ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fate/Grand Order] วันๆ ณ คาลเดียกับยูมิ [END]

    ลำดับตอนที่ #17 : ตีสามนี้มีเรื่องเล่า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 396
      22
      15 ก.ย. 63

    B
    E
    R
    L
    I
    N

    ตีสามนี้มีเรื่องเล่า

    ----------------------------------------------------

    เฮือก!!”

    ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายที่ตัวเองตกลงอาคารเรียนตาย ความรู้สึกวูบที่หลังและกะบังลมยังคงฝังลึกอยู่ เสียงหอบอันรุนแรงดังมาพร้อมมือไม้สั่นด้วยความหวาดกลัว...กลัวว่าความตายจะมาเยือนก่อนถึงแก่กรรม มันไม่สามารถเรียกให้ย้อนกลับเวลาเดิมได้ ซึ่งเปรียบเหมือนกาลเวลาที่ผ่านไปแล้วไม่มีทางหวนกลับมาอีก

    ในฝันเมื่อครู่...ฉันแอบเห็นน้ำตาของอราชที่ไหลลงอาบแก้มก่อนตาย เขาดูเสียใจยิ่งกว่าคนอื่น อาจจะเพราะตอนนั้นพวกเราสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่มัธยมต้นก็ได้

    ระหว่างนั้นเองผ้าห่มก็ค่อยๆ เลิกออกจากขาและมีคนโอบไหล่ขวาไว้ พอลองหันมองก็พบกับคูจังที่ตื่นขึ้นมาดูอาการ แม้ว่าห้องจะดูมืดแต่กลับมองเห็นสีหน้าอันเต็มไปด้วยความวิตกกังวลของเขาได้

    ยูมิ...เมื่อกี้ฝันร้ายงั้นเหรอ สีหน้าของเจ้าดูไม่ค่อยดีเลย

    เอ่อ...คือฉัน...โดนคนในห้องกลั่นแกล้ง...ล็อกห้องเรียนขังไว้...เอากระเป๋านักเรียนไปแขวนบนต้นซากุระ...แย่ที่สุดก็มีคนผลักให้ตกลงจากอาคารเรียน...ตาย...

    ตอนที่เล่าเหตุการณ์ในฝันร้าย น้ำเสียงของฉันสั่นระริก มือทั้งสองจับหัวตัวเองราวกับกำลังอยู่ในสภาวะใกล้เข้าขั้นโคม่า มันน่ากลัวยิ่งกว่าหนังสยองขวัญที่เคยดูในอินเตอร์เน็ตซะอีก ต่อมาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนใต้ดวงตา ของเหลวใสค่อยๆ เอ่อไหลลงโดยไม่รู้ตัว

    คูจังยกมืออีกข้างที่ว่างอยู่นั้นขึ้นมาปาดน้ำตาออกอย่างอ่อนโยนพร้อมดึงร่างเข้ากอดไว้หลวมๆ เขาลูบหัวปลอบประโลมแล้วเกลี้ยกล่อมให้กลับมารู้สึกดีขึ้น ถึงจะดูไม่ค่อยเก่งด้านนี้ แต่เขาก็พยายามเต็มที่เพื่อฉันคนเดียว

    ไม่ต้องกลัว...ยูมิ ก็แค่ฝันร้ายเท่านั้นเอง ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้ตายง่ายๆ หรอก นั่นเพราะข้าเป็นเซอแวนท์...เป็นหอกที่พร้อมปกป้องเจ้าตลอดทั้งชีวิตยังไงล่ะ

    อื้ม...

    ฉันค่อยๆ กอดร่างของเขาและฝังใบหน้าบนไหล่ซ้าย อีกฝ่ายยังคงลูบหัวต่อพร้อมกับหางที่ขยับมาโอบหลังเอาไว้ พวกเราอยู่ในสภาพนี้นานถึงห้านาทีจนกระทั่งอาการเริ่มดีขึ้น ความหวาดกลัวถูกปัดเป่าออกด้วยความอบอุ่นของเขา เมื่อควานหาสมาร์ทโฟนมาเปิดหน้าจอดู มันเพิ่งจะตีสองครึ่ง แต่กลับรู้สึกแปลกที่ไม่ง่วงนอนต่อเลย

    หาเดินเล่นกันสักหน่อยดีมั้ย...เผื่ออาการของเจ้าจะได้ดีขึ้นกว่าเดิม

    คูจังลุกขึ้นออกจากเตียงแล้วอุ้มร่างฉันขึ้นก่อนที่จะปล่อยให้ยืนบนพื้นห้อง เขาจับมือไว้พร้อมพาเดินออกจากมายรูม บรรยากาศภายนอกค่อนข้างมืดแต่ยังคงมีแสงจันทร์สาดส่องให้พอเห็นทางเดินรอบคาลเดีย 

    คือมันจะดูโรแมนติกมากกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะฝันร้ายนั่น

    แต่เอาเถอะ...อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงสักหน่อย คิดมากไปคงไร้ประโยชน์เนาะ

    พวกเราเดินด้วยกันจนถึงห้องครัวที่ตอนนี้มีเอมิยะกำลังยืนทำอะไรบางอย่างตรงโต๊ะทำครัว พอลองเข้าดูใกล้ๆ พบว่าเขาจัดการกับเหล่าอุปกรณ์ครัวรวมถึงตรวจเช็คเสบียงในตู้เย็น คูจังพานั่งลงบนเก้าอี้รอแล้วลูบหัวฉันไปพลางๆ ต่อมาพลธนูแดงก็หันกลับมาเจอพอดี

    อ้าว...ยูมิ นอนไม่หลับงั้นเหรอ” เขานั่งลงบนเก้าอี้ด้านตรงข้ามแล้วยกมือเท้าคางคุย “หรือว่าเจอฝันร้ายอะไรมารึเปล่า...

