คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #40 : Episode 7 ตัดสินชะตากรรม [Part 1]
Episode 7 ตัดสินชะตากรรม [Part 1]
----------------------------------------------------
กลับมายังปัจจุบัน
เมื่อมาชูอัลเตอร์เปิดเผยเรื่องราวในอดีตของยูมิจนหมดเปลือก
เซอแวนท์ทุกคนต่างหันมามองทางเดียวด้วยสีหน้าแตกต่างกัน
บ้างก็รู้สึกโมโหตัวเองที่ไม่ยอมถามทุกข์สุขของมาสเตอร์มาก่อน
บ้างก็รู้สึกเจ็บใจที่เพิ่งจะมารู้อดีตอันแสนมืดมน
แต่คูอัลเตอร์กลับเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมแสดงความรู้สึกอื่นใดนอกจากยืนรอดูสถานการณ์เสียก่อน
แม้ว่าการถูกกลั่นแกล้งจนเกิดอาการลมชักจะมีส่วนถูกต้องและรู้ดีอยู่บ้าง
แต่บางเรื่องเธอกลับลืมเลือนเพราะพยายามไม่จดจำมันอีก
โดยเฉพาะเรื่องปัญหารุมเร้าช่วงมัธยมต้น
ครอบครัวตายยกบ้านยกเว้นตัวลูกสาวเพียงคนเดียวที่ถือมีดเปื้อนเลือด
ซึ่งเป็นการช่วยตัดบ่วงให้พ่อได้หลุดพ้นไปในตัว
และสุดท้ายคือล้างแค้นฉลองงานปัจฉิมนิเทศที่ยังมีผู้รอดชีวิตอย่างโทมะ
‘ฮ่าๆๆๆๆๆ ตายซะเถอะ...ตายๆ กันให้หมดเลย!’
‘พวกแกก็เป็นแค่ขยะสังคมที่น่ารังเกียจ
สกปรก ถ้ารีบๆ ตายไป โลกใบนี้จะสะอาดขึ้นเยอะ!’
‘เธอหลีกหนีบาปกรรมของตัวเองไม่ได้หรอก...และจะไม่มีวันหนีมันพ้น! ฮ่าๆๆๆๆ’
แน่นอน...สิ่งที่เคยได้ยินในฝันร้ายขั้นรุนแรงเป็นคำพูดของเธอในช่วงปัจฉิมนิเทศด้วยเช่นกัน...
“ฮึๆๆ ฟังแล้วรู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ...กลุ่มเซอแวนท์แห่งคาลเดียทั้งหลาย”
“ฮืม...แต่พอข้าดูจากสีหน้าท่าทางแล้วเนี่ย
เจ้าพวกนั้นคงรู้สึกย่ำแย่ที่ตัวเองไม่เคยนึกคิดเรื่องนี้เลยน่ะสิ...มาชู”
เดจาวูในร่างเกเทียกวาดสายตามองสมาชิกกลุ่มคาลเดียพร้อมยิ้มออกกว้าง
ล้อเล่นกับความรู้สึกของพวกเขาตรงหน้าอย่างมีความสุข
ทำเอามาสเตอร์สาวก้มหน้าลงต่ำและกำหอกเกโบไว้แน่นด้วยความเจ็บใจบวกกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“บ้าน่า...ฉัน...จะไปลงมือฆ่าแม่ตัวเองได้ยังไง...”
“โธ่...” รุ่นน้องผมชมพูค่อยๆ
ย่างก้าวเดินเข้าหารุ่นพี่ก่อนที่จะจับเชยคางจ้องเขม็งใส่เธอ “ว่าแล้วรุ่นพี่เนี่ย...โง่เง่าจริงๆ”
“...!!” หญิงสาวผมดำสะบัดมืออีกฝ่ายออกจากคางแล้วค่อยเดินถอยหลังประมาณสี่ก้าวและยกมืออีกข้างกุมอกตัวเองแน่น
พยายามเก็บกดอารมณ์โมโหเอาไว้ในใจ
“ยูมิ...” เบอเซิกเกอร์หนุ่มมุ่งเข้าหาคนรักแล้วยืนอยู่ข้างๆ
เผื่อฝ่ายศัตรูจะบุกโจมตีเธออีกครั้ง
“แหมๆ~ คุณอัลเตอร์เนี่ยช่างเป็นห่วงเป็นใยสมกับแฟนหนุ่มจังเลย
สงสัยฟังอดีตของรุ่นพี่แล้วไม่รู้สึกสะทกสะท้านเรื่องทรยศหักหลังสินะคะเนี่ย”
อเวนเจอร์สาวพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันและหัวเราะในลำคอเบาๆ
ราวกับนางร้ายในละครทีวีแล้วค่อยเชิดหน้าหันตัวเดินเข้าไปยืนเคียงข้างเกเทียอย่างสง่าผ่าเผย
“...”
“ทีนี้ขอถามหน่อยละกัน...คนบาปอย่างเจ้าน่ะ...คิดเหรอว่าจะช่วยกอบกู้มวลมนุษยชาติได้”
เขาเริ่มเปิดปากถามมาสเตอร์สาวพร้อมกับสายตาที่จ้องมองอย่างไร้ซึ่งความปรานี
มือข้างขวาค่อยๆ ดีดนิ้วเรียกบางอย่างออกมาตรงหน้า
พวกมันคือร่างเงาสีดำจำนวนมากที่เริ่มปรากฏตัวเป็นกองทัพถืออาวุธชนิดต่างๆ
โดยมีตัววิญญาณปีศาจคาบมีดหรือดาบสั้น ปีศาจถือดาบคาตานะ ดาบยาว ดาบใหญ่ และหอก
“กองทัพข้ามเวลา...!? บ้าน่า...ทำไมถึงได้...”
