คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : ตีสามนี้มีเรื่องเล่า
ตีสามนี้มีเรื่องเล่า
----------------------------------------------------
“เฮือก!!”
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายที่ตัวเองตกลงอาคารเรียนตาย
ความรู้สึกวูบที่หลังและกะบังลมยังคงฝังลึกอยู่
เสียงหอบอันรุนแรงดังมาพร้อมมือไม้สั่นด้วยความหวาดกลัว...กลัวว่าความตายจะมาเยือนก่อนถึงแก่กรรม
มันไม่สามารถเรียกให้ย้อนกลับเวลาเดิมได้ ซึ่งเปรียบเหมือนกาลเวลาที่ผ่านไปแล้วไม่มีทางหวนกลับมาอีก
ในฝันเมื่อครู่...ฉันแอบเห็นน้ำตาของอราชที่ไหลลงอาบแก้มก่อนตาย
เขาดูเสียใจยิ่งกว่าคนอื่น
อาจจะเพราะตอนนั้นพวกเราสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่มัธยมต้นก็ได้
ระหว่างนั้นเองผ้าห่มก็ค่อยๆ
เลิกออกจากขาและมีคนโอบไหล่ขวาไว้ พอลองหันมองก็พบกับคูจังที่ตื่นขึ้นมาดูอาการ
แม้ว่าห้องจะดูมืดแต่กลับมองเห็นสีหน้าอันเต็มไปด้วยความวิตกกังวลของเขาได้
“ยูมิ...เมื่อกี้ฝันร้ายงั้นเหรอ
สีหน้าของเจ้าดูไม่ค่อยดีเลย”
“เอ่อ...คือฉัน...โดนคนในห้องกลั่นแกล้ง...ล็อกห้องเรียนขังไว้...เอากระเป๋านักเรียนไปแขวนบนต้นซากุระ...แย่ที่สุดก็มีคนผลักให้ตกลงจากอาคารเรียน...ตาย...”
ตอนที่เล่าเหตุการณ์ในฝันร้าย
น้ำเสียงของฉันสั่นระริก
มือทั้งสองจับหัวตัวเองราวกับกำลังอยู่ในสภาวะใกล้เข้าขั้นโคม่า
มันน่ากลัวยิ่งกว่าหนังสยองขวัญที่เคยดูในอินเตอร์เน็ตซะอีก ต่อมาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนใต้ดวงตา
ของเหลวใสค่อยๆ เอ่อไหลลงโดยไม่รู้ตัว
คูจังยกมืออีกข้างที่ว่างอยู่นั้นขึ้นมาปาดน้ำตาออกอย่างอ่อนโยนพร้อมดึงร่างเข้ากอดไว้หลวมๆ
เขาลูบหัวปลอบประโลมแล้วเกลี้ยกล่อมให้กลับมารู้สึกดีขึ้น
ถึงจะดูไม่ค่อยเก่งด้านนี้ แต่เขาก็พยายามเต็มที่เพื่อฉันคนเดียว
“ไม่ต้องกลัว...ยูมิ ก็แค่ฝันร้ายเท่านั้นเอง
ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้ตายง่ายๆ หรอก
นั่นเพราะข้าเป็นเซอแวนท์...เป็นหอกที่พร้อมปกป้องเจ้าตลอดทั้งชีวิตยังไงล่ะ”
“อื้ม...”
ฉันค่อยๆ กอดร่างของเขาและฝังใบหน้าบนไหล่ซ้าย
อีกฝ่ายยังคงลูบหัวต่อพร้อมกับหางที่ขยับมาโอบหลังเอาไว้
พวกเราอยู่ในสภาพนี้นานถึงห้านาทีจนกระทั่งอาการเริ่มดีขึ้น
ความหวาดกลัวถูกปัดเป่าออกด้วยความอบอุ่นของเขา
เมื่อควานหาสมาร์ทโฟนมาเปิดหน้าจอดู มันเพิ่งจะตีสองครึ่ง
แต่กลับรู้สึกแปลกที่ไม่ง่วงนอนต่อเลย
“หาเดินเล่นกันสักหน่อยดีมั้ย...เผื่ออาการของเจ้าจะได้ดีขึ้นกว่าเดิม”
คูจังลุกขึ้นออกจากเตียงแล้วอุ้มร่างฉันขึ้นก่อนที่จะปล่อยให้ยืนบนพื้นห้อง
เขาจับมือไว้พร้อมพาเดินออกจากมายรูม
บรรยากาศภายนอกค่อนข้างมืดแต่ยังคงมีแสงจันทร์สาดส่องให้พอเห็นทางเดินรอบคาลเดีย
คือมันจะดูโรแมนติกมากกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะฝันร้ายนั่น
แต่เอาเถอะ...อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงสักหน่อย
คิดมากไปคงไร้ประโยชน์เนาะ
พวกเราเดินด้วยกันจนถึงห้องครัวที่ตอนนี้มีเอมิยะกำลังยืนทำอะไรบางอย่างตรงโต๊ะทำครัว
พอลองเข้าดูใกล้ๆ พบว่าเขาจัดการกับเหล่าอุปกรณ์ครัวรวมถึงตรวจเช็คเสบียงในตู้เย็น
คูจังพานั่งลงบนเก้าอี้รอแล้วลูบหัวฉันไปพลางๆ ต่อมาพลธนูแดงก็หันกลับมาเจอพอดี
“อ้าว...ยูมิ นอนไม่หลับงั้นเหรอ” เขานั่งลงบนเก้าอี้ด้านตรงข้ามแล้วยกมือเท้าคางคุย “หรือว่าเจอฝันร้ายอะไรมารึเปล่า...”
