ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fate/Grand Order] วันๆ ณ คาลเดียกับยูมิ [END]

    ลำดับตอนที่ #40 : Episode 7 ตัดสินชะตากรรม [Part 1]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 201
      15
      15 ก.ย. 63

    B
    E
    R
    L
    I
    N

    Episode 7 ตัดสินชะตากรรม [Part 1]

    ----------------------------------------------------

    กลับมายังปัจจุบัน

    เมื่อมาชูอัลเตอร์เปิดเผยเรื่องราวในอดีตของยูมิจนหมดเปลือก เซอแวนท์ทุกคนต่างหันมามองทางเดียวด้วยสีหน้าแตกต่างกัน บ้างก็รู้สึกโมโหตัวเองที่ไม่ยอมถามทุกข์สุขของมาสเตอร์มาก่อน บ้างก็รู้สึกเจ็บใจที่เพิ่งจะมารู้อดีตอันแสนมืดมน แต่คูอัลเตอร์กลับเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมแสดงความรู้สึกอื่นใดนอกจากยืนรอดูสถานการณ์เสียก่อน

    แม้ว่าการถูกกลั่นแกล้งจนเกิดอาการลมชักจะมีส่วนถูกต้องและรู้ดีอยู่บ้าง แต่บางเรื่องเธอกลับลืมเลือนเพราะพยายามไม่จดจำมันอีก โดยเฉพาะเรื่องปัญหารุมเร้าช่วงมัธยมต้น ครอบครัวตายยกบ้านยกเว้นตัวลูกสาวเพียงคนเดียวที่ถือมีดเปื้อนเลือด ซึ่งเป็นการช่วยตัดบ่วงให้พ่อได้หลุดพ้นไปในตัว และสุดท้ายคือล้างแค้นฉลองงานปัจฉิมนิเทศที่ยังมีผู้รอดชีวิตอย่างโทมะ

     

    ฮ่าๆๆๆๆๆ ตายซะเถอะ...ตายๆ กันให้หมดเลย!’

    พวกแกก็เป็นแค่ขยะสังคมที่น่ารังเกียจ สกปรก ถ้ารีบๆ ตายไป โลกใบนี้จะสะอาดขึ้นเยอะ!’

    เธอหลีกหนีบาปกรรมของตัวเองไม่ได้หรอก...และจะไม่มีวันหนีมันพ้นฮ่าๆๆๆๆ

     

    แน่นอน...สิ่งที่เคยได้ยินในฝันร้ายขั้นรุนแรงเป็นคำพูดของเธอในช่วงปัจฉิมนิเทศด้วยเช่นกัน...

    ฮึๆๆ ฟังแล้วรู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ...กลุ่มเซอแวนท์แห่งคาลเดียทั้งหลาย

    ฮืม...แต่พอข้าดูจากสีหน้าท่าทางแล้วเนี่ย เจ้าพวกนั้นคงรู้สึกย่ำแย่ที่ตัวเองไม่เคยนึกคิดเรื่องนี้เลยน่ะสิ...มาชู

    เดจาวูในร่างเกเทียกวาดสายตามองสมาชิกกลุ่มคาลเดียพร้อมยิ้มออกกว้าง ล้อเล่นกับความรู้สึกของพวกเขาตรงหน้าอย่างมีความสุข ทำเอามาสเตอร์สาวก้มหน้าลงต่ำและกำหอกเกโบไว้แน่นด้วยความเจ็บใจบวกกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

    บ้าน่า...ฉัน...จะไปลงมือฆ่าแม่ตัวเองได้ยังไง...

    โธ่...” รุ่นน้องผมชมพูค่อยๆ ย่างก้าวเดินเข้าหารุ่นพี่ก่อนที่จะจับเชยคางจ้องเขม็งใส่เธอ “ว่าแล้วรุ่นพี่เนี่ย...โง่เง่าจริงๆ

    “...!!” หญิงสาวผมดำสะบัดมืออีกฝ่ายออกจากคางแล้วค่อยเดินถอยหลังประมาณสี่ก้าวและยกมืออีกข้างกุมอกตัวเองแน่น พยายามเก็บกดอารมณ์โมโหเอาไว้ในใจ

    ยูมิ...” เบอเซิกเกอร์หนุ่มมุ่งเข้าหาคนรักแล้วยืนอยู่ข้างๆ เผื่อฝ่ายศัตรูจะบุกโจมตีเธออีกครั้ง

    แหมๆ~ คุณอัลเตอร์เนี่ยช่างเป็นห่วงเป็นใยสมกับแฟนหนุ่มจังเลย สงสัยฟังอดีตของรุ่นพี่แล้วไม่รู้สึกสะทกสะท้านเรื่องทรยศหักหลังสินะคะเนี่ย

    อเวนเจอร์สาวพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันและหัวเราะในลำคอเบาๆ ราวกับนางร้ายในละครทีวีแล้วค่อยเชิดหน้าหันตัวเดินเข้าไปยืนเคียงข้างเกเทียอย่างสง่าผ่าเผย

    “...”

    ทีนี้ขอถามหน่อยละกัน...คนบาปอย่างเจ้าน่ะ...คิดเหรอว่าจะช่วยกอบกู้มวลมนุษยชาติได้

    เขาเริ่มเปิดปากถามมาสเตอร์สาวพร้อมกับสายตาที่จ้องมองอย่างไร้ซึ่งความปรานี มือข้างขวาค่อยๆ ดีดนิ้วเรียกบางอย่างออกมาตรงหน้า พวกมันคือร่างเงาสีดำจำนวนมากที่เริ่มปรากฏตัวเป็นกองทัพถืออาวุธชนิดต่างๆ โดยมีตัววิญญาณปีศาจคาบมีดหรือดาบสั้น ปีศาจถือดาบคาตานะ ดาบยาว ดาบใหญ่ และหอก

    กองทัพข้ามเวลา...!? บ้าน่า...ทำไมถึงได้...

