไปเพราะถ้ากำจัดได้ทัน...ไม่ว่าฮงมารุหรือคาลเดียก็จะรอดพ้นจากเงื้อมมือของเจ้านั่นและอังรี มายูยังไงล่ะ!!”

    เพื่อเซอแวนท์ทั้งสิบคนผู้เสียสละทุกอย่างในการปกป้องมาสเตอร์...ฉันจะไม่ถอยอีกต่อไป...ไม่รู้สึกท้อแท้อีกต่อไป...และไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อใครอีกต่อไป!!!

    “...”

    เมื่ออีกฝ่ายฟังจบ เธอค่อยๆ ส่งรอยยิ้มสดใสแล้วเอื้อมมือสองข้างมากุมมือขวาของฉันที่กำลังถือกลัดมณีเวทย์ไว้ จากนั้นจึงเริ่มมีแสงสีน้ำตาลเข้มสาดส่องทั่วบริเวณโบสถ์แห่งนี้ก่อนที่จะปรากฏออกเป็นอาวุธดาบฝักสีม่วงเล่มหนึ่งอันน่าคุ้นเคย

    ฉันแอบคิดไว้แล้วแหละว่าเธอต้องเลือกเส้นทางนี้ เพราะถ้าช่วยเหลือโลกใบนี้ได้...ทางฮงมารุเองก็จะปลอดภัยด้วยเหมือนกันสินะ...

    อื้ม...

    ทีนี้...พวกเราไม่มีเวลาเหลือแล้ว ถึงจะเคยบอกว่าโอกาสรอดมีน้อย แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เธอทำได้ นั่นคือ รีบชักดาบเล่มนี้ออกจากฝักและเสียบกลางอกตัวเองเพื่อเริ่มทำการหลอมรวมพลังเข้าร่างกายซะ

    เสียบกลางอกตัวเอง...!?

    ตะ...แต่ว่านั่น...คงจะไม่ทำให้ฉันตายสินะ...

    กลัดมณีเวทย์ของเธอถูกสร้างมาจากความรู้ที่ได้ศึกษาในตำนานวีรชนเช่นพวกอาวุธดาบกับโล่ป้องกันแล้วค่อยถ่ายโอนพลังเวทรวมกันใช่มั้ยล่ะ อีกอย่าง...ฉันเสริมพลังเข้าไปเพิ่มอีกมากมายเลย เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกนะ

    ฉันฟังซานิวะสาวชี้แนะและพูดความจริงเรื่องแหล่งที่มาของกลัดมณีเวทย์ ซึ่งตรงกับความเป็นจริงในฐานะมาสเตอร์แห่งคาลเดียไม่มีผิด

    ...

    ไม่มีเวลาลังเลแล้วล่ะ...ยูมิ เธอต้องทำมันซะ!

    พอนึกได้เช่นนั้น ฉันก็ค่อยๆ จับด้ามดาบพร้อมชักออกจากฝักสีม่วง มือขวาควงให้ด้านแหลมของมันจ่อกลางอกแล้วออกแรงเสียบเข้าเต็มแรง ผลลัพธ์ที่ได้เกินความคาดหมายมาก เพราะมันไม่เจ็บหรือมีเลือดไหลสักหยด หนำซ้ำอาวุธเล่มนี้ยังส่องแสงสีน้ำตาลเข้มและหลอมรวมพลังเวทเข้ามาตามร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า

    การถูกทิ่มแทงด้วยอาวุธแหลมคมโดยไม่รู้สึกเจ็บเนี่ย...เพิ่งเป็นครั้งแรกเลยล่ะ

    ต่อจากนี้ไป...เธอจะได้รับร่างใหม่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม พลังเวทมหาศาลกว่าเดิม ความรู้สึกเจ็บปวดจะค่อยๆ ลดหายไปจนเหลือเพียงนิด และมีพลังใหม่นอกจากฟรอเซ่น คราฟ แต่เมื่อจบศึกครั้งนี้...

    “...?”

    เธอจะต้องอยู่ในร่างนี้จนกว่าจะสิ้นลมหายใจ และก็...

    .

    ..

    ...