“...” ฉันเงียบปาก ไม่ตอบความจริงออกไปนอกจากส่ายหน้าปฏิเสธเพื่อไม่ให้เขาต้องกังวลอีกคน
“หืมม...? งั้นเดี๋ยวข้าจะชงนมสดอุ่นๆ
ให้สักแก้วละกัน รอแป๊บนะ”
ว่าจบเอมิยะก็ลุกขึ้นกลับไปยังโต๊ะทำครัวแล้วเริ่มทำการชงนมสดให้
ซึ่งทางคูจังได้ขอให้ชงเพิ่มด้วย
มีเหรอที่คุณแม่แห่งคาลเดียจะยอมปฏิเสธคำขอของลูกๆ เขาพยักหน้าตกลงและชงอีกแก้ว
พวกเรานั่งรอหลายวินาทีจนกระทั่งมีเซอแวนท์คลาสแลนเซอร์ในชุดรัดรูปสีน้ำเงินอันน่าคุ้นเคยกำลังเดินผ่าน
มันจะเป็นใครได้นอกจากคูฮูลินน์แลนเซอร์
ซึ่งมีเหล่าเซอแวนท์คนอื่นอยู่ด้านหลังอย่างคูโปรโตไทป์ คูแคสเตอร์ เมเดีย แจ๊ค
ไรม์ อบิเกล และมุทสึโนะคามิ พวกเขาพากันหอบข้าวของอะไรบางอย่างในถุงพลาสติก
ดูท่าทางจะรีบมุ่งไปยังที่ไหนสักแห่ง
ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนกันอีกเหรอเนี่ย...แปลกพิลึก
“ขอโทษที่ให้รอนะ...ทั้งสองคน”
ในจังหวะที่กำลังจดจ่อกับกลุ่มเซอแวนท์เมื่อครู่
พลธนูแดงก็เดินกลับมาพร้อมแก้วสีขาวลายสัญลักษณ์คาลเดียสองแก้วที่ถูกวางไว้ตรงหน้า
ฉันยื่นมือจับแก้ว ยกขึ้นเป่าให้พอหายร้อนบ้างแล้วจิบทีละนิด
ความอบอุ่นจากนมสดตอนนี้เริ่มไหลเวียนทั่วร่าง
เหมือนมันกำลังแปรสภาพให้เป็นพลังเวทเติมเต็มส่วนที่ขาดหายจากการเข้าร่วมอีเว้นท์
เมื่อมองไปยังคูจังที่กระดกหมดภายในยกเดียวแล้วถึงกับต้องตกใจเกือบสำลักนม
ใจจริงก็อยากจะถามตรงๆ ว่า ‘เอางี้จริงดิ’ อยู่หรอก
แต่ก็ส่ายหน้าตัวเองเพื่อสะบัดความคิดนั้นออกและจิบต่อไปจนหมดภายในหนึ่งนาที
ต่อมาจึงได้ลุกขึ้นเก็บแก้วทั้งสองใบให้เอมิยะ
“ขอบคุณสำหรับนมสดอุ่นๆ ครั้งนี้นะ เอมิยะ”
“อา ถ้าเพื่อเจ้าล่ะก็...ข้าพร้อมทำให้ทุกอย่างอยู่แล้ว” เขายกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ แล้วยิ้มให้เหมือนเคย “อ้อ...และก็ฝากตามไปส่องพวกแลนเซอร์ทีนะ
ท่าทางพวกนั้นกำลังเตรียมการอะไรบางอย่างอยู่”
“อื้ม...ไปกันเถอะ คูจัง”
ว่าจบฉันกับคูจังก็พากันมุ่งหน้าตามเส้นทางที่กลุ่มคูแลนเซอร์เพิ่งเดินเมื่อครู่
พวกเราสองคนยังคงจับมือไม่ปล่อยให้หลุดจากกัน
โดยเฉพาะเบอเซิกเกอร์หนุ่มที่บีบไว้ค่อนข้างแน่น แสงจันทร์สาดส่องช่วยนำทางเรื่อยๆ
จนกระทั่งได้เดินถึงหน้าห้องอัญเชิญเซอแวนท์ พอลองเงี่ยหูฟังดูแล้วทำให้รู้ว่า
มีกลุ่มคนพูดงึมงำอย่างกับบทสวดมนต์ มือที่ยังว่างของฉันค่อยๆ
ยื่นตรงไปเปิดประตูก่อนที่จะได้กลิ่นอายจากมนต์ขลังตรงหน้า
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
แสงของวงอัญเชิญถูกเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีม่วงดำ
อุปกรณ์ทำพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา ผลไม้ และเศษเสื้อผ้าเก่าๆ ถูกวางไว้กึ่งกลาง
สายสิญจน์ผูกห้อยระโยงระยางอยู่ข้างบน
ซึ่งมีคนนั่งรอบวงกลมอย่างคูฮูลินน์ทั้งสามกับมุทสึโนะคามิ
พวกเขาที่อยู่ในใส่ชุดสีขาวนั่งพนมมือสวดมนต์อะไรบางอย่าง
ลูกไฟในเตาดินเผาใบเล็กเริ่มท่วมขึ้นเรื่อยๆ ฉันมองแล้วเริ่มรู้สึกแปลกๆ
เหมือนเคยเห็นจากไหนมาก่อน
ในช่วงที่คูจังกำลังจะได้เตรียมพาฉันออกจากที่นี่
แก๊งค์หมาทั้งสี่ก็หยุดสวดพร้อมหันหน้ามาจ้องมองพวกเราพอดี
“อ่ะ...!?”
“ไปนอนกันเถอะ...ยูมิ อย่าไปเสวนากับพวกนี้นักเลย”
“อ้าวเฮ้ย! ไอ้บ้าอัลเตอร์! ไม่ตบมุกให้พวกข้าไม่พอ ยังริอาจมาทำลายพิธีกรรมสวดมนต์กฤษณะกาลีอีก!” คูแคสเตอร์โวยใส่แล้วบอกให้คนที่เหลือช่วยกันเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดให้เข้าที่เข้าทาง
เดี๋ยวนะ...มนต์กฤษณะกาลีนี่มันมาจากละครไทยที่สาปแช่งแม่หญิงการะเกดไม่ใช่เรอะ!!