    หลงลืมไปแล้วงั้นเหรอ...ยูมิ ข้าเคยอยู่ตามหลังเจ้าตอนออกไปแก้ไขประวัติศาสตร์เหมือนกัน แน่นอน...เจ้าพวกนี้ก็กลายเป็นกองกำลังสำคัญของข้าเรียบร้อยแล้ว ฮึๆๆๆ

    เสียงหัวเราะในลำคอของเกเทียดังเสียดสีเข้าไปถึงข้างในหัวใจเธอ ส่งผลให้ความรู้สึกอยากกำจัดทิ้งที่เริ่มเพิ่มพูนจนกลบความรู้สึกเคียดแค้นเรื่องอดีตลงทั้งหมด

    “...ในระหว่างที่ฉันย้ายมายังคาลเดีย...แกก็เริ่มสรรหาพรรคพวกไว้ด้วยสินะ

    ใช่...ในเมื่อข้าได้เจ้าเป็นเหยื่อมาแล้ว จะให้อยู่เฉยมันคงไม่คุ้มค่ากับการไขว่คว้าหรอก

    แบบนี้นี่เอง...”

    เมื่อสิ้นเสียงพูดเมื่อครู่ ยูมิในฐานะอดีตซานิวะก็จ้องมองเกเทียสักพักใหญ่ก่อนที่จะเริ่มตัดสินใจก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าเตรียมเผชิญหน้ากับศัตรูเก่าอย่างเหล่ากองทัพข้ามเวลา เธอควงอาวุธสีเหลืองแล้วจับชี้ปลายหอกไปยังฝ่ายตรงข้าม มือขวากำไว้แน่นจนมีออร่าสีเหลืองท่วมทั้งเล่ม อันเป็นพลังเวทที่ถูกถ่ายโอนออกมา

    ถ้างั้น...ฉันคงต้องเป็นคนกำจัดพวกแกทิ้งจริงๆ แล้วล่ะ...

    ในระหว่างนั้นเอง เหล่าเซอแวนท์ทั้งหมดต่างค่อยๆ เดินมาอยู่เคียงข้างมาสเตอร์สาวแล้วเรียกอาวุธประจำตัวออกมาถือไว้มั่น พวกเขาเตรียมตัวเตรียมใจมาอย่างเต็มที่และพร้อมร่วมต่อสู้กับเธอจนกว่าทุกอย่างจะจบลง

    ในฐานะนักรบแห่งอัลสเตอร์...” < คูแลนเซอร์

    ...พวกข้าทั้งสามจะอยู่เคียงข้างคุณหนู...” < คูโปรโตไทป์

    ...และร่วมกำจัดศัตรูให้สิ้นซากเอง!!” < คูแคสเตอร์

    พวกเราต่างร่วมต่อสู้ด้วยกันมานานแล้วนะ...ยูมิ ดังนั้นข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าอยู่ช่วยเหลือมวลมนุษยชาติเพียงแค่คนเดียวอย่างเด็ดขาด

    ในนามของฟาโรห์รามเสสที่ 2 โอจิมังเดียสผู้นี้จะกำจัดพวกเจ้าเอง...เดจาวู

    เกะกะขวางทางนักก็จงมลายเยี่ยงเศษฝุ่นไปเสีย...เจ้าพวกพันทาง

    ในนามของฟูมะ โคทาโร่...กระผมจะกำจัดศัตรูเพื่อปกป้องนายท่านเอง

    แม้เป็นเพียงโฮมุนครุส แต่ฉันอยากทำให้พวกคุณได้เห็น...ว่าทุกคนมีค่าพอที่จะมีชีวิตต่อไป

    ฮึๆๆ ในที่สุด...การต่อสู้ครั้งใหม่ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วสินะ!”

    เพื่อตัวยูมิเอง...ข้าจะต้องทำทุกวิถีทางให้นางได้กลับมามีความสุขกับทุกคน

    อดีตของมาสเตอร์/นายท่าน...จะไม่สำคัญเท่ากับการช่วยเหลือมวลมนุษยชาติอีกต่อไปแล้ว!!!”

    หญิงสาวผมดำหันมองเซอแวนท์ผู้ซึ่งผูกพันกับตนสักพักหนึ่งแล้วค่อยยิ้มบางเชิงขอบคุณพวกเขาอย่างคูฮูลินน์ทั้งสี่ เอมิยะ โอจิมังเดียส กิลกาเมชแคสเตอร์ โคทาโร่ ซิก และดันเต้ที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาโดยตลอด จากนั้นเธอจึงหันกลับไปยังเหล่ากองทัพข้ามเวลาด้วยสีหน้าจริงจัง

    ถ้างั้น...พวกเราในฐานะกลุ่มคาลเดีย...จะขอปราบพวกลูกน้องของแกละกัน...เดจาวู!!”

    “...”

    พอเดจาวูในร่างเกเทียได้ยินเช่นนั้น เขาก็ฉีกยิ้มกว้างเชิงท้าทายแล้วส่งสัญญาณมือสั่งให้ลูกน้องทั้งหมดเริ่มบุกโจมตีเป็นฝ่ายแรกก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดสีขาวเพื่อนั่งชมการต่อสู้บนบัลลังค์เปื้อนเลือด ยูมิและเหล่าเซอแวนท์ทั้งหลายต่างพุ่งเข้าไปปะทะ อีกทั้งยังมีการแยกกลุ่มย่อยๆ ออกเป็น...

    ดันเต้-วิญญาณคาบมีด เอมิยะ-วิญญาณคาบดาบสั้น นินจาผมแดงและโฮมุนครุส-ปีศาจดาบคาตานะ ราชาทั้งสอง-ปีศาจดาบยาว ส่วนคูทั้งสี่ปะทะกับดาบใหญ่และหอก

    จังหวะที่มาสเตอร์สาวกำลังถ่ายโอนพลังเวทลงขาทั้งสองข้างเตรียมวิ่งเข้าโจมตีเหล่ากองทัพข้ามเวลานั้น เธอถูกขัดขวางโดยมาชูอัลเตอร์ซึ่งยังคงถืออาวุธหนามสีแดงอยู่เช่นเดิม

    รุ่น~ พี่~ มาสนุกด้วยกันเถอะค่ะ ฮึๆๆ

    มาชู...ฉันไม่มีเวลามาเล่นด้วยหรอก เพราะงั้นถอยไปซะ...ก่อนที่เกโบเล่มนี้จะทิ่มกลางอกเธอ

    ชิ้ง!

