ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fate/Grand Order] วันๆ ณ คาลเดียกับยูมิ [END]

    ลำดับตอนที่ #16 : โรงเรียนของเราน่าอยู่(?)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 404
      20
      15 ก.ย. 63

    B
    E
    R
    L
    I
    N

    โรงเรียนของเราน่าอยู่(?)

    ----------------------------------------------------

    [ มุมมองที่ 3 ]

    เช้าวันหนึ่งที่สดใส ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เหล่านกการ้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน แสงอาทิตย์อ่อนๆ สาดส่องผ่านหน้าต่างบ้านชั้นสองทะลุมายังห้องนอนของเด็กสาวซึ่งเป็นนักเรียนมัธยมปลายประจำโรงเรียนคาลเดีย เธอกำลังนอนบนเตียงสีน้ำเงินด้วยความอ่อนเพลียเล็กน้อยก่อนที่สิ่งต่อมาจะปลุกจากห้วงนิทราภายในทันที

    กริ๊งงงง~!!

    เสียงนาฬิกาปลุกของโทรศัพท์บนหัวเตียงดังลั่นหูจนเธอแทบจะสะดุ้ง มือขวารีบยกคลำหาด้วยความลนลานพร้อมกดเลื่อนเพื่อปิดเสียงไป เธอลุกขึ้นนั่งหอบ ตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อนที่จะกดเปิดดูนาฬิกา และเจ้าสิ่งนี้ยิ่งปลุกความลนลานหนักกว่าเก่า เพราะตอนนี้เวลา 7.10 น. แล้ว

    ชิบละ...มันจะสายเต็มทนแล้วไม่ใช่เรอะนั่น!”

    ยูมิ! อาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วรีบลงมากินข้าวนะ

    เสียงของผู้เป็นแม่อย่างเอมิยะพูดจากบ้านชั้นล่างพร้อมเสียงกระทะที่มีการทำอาหารเช้า เด็กสาวรีบรวบรวมเหล่าอุปกรณ์แปรงฟัน-อาบน้ำ รวมถึงชุดนักเรียน ชุดซับในให้ครบแล้วมุ่งหน้าไปห้องอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ยังโชคดีบ้างที่ไม่ลื่นล้มซะก่อน ไม่งั้นคงต้องหยุดเรียนเพราะความซุ่มซ่ามของตัวเองแน่ๆ

    ในเวลาจำกัดแบบนี้ไม่มีการบรรเลงเพลงระหว่างอาบน้ำอีกแล้ว เธอล้างหน้าแปรงฟันและอาบน้ำตามประสาคนเร่งรีบ พอเวลาผ่านไปสามนาทีเหมือนต้มมาม่า ก็ได้ทำการเช็ดเนื้อตัวให้แห้ง ทาโลชั่นกับแป้งโดยไม่สนเครื่องสำอางอย่างอื่นแม้แต่นิดเดียว ตอนเธอใส่ชุดซับในและชุดนักเรียนดูลนลานจนบางทีแอบใส่ผิดด้าน แต่สุดท้ายก็แต่งตัวเรียบร้อยเหมือนเคย

    ต่อมายูมิได้เดินออกมาส่องกระจกดู เธอมีรูปลักษณ์ที่ธรรมดามาก อย่างดวงตาสีน้ำเงิน ผมสีดำยาวเหนือสะบักหลัง มีหน้าม้าสั้นๆ ที่ไม่ได้ตัดเป็นเหลี่ยม เมื่อเห็นว่าตอนปล่อยผมมันดูรก จึงตัดสินใจรวบให้เป็นหางม้าลงมา 

    ส่วนชุดนักเรียนที่ใส่เป็นรูปแบบเบลเซอร์ (Blazer) เสื้อสูทสีดำทับเสื้อเชิ้ตแขนยาวทั่วไป ผูกเนคไทสีแดง กระโปรงสั้นสีกรมท่า ถุงน่องสีเทาใส่ยาวถึงกลางต้นขา เผยให้เห็นจุดต้นขาศักดิ์สิทธิ์อันน่าคุ้นเคย และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือ นาฬิกาข้อมือแบบดิจิตอล

    หลังจากส่องกระจกทั่วทั้งตัวแล้ว ก็เช็คกระเป๋าหนังสือพร้อมติดเทอร์โบรีบออกจากห้องนอนไปยังห้องครัวชั้นล่าง เธอนั่งรอบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยหอบพร้อมหันไปทักทายคุณแม่ของตัวเอง