“พวกนายจะสวดมนต์สาปแช่งใครไม่ทราบวะคะ! อีกอย่างตอนนี้มันจะตีสามแล้ว ทำไมไม่ยอมนอนกันสักที ห๊ะ!?” ฉันเดินเข้าไปดุฉอดๆๆ เหมือนตัวเองกำลังเปลี่ยนโหมดเป็นแม่คนโดยไม่รู้ตัว
“อ้าว...อันนี้ไม่ใช่มนต์ไว้ทำคุณไสย์ให้คนเขารักกันเหนียวหนึบหรอกเหรอ
นายท่าน ท่าทางข้าจะศึกษามาผิดจริงๆ” มุทสึโนะคามิที่ไม่เคยรู้เรื่องพวกคุณไสย์เกาหัวตัวเองด้วยความงุนงงและสับสนกับความจำของตัวเอง
ให้ตายเถอะ...ตกลงพวกเขามาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่เนี่ย
“งั้นช่างมันเถอะ นั่งล้อมวงกินเหล้า...เอ๊ย
เล่าเรื่องก่อนนอนแทนละกัน”
หลังจากพวกเขาเก็บอุปกรณ์เหล่านั้นครบหมด
คูแลนเซอร์ก็เริ่มเปลี่ยนประเด็นใหม่พร้อมหยิบเทียน ไฟแช็ก และจานใบเล็กๆ
มาเพื่อจุดไฟวางกลางวง ส่วนคนที่เหลือพากันนั่งล้อมวงไม่เว้นแม้กระทั่งเมเดียกับเด็กๆ
สามคน
“ไหนๆ พวกเจ้าก็ยังไม่นอนกันแล้ว
มานั่งร่วมวงกับพวกข้าด้วยสิ”
คูโปรโตไทป์หันมาเชิญชวนพร้อมรอยยิ้มกว้าง
ฉันมองด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์บวกเหนื่อยใจเล็กน้อยก่อนที่จะหันขึ้นมองคูจัง
เขายกมือลูบหัวเบาๆ แล้วแอบส่งโทรจิตถามความสมัครใจ
แต่พอลองคิดดูอีกที
ช่วงที่อีเว้นท์เข้าหรือพวกภารกิจฟาร์ม QP ก็ไม่เคยมีเวลาพูดคุยและพักผ่อนร่วมกับพวกเขาเลยแฮะ
คือเหนื่อยจัดจนต้องรีบนอนฟื้นฟูพลังเวทในมายรูมให้ไวที่สุดอ่ะ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉันก็พยักหน้าตอบรับ
ทางคูจังรับทราบพร้อมจูงมือเข้าไปร่วมวงกับเซอแวนท์ทั้งแปดคน แต่พอเอาจริงๆ
มันก็ไม่ได้นั่งล้อมรอบซะทีเดียว
เพราะเขาดันแหกกฎจับให้ฉันนั่งตักแล้วโอบกอดจากด้านหลังเฉย
“นี่...ข้าเข้าใจอยู่หรอกว่าเจ้ารักมาสเตอร์ขนาดไหน
แต่ไม่ต้องนั่งใกล้ชิดขนาดนั้นก็ได้ย่ะ”
“คนเขารักกัน นั่งด้วยกันแบบนี้มันผิดตรงไหนล่ะ” คูจังหันไปตอบเมเดียที่นั่งพับเพียบถามอยู่ตรงข้ามพวกเรา เขากอดไว้แน่น
เอียงคอมองด้วยสีหน้านิ่งๆ แอบตอบกวนๆ
นิดหน่อยจนแทบไม่เหลือความเป็นอัลเตอร์ในตัวแล้ว
“อุแหวะ!!! หมั่นไส้คนมีแฟนจังโว้ยยย!!!”
“รีแอคติ้งของพวกคุณมันชัดเจนเว่อร์วังเกินไปแล้วเฮ้ย!!” ฉันถึงกับต้องรีบโวยแก้เขินให้พวกเซอแวนท์คนโตทันทีทันใด
แต่ก็มีคำพูดของเด็กๆ สามคนมาช่วยประโลมหัวใจภายหลัง
“ไม่ผิดหรอกค่ะ
คนสองคนรักซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่วิเศษสุดๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอคะ”
< ไรม์
“คุณมาสเตอร์ที่มีแฟนเป็นอัลเตอร์นิกินี่เหมือนฟ้าลิขิตให้เลยล่ะ”
< อบิเกล
“หนูขอให้คุณพ่อกับคุณแม่รักกันนานๆ นะ”
< แจ๊ค
“ขอบคุณมากจ้าที่ช่วย...”
ห๊ะ? รู้สึกจะมีคำพูดของใครบางคนที่ผิดแปลกไป...เอ้า! เขินสิคะรออะไร!
“เดี๋ยวๆๆ หนูแจ๊คคะ พวกเรายังไม่แต่งงานกันเลย ระ...เรียกคูจังว่าคุณพ่อไม่ได้นะ”
“เอ๋...ก็คราวก่อนที่พักแรมในเมืองไทย
ได้ข่าวว่าคุณพ่อกับคุณแม่ทำลูกด้วยกันในห้องนี่คะ”
กรี๊ดดดดด!!! ใครมันเอาเรื่องแลกพลังเวทหลังเที่ยววันสงกรานต์ไปเล่าให้แจ๊คฟังผิดๆ
กันฟะเนี่ยยย!!!
“มะ...ไม่ใช่นะ
กะ...ก็แค่ช่วยแลกพลังเวทหลังเที่ยวทะเลเฉยๆ เท่านั้นเอง” ฉันรีบแก้ตัวด้วยน้ำเสียงกระตุกกระตัก
ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวเมื่อได้ยินคำว่า ‘ทำลูก’
วิธีทำเหมือนกันก็จริง แต่มันไม่ใช่แบบนั้นง่ะ!