    “...” ฉันเงียบปาก ไม่ตอบความจริงออกไปนอกจากส่ายหน้าปฏิเสธเพื่อไม่ให้เขาต้องกังวลอีกคน

    หืมม...งั้นเดี๋ยวข้าจะชงนมสดอุ่นๆ ให้สักแก้วละกัน รอแป๊บนะ

    ว่าจบเอมิยะก็ลุกขึ้นกลับไปยังโต๊ะทำครัวแล้วเริ่มทำการชงนมสดให้ ซึ่งทางคูจังได้ขอให้ชงเพิ่มด้วย มีเหรอที่คุณแม่แห่งคาลเดียจะยอมปฏิเสธคำขอของลูกๆ เขาพยักหน้าตกลงและชงอีกแก้ว

    พวกเรานั่งรอหลายวินาทีจนกระทั่งมีเซอแวนท์คลาสแลนเซอร์ในชุดรัดรูปสีน้ำเงินอันน่าคุ้นเคยกำลังเดินผ่าน มันจะเป็นใครได้นอกจากคูฮูลินน์แลนเซอร์ ซึ่งมีเหล่าเซอแวนท์คนอื่นอยู่ด้านหลังอย่างคูโปรโตไทป์ คูแคสเตอร์ เมเดีย แจ๊ค ไรม์ อบิเกล และมุทสึโนะคามิ พวกเขาพากันหอบข้าวของอะไรบางอย่างในถุงพลาสติก ดูท่าทางจะรีบมุ่งไปยังที่ไหนสักแห่ง

    ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนกันอีกเหรอเนี่ย...แปลกพิลึก

    ขอโทษที่ให้รอนะ...ทั้งสองคน

    ในจังหวะที่กำลังจดจ่อกับกลุ่มเซอแวนท์เมื่อครู่ พลธนูแดงก็เดินกลับมาพร้อมแก้วสีขาวลายสัญลักษณ์คาลเดียสองแก้วที่ถูกวางไว้ตรงหน้า ฉันยื่นมือจับแก้ว ยกขึ้นเป่าให้พอหายร้อนบ้างแล้วจิบทีละนิด ความอบอุ่นจากนมสดตอนนี้เริ่มไหลเวียนทั่วร่าง เหมือนมันกำลังแปรสภาพให้เป็นพลังเวทเติมเต็มส่วนที่ขาดหายจากการเข้าร่วมอีเว้นท์

    เมื่อมองไปยังคูจังที่กระดกหมดภายในยกเดียวแล้วถึงกับต้องตกใจเกือบสำลักนม ใจจริงก็อยากจะถามตรงๆ ว่า ‘เอางี้จริงดิ’ อยู่หรอก แต่ก็ส่ายหน้าตัวเองเพื่อสะบัดความคิดนั้นออกและจิบต่อไปจนหมดภายในหนึ่งนาที ต่อมาจึงได้ลุกขึ้นเก็บแก้วทั้งสองใบให้เอมิยะ

    ขอบคุณสำหรับนมสดอุ่นๆ ครั้งนี้นะ เอมิยะ

    อา ถ้าเพื่อเจ้าล่ะก็...ข้าพร้อมทำให้ทุกอย่างอยู่แล้ว” เขายกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ แล้วยิ้มให้เหมือนเคย “อ้อ...และก็ฝากตามไปส่องพวกแลนเซอร์ทีนะ ท่าทางพวกนั้นกำลังเตรียมการอะไรบางอย่างอยู่

    อื้ม...ไปกันเถอะ คูจัง

    ว่าจบฉันกับคูจังก็พากันมุ่งหน้าตามเส้นทางที่กลุ่มคูแลนเซอร์เพิ่งเดินเมื่อครู่ พวกเราสองคนยังคงจับมือไม่ปล่อยให้หลุดจากกัน โดยเฉพาะเบอเซิกเกอร์หนุ่มที่บีบไว้ค่อนข้างแน่น แสงจันทร์สาดส่องช่วยนำทางเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เดินถึงหน้าห้องอัญเชิญเซอแวนท์ พอลองเงี่ยหูฟังดูแล้วทำให้รู้ว่า มีกลุ่มคนพูดงึมงำอย่างกับบทสวดมนต์ มือที่ยังว่างของฉันค่อยๆ ยื่นตรงไปเปิดประตูก่อนที่จะได้กลิ่นอายจากมนต์ขลังตรงหน้า

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    แสงของวงอัญเชิญถูกเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีม่วงดำ อุปกรณ์ทำพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา ผลไม้ และเศษเสื้อผ้าเก่าๆ ถูกวางไว้กึ่งกลาง สายสิญจน์ผูกห้อยระโยงระยางอยู่ข้างบน ซึ่งมีคนนั่งรอบวงกลมอย่างคูฮูลินน์ทั้งสามกับมุทสึโนะคามิ พวกเขาที่อยู่ในใส่ชุดสีขาวนั่งพนมมือสวดมนต์อะไรบางอย่าง ลูกไฟในเตาดินเผาใบเล็กเริ่มท่วมขึ้นเรื่อยๆ ฉันมองแล้วเริ่มรู้สึกแปลกๆ เหมือนเคยเห็นจากไหนมาก่อน 

    ในช่วงที่คูจังกำลังจะได้เตรียมพาฉันออกจากที่นี่ แก๊งค์หมาทั้งสี่ก็หยุดสวดพร้อมหันหน้ามาจ้องมองพวกเราพอดี

    อ่ะ...!?”

    ไปนอนกันเถอะ...ยูมิ อย่าไปเสวนากับพวกนี้นักเลย

     “อ้าวเฮ้ยไอ้บ้าอัลเตอร์ไม่ตบมุกให้พวกข้าไม่พอ ยังริอาจมาทำลายพิธีกรรมสวดมนต์กฤษณะกาลีอีก!” คูแคสเตอร์โวยใส่แล้วบอกให้คนที่เหลือช่วยกันเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดให้เข้าที่เข้าทาง

    เดี๋ยวนะ...มนต์กฤษณะกาลีนี่มันมาจากละครไทยที่สาปแช่งแม่หญิงการะเกดไม่ใช่เรอะ!!