    ....

    .....

    “...”

    ข้อแลกเปลี่ยนครั้งนี้มีทั้งหมดสองข้อ ถ้ารู้สึกไม่พอใจสักเท่าไหร่นักก็ไม่เป็นไร แต่ฉันอยากทำเพื่อตัวเธอเองนะ...โอเคมั้ย

    อีกฝ่ายมุ่งหน้าไปเปิดประตูเส้นทางแห่งชะตากรรมสองบานพร้อมอธิบายสิ่งที่ได้รับจากการหลอมรวมพลังเวทของเธอทั่วทั้งร่างกายโดยยังคงไม่เว้นแม้แต่เหล่าข้อแลกเปลี่ยนเช่นเดิม แต่ถ้า...

    นั่นเป็นความต้องการจากใจจริงของเดจาวูที่มีความคิดไม่ลงรอยกับร่างหลัก...

    ฉันคงปฏิเสธไม่ลงหรอก...

    อื้ม...ฉันขอยอมรับข้อเสนอพวกนี้ไว้เอง

    ขอบคุณที่เชื่อใจคำสาปอย่างฉันนะ และก็...ขอโทษที่คอยทำให้เธอรู้สึกทรมานตามคำสั่งของร่างหลักมาโดยตลอดเธอกล่าวคำขอบคุณแล้วค่อยๆ เดินเข้าหาก่อนที่จะยื่นแขนสองข้างออกมาโอบกอดฉันไว้แน่นเพื่อขอโทษในสิ่งที่เคยทำลงไปโดยไม่ได้เต็มใจ

    พอเป็นร่างมนุษย์ธรรมดาแล้ว...อ้อมกอดนี้มันอบอุ่นแปลกๆ เลยแฮะ

    ช่างมันเถอะ...ฉันให้อภัยแล้วล่ะ

    อื้ม...งั้นเธอรีบกลับไปโซโลมอนเถอะ เดี๋ยวฉันช่วยจัดการเรื่องกองทัพข้ามเวลาในฮงมารุเอง ไม่แน่...พวกเราอาจจะเจอกันอีกครั้งหลังจากจบศึกครั้งนี้ก็ได้

    ซานิวะสาวค่อยๆ คลายกอดออกจากตัวฉันพร้อมยิ้มกว้างให้อย่างสดใสจนดูน่ารักหลายเท่า จากนั้นพวกเราสองคนจึงย่างก้าวไปทางประตูสู่เส้นทางแห่งชะตากรรมแล้วยื่นมือแตะเบาๆ จนกระทั่งภาพทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลนเตรียมพร้อมเข้าสู่สถานที่แห่งนั้น

    เอาล่ะ...ต่อจากนี้ฉันจะงัดทุกอย่างมาใช้เพื่อกำจัดเดจาวูในร่างเกเทียให้สิ้นซากล่ะนะ!

     

    [ มุมมองที่ 3 ]

    ระหว่างที่เดจาวูในร่างเกเทียกับมาชูอัลเตอร์กำลังยืนรอการตัดสินใจของยูมิอยู่หลายนาที พวกเขาต่างเริ่มแอบสงสัยกันว่าทำไมถึงมาช้าเกินกำหนดอย่างเวลาห้านาที

    มาชู...เจ้าคิดว่ามาสเตอร์แห่งคาลเดียผู้นี้จะตายในโลกจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำรึยัง...

    ยิ่งทางนั้นมีอังรี มายูอยู่ด้วย...เผลอๆ เขาอาจจะต้องการเปลือกนอกของรุ่นพี่จนฆ่าทิ้งไปก็เป็นได้นี่คะ ฮึๆๆรุ่นน้องผมชมพูควงหอกเล่นไปมาพร้อมหัวเราะในลำคออย่างชั่วร้ายจนทำให้อีกฝ่ายถึงกับต้องฉีกยิ้มกว้าง

    นั่นสินะ...ถ้าได้วิญญาณของเธอคนนั้นมาเป็นสมาชิกเดจาวู คงจะยอดเยี่ยมไม่น้อยเลยล่ะ

    “...!! ท่านเกเทียคะ!!”