    หญิงสาวผมดำควงอาวุธสีเหลืองพร้อมจ่อไปยังกลางหัวใจในระยะใกล้ชิดจนเกือบทิ่มบนเกราะหนังเสื้อสีขาวเบาๆ จนกระทั่งการต่อสู้ก็เริ่มต้นจนได้ รุ่นน้องสาวจับอาวุธของอีกฝ่ายไว้แน่นแล้วกระโดดถีบขาคู่ปลิวออกห่างประมาณสามเมตร

    อั่ก...!!”

    ยูมิกลิ้งลงบนพื้นตามแรงถีบไปหลายตลบก่อนที่จะตีลังกาดีดตัวขึ้นตั้งหลักใหม่ เธอมองหอกที่ถูกยึดไว้กับมืออเวนเจอร์สาวซึ่งกำลังฉีกยิ้มกว้างและจับควงเล่นๆ ส่อเชิญชวนให้เข้ามาคว้ากลับคืนด้วยตัวเอง เธอแตะกระเป๋าคาดเอวพลางนึกออกว่าเหลือกลัดมณีเวทย์เพียงแค่เม็ดเดียว

    “...”

    ไม่ได้หรอก...ฉันคงจะใช้มันตอนนี้ไม่ได้แน่ๆ เก็บไว้ก่อนเป็นการดีละกัน...

    พอคิดได้เช่นนั้น เธอจึงหลับตาลง ถ่ายโอนพลังเวทที่ขาสองข้างอีกครั้งแล้วค่อยพุ่งเข้าไปปะทะพลางดีดนิ้วเรียกหอกสีเหลืองในจังหวะทีเผลอตอนศัตรูตรงหน้าปล่อยมือพอดี

    ฮึๆๆ งั้นก็มาเล่นกันเถอะค่ะ...!!”

    ทั้งสองคนเริ่มเปิดศึกต่อสู้ด้วยความเร็วที่ไม่แพ้ศึกระหว่างพวกเซอแวนท์จนเกิดลมพายุบางๆ และฝุ่นควันตลบทั่วบริเวณนี้ ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหวของยูมิค่อยๆ เร็วขึ้นตามพลังเวทที่ถ่ายโอนตามร่างกาย แม้อาจดูฝืนตัวเองเล็กน้อย แต่เธอจะยอมแพ้ให้กับรุ่นน้องไม่ได้เด็ดขาด

    เปล๊ง!! เปล๊ง!!

    เสียงอาวุธหอกสองเล่มปะทะกันอย่างรวดเร็วจนมีประกายไฟแตกกระจายไม่ขาดสาย ต่อมาทางมาสเตอร์สาวได้ดีดตัวขึ้นถอยหลัง กำหอกไว้แน่นเพื่อให้ออร่าสีเหลืองบางๆ ปรากฏขึ้นก่อนที่จะขว้างลงไป อเวนเจอร์สาวเงยหน้ามองและจับหอกแดงฟาดปัดป้องออกข้าง

    ฮั่ด...!!”

    ในระหว่างนั้นเอง หญิงสาวผมดำก็พุ่งเข้ากระโดดข้ามหัวอีกฝ่ายแล้วม้วนตัวไปเอื้อมมือสองข้างจับหอกที่กำลังปักลงแน่น เธอเหยียดขาตรงและเหวี่ยงตัวแนวราบกับพื้นดินรอบๆ อาวุธพร้อมออกแรงถีบขาคู่ แต่ก็ต้องถูกต้านรับไว้ด้วยท่อนแขนข้างซ้ายที่ว่างของรุ่นน้อง

    รุ่นพี่คะ...ถ้ายอมอยู่ฝ่ายเดียวกันตั้งแต่แรก พวกเราคงไม่ต้องเสียเวลาสู้แบบนี้นี่นา

    ...ขอโทษด้วยนะ แต่ฉันจะปล่อยให้โลกใบนี้ถูกทำลายไม่ได้หรอก

    เธอออกแรงถีบเพื่อดีดตัวเองออกห่างจากมาชูอัลเตอร์หลายเมตรและดีดนิ้วเรียกหอกสีเหลืองเล่มเดิมกลับมาถือใหม่ รุ่นน้องแอบรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยแต่ก็ต้องยอมกลับไปยืนอยู่เคียงข้างเดจาวูในร่างเกเทียเพราะมองว่าคงจะไม่สู้กับตนแล้วช่วยเซอแวนท์แห่งคาลเดียแน่ๆ

    ช่วงวินาทีนั้น...มาสเตอร์สาวเหลือบไปเห็นศึกระหว่างเซอแวนท์กับกองทัพข้ามเวลาพอดี ฝ่ายที่กำลังเสียเปรียบคือคาลเดีย เพราะทางเกเทียเริ่มชื่นชอบการต่อสู้ครั้งนี้จนต้องเรียกลูกน้องเพิ่มขึ้นอีก

    แย่ล่ะสิ...จะปล่อยพวกเขาคงไม่ได้ซะด้วย

    ว่าจบก็รีบมุ่งหน้าเข้าช่วยเหล่าเซอแวนท์โดยด่วนที่สุด เริ่มจากกลุ่มคูฮูลินน์ทั้งสี่ซึ่งแพ้ทางเซเบอร์ทำให้ไม่สามารถต่อกรกับดาบใหญ่ได้อย่างเต็มที่ เธอพยายามหาจังหวะตอนศัตรูเปิดช่องโหว่เพื่อรอกำจัดภายในครั้งเดียวให้ได้

    ปึง!!

    ช่วงที่ทางปีศาจจับดาบเล่มใหญ่ฟาดลงมาโจมตีเต็มแรง คูแลนเซอร์รีบกลิ้งหลบออกข้างขวามือจนรอดอย่างหวุดหวิด

    โอ๊ะโอ~ เกือบไปแล้วๆ นึกว่าจะโดนผ่าครึ่งแล้วซะอีก

    แลนเซอร์...อย่าเพิ่งประมาทสิ...

    คูอัลเตอร์เริ่มออกแรงเหยียบพื้นจนเกิดรอยร้าวและก้อนดินที่แตกกระจาย จากนั้นจึงคว้าร่างพลหอกน้ำเงินไว้พร้อมดีดตัวหลบออกทางข้างหลัง เพราะปีศาจถือหอกกำลังทำการโจมตีในจังหวะทีเผลอโดยกระโดดขึ้นฟาดอาวุธลงพื้น

    ขวับ!