    พวกนายจะสวดมนต์สาปแช่งใครไม่ทราบวะคะอีกอย่างตอนนี้มันจะตีสามแล้ว ทำไมไม่ยอมนอนกันสักที ห๊ะ!?” ฉันเดินเข้าไปดุฉอดๆๆ เหมือนตัวเองกำลังเปลี่ยนโหมดเป็นแม่คนโดยไม่รู้ตัว

    อ้าว...อันนี้ไม่ใช่มนต์ไว้ทำคุณไสย์ให้คนเขารักกันเหนียวหนึบหรอกเหรอ นายท่าน ท่าทางข้าจะศึกษามาผิดจริงๆ” มุทสึโนะคามิที่ไม่เคยรู้เรื่องพวกคุณไสย์เกาหัวตัวเองด้วยความงุนงงและสับสนกับความจำของตัวเอง

    ให้ตายเถอะ...ตกลงพวกเขามาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่เนี่ย

    งั้นช่างมันเถอะ นั่งล้อมวงกินเหล้า...เอ๊ย เล่าเรื่องก่อนนอนแทนละกัน

    หลังจากพวกเขาเก็บอุปกรณ์เหล่านั้นครบหมด คูแลนเซอร์ก็เริ่มเปลี่ยนประเด็นใหม่พร้อมหยิบเทียน ไฟแช็ก และจานใบเล็กๆ มาเพื่อจุดไฟวางกลางวง ส่วนคนที่เหลือพากันนั่งล้อมวงไม่เว้นแม้กระทั่งเมเดียกับเด็กๆ สามคน

    ไหนๆ พวกเจ้าก็ยังไม่นอนกันแล้ว มานั่งร่วมวงกับพวกข้าด้วยสิ

    คูโปรโตไทป์หันมาเชิญชวนพร้อมรอยยิ้มกว้าง ฉันมองด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์บวกเหนื่อยใจเล็กน้อยก่อนที่จะหันขึ้นมองคูจัง เขายกมือลูบหัวเบาๆ แล้วแอบส่งโทรจิตถามความสมัครใจ

    แต่พอลองคิดดูอีกที ช่วงที่อีเว้นท์เข้าหรือพวกภารกิจฟาร์ม QP ก็ไม่เคยมีเวลาพูดคุยและพักผ่อนร่วมกับพวกเขาเลยแฮะ คือเหนื่อยจัดจนต้องรีบนอนฟื้นฟูพลังเวทในมายรูมให้ไวที่สุดอ่ะ

    เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉันก็พยักหน้าตอบรับ ทางคูจังรับทราบพร้อมจูงมือเข้าไปร่วมวงกับเซอแวนท์ทั้งแปดคน แต่พอเอาจริงๆ มันก็ไม่ได้นั่งล้อมรอบซะทีเดียว เพราะเขาดันแหกกฎจับให้ฉันนั่งตักแล้วโอบกอดจากด้านหลังเฉย

    นี่...ข้าเข้าใจอยู่หรอกว่าเจ้ารักมาสเตอร์ขนาดไหน แต่ไม่ต้องนั่งใกล้ชิดขนาดนั้นก็ได้ย่ะ

    คนเขารักกัน นั่งด้วยกันแบบนี้มันผิดตรงไหนล่ะ” คูจังหันไปตอบเมเดียที่นั่งพับเพียบถามอยู่ตรงข้ามพวกเรา เขากอดไว้แน่น เอียงคอมองด้วยสีหน้านิ่งๆ แอบตอบกวนๆ นิดหน่อยจนแทบไม่เหลือความเป็นอัลเตอร์ในตัวแล้ว

    อุแหวะ!!! หมั่นไส้คนมีแฟนจังโว้ยยย!!!”

    รีแอคติ้งของพวกคุณมันชัดเจนเว่อร์วังเกินไปแล้วเฮ้ย!!” ฉันถึงกับต้องรีบโวยแก้เขินให้พวกเซอแวนท์คนโตทันทีทันใด แต่ก็มีคำพูดของเด็กๆ สามคนมาช่วยประโลมหัวใจภายหลัง

    ไม่ผิดหรอกค่ะ คนสองคนรักซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่วิเศษสุดๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอคะ” < ไรม์

    คุณมาสเตอร์ที่มีแฟนเป็นอัลเตอร์นิกินี่เหมือนฟ้าลิขิตให้เลยล่ะ” < อบิเกล

    หนูขอให้คุณพ่อกับคุณแม่รักกันนานๆ นะ” < แจ๊ค

    ขอบคุณมากจ้าที่ช่วย...

    ห๊ะ? รู้สึกจะมีคำพูดของใครบางคนที่ผิดแปลกไป...เอ้า! เขินสิคะรออะไร!

    เดี๋ยวๆๆ หนูแจ๊คคะ พวกเรายังไม่แต่งงานกันเลย ระ...เรียกคูจังว่าคุณพ่อไม่ได้นะ

    เอ๋...ก็คราวก่อนที่พักแรมในเมืองไทย ได้ข่าวว่าคุณพ่อกับคุณแม่ทำลูกด้วยกันในห้องนี่คะ

    กรี๊ดดดดด!!! ใครมันเอาเรื่องแลกพลังเวทหลังเที่ยววันสงกรานต์ไปเล่าให้แจ๊คฟังผิดๆ กันฟะเนี่ยยย!!!

    มะ...ไม่ใช่นะ กะ...ก็แค่ช่วยแลกพลังเวทหลังเที่ยวทะเลเฉยๆ เท่านั้นเอง” ฉันรีบแก้ตัวด้วยน้ำเสียงกระตุกกระตัก ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวเมื่อได้ยินคำว่า ‘ทำลูก

    วิธีทำเหมือนกันก็จริง แต่มันไม่ใช่แบบนั้นง่ะ!