“หลงลืมไปแล้วงั้นเหรอ...ยูมิ
ข้าเคยอยู่ตามหลังเจ้าตอนออกไปแก้ไขประวัติศาสตร์เหมือนกัน
แน่นอน...เจ้าพวกนี้ก็กลายเป็นกองกำลังสำคัญของข้าเรียบร้อยแล้ว ฮึๆๆๆ”
เสียงหัวเราะในลำคอของเกเทียดังเสียดสีเข้าไปถึงข้างในหัวใจเธอ
ส่งผลให้ความรู้สึกอยากกำจัดทิ้งที่เริ่มเพิ่มพูนจนกลบความรู้สึกเคียดแค้นเรื่องอดีตลงทั้งหมด
“...ในระหว่างที่ฉันย้ายมายังคาลเดีย...แกก็เริ่มสรรหาพรรคพวกไว้ด้วยสินะ”
“ใช่...ในเมื่อข้าได้เจ้าเป็นเหยื่อมาแล้ว
จะให้อยู่เฉยมันคงไม่คุ้มค่ากับการไขว่คว้าหรอก”
“แบบนี้นี่เอง...”
เมื่อสิ้นเสียงพูดเมื่อครู่
ยูมิในฐานะอดีตซานิวะก็จ้องมองเกเทียสักพักใหญ่ก่อนที่จะเริ่มตัดสินใจก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าเตรียมเผชิญหน้ากับศัตรูเก่าอย่างเหล่ากองทัพข้ามเวลา
เธอควงอาวุธสีเหลืองแล้วจับชี้ปลายหอกไปยังฝ่ายตรงข้าม
มือขวากำไว้แน่นจนมีออร่าสีเหลืองท่วมทั้งเล่ม อันเป็นพลังเวทที่ถูกถ่ายโอนออกมา
“ถ้างั้น...ฉันคงต้องเป็นคนกำจัดพวกแกทิ้งจริงๆ
แล้วล่ะ...”
ในระหว่างนั้นเอง
เหล่าเซอแวนท์ทั้งหมดต่างค่อยๆ
เดินมาอยู่เคียงข้างมาสเตอร์สาวแล้วเรียกอาวุธประจำตัวออกมาถือไว้มั่น
พวกเขาเตรียมตัวเตรียมใจมาอย่างเต็มที่และพร้อมร่วมต่อสู้กับเธอจนกว่าทุกอย่างจะจบลง
“ในฐานะนักรบแห่งอัลสเตอร์...” < คูแลนเซอร์
“...พวกข้าทั้งสามจะอยู่เคียงข้างคุณหนู...”
< คูโปรโตไทป์
“...และร่วมกำจัดศัตรูให้สิ้นซากเอง!!”
< คูแคสเตอร์
“พวกเราต่างร่วมต่อสู้ด้วยกันมานานแล้วนะ...ยูมิ
ดังนั้นข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าอยู่ช่วยเหลือมวลมนุษยชาติเพียงแค่คนเดียวอย่างเด็ดขาด”
“ในนามของฟาโรห์รามเสสที่ 2
โอจิมังเดียสผู้นี้จะกำจัดพวกเจ้าเอง...เดจาวู”
“เกะกะขวางทางนักก็จงมลายเยี่ยงเศษฝุ่นไปเสีย...เจ้าพวกพันทาง”
“ในนามของฟูมะ
โคทาโร่...กระผมจะกำจัดศัตรูเพื่อปกป้องนายท่านเอง”
“แม้เป็นเพียงโฮมุนครุส
แต่ฉันอยากทำให้พวกคุณได้เห็น...ว่าทุกคนมีค่าพอที่จะมีชีวิตต่อไป”
“ฮึๆๆ
ในที่สุด...การต่อสู้ครั้งใหม่ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วสินะ!”
“เพื่อตัวยูมิเอง...ข้าจะต้องทำทุกวิถีทางให้นางได้กลับมามีความสุขกับทุกคน”
“อดีตของมาสเตอร์/นายท่าน...จะไม่สำคัญเท่ากับการช่วยเหลือมวลมนุษยชาติอีกต่อไปแล้ว!!!”
หญิงสาวผมดำหันมองเซอแวนท์ผู้ซึ่งผูกพันกับตนสักพักหนึ่งแล้วค่อยยิ้มบางเชิงขอบคุณพวกเขาอย่างคูฮูลินน์ทั้งสี่
เอมิยะ โอจิมังเดียส กิลกาเมชแคสเตอร์ โคทาโร่ ซิก
และดันเต้ที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาโดยตลอด
จากนั้นเธอจึงหันกลับไปยังเหล่ากองทัพข้ามเวลาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ถ้างั้น...พวกเราในฐานะกลุ่มคาลเดีย...จะขอปราบพวกลูกน้องของแกละกัน...เดจาวู!!”
“...”
พอเดจาวูในร่างเกเทียได้ยินเช่นนั้น เขาก็ฉีกยิ้มกว้างเชิงท้าทายแล้วส่งสัญญาณมือสั่งให้ลูกน้องทั้งหมดเริ่มบุกโจมตีเป็นฝ่ายแรกก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดสีขาวเพื่อนั่งชมการต่อสู้บนบัลลังค์เปื้อนเลือด
ยูมิและเหล่าเซอแวนท์ทั้งหลายต่างพุ่งเข้าไปปะทะ อีกทั้งยังมีการแยกกลุ่มย่อยๆ
ออกเป็น...
ดันเต้-วิญญาณคาบมีด เอมิยะ-วิญญาณคาบดาบสั้น
นินจาผมแดงและโฮมุนครุส-ปีศาจดาบคาตานะ ราชาทั้งสอง-ปีศาจดาบยาว
ส่วนคูทั้งสี่ปะทะกับดาบใหญ่และหอก
จังหวะที่มาสเตอร์สาวกำลังถ่ายโอนพลังเวทลงขาทั้งสองข้างเตรียมวิ่งเข้าโจมตีเหล่ากองทัพข้ามเวลานั้น
เธอถูกขัดขวางโดยมาชูอัลเตอร์ซึ่งยังคงถืออาวุธหนามสีแดงอยู่เช่นเดิม
“รุ่น~ พี่~ มาสนุกด้วยกันเถอะค่ะ ฮึๆๆ”
“มาชู...ฉันไม่มีเวลามาเล่นด้วยหรอก
เพราะงั้นถอยไปซะ...ก่อนที่เกโบเล่มนี้จะทิ่มกลางอกเธอ”
ชิ้ง!
หญิงสาวผมดำควงอาวุธสีเหลืองพร้อมจ่อไปยังกลางหัวใจในระยะใกล้ชิดจนเกือบทิ่มบนเกราะหนังเสื้อสีขาวเบาๆ
จนกระทั่งการต่อสู้ก็เริ่มต้นจนได้
รุ่นน้องสาวจับอาวุธของอีกฝ่ายไว้แน่นแล้วกระโดดถีบขาคู่ปลิวออกห่างประมาณสามเมตร
“อั่ก...!!”