“แต่อีกหน่อยพวกเราก็ต้องมีลูกด้วยกันไม่ใช่เหรอ...ยูมิ” คูจังก้มหน้าลงเป่าลมหายใจรดใบหูและกระซิบเบาๆ
พร้อมฝังใบหน้าบนไหล่ขวาเอาไว้โดยมีแอบเนียนงับเล่นอยู่ด้วย
“เฮ้ยๆ
พวกเราไม่ได้มาล้อมวงกันที่นี่เพื่อดูพวกเจ้านั่งสวีทแบบนั้นนะเฟ้ย! ใครก็ได้ช่วยเปิดประเด็นทีซิ”
เอ่อคือ...ตูไม่ได้ตั้งใจจะนั่งสวีทตั้งแต่แรกป่ะ
แลนเซอร์! เดี๋ยวปั๊ดสั่งเรย์จูฆ่าตัวตายอีกรอบซะนี่!
วิ้งง~
“อ่ะ...”
ในระหว่างที่ฉันแอบโวยในใจ แสงสีแดงบนมือขวาก็ค่อยๆ
ปรากฏขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจพร้อมกิริยาท่าทางที่เปลี่ยนไปของคูแลนเซอร์
เขาลุกขึ้นยืนตรง เรียกหอกเกโบล์กออกมาจับไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง
ร่างกายพยายามจะฝืนแต่ทำไม่ได้เพราะอำนาจของเรย์จูมันอยู่เหนือการควบคุม
เขาได้เริ่มจับอาวุธของตัวเองแทงเข้าไปในหัวใจจนกระอักเลือดออกจากปากก่อนที่จะล้มลงไปนอนกับพื้นห้องเป็นที่เรียบร้อย
“แลนเซอร์...ตายซะแล้วอ่า” < ฉันและเด็กๆ สามคน
“เจ้ามันไม่ใช่คนแล้ว!!!” < เหล่าเซอแวนท์คนโต
มุกเก่าเล่าใหม่...นี่แหละเรื่องเล่าของฉัน
(ใช่เรอะ!!)
คูแคสเตอร์รีบลากคูแลนเซอร์ออกจากวงอัญเชิญเตรียมใช้รูนเพื่อรักษาบาดแผลจากหอกเกโบล์ก
เซอแวนท์ที่เหลือปล่อยให้ทางนั้นจัดการเองพร้อมหันกลับมาที่เดิม
และผู้มีจิตอาสาขอเปิดพิธีในห้องอัญเชิญครั้งนี้คือ คูโปรโตไทป์
“งั้นเดี๋ยวข้าจะเป็นคนเปิดเรื่องให้เอง เอาเป็น...” เขายกมืออาสาแล้วจับคางทำท่าครุ่นคิดเรื่องที่ต้องการจะเล่า “คุณฮานาโกะดีมั้ย เด็กๆ ฟังได้ผู้ใหญ่ฟังดี”
“คุณฮานาโกะ...คนที่เป็นเด็กน้อยผมสั้นนี่เอง
อยากฟังจังเลยค่ะ โปรโตนิกิ” ไรม์ดูตื่นเต้นกว่าชาวบ้านเพราะเธอยังเป็นเด็กและชอบเล่าหรือฟังเรื่องราวต่างๆ
เป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว เด็กอีกสองคนพยักหน้าเชิงบอกว่า หนูเองก็อยากฟังเหมือนกัน
“ตามนั้น...แต่ข้าขอไม่รับประกันนะว่าจะน่ากลัวอย่างที่บางคนคิดรึเปล่า” พลหอกน้ำเงินโปรโตไทป์ยิ้มให้ก่อนที่จะเข้าโหมดผู้เล่าเรื่อง ‘ฮานาโกะ’ อย่างแท้จริง
“ฮานาโกะเป็นเด็กน้อยผมสีดำทรงกะลาครอบใส่ชุดกระโปรงเอี๊ยมสีแดง ว่ากันว่าก่อนที่น้องเค้าจะตายเนี่ย...ดันโชคร้ายติดอยู่ในห้องน้ำและออกไปไม่ได้ บ้างก็ว่าตายเพราะขาดอากาศหายใจ หรือเพราะโรงเรียนอยู่ในเขตที่มีการทิ้งระเบิดช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี เลยต้องโดนเผาตายในนั้น”
รู้สึกเรื่องนี้จะคุ้นๆ
แฮะ...แต่ก็ขอลองฟังต่อเพื่อความแน่ใจละกัน
“เอ๋...น่าสงสารจัง
แล้วเธอคนนั้นได้ไปผุดไปเกิดรึเปล่าคะ” อบิเกลกอดตุ๊กตากระต่ายแนบอกไว้แน่นแล้วถามคนเล่าเรื่องฮานาโกะ
คำตอบที่ได้คือการส่ายหน้าแทนการบอกว่า ไม่เลย
“น้องเค้ายังสิงสถิตในห้องน้ำห้องสุดท้ายเพื่อหาตัวตายตัวแทนต่อจากเธอ”
อ๋อ...นึกออกละ
คือฮานาโกะถือเป็นตำนานผีเด็กที่น่ากลัวโคตรๆ สำหรับวัยเรียนเลย
บางคนท้าทายจนตัวตาย บางคนรอดพ้นมาได้เพราะหลังจากเรียกผีตนนั้นแล้วรีบวิ่งหนีออกไปโดยเร็วที่สุด
“แย่เลย...หนูอยากลองไปหาแล้วพูดคุยด้วยจัง
เผื่อจะได้รู้ว่าตายเพราะอะไรกันแน่” แจ๊คเริ่มท้าทายโดยไม่รู้ตัวเลยว่าถ้าเรียกออกจากห้องน้ำแล้วจะเจอของดี แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยอมอธิบายวิธีทำให้เห็นเด็กน้อยคนนั้นให้กับทุกคนในบริเวณนี้แทนคูโปรโตไทป์
“อืมม...เห็นมีคนบอกวิธีเรียกอยู่นะ
คือเราต้องไปหาที่ห้องน้ำห้องสุดท้ายในช่วง 5 โมงเย็นเป็นต้นไป และก็เคาะประตู 3
ครั้งพร้อมถามว่า ‘ฮานาโกะอยู่มั้ย’ หรือชวนว่า ‘ออกมาเล่นด้วยกันเถอะ...ฮานาโกะ’ ถ้าได้ยินเสียงตอบรับว่า ‘อยู่ค่า’ หรือ ‘อื้ม’ แปลว่าเธออยู่ในนั้น”
“เห...ท่าทางคุณหนูจะเคยรู้เรื่องนี้มาก่อนแฮะ
หรือว่า...เคยลองของตอนสมัยเรียนมาแล้ว?”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก
แต่ถึงอย่างนั้นฉันขอไม่รับประกันเรื่องความเป็นความตายนะ คือมันมีข่าวลือมาว่า
มีเด็กนักเรียนส่วนหนึ่งได้ใช้วิธีนี้เพื่อท้าทายเรียกฮานาโกะและเปิดประตูเข้าไปหา
แต่โดนดึงลงในชักโครกและไม่กลับมาอีกเลย...”