    แต่อีกหน่อยพวกเราก็ต้องมีลูกด้วยกันไม่ใช่เหรอ...ยูมิ” คูจังก้มหน้าลงเป่าลมหายใจรดใบหูและกระซิบเบาๆ พร้อมฝังใบหน้าบนไหล่ขวาเอาไว้โดยมีแอบเนียนงับเล่นอยู่ด้วย

    เฮ้ยๆ พวกเราไม่ได้มาล้อมวงกันที่นี่เพื่อดูพวกเจ้านั่งสวีทแบบนั้นนะเฟ้ยใครก็ได้ช่วยเปิดประเด็นทีซิ

    เอ่อคือ...ตูไม่ได้ตั้งใจจะนั่งสวีทตั้งแต่แรกป่ะ แลนเซอร์เดี๋ยวปั๊ดสั่งเรย์จูฆ่าตัวตายอีกรอบซะนี่!

    วิ้งง~

    อ่ะ...

    ในระหว่างที่ฉันแอบโวยในใจ แสงสีแดงบนมือขวาก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจพร้อมกิริยาท่าทางที่เปลี่ยนไปของคูแลนเซอร์ เขาลุกขึ้นยืนตรง เรียกหอกเกโบล์กออกมาจับไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ร่างกายพยายามจะฝืนแต่ทำไม่ได้เพราะอำนาจของเรย์จูมันอยู่เหนือการควบคุม เขาได้เริ่มจับอาวุธของตัวเองแทงเข้าไปในหัวใจจนกระอักเลือดออกจากปากก่อนที่จะล้มลงไปนอนกับพื้นห้องเป็นที่เรียบร้อย

    แลนเซอร์...ตายซะแล้วอ่า” < ฉันและเด็กๆ สามคน

    เจ้ามันไม่ใช่คนแล้ว!!!” < เหล่าเซอแวนท์คนโต

    มุกเก่าเล่าใหม่...นี่แหละเรื่องเล่าของฉัน (ใช่เรอะ!!)

    คูแคสเตอร์รีบลากคูแลนเซอร์ออกจากวงอัญเชิญเตรียมใช้รูนเพื่อรักษาบาดแผลจากหอกเกโบล์ก เซอแวนท์ที่เหลือปล่อยให้ทางนั้นจัดการเองพร้อมหันกลับมาที่เดิม และผู้มีจิตอาสาขอเปิดพิธีในห้องอัญเชิญครั้งนี้คือ คูโปรโตไทป์

    งั้นเดี๋ยวข้าจะเป็นคนเปิดเรื่องให้เอง เอาเป็น...” เขายกมืออาสาแล้วจับคางทำท่าครุ่นคิดเรื่องที่ต้องการจะเล่า “คุณฮานาโกะดีมั้ย เด็กๆ ฟังได้ผู้ใหญ่ฟังดี

    คุณฮานาโกะ...คนที่เป็นเด็กน้อยผมสั้นนี่เอง อยากฟังจังเลยค่ะ โปรโตนิกิ” ไรม์ดูตื่นเต้นกว่าชาวบ้านเพราะเธอยังเป็นเด็กและชอบเล่าหรือฟังเรื่องราวต่างๆ เป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว เด็กอีกสองคนพยักหน้าเชิงบอกว่า หนูเองก็อยากฟังเหมือนกัน

    ตามนั้น...แต่ข้าขอไม่รับประกันนะว่าจะน่ากลัวอย่างที่บางคนคิดรึเปล่า” พลหอกน้ำเงินโปรโตไทป์ยิ้มให้ก่อนที่จะเข้าโหมดผู้เล่าเรื่อง ฮานาโกะ อย่างแท้จริง 

    ฮานาโกะเป็นเด็กน้อยผมสีดำทรงกะลาครอบใส่ชุดกระโปรงเอี๊ยมสีแดง ว่ากันว่าก่อนที่น้องเค้าจะตายเนี่ย...ดันโชคร้ายติดอยู่ในห้องน้ำและออกไปไม่ได้ บ้างก็ว่าตายเพราะขาดอากาศหายใจ หรือเพราะโรงเรียนอยู่ในเขตที่มีการทิ้งระเบิดช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี เลยต้องโดนเผาตายในนั้น

    รู้สึกเรื่องนี้จะคุ้นๆ แฮะ...แต่ก็ขอลองฟังต่อเพื่อความแน่ใจละกัน

    เอ๋...น่าสงสารจัง แล้วเธอคนนั้นได้ไปผุดไปเกิดรึเปล่าคะ” อบิเกลกอดตุ๊กตากระต่ายแนบอกไว้แน่นแล้วถามคนเล่าเรื่องฮานาโกะ คำตอบที่ได้คือการส่ายหน้าแทนการบอกว่า ไม่เลย

    น้องเค้ายังสิงสถิตในห้องน้ำห้องสุดท้ายเพื่อหาตัวตายตัวแทนต่อจากเธอ

    อ๋อ...นึกออกละ คือฮานาโกะถือเป็นตำนานผีเด็กที่น่ากลัวโคตรๆ สำหรับวัยเรียนเลย บางคนท้าทายจนตัวตาย บางคนรอดพ้นมาได้เพราะหลังจากเรียกผีตนนั้นแล้วรีบวิ่งหนีออกไปโดยเร็วที่สุด

    แย่เลย...หนูอยากลองไปหาแล้วพูดคุยด้วยจัง เผื่อจะได้รู้ว่าตายเพราะอะไรกันแน่” แจ๊คเริ่มท้าทายโดยไม่รู้ตัวเลยว่าถ้าเรียกออกจากห้องน้ำแล้วจะเจอของดี แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยอมอธิบายวิธีทำให้เห็นเด็กน้อยคนนั้นให้กับทุกคนในบริเวณนี้แทนคูโปรโตไทป์

    อืมม...เห็นมีคนบอกวิธีเรียกอยู่นะ คือเราต้องไปหาที่ห้องน้ำห้องสุดท้ายในช่วง 5 โมงเย็นเป็นต้นไป และก็เคาะประตู 3 ครั้งพร้อมถามว่า ‘ฮานาโกะอยู่มั้ย’ หรือชวนว่า ‘ออกมาเล่นด้วยกันเถอะ...ฮานาโกะ’ ถ้าได้ยินเสียงตอบรับว่า ‘อยู่ค่า’ หรือ ‘อื้ม’ แปลว่าเธออยู่ในนั้น

    เห...ท่าทางคุณหนูจะเคยรู้เรื่องนี้มาก่อนแฮะ หรือว่า...เคยลองของตอนสมัยเรียนมาแล้ว?”

    ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ถึงอย่างนั้นฉันขอไม่รับประกันเรื่องความเป็นความตายนะ คือมันมีข่าวลือมาว่า มีเด็กนักเรียนส่วนหนึ่งได้ใช้วิธีนี้เพื่อท้าทายเรียกฮานาโกะและเปิดประตูเข้าไปหา แต่โดนดึงลงในชักโครกและไม่กลับมาอีกเลย...”

    เอ๋!!?” หลังจากเด็กๆ สามคนได้ฟังเรื่องเมื่อครู่จบ ก็หน้าซีดกันเป็นแถวแล้วพากันจับมือ พยายามข่มความหวาดกลัวของตัวเองไว้ เมเดียลุกลี้ลุกลนลูบหัวปลอบประโลมทีละคน

    เอาจริงๆ ข้าเองก็อยากเห็นเหมือนกันนะ น้องเค้าคงจะน่ารักไม่เบาเลย ไว้จบจากนี้ค่อยไปลองสักหน่อยดีกว่า” คูแลนเซอร์ผู้ซึ่งเพิ่งฟื้นคืนชีพกลับเข้ามาร่วมวงแล้วยิ้มกว้างอย่างระรื่น

    เรื่องผู้หญิงนี่แม้แต่ผีนายก็ไม่เว้นสินะ...

    งั้นข้าขอเล่าเรื่อง ‘บันได 13 ขั้น’ ละกันน้อ คือในโรงเรียนประถมญี่ปุ่นเนี่ย...ส่วนใหญ่จะมีสภาพค่อนข้างเก่า ทางเดินแคบๆ บรรยากาศภายในดูวังเวง แล้วมันก็ได้มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับบันไดที่เชื่อมต่อกับมิติอื่นอยู่ด้วย ว่ากันว่า...หากเดินบันไดชั้นสามขึ้นชั้นสี่ตอนกลางคืน อาจทำให้หลงเข้ามิติอื่นและไม่มีทางกลับมาอีกเลย...

    มุทสึโนะคามิเริ่มเล่าเรื่องบันไดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเหมือนกำลังอยู่ในช่วงล่าท้าผี ยิ่งบวกกับบรรยากาศรอบตัวที่มืดมิดและมีเทียนเล่มเดียวจุดกลางวงด้วย มันยิ่งรู้สึกขนลุกแปลกๆ เข้าไปอีก

    เดิมทีบันไดโรงเรียนประถมควรมี 12 ขั้น พอถึงยามค่ำคืน มันจะเพิ่มขั้นที่ 13 มาเองอย่างลึกลับ ช่วงอดีตกาลมาแล้ว...เด็กนักเรียนคนหนึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดดังกล่าวเพื่อตามหาเพื่อนรักของตน ท่ามกลางความมืดมิดมีเพียงไฟฉายและเสียงรองเท้านักเรียนที่กระทบกับทางเท้าดัง ตึก...ตึก...ตึก...

    น้ำเสียงการเล่าเรื่องของดาบหนุ่มเริ่มทุ้มลงเรื่อยๆ ทำให้หลายคนยกเว้นคูจังต้องกลืนน้ำลายตัวเองหนึ่งอึก ใจของฉันก็เต้นตึกตักอย่างลุ้นระทึกและมีสมาธิตั้งใจฟังอย่างมาก

    ทันใดนั้นเอง!!!”

    เฮ้ยตกใจหมด ตอนแรกเล่าเบ๊าเบา แล้วจู่ๆ เมื่อกี้พูดเสียงดังออกมาเฉย ขนลุกชิบเป๋งเลยเนี่ยย” คูแคสเตอร์ลูบแขนตัวเองรัวๆ ให้คนรอบข้างรู้ว่าขนลุกจริงทั้งที่ชุดของตัวเองก็กำลังปกปิดไว้อยู่

    ส่วนอีนี่เหรอ...หัวใจแทบจะวายเลยสิ อุตส่าห์จดจ่อกับการฟังเต็มที่ พอได้ยินเสียงพูดหรือเสียงอะไรดังๆ กระแทกปุ๊บสมาธิแตกค่ะ

    ทันใดนั้นเอง...เด็กคนนั้นก็เผลอเหยียบบันไดขั้นที่ 13 แล้วกลิ้งตกลงมาคอหักตาย...เพราะบันไดแห่งนั้นมีการเพิ่มขั้นมาเอง นั่นทำให้ต้องมากลายเป็นวิญญาณร้าย...” เขาหยุดเล่ากะทันหันพร้อมขยับตัวเข้าใกล้ไรม์ ยื่นมือจับข้อเท้าและจ้องมองดวงตาของเธอ “คอยจับเหยื่อที่เป็นเด็ก หากเหยียบพลาดเมื่อไหร่ล่ะก็...เหยื่อจะถูกดึงเข้าสู่โลกแห่งความตาย...ทัน...ที

    อุหวา...งั้นถ้าฉันเดินขึ้นบันไดนั่นคงไม่เป็นไรใช่ม้า เพราะเติบโตพ้นวัยประถมแล้ว (ไรท์ : แถมหน้าแก่อีกใช่ม้า...//โดนถีบ)

    นะ...น่ากลัว...หนูไม่กล้าเข้าโรงเรียนประถมเลยอ่า...หนูกลัวแล้ว” ไรม์เริ่มตัวสั่นระริกด้วยความกลัว ทำให้เมเดียเริ่มดุและโบกกะโหลกมุทสึโนะคามิหนึ่งทีหนักๆ แล้วพยายามลูบหัวปลอบใจเด็กน้อย อีกฝ่ายถึงกับต้องนั่งท่าเทพบุตรก้มลงกราบขอโทษสามรอบในแบบเบญจางคประดิษฐ์งามๆ