    ปึง!!

    คราวนี้แหละ...!!

    มาสเตอร์สาวถ่ายโอนพลังเวทลงไปยังขาสองข้างพุ่งเข้าหาปีศาจถือดาบใหญ่อย่างรวดเร็ว เธอกระโดดขึ้นไปยืนบนสันดาบที่ยังไม่ถูกจับยกขึ้นเหนือพื้นแล้วรีบวิ่งควงอาวุธหอกจนเกิดออร่าสีเหลืองอ่อนๆ รอบทั้งเล่ม จากนั้นก็ออกแรงเตรียมทิ่มแทงเข้าในปากทะลุออกข้างหลัง

    ฮ้ากกกก...!!”

    ฉึ่ก!!

    ต่อมาเธอเดินถอยหลังตั้งหลักบนสันดาบประมาณสี่ห้าก้าวแล้วออกตัวกระโดดเหยียบบนหอกเกโบเพื่อพุ่งหาเป้าหมายใหม่อย่างปีศาจถือหอก เธอยื่นมือจิกนิ้วลงบนกะโหลกอีกฝ่ายเต็มแรงพร้อมจับเหวี่ยงร่างลงบนพื้นดิน

    “Gehen!! [จงทำลาย]”

    เส้นพลังเวทสีฟ้าหลากเส้นค่อยๆ ปรากฏขึ้นทั่วมือข้างขวาลามไปถึงหัวปีศาจ พลังอำนาจในการทำลายนี้รุนแรงจนทำให้กะโหลกแตกเป็นเสี่ยงๆ จังหวะที่ศัตรูกำลังจะดีดตัวถอยหลังตั้งหลัก เธอสะบัดมือข้างนั้นออกแล้วดีดนิ้วเรียกหอกเล่มสีเหลืองจากปีศาจถือดาบใหญ่กลับคืนก่อนที่จะจับทิ่มแทงกลางหัวใจ

    ฉึ่ก!!

    แฮ่ก...แฮ่ก...ต่อไป...

    เมื่อจัดการปีศาจสองตัวจนสลายหายไปเรียบร้อย ยูมิได้หันมองรอบๆ อีกครั้ง พบว่าเหล่าวิญญาณคาบมีดและดาบสั้นเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยฝีมือเดจาวู แต่แล้วพวกมันก็ถูกดันเต้และเอมิยะกำจัดจนหมดสิ้น

    เอนเฟอร์...ชาโตว์ ดีฟ!!”

    คาลาดโบล์ก!!”

    ตู้มม!!!

    พลังทำลายล้างของธนูสีดำบวกโฮกุเมื่อครู่นี้รุนแรงพอที่จะระเบิดไปถึงปีศาจที่อยู่ใกล้เคียงทุกตัว ทำให้กลุ่มคูฮูลินน์ ราชาสองคน ซิก และโคทาโร่รอดพ้นจากเงื้อมมือพวกมันได้อย่างหวุดหวิด มาสเตอร์สาววิ่งเข้าหาเพื่อดูสภาพร่างกายของแต่ละคน

    ทุกคนปลอดภัยกันดีใช่มั้ยแล้วเวลาที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้...

    อา...ตอนนี้พวกข้ายังไม่บาดเจ็บอะไรขนาดนั้นหรอก แค่รู้สึกว่า...พลังเวทลดลงเรื่อยๆ เท่านั้นเอง” เอมิยะตอบในขณะที่ตนกำลังเก็บธนูแล้วหยิบนาฬิกาแบบสร้อยขึ้นมามองดู “เวลาเหลือน้อยลงทุกทีซะแล้วสิ...

    เหลือประมาณ...ยี่สิบนาทีงั้นเหรอ” คูแลนเซอร์เดินเข้าไปแตะบ่าพลธนูแดงและก้มหน้าลงมองดูนาฬิกาก่อนที่จะถอนหายใจด้วยความกังวล “คุณหนู...ข้าว่ารีบกำจัดเจ้าบ้านั่นกันเถอะ

    นั่นสิ...ขืนปล่อยให้เดจาวูเรียกลูกน้องเพิ่มต่อไป ฉันคงต้านรับพวกมันไว้อีกไม่ไหวแน่ๆ

    ...!!? โปรโตไทป์...!!”

    “...!!!?”

    ในจังหวะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน เกเทียได้ดีดนิ้วเรียกกองทัพข้ามเวลาเพิ่มขึ้นอีกครั้งโดยหนึ่งในนั้นมีปีศาจถือดาบใหญ่ปรากฏตัวมาจากด้านหลังคูโปรโตไทป์เตรียมจับอาวุธฟาดลง คูแคสเตอร์พบเห็นเข้าด้วยหางตาจึงรีบเข้าไปช่วยหยุดยั้งไว้ด้วยคฑาเวท เขาจับยกขึ้นเป็นแนวนอนเหนือหัวป้องกันการโจมตีของอีกฝ่าย ทว่า...

    โผล๊ะ!!

    ...!!?”

    เนื่องจากอาวุธของศัตรูมีขนาดใหญ่กว่า การป้องกันครั้งนี้จึงไร้ผล ทำให้คฑาแตกหักเป็นสองท่อน แคสเตอร์ต้องยอมรับคมดาบเล่มนั้นแทนจนเห็นหยาดเลือดสาดกระเซ็นออกมาปนกับฝุ่นควันและเศษดินที่แตกกระจาย

    ปึง!!

    อั่ก...!!”

    แคสเตอร์!!”

    ยูมิรีบวิ่งไปหาเซอแวนท์ของตนที่เพิ่งถูกโจมตีเพื่อเตรียมทำการรักษาแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อปีศาจตนนั้นเข้ามายืนขัดขวางเสียก่อน เธอกำหมัดแน่นด้วยความโมโหแล้วควงหอกเกโบในมือขวาเตรียมเข้าปะทะ

    เดี๋ยวข้าจัดการเอง...ยูมิ

    วินาทีนั้น...คูอัลเตอร์ได้ส่งโทรจิตบอกคนรักของตนพร้อมควงหอกสีแดงคู่ใจและจับมันขึ้นเหนือไหล่ ออร่าสีแดงอันเป็นพลังเวทแผ่ออกทั่วทั้งเล่ม เธอหันกลับมามองเขาก่อนที่จะรีบดีดตัวหลบอยู่เคียงข้างกัน

    ปีศาจอย่างเจ้าน่ะ...ไม่จำเป็นที่จะลืมตาตื่นขึ้นด้วยซ้ำ...