“เอ๋!!?” หลังจากเด็กๆ
สามคนได้ฟังเรื่องเมื่อครู่จบ ก็หน้าซีดกันเป็นแถวแล้วพากันจับมือ
พยายามข่มความหวาดกลัวของตัวเองไว้ เมเดียลุกลี้ลุกลนลูบหัวปลอบประโลมทีละคน
“เอาจริงๆ ข้าเองก็อยากเห็นเหมือนกันนะ
น้องเค้าคงจะน่ารักไม่เบาเลย ไว้จบจากนี้ค่อยไปลองสักหน่อยดีกว่า” คูแลนเซอร์ผู้ซึ่งเพิ่งฟื้นคืนชีพกลับเข้ามาร่วมวงแล้วยิ้มกว้างอย่างระรื่น
เรื่องผู้หญิงนี่แม้แต่ผีนายก็ไม่เว้นสินะ...
“งั้นข้าขอเล่าเรื่อง ‘บันได
13 ขั้น’ ละกันน้อ
คือในโรงเรียนประถมญี่ปุ่นเนี่ย...ส่วนใหญ่จะมีสภาพค่อนข้างเก่า ทางเดินแคบๆ
บรรยากาศภายในดูวังเวง แล้วมันก็ได้มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับบันไดที่เชื่อมต่อกับมิติอื่นอยู่ด้วย
ว่ากันว่า...หากเดินบันไดชั้นสามขึ้นชั้นสี่ตอนกลางคืน
อาจทำให้หลงเข้ามิติอื่นและไม่มีทางกลับมาอีกเลย...”
มุทสึโนะคามิเริ่มเล่าเรื่องบันไดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเหมือนกำลังอยู่ในช่วงล่าท้าผี
ยิ่งบวกกับบรรยากาศรอบตัวที่มืดมิดและมีเทียนเล่มเดียวจุดกลางวงด้วย
มันยิ่งรู้สึกขนลุกแปลกๆ เข้าไปอีก
“เดิมทีบันไดโรงเรียนประถมควรมี 12 ขั้น พอถึงยามค่ำคืน
มันจะเพิ่มขั้นที่ 13 มาเองอย่างลึกลับ
ช่วงอดีตกาลมาแล้ว...เด็กนักเรียนคนหนึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดดังกล่าวเพื่อตามหาเพื่อนรักของตน
ท่ามกลางความมืดมิดมีเพียงไฟฉายและเสียงรองเท้านักเรียนที่กระทบกับทางเท้าดัง
ตึก...ตึก...ตึก...”
น้ำเสียงการเล่าเรื่องของดาบหนุ่มเริ่มทุ้มลงเรื่อยๆ
ทำให้หลายคนยกเว้นคูจังต้องกลืนน้ำลายตัวเองหนึ่งอึก
ใจของฉันก็เต้นตึกตักอย่างลุ้นระทึกและมีสมาธิตั้งใจฟังอย่างมาก
“ทันใดนั้นเอง!!!”
“เฮ้ย! ตกใจหมด
ตอนแรกเล่าเบ๊าเบา แล้วจู่ๆ เมื่อกี้พูดเสียงดังออกมาเฉย ขนลุกชิบเป๋งเลยเนี่ยย” คูแคสเตอร์ลูบแขนตัวเองรัวๆ
ให้คนรอบข้างรู้ว่าขนลุกจริงทั้งที่ชุดของตัวเองก็กำลังปกปิดไว้อยู่
ส่วนอีนี่เหรอ...หัวใจแทบจะวายเลยสิ
อุตส่าห์จดจ่อกับการฟังเต็มที่ พอได้ยินเสียงพูดหรือเสียงอะไรดังๆ
กระแทกปุ๊บสมาธิแตกค่ะ
“ทันใดนั้นเอง...เด็กคนนั้นก็เผลอเหยียบบันไดขั้นที่ 13
แล้วกลิ้งตกลงมาคอหักตาย...เพราะบันไดแห่งนั้นมีการเพิ่มขั้นมาเอง
นั่นทำให้ต้องมากลายเป็นวิญญาณร้าย...” เขาหยุดเล่ากะทันหันพร้อมขยับตัวเข้าใกล้ไรม์
ยื่นมือจับข้อเท้าและจ้องมองดวงตาของเธอ “คอยจับเหยื่อที่เป็นเด็ก
หากเหยียบพลาดเมื่อไหร่ล่ะก็...เหยื่อจะถูกดึงเข้าสู่โลกแห่งความตาย...ทัน...ที”
อุหวา...งั้นถ้าฉันเดินขึ้นบันไดนั่นคงไม่เป็นไรใช่ม้า
เพราะเติบโตพ้นวัยประถมแล้ว (ไรท์ : แถมหน้าแก่อีกใช่ม้า...//โดนถีบ)
“นะ...น่ากลัว...หนูไม่กล้าเข้าโรงเรียนประถมเลยอ่า...หนูกลัวแล้ว” ไรม์เริ่มตัวสั่นระริกด้วยความกลัว
ทำให้เมเดียเริ่มดุและโบกกะโหลกมุทสึโนะคามิหนึ่งทีหนักๆ
แล้วพยายามลูบหัวปลอบใจเด็กน้อย
อีกฝ่ายถึงกับต้องนั่งท่าเทพบุตรก้มลงกราบขอโทษสามรอบในแบบเบญจางคประดิษฐ์งามๆ
“งั้นตาข้าบ้าง...เอาเรื่อง ‘คุณแม่’ ละกัน
ขอเตือนก่อนว่ามันไม่ใช่เรื่องสดใส ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับคุณหนูยูมิ
แต่ก็ค่อนข้างรุนแรงพอควรเลย” คูแลนเซอร์ยกมืออาสาต่อคิวจากมุทสึโนะคามิ
หันไปเตือนแจ๊คล่วงหน้าพร้อมเล่าเรื่องใหม่ที่ฉัน ‘ไม่คุ้นเคย’
“ในบ้านหลังหนึ่งมีพ่อแม่และลูกสาวอยู่ด้วยกันครบ
ทุกคนต่างมีชีวิตที่แสนจะสุขมาตลอด
แต่...อยู่มาวันหนึ่ง...คุณแม่เริ่มมีนิสัยเปลี่ยนไปเพราะคุณพ่อเมาเหล้าเมายา
คั่วผู้หญิงทั่วผับ แถมทะเลาะกันอีก สุดท้ายพวกเขาสองคนก็แยกทางกัน เธอมีจิตใจโหดเหี้ยมขึ้น ชอบทรมานแล้วกักขังลูกสาวไว้ในกรง ทุกๆ
คืน...เธอจะจับตัวลูกสาวมานั่งดูฉากสยองขวัญจากชีวิตจริงในห้องใต้ดิน...โดยคืนล่าสุดถือเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุด...”