    งั้นตาข้าบ้าง...เอาเรื่อง ‘คุณแม่’ ละกัน ขอเตือนก่อนว่ามันไม่ใช่เรื่องสดใส ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับคุณหนูยูมิ แต่ก็ค่อนข้างรุนแรงพอควรเลย” คูแลนเซอร์ยกมืออาสาต่อคิวจากมุทสึโนะคามิ หันไปเตือนแจ๊คล่วงหน้าพร้อมเล่าเรื่องใหม่ที่ฉัน ‘ไม่คุ้นเคย

    ในบ้านหลังหนึ่งมีพ่อแม่และลูกสาวอยู่ด้วยกันครบ ทุกคนต่างมีชีวิตที่แสนจะสุขมาตลอด แต่...อยู่มาวันหนึ่ง...คุณแม่เริ่มมีนิสัยเปลี่ยนไปเพราะคุณพ่อเมาเหล้าเมายา คั่วผู้หญิงทั่วผับ แถมทะเลาะกันอีก สุดท้ายพวกเขาสองคนก็แยกทางกัน เธอมีจิตใจโหดเหี้ยมขึ้น ชอบทรมานแล้วกักขังลูกสาวไว้ในกรง ทุกๆ คืน...เธอจะจับตัวลูกสาวมานั่งดูฉากสยองขวัญจากชีวิตจริงในห้องใต้ดิน...โดยคืนล่าสุดถือเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุด...

    ย่ำแย่...ที่สุด?” ทั้งฉันและเด็กๆ สามคนต่างมีรีแอคติ้งคล้ายกัน พวกเรารีบกลืนน้ำลายกันหนึ่งอึกแล้วเตรียมฟังเรื่องเล่าชวนสยองขวัญของจริง

    ใช่...ช่วงเวลานั้นก็คือ ลูกสาวกำลังเดินเข้าบ้านหลังเลิกเรียนตามปกติ แต่กลับพบสิ่งที่ผิดปกติตรงหน้า...ร่างของคุณแม่ยืนหันหลังให้ ที่สำคัญ...คอของเธอเริ่มบิดกลับมามองอย่างช้าๆ เสียงกระดูกหักดัง กร๊อบ...กร๊อบ...กร๊อบ มันหักทีละนิดจนสามารถหันหน้ากลับด้านเป็น 180 องศาได้ง่ายๆ เลย...

    น้ำเสียงการเล่าเรื่องของคูแลนเซอร์ทุ้มต่ำมาก โดยเฉพาะเสียงกระดูกหักนี่ยิ่งเน้นเข้าไปใหญ่ ทำให้ภาพเหตุการณ์นั้นๆ ผุดขึ้นในหัวอย่างชัดเจน พอนึกตามปุ๊บก็รู้สึกเสียวบริเวณต้นคอตัวเอง กลัวว่ามันจะบิดตามด้วย ฉันเริ่มระแวงจนทำให้ต้องเผลอกรีดร้องเมื่อมีคนแอบจับบีบต้นคอเบาๆ จากข้างหลัง

    กรี๊ดดดด!!!”

    โอ๊ะ!? ใช่เลย คุณหนูกรีดร้องแบบนั้นเลยแหละ ขอบคุณที่ช่วยพากย์เสียงให้นะ” คูแลนเซอร์ยิ้มกว้างให้เกี่ยวกับเรื่องรีแอคติ้ง(ที่ไม่ได้ตั้งใจพากย์)เมื่อกี้แล้วดำเนินเล่าเรื่องนี้ต่อ

    ประเด็นคือ...คนอื่นเขาก็พากันตกใจเพราะฉันคนเดียวด้วยนี่แหละ!

    จากนั้น...เด็กสาวเริ่มเข้าขั้นกลัวคุณแม่ของตัวเองและไม่กล้ามองใบหน้าอันเต็มไปด้วยบาดแผลอาบเลือดสีแดงสดนั่น เธอบอกตัวเองในใจว่า ‘ต้องรีบหนีออกจากที่นี่ซะแล้วสิ!’ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้จับลูกบิดประตูบ้าน คุณแม่ก็กระโจนตามหลังพร้อมกอดเอาไว้แนบแน่น ใบหน้าของเธอยื่นเข้าไปพูดกระซิบข้างหูว่า...”

    จับตัวเธอได้แล้วนะ...

    ฉันที่ตั้งใจฟังอย่างมีสมาธิเผลอสะดุ้งและกรีดร้องหนักยิ่งกว่าเก่า ตกใจจนแทบกระโดดออกจากอ้อมกอด เพราะคูจังดันสวมบทคุณแม่ตามเรื่องเล่าโดยการโอบเอวแน่นด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างยกมือจับคางลูบลงตามคอแล้วกระซิบประโยคเมื่อครู่ด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ อย่างกับคนโรคจิต

    เซอแวนท์คนอื่นคงจะแอบกลัวอยู่บ้าง แต่ฉันนี่เหมือนกำลังเข้าอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ หัวใจเต้นรัว ขนลุกเต็มแขนขาไปหมดเลยเนี่ย

    เฮ้ยเดี๋ยว...นี่เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกันเหรอวะ อัลเตอร์” เจ้าของเรื่องถึงกับต้องจ้องมองด้วยความสงสัยทันที

    เปล่านี่...ข้าก็แค่ลองเดาแล้วค่อยจำลองสถานการณ์ให้ดูเฉยๆ เท่านั้นเอง

    อ้าว...งั้นแปลว่าตอนบีบต้นคอนั่นก็เป็นฝีมือของคูจังด้วยน่ะสิ มันน่ากลัวยิ่งกว่าเข้าบ้านผีสิงตามสวนสนุกหรือเล่นเกมผีในเครื่อง VRX ซะอีก...!