ยูมิกลิ้งลงบนพื้นตามแรงถีบไปหลายตลบก่อนที่จะตีลังกาดีดตัวขึ้นตั้งหลักใหม่
เธอมองหอกที่ถูกยึดไว้กับมืออเวนเจอร์สาวซึ่งกำลังฉีกยิ้มกว้างและจับควงเล่นๆ
ส่อเชิญชวนให้เข้ามาคว้ากลับคืนด้วยตัวเอง
เธอแตะกระเป๋าคาดเอวพลางนึกออกว่าเหลือกลัดมณีเวทย์เพียงแค่เม็ดเดียว
“...”
ไม่ได้หรอก...ฉันคงจะใช้มันตอนนี้ไม่ได้แน่ๆ
เก็บไว้ก่อนเป็นการดีละกัน...
พอคิดได้เช่นนั้น เธอจึงหลับตาลง
ถ่ายโอนพลังเวทที่ขาสองข้างอีกครั้งแล้วค่อยพุ่งเข้าไปปะทะพลางดีดนิ้วเรียกหอกสีเหลืองในจังหวะทีเผลอตอนศัตรูตรงหน้าปล่อยมือพอดี
“ฮึๆๆ งั้นก็มาเล่นกันเถอะค่ะ...!!”
ทั้งสองคนเริ่มเปิดศึกต่อสู้ด้วยความเร็วที่ไม่แพ้ศึกระหว่างพวกเซอแวนท์จนเกิดลมพายุบางๆ
และฝุ่นควันตลบทั่วบริเวณนี้ ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหวของยูมิค่อยๆ
เร็วขึ้นตามพลังเวทที่ถ่ายโอนตามร่างกาย แม้อาจดูฝืนตัวเองเล็กน้อย
แต่เธอจะยอมแพ้ให้กับรุ่นน้องไม่ได้เด็ดขาด
เปล๊ง!! เปล๊ง!!
เสียงอาวุธหอกสองเล่มปะทะกันอย่างรวดเร็วจนมีประกายไฟแตกกระจายไม่ขาดสาย
ต่อมาทางมาสเตอร์สาวได้ดีดตัวขึ้นถอยหลัง กำหอกไว้แน่นเพื่อให้ออร่าสีเหลืองบางๆ
ปรากฏขึ้นก่อนที่จะขว้างลงไป อเวนเจอร์สาวเงยหน้ามองและจับหอกแดงฟาดปัดป้องออกข้าง
“ฮั่ด...!!”
ในระหว่างนั้นเอง
หญิงสาวผมดำก็พุ่งเข้ากระโดดข้ามหัวอีกฝ่ายแล้วม้วนตัวไปเอื้อมมือสองข้างจับหอกที่กำลังปักลงแน่น
เธอเหยียดขาตรงและเหวี่ยงตัวแนวราบกับพื้นดินรอบๆ อาวุธพร้อมออกแรงถีบขาคู่
แต่ก็ต้องถูกต้านรับไว้ด้วยท่อนแขนข้างซ้ายที่ว่างของรุ่นน้อง
“รุ่นพี่คะ...ถ้ายอมอยู่ฝ่ายเดียวกันตั้งแต่แรก
พวกเราคงไม่ต้องเสียเวลาสู้แบบนี้นี่นา”
“...ขอโทษด้วยนะ
แต่ฉันจะปล่อยให้โลกใบนี้ถูกทำลายไม่ได้หรอก”
เธอออกแรงถีบเพื่อดีดตัวเองออกห่างจากมาชูอัลเตอร์หลายเมตรและดีดนิ้วเรียกหอกสีเหลืองเล่มเดิมกลับมาถือใหม่
รุ่นน้องแอบรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยแต่ก็ต้องยอมกลับไปยืนอยู่เคียงข้างเดจาวูในร่างเกเทียเพราะมองว่าคงจะไม่สู้กับตนแล้วช่วยเซอแวนท์แห่งคาลเดียแน่ๆ
ช่วงวินาทีนั้น...มาสเตอร์สาวเหลือบไปเห็นศึกระหว่างเซอแวนท์กับกองทัพข้ามเวลาพอดี
ฝ่ายที่กำลังเสียเปรียบคือคาลเดีย เพราะทางเกเทียเริ่มชื่นชอบการต่อสู้ครั้งนี้จนต้องเรียกลูกน้องเพิ่มขึ้นอีก
แย่ล่ะสิ...จะปล่อยพวกเขาคงไม่ได้ซะด้วย
ว่าจบก็รีบมุ่งหน้าเข้าช่วยเหล่าเซอแวนท์โดยด่วนที่สุด
เริ่มจากกลุ่มคูฮูลินน์ทั้งสี่ซึ่งแพ้ทางเซเบอร์ทำให้ไม่สามารถต่อกรกับดาบใหญ่ได้อย่างเต็มที่
เธอพยายามหาจังหวะตอนศัตรูเปิดช่องโหว่เพื่อรอกำจัดภายในครั้งเดียวให้ได้
ปึง!!
ช่วงที่ทางปีศาจจับดาบเล่มใหญ่ฟาดลงมาโจมตีเต็มแรง
คูแลนเซอร์รีบกลิ้งหลบออกข้างขวามือจนรอดอย่างหวุดหวิด
“โอ๊ะโอ~ เกือบไปแล้วๆ
นึกว่าจะโดนผ่าครึ่งแล้วซะอีก”
“แลนเซอร์...อย่าเพิ่งประมาทสิ...”
คูอัลเตอร์เริ่มออกแรงเหยียบพื้นจนเกิดรอยร้าวและก้อนดินที่แตกกระจาย
จากนั้นจึงคว้าร่างพลหอกน้ำเงินไว้พร้อมดีดตัวหลบออกทางข้างหลัง
เพราะปีศาจถือหอกกำลังทำการโจมตีในจังหวะทีเผลอโดยกระโดดขึ้นฟาดอาวุธลงพื้น
ขวับ!
ปึง!!
คราวนี้แหละ...!!