“ย่ำแย่...ที่สุด?” ทั้งฉันและเด็กๆ
สามคนต่างมีรีแอคติ้งคล้ายกัน
พวกเรารีบกลืนน้ำลายกันหนึ่งอึกแล้วเตรียมฟังเรื่องเล่าชวนสยองขวัญของจริง
“ใช่...ช่วงเวลานั้นก็คือ
ลูกสาวกำลังเดินเข้าบ้านหลังเลิกเรียนตามปกติ
แต่กลับพบสิ่งที่ผิดปกติตรงหน้า...ร่างของคุณแม่ยืนหันหลังให้ ที่สำคัญ...คอของเธอเริ่มบิดกลับมามองอย่างช้าๆ
เสียงกระดูกหักดัง กร๊อบ...กร๊อบ...กร๊อบ มันหักทีละนิดจนสามารถหันหน้ากลับด้านเป็น
180 องศาได้ง่ายๆ เลย...”
น้ำเสียงการเล่าเรื่องของคูแลนเซอร์ทุ้มต่ำมาก
โดยเฉพาะเสียงกระดูกหักนี่ยิ่งเน้นเข้าไปใหญ่ ทำให้ภาพเหตุการณ์นั้นๆ
ผุดขึ้นในหัวอย่างชัดเจน พอนึกตามปุ๊บก็รู้สึกเสียวบริเวณต้นคอตัวเอง กลัวว่ามันจะบิดตามด้วย
ฉันเริ่มระแวงจนทำให้ต้องเผลอกรีดร้องเมื่อมีคนแอบจับบีบต้นคอเบาๆ จากข้างหลัง
“กรี๊ดดดด!!!”
“โอ๊ะ!? ใช่เลย คุณหนู! กรีดร้องแบบนั้นเลยแหละ ขอบคุณที่ช่วยพากย์เสียงให้นะ” คูแลนเซอร์ยิ้มกว้างให้เกี่ยวกับเรื่องรีแอคติ้ง(ที่ไม่ได้ตั้งใจพากย์)เมื่อกี้แล้วดำเนินเล่าเรื่องนี้ต่อ
ประเด็นคือ...คนอื่นเขาก็พากันตกใจเพราะฉันคนเดียวด้วยนี่แหละ!
“จากนั้น...เด็กสาวเริ่มเข้าขั้นกลัวคุณแม่ของตัวเองและไม่กล้ามองใบหน้าอันเต็มไปด้วยบาดแผลอาบเลือดสีแดงสดนั่น
เธอบอกตัวเองในใจว่า ‘ต้องรีบหนีออกจากที่นี่ซะแล้วสิ!’ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้จับลูกบิดประตูบ้าน
คุณแม่ก็กระโจนตามหลังพร้อมกอดเอาไว้แนบแน่น
ใบหน้าของเธอยื่นเข้าไปพูดกระซิบข้างหูว่า...”
“จับตัวเธอได้แล้วนะ...”
ฉันที่ตั้งใจฟังอย่างมีสมาธิเผลอสะดุ้งและกรีดร้องหนักยิ่งกว่าเก่า
ตกใจจนแทบกระโดดออกจากอ้อมกอด เพราะคูจังดันสวมบทคุณแม่ตามเรื่องเล่าโดยการโอบเอวแน่นด้วยมือข้างหนึ่ง
อีกข้างยกมือจับคางลูบลงตามคอแล้วกระซิบประโยคเมื่อครู่ด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ
อย่างกับคนโรคจิต
เซอแวนท์คนอื่นคงจะแอบกลัวอยู่บ้าง
แต่ฉันนี่เหมือนกำลังเข้าอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ หัวใจเต้นรัว ขนลุกเต็มแขนขาไปหมดเลยเนี่ย
“เฮ้ยเดี๋ยว...นี่เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกันเหรอวะ
อัลเตอร์” เจ้าของเรื่องถึงกับต้องจ้องมองด้วยความสงสัยทันที
“เปล่านี่...ข้าก็แค่ลองเดาแล้วค่อยจำลองสถานการณ์ให้ดูเฉยๆ
เท่านั้นเอง”
อ้าว...งั้นแปลว่าตอนบีบต้นคอนั่นก็เป็นฝีมือของคูจังด้วยน่ะสิ
มันน่ากลัวยิ่งกว่าเข้าบ้านผีสิงตามสวนสนุกหรือเล่นเกมผีในเครื่อง VRX ซะอีก...!
“อ่อ...อะแฮ่ม!