    อ่อ...อะแฮ่ม! ต่อจากนั้นคุณแม่เริ่มจับหมุนคอลูกสาวตัวเอง เสียงกระดูกหักดัง...กร๊อบลั่นห้องนั่งเล่น คอของทั้งสองแม่ลูกต่างบิดเบี้ยว ใบหน้าหันกลับด้านหลัง สุดท้ายพวกเธอเสียเลือดจำนวนมากจนล้มลงพื้น ต่อมาจึงค่อยๆ สิ้นใจตายไปด้วยกัน...

    สิ้นเสียงการเล่าเรื่อง ‘คุณแม่’ ของคูแลนเซอร์แล้ว แจ๊ค ไรม์ และอบิเกลต่างพากันแสดงสีหน้าที่ซีดหนักกว่าเรื่องก่อนแล้วหันหน้าขวับมาจ้องมองด้วยความหวาดกลัว

    อย่าบอกนะว่า...จะเริ่มระแวงในพฤติกรรมของฉัน?

    ยะ...อย่ามองด้วยสีหน้าแบบนั้นสิจ๊ะ แม่ไม่มีทางทำเรื่องโหดร้ายกับหนูๆ หรอก โอเคเนาะ

    ฉันแอบขออนุญาตลุกออกจากตักคูจังแล้วเดินเข้าไปเกลี้ยกล่อมให้เด็กสามคน ทั้งพูดปลอบ กอดไว้ในอ้อมอกและลูบหัวอย่างเบามือ นานจนในระหว่างนั้นแคสเตอร์สาวเขกหัวพลหอกน้ำเงินหนักๆ พร้อมเตือนว่าวันหลังเอานิทานมาเล่าบ้าง เขารีบตอบตกลงโดยการลงท้ายด้วยคำว่า ‘ครับ’ แถมยังพูดว่า ‘ขอโทษที่ทำให้กลัวนะครับ’ ทำให้ภาพลักษณ์ดูเป็นน้องหมาแสนน่ารักตัวหนึ่งเลยทีเดียว

    นิทานเหรอ...อืมม...งั้นเพื่อไม่ให้พวกเจ้าต้องอดหลับอดนอนไปมากกว่านี้ ข้าจะเล่าเรื่องเป็นคนสุดท้ายละกัน” คูแคสเตอร์อาสาขอเล่านิทานให้เด็กๆ ฟังเกี่ยวกับเรื่อง ‘พ่อกับลูกสาว’ ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่ฉันไม่คุ้นเคยมาก่อน เซอแวนท์หลายคนเองก็เอียงคอสงสัยด้วยเช่นกัน

    ชื่อเรื่องดูธรรมดาพอๆ กับของเจ้าแลนเซอร์เลย คงไม่ได้น่ากลัวเหมือนกันใช่มั้ยเนี่ย...ข้าไม่อยากให้เด็กๆ นอนฝันร้ายทีหลังน่ะ

    เขายิ้มและส่ายหน้าปฏิเสธให้เมเดียรู้สึกสบายใจขึ้น จากนั้นก็เตรียมเล่าเรื่องดังกล่าวอย่างสั้นๆ

    นานมาแล้ว มีคุณพ่อหนึ่งคนพร้อมลูกสาวสองคน ลูกคนแรกแต่งงานกับคนทำสวน ลูกอีกคนแต่งงานกับคนทำอิฐ ซึ่งทางคุณพ่อต้องการไปเยี่ยมเพื่อถามความปรารถนาในชีวิตหลังแต่งงานของพวกเธอ ลูกคนแรกตอบว่า ‘อยากให้ฝนตกทุกวัน ต้นไม้จะได้งอกเงยสวยงาม’ ส่วนอีกคนตอบว่า ‘อยากให้แดดออกทุกวัน อิฐจะได้แห้งแล้วนำไปขาย’ คุณพ่ออวยพรให้พวกเธอสมประสงค์ดังที่ปรารถนา แต่หลังจากเขากลับถึงบ้าน ก็เริ่มคิดในใจซะแล้วว่าจะทำยังไงให้ลูกสาวสมความปรารถนากันทั้งสองคน...”

    พอได้ฟังนิทานดังกล่าวจบ คูแคสเตอร์ก็ตัดจบกะทันหันและบอกว่าจบเพียงเท่านี้ ทุกคนเลยพากันอุทานและเอียงคอสงสัยหนักกว่าเก่า เด็กๆ ต่างถามหาคำตอบเกี่ยวกับการตัดสินใจของคุณพ่อ แต่ในเรื่องกลับไม่ได้ให้คำตอบมา ประเด็นนี้จึงได้บังเกิดให้เหล่าเซอแวนท์คนโตเริ่มออกความคิดเห็นกัน

    เอาจริง จะให้ฝนตกทุกวันมันก็แปลกอยู่นา ยิ่งตกหนักติดต่อกันนานๆ หลายชั่วโมง น้ำท่วมบ้านเมืองขึ้นมางานเข้าอีก” < มุทสึโนะคามิ

    แล้วถ้าแดดออกทุกวันก็ร้อนตับแตกด้วย เป็นข้าคงไม่เลือกทั้งสองข้อหรอก” < คูแลนเซอร์

    พวกเราควรปล่อยให้มันเกิดขึ้นตามช่วงฤดูกาลดีกว่า ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์เพื่อรับมือกับสถานการณ์นั้นต่อไป” < คูโปรโตไทป์

    ลองคิดตามดูสิ สมมุติหน้าร้อนมีฝนตก หน้าฝนหรือหน้าหนาวแดดออกทุกวันแบบนี้ ทุกอย่างที่เคยทำตรงตามฤดูกาลต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ จนบางครั้งอาจเสี่ยงมีภาวะโลกร้อนตามมาได้” < เมเดีย

    ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าของเรื่อง จะขอยกตัวอย่างอีกแบบละกัน คือลองแบ่งกลุ่มคนดูนะ กลุ่มแรกขอใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย อีกกลุ่มขอใช้หนังสือและกระดานสีขาวไว้ศึกษาเล่าเรียน ยิ่งอยู่ในช่วงยุคสมัยใหม่แบบนี้ ถ้ากลุ่มสองมีเสียงข้างมากเยอะแล้วดำเนินการต่อ กลุ่มแรกก็คงไม่พอใจใช่มั้ยล่ะ