มาสเตอร์สาวถ่ายโอนพลังเวทลงไปยังขาสองข้างพุ่งเข้าหาปีศาจถือดาบใหญ่อย่างรวดเร็ว
เธอกระโดดขึ้นไปยืนบนสันดาบที่ยังไม่ถูกจับยกขึ้นเหนือพื้นแล้วรีบวิ่งควงอาวุธหอกจนเกิดออร่าสีเหลืองอ่อนๆ
รอบทั้งเล่ม จากนั้นก็ออกแรงเตรียมทิ่มแทงเข้าในปากทะลุออกข้างหลัง
“ฮ้ากกกก...!!”
ฉึ่ก!!
ต่อมาเธอเดินถอยหลังตั้งหลักบนสันดาบประมาณสี่ห้าก้าวแล้วออกตัวกระโดดเหยียบบนหอกเกโบเพื่อพุ่งหาเป้าหมายใหม่อย่างปีศาจถือหอก
เธอยื่นมือจิกนิ้วลงบนกะโหลกอีกฝ่ายเต็มแรงพร้อมจับเหวี่ยงร่างลงบนพื้นดิน
“Gehen!! [จงทำลาย]”
เส้นพลังเวทสีฟ้าหลากเส้นค่อยๆ
ปรากฏขึ้นทั่วมือข้างขวาลามไปถึงหัวปีศาจ พลังอำนาจในการทำลายนี้รุนแรงจนทำให้กะโหลกแตกเป็นเสี่ยงๆ จังหวะที่ศัตรูกำลังจะดีดตัวถอยหลังตั้งหลัก
เธอสะบัดมือข้างนั้นออกแล้วดีดนิ้วเรียกหอกเล่มสีเหลืองจากปีศาจถือดาบใหญ่กลับคืนก่อนที่จะจับทิ่มแทงกลางหัวใจ
ฉึ่ก!!
“แฮ่ก...แฮ่ก...ต่อไป...”
เมื่อจัดการปีศาจสองตัวจนสลายหายไปเรียบร้อย
ยูมิได้หันมองรอบๆ อีกครั้ง
พบว่าเหล่าวิญญาณคาบมีดและดาบสั้นเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยฝีมือเดจาวู
แต่แล้วพวกมันก็ถูกดันเต้และเอมิยะกำจัดจนหมดสิ้น
“เอนเฟอร์...ชาโตว์ ดีฟ!!”
“คาลาดโบล์ก!!”
ตู้มม!!!
พลังทำลายล้างของธนูสีดำบวกโฮกุเมื่อครู่นี้รุนแรงพอที่จะระเบิดไปถึงปีศาจที่อยู่ใกล้เคียงทุกตัว
ทำให้กลุ่มคูฮูลินน์ ราชาสองคน ซิก
และโคทาโร่รอดพ้นจากเงื้อมมือพวกมันได้อย่างหวุดหวิด
มาสเตอร์สาววิ่งเข้าหาเพื่อดูสภาพร่างกายของแต่ละคน
“ทุกคน! ปลอดภัยกันดีใช่มั้ย! แล้วเวลาที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้...”
“อา...ตอนนี้พวกข้ายังไม่บาดเจ็บอะไรขนาดนั้นหรอก
แค่รู้สึกว่า...พลังเวทลดลงเรื่อยๆ เท่านั้นเอง” เอมิยะตอบในขณะที่ตนกำลังเก็บธนูแล้วหยิบนาฬิกาแบบสร้อยขึ้นมามองดู “เวลาเหลือน้อยลงทุกทีซะแล้วสิ...”
“เหลือประมาณ...ยี่สิบนาทีงั้นเหรอ” คูแลนเซอร์เดินเข้าไปแตะบ่าพลธนูแดงและก้มหน้าลงมองดูนาฬิกาก่อนที่จะถอนหายใจด้วยความกังวล “คุณหนู...ข้าว่ารีบกำจัดเจ้าบ้านั่นกันเถอะ”
“นั่นสิ...ขืนปล่อยให้เดจาวูเรียกลูกน้องเพิ่มต่อไป
ฉันคงต้านรับพวกมันไว้อีกไม่ไหวแน่ๆ”
“...!!? โปรโตไทป์...!!”
“...!!!?”
ในจังหวะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน
เกเทียได้ดีดนิ้วเรียกกองทัพข้ามเวลาเพิ่มขึ้นอีกครั้งโดยหนึ่งในนั้นมีปีศาจถือดาบใหญ่ปรากฏตัวมาจากด้านหลังคูโปรโตไทป์เตรียมจับอาวุธฟาดลง
คูแคสเตอร์พบเห็นเข้าด้วยหางตาจึงรีบเข้าไปช่วยหยุดยั้งไว้ด้วยคฑาเวท
เขาจับยกขึ้นเป็นแนวนอนเหนือหัวป้องกันการโจมตีของอีกฝ่าย ทว่า...
โผล๊ะ!!
“...!!?”
เนื่องจากอาวุธของศัตรูมีขนาดใหญ่กว่า
การป้องกันครั้งนี้จึงไร้ผล ทำให้คฑาแตกหักเป็นสองท่อน
แคสเตอร์ต้องยอมรับคมดาบเล่มนั้นแทนจนเห็นหยาดเลือดสาดกระเซ็นออกมาปนกับฝุ่นควันและเศษดินที่แตกกระจาย
ปึง!!
“อั่ก...!!”
“แคสเตอร์!!”
ยูมิรีบวิ่งไปหาเซอแวนท์ของตนที่เพิ่งถูกโจมตีเพื่อเตรียมทำการรักษาแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อปีศาจตนนั้นเข้ามายืนขัดขวางเสียก่อน
เธอกำหมัดแน่นด้วยความโมโหแล้วควงหอกเกโบในมือขวาเตรียมเข้าปะทะ
‘เดี๋ยวข้าจัดการเอง...ยูมิ’
วินาทีนั้น...คูอัลเตอร์ได้ส่งโทรจิตบอกคนรักของตนพร้อมควงหอกสีแดงคู่ใจและจับมันขึ้นเหนือไหล่
ออร่าสีแดงอันเป็นพลังเวทแผ่ออกทั่วทั้งเล่ม
เธอหันกลับมามองเขาก่อนที่จะรีบดีดตัวหลบอยู่เคียงข้างกัน
“ปีศาจอย่างเจ้าน่ะ...ไม่จำเป็นที่จะลืมตาตื่นขึ้นด้วยซ้ำ...”