    เบอเซิกเกอร์หนุ่มพูดถึงศัตรูตรงหน้าแล้วจับขว้างอาวุธประจำตัวออกไป วิถีการพุ่งตรงมีความรวดเร็วผิดปกติจนแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มันเริ่มทิ่มแทงเข้ากลางอกและทะลุถึงข้างหลังจนทำให้ปีศาจตัวอื่นตกเป็นผู้เคราะห์ร้ายล้มตายตามกัน

    แลนเซอร์...ไปดูอาการของแคสเตอร์ซะ

    อะ...โอ้วรับทราบตามนั้น...อัลเตอร์

    หลังจากส่งโทรจิตกันจบ คูแลนเซอร์แอบแปลกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายแสดงความเป็นห่วงเป็นใยให้กับเซอแวนท์นอกเหนือจากมาสเตอร์หรือคนรัก แต่เขาก็ยังยิ้มตอบกลับแล้วรีบวิ่งไปหาแคสเตอร์ตามคำขอ

    ขอบคุณที่ช่วยนะ...คูจัง

    “...”

    เขามองดูหญิงสาวผมดำที่กล่าวคำขอบคุณด้วยรอยยิ้มบางเหมือนเคยพลางยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ อย่างเอ็นดู ต่อมาก็หันไปเจอเซอแวนท์ทั้งสองคนซึ่งต่างคนต่างเริ่มใช้โฮกุกวาดล้างกองทัพข้ามเวลาพอดี

    การกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด...จะเปล่งออกดัง ณ ที่แห่งนี้ จากขุมนรกแห่งเปลวเพลิงใหญ่...”

    เริ่มต้นแปลงกาย แสวงบุญที่อยู่นอกเหนือออกไป ตัวข้าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนผู้ทะเยอทะยาน ณ จอกอันศักดิ์สิทธิ์ และกลายเป็นมังกรอันชั่วร้าย จงแผดเผาทุกอย่างเสีย...

    โคทาโร่ร่ายบทโฮกุพร้อมควงมีดคุไนข้างขวาขึ้นจับในท่าของนินจาระดับใบหน้า ส่วนมือซ้ายยกขึ้นระดับอก หันปลายอาวุธให้จ่อข้างล่าง ต่อมาจึงเริ่มเรียกวงแหวนกว้างรอบทิศจนมันค่อยๆ บีบตัวลงและเกิดเป็นระเบิดเปลวเพลิงแผดเผากลุ่มศัตรูตรงหน้าให้สิ้นซาก

    ในระหว่างนั้น ซิกเองก็ร่ายบทตามและค่อยๆ กลายร่างเป็นมังกรขนาดใหญ่พลางโบยบินขึ้นบนฟากฟ้า ปากของเขาเริ่มอ้าออกพร้อมมีพลังไฟสีฟ้าพ่นลงไปยังศัตรูอีกกลุ่มหนึ่ง

    อิมมอร์ทอล เคออส บริเกด/อคาฟิโลกา อาร์กรีส!!!”

    ตู้มม!!!

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    หลังจากกลุ่มคาลเดียได้ร่วมกันจัดการกองทัพข้ามเวลาทั้งสองรอบจนหมดสิ้น พวกเขาก็เริ่มหมดแรงลงทุกที พลังเวทภายในร่างกายเหลืออยู่ไม่มากนัก ทำให้การต่อสู้รอบต่อไปอาจเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแท้จริง ส่วนคูแคสเตอร์ก็บาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือของปีศาจถือดาบใหญ่ และตอนนี้กำลังรอรับการรักษาโดยคูแลนเซอร์ซึ่งพยายามใช้รูนที่ถูกผนึกไว้

    แลนเซอร์...เป็นไงบ้าง พอจะรักษาได้รึเปล่า...

    ยูมิเดินเข้ามาคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ ทั้งสองคนพร้อมเริ่มเปิดปากถามพลหอกน้ำเงิน แต่คำตอบนั้นกลับไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ในใจ เขาส่ายหัวเชิงปฏิเสธหรือก็คือ...เป็นไปไม่ได้

    ไม่ไหวแฮะ...ดูท่าทางรูนของข้าจะไม่สามารถทำอะไรเจ้านี่ได้เลย

    บ้าน่า...แคสเตอร์...กำลังจะตายงั้นเหรอ

    มาสเตอร์สาวเริ่มแสดงอาการหวาดกลัวจนหน้าถอดสีทันทีแล้วจับมือขวาของนักเวทน้ำเงินกุมเอาไว้แน่น ยิ่งเรย์จูบนมือขวาเหลืออยู่เพียงเส้นเดียวเพราะอีกสองเส้นถูกใช้งานไปไม่นานนี้ ทำให้เธอยิ่งรู้สึกลังเลใจและกลัวว่ามันจะไร้ค่าเหมือนครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา

    ในขณะนั้นเอง เขายกมือซ้ายขึ้นแตะเรย์จูเบาๆ พร้อมกับฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายรู้สึกโล่งใจที่ยังพอรอดตัวอยู่บ้าง

    คุณหนู...ข้าไม่เป็นไรหรอก อีกหน่อยพลังเวทก็คงฟื้นฟูขึ้นมาเอง หรือถ้าไม่งั้น...ใช้เรย์จูเส้นนี้...

    ฉันกลัว...กลัวมันจะไร้ค่าอีก ยิ่งนึกถึงตอนใช้เรย์จูกับคูจังในศึกชาเล้นจ์แล้วเขาก็ถูกฆ่าตาย...ฉันยิ่งไม่อยากใช้มันเลย...

    “...”

    อ้าวๆ เป็นอะไรไปล่ะ...เจ้าพวกคาลเดียเอ๋ย หมดแรงจะสู้ต่อแล้วงั้นรึ...