ต่อจากนั้นคุณแม่เริ่มจับหมุนคอลูกสาวตัวเอง เสียงกระดูกหักดัง...กร๊อบ! ลั่นห้องนั่งเล่น คอของทั้งสองแม่ลูกต่างบิดเบี้ยว ใบหน้าหันกลับด้านหลัง
สุดท้ายพวกเธอเสียเลือดจำนวนมากจนล้มลงพื้น ต่อมาจึงค่อยๆ สิ้นใจตายไปด้วยกัน...”
สิ้นเสียงการเล่าเรื่อง ‘คุณแม่’ ของคูแลนเซอร์แล้ว แจ๊ค ไรม์
และอบิเกลต่างพากันแสดงสีหน้าที่ซีดหนักกว่าเรื่องก่อนแล้วหันหน้าขวับมาจ้องมองด้วยความหวาดกลัว
อย่าบอกนะว่า...จะเริ่มระแวงในพฤติกรรมของฉัน?
“ยะ...อย่ามองด้วยสีหน้าแบบนั้นสิจ๊ะ
แม่ไม่มีทางทำเรื่องโหดร้ายกับหนูๆ หรอก โอเคเนาะ”
ฉันแอบขออนุญาตลุกออกจากตักคูจังแล้วเดินเข้าไปเกลี้ยกล่อมให้เด็กสามคน
ทั้งพูดปลอบ กอดไว้ในอ้อมอกและลูบหัวอย่างเบามือ
นานจนในระหว่างนั้นแคสเตอร์สาวเขกหัวพลหอกน้ำเงินหนักๆ พร้อมเตือนว่าวันหลังเอานิทานมาเล่าบ้าง
เขารีบตอบตกลงโดยการลงท้ายด้วยคำว่า ‘ครับ’ แถมยังพูดว่า ‘ขอโทษที่ทำให้กลัวนะครับ’ ทำให้ภาพลักษณ์ดูเป็นน้องหมาแสนน่ารักตัวหนึ่งเลยทีเดียว
“นิทานเหรอ...อืมม...งั้นเพื่อไม่ให้พวกเจ้าต้องอดหลับอดนอนไปมากกว่านี้
ข้าจะเล่าเรื่องเป็นคนสุดท้ายละกัน” คูแคสเตอร์อาสาขอเล่านิทานให้เด็กๆ
ฟังเกี่ยวกับเรื่อง ‘พ่อกับลูกสาว’ ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่ฉันไม่คุ้นเคยมาก่อน
เซอแวนท์หลายคนเองก็เอียงคอสงสัยด้วยเช่นกัน
“ชื่อเรื่องดูธรรมดาพอๆ กับของเจ้าแลนเซอร์เลย
คงไม่ได้น่ากลัวเหมือนกันใช่มั้ยเนี่ย...ข้าไม่อยากให้เด็กๆ นอนฝันร้ายทีหลังน่ะ”
เขายิ้มและส่ายหน้าปฏิเสธให้เมเดียรู้สึกสบายใจขึ้น
จากนั้นก็เตรียมเล่าเรื่องดังกล่าวอย่างสั้นๆ
“นานมาแล้ว มีคุณพ่อหนึ่งคนพร้อมลูกสาวสองคน
ลูกคนแรกแต่งงานกับคนทำสวน ลูกอีกคนแต่งงานกับคนทำอิฐ
ซึ่งทางคุณพ่อต้องการไปเยี่ยมเพื่อถามความปรารถนาในชีวิตหลังแต่งงานของพวกเธอ
ลูกคนแรกตอบว่า ‘อยากให้ฝนตกทุกวัน
ต้นไม้จะได้งอกเงยสวยงาม’ ส่วนอีกคนตอบว่า ‘อยากให้แดดออกทุกวัน อิฐจะได้แห้งแล้วนำไปขาย’ คุณพ่ออวยพรให้พวกเธอสมประสงค์ดังที่ปรารถนา
แต่หลังจากเขากลับถึงบ้าน ก็เริ่มคิดในใจซะแล้วว่าจะทำยังไงให้ลูกสาวสมความปรารถนากันทั้งสองคน...”
พอได้ฟังนิทานดังกล่าวจบ
คูแคสเตอร์ก็ตัดจบกะทันหันและบอกว่าจบเพียงเท่านี้
ทุกคนเลยพากันอุทานและเอียงคอสงสัยหนักกว่าเก่า เด็กๆ
ต่างถามหาคำตอบเกี่ยวกับการตัดสินใจของคุณพ่อ แต่ในเรื่องกลับไม่ได้ให้คำตอบมา
ประเด็นนี้จึงได้บังเกิดให้เหล่าเซอแวนท์คนโตเริ่มออกความคิดเห็นกัน
“เอาจริง จะให้ฝนตกทุกวันมันก็แปลกอยู่นา
ยิ่งตกหนักติดต่อกันนานๆ หลายชั่วโมง น้ำท่วมบ้านเมืองขึ้นมางานเข้าอีก”
< มุทสึโนะคามิ
“แล้วถ้าแดดออกทุกวันก็ร้อนตับแตกด้วย
เป็นข้าคงไม่เลือกทั้งสองข้อหรอก” < คูแลนเซอร์
“พวกเราควรปล่อยให้มันเกิดขึ้นตามช่วงฤดูกาลดีกว่า
ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์เพื่อรับมือกับสถานการณ์นั้นต่อไป”
< คูโปรโตไทป์
“ลองคิดตามดูสิ สมมุติหน้าร้อนมีฝนตก
หน้าฝนหรือหน้าหนาวแดดออกทุกวันแบบนี้ ทุกอย่างที่เคยทำตรงตามฤดูกาลต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ
จนบางครั้งอาจเสี่ยงมีภาวะโลกร้อนตามมาได้” < เมเดีย
“ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าของเรื่อง
จะขอยกตัวอย่างอีกแบบละกัน คือลองแบ่งกลุ่มคนดูนะ กลุ่มแรกขอใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย
อีกกลุ่มขอใช้หนังสือและกระดานสีขาวไว้ศึกษาเล่าเรียน
ยิ่งอยู่ในช่วงยุคสมัยใหม่แบบนี้ ถ้ากลุ่มสองมีเสียงข้างมากเยอะแล้วดำเนินการต่อ