เบอเซิกเกอร์หนุ่มพูดถึงศัตรูตรงหน้าแล้วจับขว้างอาวุธประจำตัวออกไป
วิถีการพุ่งตรงมีความรวดเร็วผิดปกติจนแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
มันเริ่มทิ่มแทงเข้ากลางอกและทะลุถึงข้างหลังจนทำให้ปีศาจตัวอื่นตกเป็นผู้เคราะห์ร้ายล้มตายตามกัน
‘แลนเซอร์...ไปดูอาการของแคสเตอร์ซะ’
‘อะ...โอ้ว! รับทราบตามนั้น...อัลเตอร์’
หลังจากส่งโทรจิตกันจบ
คูแลนเซอร์แอบแปลกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายแสดงความเป็นห่วงเป็นใยให้กับเซอแวนท์นอกเหนือจากมาสเตอร์หรือคนรัก
แต่เขาก็ยังยิ้มตอบกลับแล้วรีบวิ่งไปหาแคสเตอร์ตามคำขอ
“ขอบคุณที่ช่วยนะ...คูจัง”
“...”
เขามองดูหญิงสาวผมดำที่กล่าวคำขอบคุณด้วยรอยยิ้มบางเหมือนเคยพลางยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ
อย่างเอ็นดู
ต่อมาก็หันไปเจอเซอแวนท์ทั้งสองคนซึ่งต่างคนต่างเริ่มใช้โฮกุกวาดล้างกองทัพข้ามเวลาพอดี
“การกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด...จะเปล่งออกดัง
ณ ที่แห่งนี้ จากขุมนรกแห่งเปลวเพลิงใหญ่...”
“เริ่มต้นแปลงกาย แสวงบุญที่อยู่นอกเหนือออกไป
ตัวข้าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนผู้ทะเยอทะยาน ณ จอกอันศักดิ์สิทธิ์
และกลายเป็นมังกรอันชั่วร้าย จงแผดเผาทุกอย่างเสีย...”
โคทาโร่ร่ายบทโฮกุพร้อมควงมีดคุไนข้างขวาขึ้นจับในท่าของนินจาระดับใบหน้า
ส่วนมือซ้ายยกขึ้นระดับอก หันปลายอาวุธให้จ่อข้างล่าง ต่อมาจึงเริ่มเรียกวงแหวนกว้างรอบทิศจนมันค่อยๆ
บีบตัวลงและเกิดเป็นระเบิดเปลวเพลิงแผดเผากลุ่มศัตรูตรงหน้าให้สิ้นซาก
ในระหว่างนั้น ซิกเองก็ร่ายบทตามและค่อยๆ
กลายร่างเป็นมังกรขนาดใหญ่พลางโบยบินขึ้นบนฟากฟ้า ปากของเขาเริ่มอ้าออกพร้อมมีพลังไฟสีฟ้าพ่นลงไปยังศัตรูอีกกลุ่มหนึ่ง
“อิมมอร์ทอล เคออส บริเกด/อคาฟิโลกา อาร์กรีส!!!”
ตู้มม!!!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หลังจากกลุ่มคาลเดียได้ร่วมกันจัดการกองทัพข้ามเวลาทั้งสองรอบจนหมดสิ้น
พวกเขาก็เริ่มหมดแรงลงทุกที พลังเวทภายในร่างกายเหลืออยู่ไม่มากนัก
ทำให้การต่อสู้รอบต่อไปอาจเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแท้จริง
ส่วนคูแคสเตอร์ก็บาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือของปีศาจถือดาบใหญ่
และตอนนี้กำลังรอรับการรักษาโดยคูแลนเซอร์ซึ่งพยายามใช้รูนที่ถูกผนึกไว้
“แลนเซอร์...เป็นไงบ้าง
พอจะรักษาได้รึเปล่า...”
ยูมิเดินเข้ามาคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ
ทั้งสองคนพร้อมเริ่มเปิดปากถามพลหอกน้ำเงิน
แต่คำตอบนั้นกลับไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ในใจ
เขาส่ายหัวเชิงปฏิเสธหรือก็คือ...เป็นไปไม่ได้
“ไม่ไหวแฮะ...ดูท่าทางรูนของข้าจะไม่สามารถทำอะไรเจ้านี่ได้เลย”
“บ้าน่า...แคสเตอร์...กำลังจะตายงั้นเหรอ”
มาสเตอร์สาวเริ่มแสดงอาการหวาดกลัวจนหน้าถอดสีทันทีแล้วจับมือขวาของนักเวทน้ำเงินกุมเอาไว้แน่น
ยิ่งเรย์จูบนมือขวาเหลืออยู่เพียงเส้นเดียวเพราะอีกสองเส้นถูกใช้งานไปไม่นานนี้
ทำให้เธอยิ่งรู้สึกลังเลใจและกลัวว่ามันจะไร้ค่าเหมือนครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา
ในขณะนั้นเอง เขายกมือซ้ายขึ้นแตะเรย์จูเบาๆ
พร้อมกับฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายรู้สึกโล่งใจที่ยังพอรอดตัวอยู่บ้าง
“คุณหนู...ข้าไม่เป็นไรหรอก
อีกหน่อยพลังเวทก็คงฟื้นฟูขึ้นมาเอง หรือถ้าไม่งั้น...ใช้เรย์จูเส้นนี้...”
“ฉันกลัว...กลัวมันจะไร้ค่าอีก
ยิ่งนึกถึงตอนใช้เรย์จูกับคูจังในศึกชาเล้นจ์แล้วเขาก็ถูกฆ่าตาย...ฉันยิ่งไม่อยากใช้มันเลย...”
“...”
“อ้าวๆ เป็นอะไรไปล่ะ...เจ้าพวกคาลเดียเอ๋ย
หมดแรงจะสู้ต่อแล้วงั้นรึ...”
ต่อมา
เดจาวูในร่างเกเทียก็เปล่งเสียงออกถามกลุ่มที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่
เขานั่งไขว่ห้างและท้าวคางมองอีกฝ่ายด้วยความรื่นเริงใจจนอยากจะหัวเราะเย้ยหยันดังๆ
ทำเอาหญิงสาวผมดำรู้สึกเกลียดแค้นยิ่งกว่าเดิมอีก
“พอสักทีได้มั้ย เดจาวู! ฉันไม่อยากให้แกต้องพรากชีวิตใครอีกแล้ว!!”