    จังหวะที่เกเทียกำลังเดินเข้าไปหายูมินั้น เขาก็ได้หยุดชะงักเพราะพบเห็นบางอย่างผิดปกติ แม้จะดูเหมือนไปตามคาดหมายแต่มันกลับมีอะไรมากกว่านั้น ออร่าสีดำค่อยๆ ปรากฏขึ้นรอบตัวเธอที่กำลังนั่งก้มหน้าและคุกเข่าจนท่วมทั้งร่างพร้อมระเบิดออกเป็นลมพายุทั่วบริเวณ ทุกอย่างบนตัวเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าเริ่มเปลี่ยนทีละนิดๆ

    ฮึๆๆ พวกแกนี่มันทุเรศสิ้นดี...ทุเรศที่สุดในปฐพี...”

    ท่านเกเทีย...นั่นใช่สิ่งที่พวกเราต้องการจริงๆ รึเปล่าคะ ทำไมถึงดูแปลกไป...”

    ทั้งมิตรภาพ...ความรัก...พวกแกบังอาจทำลายทิ้งได้ลงคอจริงๆ เลยนะ”

    “...!?”

    ระหว่างที่ทั้งสองกำลังตะลึงกับคำพูดเมื่อครู่ รูปลักษณ์ของมาสเตอร์สาวก็ได้เปลี่ยนเป็นผมสั้นประมาณไหล่สีน้ำตาลเข้ม บนผิวสีคล้ำหน่อยๆ มีรอยช้ำอยู่ อันแสดงให้เห็นจุดที่อาจารย์โคนามะเคยล้ำเขตต้องห้ามในสมัยมัธยมปลาย สีนัยน์ตาไม่อาจทราบได้เพราะถูกผ้าหนังคาดตาสีเทาใส่ปิดไว้

    จากเดิมเคยใส่ชุดยูนิฟอร์มคาลเดียกลับกลายเป็นชุดอื่นแทน โดยมีเสื้อสายเดี่ยวสีขาว-เทา กางเกงขาสั้นสีดำขอบเข็มขัดสีม่วง เลคกิ้งและรองเท้าบู้ทสั้นสีดำ อีกทั้งยังมีถุงมือตัดนิ้วสีดำขอบส้มเข้ม เสื้อคลุมยาวถึงสะโพกสีดำขอบเหลืองทองที่ด้านในเป็นสีส้ม และสร้อยคอคล้ายกับของโอคุริคาระ

    สำคัญยิ่งกว่าคือ...กระเป๋าคาดเอวได้สลายหายไปพร้อมกับมีกลัดมณีเวทย์สีดำเม็ดสุดท้ายในนั้นลอยมา เธอหยิบมันไว้ก่อนที่จะบีบให้แตกออกเป็นเศษเล็กๆ จนกระทั่งเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกันใหม่ แสงสีดำปรากฏขึ้นเป็นรูปลักษณ์อาวุธดาบคาตานะมาตรฐานภายในฝักสีม่วง

    ใช่แล้ว...ดาบเล่มนั้นคือ...

    โอคุริคาระ...”

    มาสเตอร์สาวเรียกชื่ออาวุธในจังหวะที่กลัดมณีเวทย์เม็ดสุดท้ายหลอมรวมเสร็จพอดีก่อนที่จะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนถือดาบเล่มนั้นไว้ในมือซ้าย ซึ่งพอผนวกกับชุดปัจจุบัน ทำให้เดจาวูในร่างเกเทียรู้ว่าผิดแปลกไปจริงๆ

    รุ่นพี่...”

    “...” เธอไม่ปริปากพูดอะไรทั้งสิ้นพร้อมเงยหน้ามอง แม้ถูกปิดตาไว้แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังเวทราวกับเป็นเซอแวนท์ไรเดอร์นามว่าเมดูซ่าไม่มีผิด

    นี่เจ้า...”

    “...”

    “บังอาจปฏิเสธร่างใหม่จากจอกสีดำที่สมบูรณ์แบบงั้นรึ...อิชิมารุ ยูมิ อัลเตอร์!”

    [ To be continued ]

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×