กลุ่มแรกก็คงไม่พอใจใช่มั้ยล่ะ”
ฉันนั่งฟังพวกเขาออกความเห็นของตัวเองด้วยกันอย่างมีเหตุผลและค่อนข้างวิชาการเล็กน้อยแล้วพยายามปะติดปะต่อ
ครุ่นคิดเกี่ยวกับข้อคิดจากนิทานเรื่อง ‘พ่อกับลูกสาว’ ในครั้งนี้ จากนั้นก็ยกมือพูดคำตอบที่คิดมาได้ภายในสิบวินาที
“อืมม...งั้นแปลว่านิทานเรื่องนี้จะสอนพวกเราให้รู้ว่า
ทุกคนบนโลกไม่อาจทำให้ใครพอใจได้ทั้งหมด
แต่ควรเลือกทางใดทางหนึ่งที่เป็นไปได้ที่สุด...สินะ”
“สมกับเป็นคุณหนูเลย หน้าตาน่ารักไม่พอ
แถมยังเรียนรู้ไวและเก่งด้วย” เจ้าของเรื่องยิ้มกริ่มแล้วขยิบตายิงดาเมจให้หนึ่งที
เล่นเอาใบหน้าของฉันร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “คนเราจะทำให้ความปรารถนาของใครเป็นจริงได้ต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง
แม้แต่จอกศักดิ์สิทธิ์เองก็ด้วย ถ้าไม่เลือกมอบให้ดีๆ อาจเสียใจภายหลัง”
“แต่สำหรับคุณหนู...ข้าคิดว่าการมอบจอกศักดิ์สิทธิ์ให้เจ้าอัลเตอร์อาจเป็นทางเลือกที่ถูกต้องแล้ว
ถึงจะแอบหมั่นไส้นิดหน่อย แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้น
กองกำลังของพวกเราคงอยู่รอดตั้งแต่จุดพลิกผันแรกจนถึงวันนี้ไม่ได้หรอก จริงมะ”
คำพูดของคูแลนเซอร์เมื่อครู่เปรียบเหมือนการชื่นชมที่ฉันเลือกเส้นทางได้ถูกต้อง
ทุกคนตรงหน้าพยักหน้าพร้อมยิ้มให้ด้วยความภาคภูมิใจ เหล่าเด็กๆ
ทั้งสามเริ่มกรูเข้ามารุมกอดแล้วขอบคุณคูแคสเตอร์ที่เล่านิทานดีๆ ให้ฟังตบท้าย
“เอาล่ะ...ทีนี้แยกย้ายนอนห้องใครห้องมันกันเถอะ
แต่พวกข้าขอจัดการเรื่องห้องอัญเชิญเซอแวนท์สักหน่อย เดี๋ยวจะตามไปทีหลัง”
หลังคูโปรโตไทป์พูดจบ พวกเราทั้งหมดก็ค่อยๆ
ลุกออกจากห้องอัญเชิญอันเต็มไปด้วยความมนต์ขลังนี้โดยมีเหล่าคูทั้งสามคอยอยู่ปัดกวาดข้าวของก่อน
เมเดียและเด็กๆ ต่างเดินกลับห้องนอนด้วยกัน
เหลือเพียงตัวฉันที่ยืนอยู่ข้างเบอเซิกเกอร์หนุ่มเท่านั้น
‘ตอนนี้เจ้าคงจะเริ่มง่วงนอนบ้างแล้วสินะ...ยูมิ’
เขาหันมาถามทางโทรจิตและลูบหัวไปมาอย่างเบามือ
ฉันพยักหน้าตอบพร้อมหลับตาลงเคลิบเคลิ้มกับความอบอุ่นจากมือหนาของอีกฝ่าย
ต่อมาเขาเริ่มจูงมือพากลับมายรูมท่ามกลางแสงจันทร์ที่ยังคงสาดส่องตามทางเดินรอบคาลเดียเช่นเคย
พอผ่านไปหลายนาที พวกเราค่อยๆ
ขึ้นบนเตียงนอนคนละข้าง คูจังดูค่อนข้างขี้อ้อนมากขึ้นด้วยการขอนอนกอดจากด้านหลัง
รวมทั้งบอกว่าอยากกอดไว้แบบนี้จนถึงเช้า
แต่ก่อนที่จะได้นอนหลับเตรียมเข้าห้วงนิทรา
เขาดันจับพลิกตัวให้นอนหงายและลูบแก้มขวาไปมา
“คูจัง...?”
จุ๊บ!
เบอเซิกเกอร์หนุ่มก้มหน้าลงประทับริมฝีปากบนหน้าผากพร้อมพยายามบอกฝันดีให้ดูโรแมนติกที่สุด
ฉันรู้สึกเขินอายในใจจนต้องยิ้มกว้างแล้วยกมือทั้งสองจับแก้มเอาไว้
“คูจังเนี่ย...พยายามเต็มที่ทุกอย่างเลยแฮะ
ทั้งตอนต่อสู้ ตามหาไอเทม และคอยปกป้องอยู่ข้างกาย ถึงบางช่วงจะไม่ค่อยโรแมนติก
ดูแข็งกระด้างไปหน่อยเพราะเป็นร่างอัลเตอร์ อีกอย่าง...” ฉันหยุดพูดและยื่นหน้าขึ้นประทับจูบบนริมฝีปากของอีกฝ่ายเบาๆ “ฉันดีใจมากที่ได้คูจังคอยร่วมต่อสู้กันมาจนถึงวันนี้...ขอบคุณจริงๆ นะ”
“อา...ด้วยนามของคูฮูลินน์ นักรบแห่งอัลสเตอร์
ข้าจะซื่อสัตย์และอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป...ยูมิ”
[ To be continued ]
[
ส่วนเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ‘คุณแม่’ ที่คูแลนเซอร์เล่าให้ทุกคนฟัง ไรท์อิงและดัดแปลงเนื้อความจากเพลง Okaasan
ของ Hatsune Miku เดี๋ยวจะลงลิ้งค์เพลงด้านล่าง ]
ความคิดเห็น