“แต่ถ้าเป็นศัตรูกันแล้ว...มันจำเป็นต้องปรานีคนอื่นด้วยเหรอคะ
รุ่นพี่”
“...!? มาชู...”
เธอหันมองมาชูอัลเตอร์ด้วยความเจ็บแค้นพร้อมกำหอกเกโบในมือขวาแน่น ความคิดหนึ่งอยากสังหารทิ้งให้ตาย แต่อีกความคิดก็อยากช่วยให้หลุดพ้นจากขุมนรกแห่งนี้
“ฮึๆๆๆ
เช่นนั้น...ข้าขอแสดงจุดจบแห่งการเดินทางของพวกเจ้าให้ได้เห็นเลยละกัน
โลกใบนี้จะถูกสร้างใหม่...และนี่จะเป็นจุดจบของมวลมนุษยชาติ
จงมองดูความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของข้า!”
“นี่แก...อย่าบอกนะว่า...!!”
“โฮกุชิ้นที่สาม...เตรียมเปิดใช้งาน ทีนี้ก็จงถูกแผดเผาเยี่ยงเศษขยะเสียเถิด!”
เกเทียนั่งชี้นิ้วขึ้นบนฟ้าพร้อมเรียกบางอย่างเหนือบัลลังค์โซโลมอน
มันคือตัวโฮกุอันมีลักษณะคล้ายไม้เลื้อยสี่แฉกใหญ่และแตกแขนงเส้นเล็กๆ
ออกเต็มวงแหวนแกรนด์ออเดอร์
ตรงจุดกึ่งกลางมีสีแดงม่วงซึ่งเริ่มรวมอนุภาคของพลังเวทเข้าด้วยกันจนกระทั่งเกิดออร่าสีแดงเต็มวงเตรียมพร้อมปลดปล่อยเป็นโฮกุที่แท้จริง
“อาร์ส อัลมาเดล ซาโลมอนิส!!”
“โฮกุนี่มัน...!!? มะ...ไม่เอา...ไม่เอาแบบนี้...”
ระหว่างที่ยูมินึกถึงชื่อโฮกุนี้
ภาพเหตุการณ์ครั้งก่อนได้ลอยขึ้นในหัวทันที เธอไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเพราะเคยพรากชีวิตมาชูต่อหน้าต่อตาจนต้องกลับมาในร่างมนุษย์ธรรมดา
แต่ด้วยโชคชะตาบางอย่างบวกกับการอ้อนวอนสุดหัวใจของเธอ
กาลาฮัดจึงยอมจำนนทำพันธสัญญาเข้าร่างรุ่นน้องเพื่อร่วมสู้อีกครั้ง
กลุ่มเซอแวนท์ทั้งหมดรวมถึงคูแคสเตอร์ได้ยินบทร่ายเช่นนั้นแล้วจึงรีบเตรียมการบางอย่างเพื่อปกป้องมาสเตอร์ของตน
พวกเขาพยายามนึกทุกวิถีทางทั้งเรื่องสกิลหรืออาวุธที่มีอยู่ในมือ
แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถนึกอะไรออกได้ และช่วงเสี้ยววินาทีนั้นเอง
คูอัลเตอร์ส่งโทรจิตบอกบางอย่างให้กับทุกคน
.
..
...
“...!!!?”
แม้ทางเลือกดังกล่าวจะดูเป็นไปได้ยากนัก แต่เพราะสีหน้าของเบอเซิกเกอร์หนุ่มในตอนนี้จริงจังที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา แถมยังย้ำเตือนว่าต้องทำเพื่อตัวยูมิ
ดังนั้น...พวกเขาจึงไม่ยอมลังเล
ไม่ยอมเสียท่าให้กับศัตรูหรือพ่ายแพ้อย่างสูญเปล่าโดยเด็ดขาด!
“ทุกคน...?”
มาสเตอร์สาวนั่งคุกเข่ามองกลุ่มเซอแวนท์ทั้งเก้าคนที่ค่อยๆ เดินไปเผชิญหน้ากับเกเทียพร้อมยืนกรานปกป้อง ในเวลานี้เธอคิดได้เพียงเรื่องเดียวคือ ไม่อยากให้พวกเขาต้องตายจากด้วยโฮกุอันทรงพลัง แต่ก็ต้องถูกแฟนหนุ่มขัดจังหวะการห้ามปรามนี้ เขานั่งชันเข่าตรงหน้าแล้วยื่นมือสองข้างมาโอบกอดไว้
“ยูมิ...เจ้าต้องไม่เป็นไรแน่นอน...เชื่อข้าสิ”
“คูจัง...? ทะ...ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ
พวกเราต้องรอดทั้งหมดไม่ใช่เหรอ!!”
“...”
“เตรียมตัวตายเสียเถิด...กลุ่มคาลเดียทั้งหลายเอ๋ย!!”
เดจาวูในร่างเกเทียชี้นิ้วไปยังพวกยูมิเพื่อเริ่มใช้งานโฮกุหรือกุญแจย่อยชิ้นที่สามของโซโลมอน
แสงสีขาว-แดงสี่แฉกส่องประกายขึ้นแล้วยิงออกเป็นลำแสงขนาดใหญ่
อนุภาคพลังเวทถือว่ามหาศาลพอๆ กับอาร์ส โนวาของโซโลมอนเลยทีเดียว
“I am the bone of my sword...Rho Aias!!!”
เอมิยะผู้อยู่เบื้องหน้ายื่นมือออกไปพร้อมใช้พลังเวทเรียกโล่แห่งวีรชนอาแจ็กซ์หรือโรห์
ไออัส มันค่อยๆ
ปรากฏในรูปร่างดอกไม้เจ็ดกลีบสีชมพูและมีโล่ซ้อนกันประมาณเจ็ดชั้น
แต่การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดนี้ก็ต้องแลกด้วยพลังเวทมากพอตัวบวกกับต้องประคองให้มันอยู่ตัวไว้
“โล่ป้องมนตรา!!!”