    ต่อมา เดจาวูในร่างเกเทียก็เปล่งเสียงออกถามกลุ่มที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ เขานั่งไขว่ห้างและท้าวคางมองอีกฝ่ายด้วยความรื่นเริงใจจนอยากจะหัวเราะเย้ยหยันดังๆ ทำเอาหญิงสาวผมดำรู้สึกเกลียดแค้นยิ่งกว่าเดิมอีก

    พอสักทีได้มั้ย เดจาวูฉันไม่อยากให้แกต้องพรากชีวิตใครอีกแล้ว!!”

    แต่ถ้าเป็นศัตรูกันแล้ว...มันจำเป็นต้องปรานีคนอื่นด้วยเหรอคะ รุ่นพี่

    “...!? มาชู...

    เธอหันมองมาชูอัลเตอร์ด้วยความเจ็บแค้นพร้อมกำหอกเกโบในมือขวาแน่น ความคิดหนึ่งอยากสังหารทิ้งให้ตาย แต่อีกความคิดก็อยากช่วยให้หลุดพ้นจากขุมนรกแห่งนี้

    ฮึๆๆๆ เช่นนั้น...ข้าขอแสดงจุดจบแห่งการเดินทางของพวกเจ้าให้ได้เห็นเลยละกัน โลกใบนี้จะถูกสร้างใหม่...และนี่จะเป็นจุดจบของมวลมนุษยชาติ จงมองดูความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของข้า!”

    นี่แก...อย่าบอกนะว่า...!!”

    โฮกุชิ้นที่สาม...เตรียมเปิดใช้งาน ทีนี้ก็จงถูกแผดเผาเยี่ยงเศษขยะเสียเถิด!”

    เกเทียนั่งชี้นิ้วขึ้นบนฟ้าพร้อมเรียกบางอย่างเหนือบัลลังค์โซโลมอน มันคือตัวโฮกุอันมีลักษณะคล้ายไม้เลื้อยสี่แฉกใหญ่และแตกแขนงเส้นเล็กๆ ออกเต็มวงแหวนแกรนด์ออเดอร์ ตรงจุดกึ่งกลางมีสีแดงม่วงซึ่งเริ่มรวมอนุภาคของพลังเวทเข้าด้วยกันจนกระทั่งเกิดออร่าสีแดงเต็มวงเตรียมพร้อมปลดปล่อยเป็นโฮกุที่แท้จริง

    อาร์ส อัลมาเดล ซาโลมอนิส!!”

    โฮกุนี่มัน...!!? มะ...ไม่เอา...ไม่เอาแบบนี้...

    ระหว่างที่ยูมินึกถึงชื่อโฮกุนี้ ภาพเหตุการณ์ครั้งก่อนได้ลอยขึ้นในหัวทันที เธอไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเพราะเคยพรากชีวิตมาชูต่อหน้าต่อตาจนต้องกลับมาในร่างมนุษย์ธรรมดา แต่ด้วยโชคชะตาบางอย่างบวกกับการอ้อนวอนสุดหัวใจของเธอ กาลาฮัดจึงยอมจำนนทำพันธสัญญาเข้าร่างรุ่นน้องเพื่อร่วมสู้อีกครั้ง

    กลุ่มเซอแวนท์ทั้งหมดรวมถึงคูแคสเตอร์ได้ยินบทร่ายเช่นนั้นแล้วจึงรีบเตรียมการบางอย่างเพื่อปกป้องมาสเตอร์ของตน พวกเขาพยายามนึกทุกวิถีทางทั้งเรื่องสกิลหรืออาวุธที่มีอยู่ในมือ แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถนึกอะไรออกได้ และช่วงเสี้ยววินาทีนั้นเอง คูอัลเตอร์ส่งโทรจิตบอกบางอย่างให้กับทุกคน

    .

    ..

    ...

    “...!!!?”

    แม้ทางเลือกดังกล่าวจะดูเป็นไปได้ยากนัก แต่เพราะสีหน้าของเบอเซิกเกอร์หนุ่มในตอนนี้จริงจังที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา แถมยังย้ำเตือนว่าต้องทำเพื่อตัวยูมิ

    ดังนั้น...พวกเขาจึงไม่ยอมลังเล ไม่ยอมเสียท่าให้กับศัตรูหรือพ่ายแพ้อย่างสูญเปล่าโดยเด็ดขาด!

    ทุกคน...?”

    มาสเตอร์สาวนั่งคุกเข่ามองกลุ่มเซอแวนท์ทั้งเก้าคนที่ค่อยๆ เดินไปเผชิญหน้ากับเกเทียพร้อมยืนกรานปกป้อง ในเวลานี้เธอคิดได้เพียงเรื่องเดียวคือ ไม่อยากให้พวกเขาต้องตายจากด้วยโฮกุอันทรงพลัง แต่ก็ต้องถูกแฟนหนุ่มขัดจังหวะการห้ามปรามนี้ เขานั่งชันเข่าตรงหน้าแล้วยื่นมือสองข้างมาโอบกอดไว้

    ยูมิ...เจ้าต้องไม่เป็นไรแน่นอน...เชื่อข้าสิ

    คูจัง...ทะ...ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ พวกเราต้องรอดทั้งหมดไม่ใช่เหรอ!!”

    ...

    เตรียมตัวตายเสียเถิด...กลุ่มคาลเดียทั้งหลายเอ๋ย!!”

    เดจาวูในร่างเกเทียชี้นิ้วไปยังพวกยูมิเพื่อเริ่มใช้งานโฮกุหรือกุญแจย่อยชิ้นที่สามของโซโลมอน แสงสีขาว-แดงสี่แฉกส่องประกายขึ้นแล้วยิงออกเป็นลำแสงขนาดใหญ่ อนุภาคพลังเวทถือว่ามหาศาลพอๆ กับอาร์ส โนวาของโซโลมอนเลยทีเดียว

    “I am the bone of my sword...Rho Aias!!!”

    เอมิยะผู้อยู่เบื้องหน้ายื่นมือออกไปพร้อมใช้พลังเวทเรียกโล่แห่งวีรชนอาแจ็กซ์หรือโรห์ ไออัส มันค่อยๆ ปรากฏในรูปร่างดอกไม้เจ็ดกลีบสีชมพูและมีโล่ซ้อนกันประมาณเจ็ดชั้น แต่การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดนี้ก็ต้องแลกด้วยพลังเวทมากพอตัวบวกกับต้องประคองให้มันอยู่ตัวไว้

    โล่ป้องมนตรา!!!”