    ฉันนั่งฟังพวกเขาออกความเห็นของตัวเองด้วยกันอย่างมีเหตุผลและค่อนข้างวิชาการเล็กน้อยแล้วพยายามปะติดปะต่อ ครุ่นคิดเกี่ยวกับข้อคิดจากนิทานเรื่อง ‘พ่อกับลูกสาว’ ในครั้งนี้ จากนั้นก็ยกมือพูดคำตอบที่คิดมาได้ภายในสิบวินาที

    อืมม...งั้นแปลว่านิทานเรื่องนี้จะสอนพวกเราให้รู้ว่า ทุกคนบนโลกไม่อาจทำให้ใครพอใจได้ทั้งหมด แต่ควรเลือกทางใดทางหนึ่งที่เป็นไปได้ที่สุด...สินะ

    สมกับเป็นคุณหนูเลย หน้าตาน่ารักไม่พอ แถมยังเรียนรู้ไวและเก่งด้วย” เจ้าของเรื่องยิ้มกริ่มแล้วขยิบตายิงดาเมจให้หนึ่งที เล่นเอาใบหน้าของฉันร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “คนเราจะทำให้ความปรารถนาของใครเป็นจริงได้ต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง แม้แต่จอกศักดิ์สิทธิ์เองก็ด้วย ถ้าไม่เลือกมอบให้ดีๆ อาจเสียใจภายหลัง

    แต่สำหรับคุณหนู...ข้าคิดว่าการมอบจอกศักดิ์สิทธิ์ให้เจ้าอัลเตอร์อาจเป็นทางเลือกที่ถูกต้องแล้ว ถึงจะแอบหมั่นไส้นิดหน่อย แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้น กองกำลังของพวกเราคงอยู่รอดตั้งแต่จุดพลิกผันแรกจนถึงวันนี้ไม่ได้หรอก จริงมะ

    คำพูดของคูแลนเซอร์เมื่อครู่เปรียบเหมือนการชื่นชมที่ฉันเลือกเส้นทางได้ถูกต้อง ทุกคนตรงหน้าพยักหน้าพร้อมยิ้มให้ด้วยความภาคภูมิใจ เหล่าเด็กๆ ทั้งสามเริ่มกรูเข้ามารุมกอดแล้วขอบคุณคูแคสเตอร์ที่เล่านิทานดีๆ ให้ฟังตบท้าย

    เอาล่ะ...ทีนี้แยกย้ายนอนห้องใครห้องมันกันเถอะ แต่พวกข้าขอจัดการเรื่องห้องอัญเชิญเซอแวนท์สักหน่อย เดี๋ยวจะตามไปทีหลัง

    หลังคูโปรโตไทป์พูดจบ พวกเราทั้งหมดก็ค่อยๆ ลุกออกจากห้องอัญเชิญอันเต็มไปด้วยความมนต์ขลังนี้โดยมีเหล่าคูทั้งสามคอยอยู่ปัดกวาดข้าวของก่อน เมเดียและเด็กๆ ต่างเดินกลับห้องนอนด้วยกัน เหลือเพียงตัวฉันที่ยืนอยู่ข้างเบอเซิกเกอร์หนุ่มเท่านั้น

    ตอนนี้เจ้าคงจะเริ่มง่วงนอนบ้างแล้วสินะ...ยูมิ

    เขาหันมาถามทางโทรจิตและลูบหัวไปมาอย่างเบามือ ฉันพยักหน้าตอบพร้อมหลับตาลงเคลิบเคลิ้มกับความอบอุ่นจากมือหนาของอีกฝ่าย ต่อมาเขาเริ่มจูงมือพากลับมายรูมท่ามกลางแสงจันทร์ที่ยังคงสาดส่องตามทางเดินรอบคาลเดียเช่นเคย

    พอผ่านไปหลายนาที พวกเราค่อยๆ ขึ้นบนเตียงนอนคนละข้าง คูจังดูค่อนข้างขี้อ้อนมากขึ้นด้วยการขอนอนกอดจากด้านหลัง รวมทั้งบอกว่าอยากกอดไว้แบบนี้จนถึงเช้า แต่ก่อนที่จะได้นอนหลับเตรียมเข้าห้วงนิทรา เขาดันจับพลิกตัวให้นอนหงายและลูบแก้มขวาไปมา

    คูจัง...?”

    จุ๊บ!

    เบอเซิกเกอร์หนุ่มก้มหน้าลงประทับริมฝีปากบนหน้าผากพร้อมพยายามบอกฝันดีให้ดูโรแมนติกที่สุด ฉันรู้สึกเขินอายในใจจนต้องยิ้มกว้างแล้วยกมือทั้งสองจับแก้มเอาไว้

    คูจังเนี่ย...พยายามเต็มที่ทุกอย่างเลยแฮะ ทั้งตอนต่อสู้ ตามหาไอเทม และคอยปกป้องอยู่ข้างกาย ถึงบางช่วงจะไม่ค่อยโรแมนติก ดูแข็งกระด้างไปหน่อยเพราะเป็นร่างอัลเตอร์ อีกอย่าง...” ฉันหยุดพูดและยื่นหน้าขึ้นประทับจูบบนริมฝีปากของอีกฝ่ายเบาๆ “ฉันดีใจมากที่ได้คูจังคอยร่วมต่อสู้กันมาจนถึงวันนี้...ขอบคุณจริงๆ นะ

    อา...ด้วยนามของคูฮูลินน์ นักรบแห่งอัลสเตอร์ ข้าจะซื่อสัตย์และอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป...ยูมิ

    [ To be continued ]

    [ ส่วนเรื่องเล่าเกี่ยวกับ คุณแม่ ที่คูแลนเซอร์เล่าให้ทุกคนฟัง ไรท์อิงและดัดแปลงเนื้อความจากเพลง Okaasan ของ Hatsune Miku เดี๋ยวจะลงลิ้งค์เพลงด้านล่าง ]


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×