เซอแวนท์อีกแปดคนพากันยืนเรียงหน้ากระดานขนาบข้างพลธนูแดงและหยิบกลัดมณีเวทย์ที่ยูมิเคยมอบออกมาเรียกโล่ป้องกันโฮกุด้วย
ซึ่งความจริงแล้วพวกเขาไม่เคยใช้ตอนทำลายเหล่าเสามารเลยแม้แต่นิด
เพราะได้รับความร่วมแรงร่วมใจของเซอแวนท์คนอื่นๆ มาไม่น้อย
“ทุกคน...ไม่ได้ใช้เลย...”
“พวกนั้นน่ะ...แข็งแกร่งมากพอที่จะกำจัดศัตรูแล้ว
เพราะงั้นกลัดมณีเวทย์นี้จะคอยทำหน้าที่ปกป้องเจ้าเพียงผู้เดียว”
“ละ...แล้วแบบนี้ทุกคนก็จะ...”
“ไม่เป็นไรหรอก...เจ้าต้องปลอดภัยดีอยู่แล้ว
เพราะเจ้า...เป็นมาสเตอร์เพียงผู้เดียวที่จะกอบกู้มวลมนุษยชาติได้...” คูอัลเตอร์จับประคองหน้าคนรักของตนไว้แล้วจ้องมองด้วยสีหน้าจริงจังบวกกับความหวังดีอยากให้เธอมีชีวิตรอดต่อไป
ระหว่างนั้น
เกเทียก็เริ่มเปิดปากพูดกับเซอแวนท์เก้าคนพร้อมส่งพลังเวทไปยังโฮกุทีละนิดให้มีความรุนแรงมากขึ้นอีกเรื่อยๆ
จนกว่าจะถึงขีดจำกัดของมัน
“เฮอะ! คิดเหรอว่าการป้องกันแค่นั้นจะได้ผล!! ตราบใดที่พวกเจ้ามีพลังเวทหลงเหลืออยู่น้อยนิด...พยายามให้ตายก็เปล่าประโยชน์น่า!!”
“ไม่!! ข้าขอยืนกรานปกป้องมาสเตอร์แบบนี้ต่อไป!! แม้โล่นี้จะแตกสลายสักกี่ชั้น แต่ข้าไม่ยอมแพ้อย่างสูญเปล่าแน่นอน!!”
“เพื่อคุณหนูของพวกข้า...ไม่ว่าวิธีไหนก็จะงัดมาใช้ให้หมด!!!”
“ในนามของฟาโรห์รามเสสที่ 2
โอจิมังเดียสผู้นี้จะขอยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมาสเตอร์ผู้แข็งแกร่งของพวกข้า!!”
“แม้จะรู้สึกเจ็บแค้นใจนัก
แต่ข้าขอทำหน้าที่ปกป้องเจ้าพันทาง...ไม่สิ
ปกป้องมาสเตอร์จนถึงวินาทีสุดท้ายนี้เอง!!”
“นายท่านน่ะ...จะต้องอยู่รอดต่อไป...และต้องกอบกู้โลกใบนี้ให้ได้!!”
“ฉันขอทำหน้าที่เซอแวนท์ของยูมิ...เพื่อปกป้องเธอให้อยู่รอดและกำจัดพวกคุณทิ้งซะ!!”
“เจ้าจะต้องพบเจอกับขุมนรกแห่งความชิงชังอีกไม่นานนี้!!”
“เพราะอิชิมารุ
ยูมิ...คือมาสเตอร์/นายท่านของพวกเราทุกคนยังไงล่ะ!!!!”
ทุกคนต่างปฏิญาณ ยืนหยัด ณ
ตรงนี้ในการปกป้องยูมิจนถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเอมิยะ คูฮูลินน์ทั้งสาม
โอจิมังเดียส กิลกาเมชแคสเตอร์ โคทาโร่ ซิก และดันเต้
พวกเขาทั้งหมดยอมทำทุกอย่างเพื่อให้มาสเตอร์แห่งคาลเดียของตนอยู่รอดต่อไปพร้อมหาทางกำจัดเดจาวู
“ยูมิ...ช่วยหลับตาลงหน่อย...”
“คะ...คูจั---”
ยังไม่ทันที่จะเปิดปากพูดอะไรต่อ คูอัลเตอร์ก็ยื่นใบหน้าเข้าใกล้แล้วประทับจูบบนริมฝีปากเบาๆ พลางจับมือประสานนิ้วเอาไว้ หญิงสาวผมดำหยุดนิ่งและไม่อาจทำสิ่งใดอื่นนอกจากหลับตาลงรับรอยจูบของแฟนหนุ่ม
แต่นั่นกลับไม่ใช่แค่จูบธรรมดา
เพราะเขากำลังถ่ายโอนพลังเวททั่วร่างกายเพื่อมอบให้เธอแทน
ทำให้ระหว่างนั้นเกิดการส่งโทรจิตขึ้นมา
‘...!? ไม่จริงน่า...คูจัง! หยุดนะ!! อย่าทำแบบนี้!!!’
‘ข้าขอโทษด้วยละกัน...ยูมิ
แต่เจ้าต้องอยู่รอดต่อไปให้ได้...และก็กำจัดเจ้านั่นทิ้งซะ’
‘คู...จัง...’
'...เจ้ายังไม่สมควรที่จะตายตอนนี้หรอก'
เบอเซิกเกอร์หนุ่มค่อยๆ
ถอนจูบออกพร้อมโอบกอดร่างของคนตรงหน้าไว้แนบแน่นเป็นครั้งสุดท้ายโดยหันหลังให้กับโฮกุของเกเทียหวังใช้ร่างกายตัวเองเป็นโล่ป้องกันเธอ
แน่นอน...การป้องกันของพวกเขาทั้งหมดคงเป็นไปได้ยากจริงๆ
“ถ้าเช่นนั้น...จงสูญสลายเยี่ยงเศษฝุ่นไปให้หมดเสียเถิด!!”
“ฮ้าาาาาาา!!!!!!!!”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ต่อมา
ภาพตรงหน้าของยูมิเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนบวกกับลมพายุที่พัดโบกเข้ามา
เธอหันมองเซอแวนท์ทั้งสิบซึ่งคอยยืนกรานปกป้องสุดหัวใจ
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มหันหน้ามาคุยกับเธอในขณะที่ร่างกายเริ่มมีออร่าสีเหลืองทองล่องลอยขึ้นฟ้า
ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น...
พวกเขาพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเธอ...
แม้ว่าต้องสละชีวิตก็ตาม...
“ยูมิ...การใช้โรห์
ไออัสของข้าในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จไปบ้าง
แต่เทียบกับการใช้ป้องกันหอกแห่งกรุงทรอยไม่ได้เลยแฮะ...เสียดายแย่จัง”
“คุณหนู...เอ่อ...ถึงข้าจะได้รับความแข็งแกร่งจากเจ้าคนสุดท้ายในกลุ่ม
แต่ก็...ขอบคุณที่คอยผลักดันให้ต่อสู้เพื่อทุกคนได้ละกันนะ”
“ดูเหมือนหอกเกโบล์กของข้า...จะทำหน้าที่เป็นอาวุธปกป้องเจ้าได้เพียงเท่านี้จริงๆ แหละ...น่าเสียดายจังที่ไม่ได้อยู่เป็นคู่หูจนจบ”
“คุณหนู...เรย์จูเส้นสุดท้ายนั่น...เก็บไว้ใช้กับตัวเองเถอะ
พวกข้าทุกคนต้องกลับบัลลังค์แล้วล่ะ”
“ยูมิเอ๋ย...ข้าช่วยปกป้องเจ้าให้อยู่รอดได้แล้วล่ะ
ทีนี้จงทำหน้าที่สุดท้ายของตัวเองต่อไปเสียเถิด ข้ารู้ว่าเจ้าต้องทำได้แน่นอน...”
“เจ้าพันทาง...ไม่สิ
มาสเตอร์...จงสู้ต่อไปเพื่อกอบกู้มวลมนุษยชาติเสียเถิด พวกข้าทั้งหมดจะรอดูความสำเร็จจากเบื้องบนฟ้าเอง”
“นายท่าน...กระผมอยากให้ท่านอยู่รอดต่อไปนะขอรับ
เพื่อโลกใบนี้...จักรวาลแห่งนี้...และเพื่อมวลมนุษยชาติทุกคน”
“เมื่อก่อนเคยคิดว่าโฮมุนครุสอย่างฉันจะสามารถทำอะไรสักอย่างเพื่อใครคนหนึ่งได้รึเปล่า...ซึ่งตอนนี้ก็ได้คำตอบแล้ว
เพราะฉัน...ปกป้องคุณได้ยังไงล่ะ”
“มาสเตอร์...ก่อนจากลา
ข้าขอส่งต่อความเกลียดชังให้กับเจ้าเพื่อกำจัดศัตรูครั้งนี้
เพราะงั้นอย่าทำอะไรผิดพลาดซะล่ะ”
“ยูมิ...ช่วงเวลาที่ผ่านมา
ข้าอาจจะทำหน้าที่คนรักได้ไม่ค่อยเต็มที่เพราะยุ่งอยู่กับเรื่องงาน แต่ก็...ขอให้รู้ไว้ว่า...ข้ายังคงรักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง”
“ขอบคุณ...ที่คอยอยู่เคียงข้างกันจนถึงวินาทีสุดท้ายนี้
มาสเตอร์แห่งข้า...อิชิมารุ ยูมิ”
“ทุกคน...”
เมื่อเซอแวนท์ทุกคนกล่าวความรู้สึกของตนจนหมด
ออร่าสีเหลืองทองก็ลอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาต่างส่งรอยยิ้มให้กับมาสเตอร์สาวด้วยความอ่อนโยนแล้วค่อยเงยหน้ามองฟ้าเตรียมกลับบัลลังค์วีรชนตลอดกาล
“...”
บ้าจริง...ทั้งที่ควรได้อยู่เคียงข้างกันจนจบศึกแท้ๆ
แต่กลับยอมสละชีพแบบนี้...
ฉันสูญเสียคูจัง...คนรักคนสำคัญ...
สูญเสียมิตรภาพทั้งหมดที่เคยสร้างเอาไว้...
สูญเสีย...ทุกอย่างเลย...
นี่คือความในใจทั้งหมดที่เธอมีอยู่ ณ ตอนนี้
เดจาวูในร่างเกเทียกับมาชูอัลเตอร์มองมาสเตอร์แห่งคาลเดียผู้สูญสิ้นทุกอย่างตรงหน้าพร้อมฉีกยิ้มกว้างด้วยความสะใจ
รู้สึกถึงชัยชนะที่ตนกำลังจะคว้ามาได้
จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินลงจากบัลลังค์โซโลมอนอย่างช้าๆ
แล้วเรียกจอกศักดิ์สิทธิ์สีเหลืองใบหนึ่งออกมาถือไว้
ตึก...ตึก...ตึก
“น่าเสียดายจริงๆ เลยน้า...ยูมิ
แบบนี้เจ้าก็หมดกำลังใจสู้กับพวกข้าแล้วน่ะสิ”
“เขาเรียกว่า ผลกรรมตามสนอง
ยังไงล่ะคะ...ท่านเกเทีย”
“...”
หญิงสาวผมดำเริ่มนิ่งเงียบ ไม่ทำอย่างอื่นใดนอกจากนั่งคุกเข่าบนพื้นและก้มหน้าลงต่ำอย่างสิ้นหวังเพราะไม่มีใครอยู่เคียงข้างอีกต่อไป แม้น้ำตาจะยังไม่ไหลริน แต่เธอก็ยังรู้สึกเสียใจ เจ็บแค้น หมดหวัง ไร้ซึ่งกำลังกายและใจ
ในวินาทีนั้น เกเทียเดินเข้าหาจนหยุดมายืนอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมจับจอกศักดิ์สิทธิ์เทของเหลวสีดำให้ไหลลงอาบตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เอาล่ะ...ข้าขอเวลาห้านาทีในการตัดสินใจ...”
“...”
“...ว่าเจ้าจะยืนหยัดสู้คนเดียวหรือยอมเป็นพวกเดียวกับเดจาวูผู้นี้กันแน่”
[ To be continued ]
[ อนึ่ง...เนื้อเรื่องในโซโลมอนตอนนี้มีเพียงแค่ส่วนหนึ่งน้อยๆ เท่านั้นที่ไม่ได้อิงจากต้นฉบับนะจ๊ะ ]
ความคิดเห็น