    เซอแวนท์อีกแปดคนพากันยืนเรียงหน้ากระดานขนาบข้างพลธนูแดงและหยิบกลัดมณีเวทย์ที่ยูมิเคยมอบออกมาเรียกโล่ป้องกันโฮกุด้วย ซึ่งความจริงแล้วพวกเขาไม่เคยใช้ตอนทำลายเหล่าเสามารเลยแม้แต่นิด เพราะได้รับความร่วมแรงร่วมใจของเซอแวนท์คนอื่นๆ มาไม่น้อย

    ทุกคน...ไม่ได้ใช้เลย...

    พวกนั้นน่ะ...แข็งแกร่งมากพอที่จะกำจัดศัตรูแล้ว เพราะงั้นกลัดมณีเวทย์นี้จะคอยทำหน้าที่ปกป้องเจ้าเพียงผู้เดียว

    ละ...แล้วแบบนี้ทุกคนก็จะ...

    ไม่เป็นไรหรอก...เจ้าต้องปลอดภัยดีอยู่แล้ว เพราะเจ้า...เป็นมาสเตอร์เพียงผู้เดียวที่จะกอบกู้มวลมนุษยชาติได้...” คูอัลเตอร์จับประคองหน้าคนรักของตนไว้แล้วจ้องมองด้วยสีหน้าจริงจังบวกกับความหวังดีอยากให้เธอมีชีวิตรอดต่อไป

    ระหว่างนั้น เกเทียก็เริ่มเปิดปากพูดกับเซอแวนท์เก้าคนพร้อมส่งพลังเวทไปยังโฮกุทีละนิดให้มีความรุนแรงมากขึ้นอีกเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงขีดจำกัดของมัน

    เฮอะคิดเหรอว่าการป้องกันแค่นั้นจะได้ผล!! ตราบใดที่พวกเจ้ามีพลังเวทหลงเหลืออยู่น้อยนิด...พยายามให้ตายก็เปล่าประโยชน์น่า!!”

    ไม่!! ข้าขอยืนกรานปกป้องมาสเตอร์แบบนี้ต่อไป!! แม้โล่นี้จะแตกสลายสักกี่ชั้น แต่ข้าไม่ยอมแพ้อย่างสูญเปล่าแน่นอน!!”

    เพื่อคุณหนูของพวกข้า...ไม่ว่าวิธีไหนก็จะงัดมาใช้ให้หมด!!!”

    ในนามของฟาโรห์รามเสสที่ 2 โอจิมังเดียสผู้นี้จะขอยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมาสเตอร์ผู้แข็งแกร่งของพวกข้า!!”

    แม้จะรู้สึกเจ็บแค้นใจนัก แต่ข้าขอทำหน้าที่ปกป้องเจ้าพันทาง...ไม่สิ ปกป้องมาสเตอร์จนถึงวินาทีสุดท้ายนี้เอง!!”

    นายท่านน่ะ...จะต้องอยู่รอดต่อไป...และต้องกอบกู้โลกใบนี้ให้ได้!!”

    ฉันขอทำหน้าที่เซอแวนท์ของยูมิ...เพื่อปกป้องเธอให้อยู่รอดและกำจัดพวกคุณทิ้งซะ!!”

    เจ้าจะต้องพบเจอกับขุมนรกแห่งความชิงชังอีกไม่นานนี้!!”

    เพราะอิชิมารุ ยูมิ...คือมาสเตอร์/นายท่านของพวกเราทุกคนยังไงล่ะ!!!!”

    ทุกคนต่างปฏิญาณ ยืนหยัด ณ ตรงนี้ในการปกป้องยูมิจนถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเอมิยะ คูฮูลินน์ทั้งสาม โอจิมังเดียส กิลกาเมชแคสเตอร์ โคทาโร่ ซิก และดันเต้ พวกเขาทั้งหมดยอมทำทุกอย่างเพื่อให้มาสเตอร์แห่งคาลเดียของตนอยู่รอดต่อไปพร้อมหาทางกำจัดเดจาวู

    ยูมิ...ช่วยหลับตาลงหน่อย...

    คะ...คูจั---

    ยังไม่ทันที่จะเปิดปากพูดอะไรต่อ คูอัลเตอร์ก็ยื่นใบหน้าเข้าใกล้แล้วประทับจูบบนริมฝีปากเบาๆ พลางจับมือประสานนิ้วเอาไว้ หญิงสาวผมดำหยุดนิ่งและไม่อาจทำสิ่งใดอื่นนอกจากหลับตาลงรับรอยจูบของแฟนหนุ่ม 

    แต่นั่นกลับไม่ใช่แค่จูบธรรมดา เพราะเขากำลังถ่ายโอนพลังเวททั่วร่างกายเพื่อมอบให้เธอแทน ทำให้ระหว่างนั้นเกิดการส่งโทรจิตขึ้นมา

    ...!? ไม่จริงน่า...คูจังหยุดนะ!! อย่าทำแบบนี้!!!’

    ข้าขอโทษด้วยละกัน...ยูมิ แต่เจ้าต้องอยู่รอดต่อไปให้ได้...และก็กำจัดเจ้านั่นทิ้งซะ

    คู...จัง...

    '...เจ้ายังไม่สมควรที่จะตายตอนนี้หรอก'

    เบอเซิกเกอร์หนุ่มค่อยๆ ถอนจูบออกพร้อมโอบกอดร่างของคนตรงหน้าไว้แนบแน่นเป็นครั้งสุดท้ายโดยหันหลังให้กับโฮกุของเกเทียหวังใช้ร่างกายตัวเองเป็นโล่ป้องกันเธอ

    แน่นอน...การป้องกันของพวกเขาทั้งหมดคงเป็นไปได้ยากจริงๆ

    ถ้าเช่นนั้น...จงสูญสลายเยี่ยงเศษฝุ่นไปให้หมดเสียเถิด!!”

    ฮ้าาาาาาา!!!!!!!!”

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ต่อมา ภาพตรงหน้าของยูมิเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนบวกกับลมพายุที่พัดโบกเข้ามา เธอหันมองเซอแวนท์ทั้งสิบซึ่งคอยยืนกรานปกป้องสุดหัวใจ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มหันหน้ามาคุยกับเธอในขณะที่ร่างกายเริ่มมีออร่าสีเหลืองทองล่องลอยขึ้นฟ้า

    ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น...

    พวกเขาพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเธอ...

    แม้ว่าต้องสละชีวิตก็ตาม...

    ยูมิ...การใช้โรห์ ไออัสของข้าในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จไปบ้าง แต่เทียบกับการใช้ป้องกันหอกแห่งกรุงทรอยไม่ได้เลยแฮะ...เสียดายแย่จัง

    คุณหนู...เอ่อ...ถึงข้าจะได้รับความแข็งแกร่งจากเจ้าคนสุดท้ายในกลุ่ม แต่ก็...ขอบคุณที่คอยผลักดันให้ต่อสู้เพื่อทุกคนได้ละกันนะ

    ดูเหมือนหอกเกโบล์กของข้า...จะทำหน้าที่เป็นอาวุธปกป้องเจ้าได้เพียงเท่านี้จริงๆ แหละ...น่าเสียดายจังที่ไม่ได้อยู่เป็นคู่หูจนจบ

    คุณหนู...เรย์จูเส้นสุดท้ายนั่น...เก็บไว้ใช้กับตัวเองเถอะ พวกข้าทุกคนต้องกลับบัลลังค์แล้วล่ะ

    ยูมิเอ๋ย...ข้าช่วยปกป้องเจ้าให้อยู่รอดได้แล้วล่ะ ทีนี้จงทำหน้าที่สุดท้ายของตัวเองต่อไปเสียเถิด ข้ารู้ว่าเจ้าต้องทำได้แน่นอน...

    เจ้าพันทาง...ไม่สิ มาสเตอร์...จงสู้ต่อไปเพื่อกอบกู้มวลมนุษยชาติเสียเถิด พวกข้าทั้งหมดจะรอดูความสำเร็จจากเบื้องบนฟ้าเอง

    นายท่าน...กระผมอยากให้ท่านอยู่รอดต่อไปนะขอรับ เพื่อโลกใบนี้...จักรวาลแห่งนี้...และเพื่อมวลมนุษยชาติทุกคน

    เมื่อก่อนเคยคิดว่าโฮมุนครุสอย่างฉันจะสามารถทำอะไรสักอย่างเพื่อใครคนหนึ่งได้รึเปล่า...ซึ่งตอนนี้ก็ได้คำตอบแล้ว เพราะฉัน...ปกป้องคุณได้ยังไงล่ะ

    มาสเตอร์...ก่อนจากลา ข้าขอส่งต่อความเกลียดชังให้กับเจ้าเพื่อกำจัดศัตรูครั้งนี้ เพราะงั้นอย่าทำอะไรผิดพลาดซะล่ะ

    ยูมิ...ช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าอาจจะทำหน้าที่คนรักได้ไม่ค่อยเต็มที่เพราะยุ่งอยู่กับเรื่องงาน แต่ก็...ขอให้รู้ไว้ว่า...ข้ายังคงรักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง

    ขอบคุณ...ที่คอยอยู่เคียงข้างกันจนถึงวินาทีสุดท้ายนี้ มาสเตอร์แห่งข้า...อิชิมารุ ยูมิ

    ทุกคน...

    เมื่อเซอแวนท์ทุกคนกล่าวความรู้สึกของตนจนหมด ออร่าสีเหลืองทองก็ลอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาต่างส่งรอยยิ้มให้กับมาสเตอร์สาวด้วยความอ่อนโยนแล้วค่อยเงยหน้ามองฟ้าเตรียมกลับบัลลังค์วีรชนตลอดกาล

    “...”

    บ้าจริง...ทั้งที่ควรได้อยู่เคียงข้างกันจนจบศึกแท้ๆ แต่กลับยอมสละชีพแบบนี้...

    ฉันสูญเสียคูจัง...คนรักคนสำคัญ...

    สูญเสียมิตรภาพทั้งหมดที่เคยสร้างเอาไว้...

    สูญเสีย...ทุกอย่างเลย...

    นี่คือความในใจทั้งหมดที่เธอมีอยู่ ณ ตอนนี้

    เดจาวูในร่างเกเทียกับมาชูอัลเตอร์มองมาสเตอร์แห่งคาลเดียผู้สูญสิ้นทุกอย่างตรงหน้าพร้อมฉีกยิ้มกว้างด้วยความสะใจ รู้สึกถึงชัยชนะที่ตนกำลังจะคว้ามาได้ จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินลงจากบัลลังค์โซโลมอนอย่างช้าๆ แล้วเรียกจอกศักดิ์สิทธิ์สีเหลืองใบหนึ่งออกมาถือไว้

    ตึก...ตึก...ตึก

    น่าเสียดายจริงๆ เลยน้า...ยูมิ แบบนี้เจ้าก็หมดกำลังใจสู้กับพวกข้าแล้วน่ะสิ

    เขาเรียกว่า ผลกรรมตามสนอง ยังไงล่ะคะ...ท่านเกเทีย

    “...”

    หญิงสาวผมดำเริ่มนิ่งเงียบ ไม่ทำอย่างอื่นใดนอกจากนั่งคุกเข่าบนพื้นและก้มหน้าลงต่ำอย่างสิ้นหวังเพราะไม่มีใครอยู่เคียงข้างอีกต่อไป แม้น้ำตาจะยังไม่ไหลริน แต่เธอก็ยังรู้สึกเสียใจ เจ็บแค้น หมดหวัง ไร้ซึ่งกำลังกายและใจ

    ในวินาทีนั้น เกเทียเดินเข้าหาจนหยุดมายืนอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมจับจอกศักดิ์สิทธิ์เทของเหลวสีดำให้ไหลลงอาบตั้งแต่หัวจรดเท้า

    เอาล่ะ...ข้าขอเวลาห้านาทีในการตัดสินใจ...

    “...”

    ...ว่าเจ้าจะยืนหยัดสู้คนเดียวหรือยอมเป็นพวกเดียวกับเดจาวูผู้นี้กันแน่

    [ To be continued ]

    [ อนึ่ง...เนื้อเรื่องในโซโลมอนตอนนี้มีเพียงแค่ส่วนหนึ่งน้อยๆ เท่านั้นที่ไม่ได้อิงจากต้นฉบับนะจ๊ะ ]

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×