    แฮ่ก...แฮ่ก...อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณแม่

    อรุณสวัสดิ์ ยูมิ เปิดเทอมวันแรกแท้ๆ ดันตื่นช้าแบบนี้ เป็นเด็กที่ดื้อจังเลยนะเขาจัดวางจานอาหารเช้าอย่างเบคอน ไข่ดาว ข้าวสวยหนึ่งถ้วยเล็ก พร้อมแก้วน้ำเปล่าบนโต๊ะ

    โธ่...เมื่อคืนหนูแต่งนิยายจนเพลินเลยนี่นา ดูอีกทีก็เกือบห้าทุ่มแล้วอ่ะเด็กสาวแอบทำแก้มป่องเล็กๆ แล้วพนมมือพูดเตรียมกินอาหารเช้าทันที จะทานแล้วนะคะ

    ก็พอเข้าใจถึงความชอบในงานอดิเรกนั้นอยู่ แต่อย่าได้หักโหมมากเกินไปละกัน ยิ่งช่วงนี้ขึ้นปี 2 แล้ว อาจต้องลำบากเรื่องการบ้านเยอะขึ้นกว่าปีก่อน โอเคนะ

    เอมิยะลูบหัวลูกสาวตัวเองเบาๆ และหยิบกล่องข้าวกลางวันที่ห่อด้วยผ้าสีแดงอ่อนๆ มาวางไว้ตรงหน้า จากนั้นก็ปล่อยให้เธอนั่งกินข้าวก่อนที่จะเดินขึ้นไปชั้นสองเพื่อจัดการงานบ้านอย่างอื่นต่อ

    ใช่...ช่วงปิดเทอมแสนสุขได้จบลงและเริ่มเปิดเทอมในวันนี้แล้ว หลายคนคงรู้สึกในทางเดียวกันว่า ทำไมเวลามันผ่านไปไวเหลือเกิน แป๊บเดียวก็เปิดเทอม ขึ้นชั้นปีใหม่ หรือแม้แต่รุ่นพี่ปี 3 ที่เพิ่งเรียนจบสดๆ ร้อนๆ บางรายอาจซวยหน่อยตรงที่ต้องซ้ำชั้น เรียกได้ว่าเวรกรรมนั้นมีอยู่จริงๆ

    เปิดเทอมแบบนี้สิ่งที่ต้องแอบคิดอยู่ในใจคือ จะมีเพื่อนคนใหม่เพิ่มเข้ามาด้วยรึเปล่า เพราะทุกครั้งที่เปิดเทอมต้องมีสักคนหนึ่งอยู่แล้ว แต่การย้ายเข้าก็มีหลายเหตุผล ทั้งบ้านอยู่ใกล้ โรงเรียนบางแห่งมีสูงสุดแค่มัธยมต้นจึงต้องย้ายเข้ามัธยมปลายที่ใหม่ เกิดเหตุฉุกเฉินกะทันหัน...อะไรประมาณนั้น

    เวลาผ่านไป ยูมิกินอาหารเช้าจนหมดทุกอย่างแล้วเก็บถ้วยจานไว้ในอ่างล้างจาน ตอนแรกเธอกะว่าจะล้างให้ แต่พอดูนาฬิกาข้อมือปุ๊บก็เริ่มรู้สึกแย่ขึ้นทุกที ตอนนี้เวลา 7.20 น. แสดงว่าใกล้สายเต็มทน

    อะ...เอ่อ...งะ...งั้นหนูไปแล้วนะคะ คุณแม่!!” เธอบอกเอมิยะอย่างเสียงดังก่อนที่จะรีบสะพายกระเป๋านักเรียน หยิบรองเท้าคัทชูสีดำมาใส่และเปิดประตูบ้านวิ่งออกจากบ้านด้วยแรงกำลังทั้งหมดที่มี

    ความซวยที่จักรยานพังเมื่อวันก่อนแล้วลืมเข็นให้ทางร้านซ่อมจึงนำพาตัวเธอสู่การวิ่งไปโรงเรียนคนเดียวอย่างที่เห็น ในหัวคิดแต่เรื่องเข้าเรียนสายจนลืมทางเลือกใหม่คือ บอกเอมิยะให้ช่วยขับรถยนต์พาไปส่ง ที่สำคัญ...เธอดันลืมเอาข้าวกล่องไปโรงเรียนด้วยอีก เรียกว่าซวยซ้ำซวยซ้อนแต่เช้าเพราะแค่ ลืม เลยทีเดียว

    ระหว่างนั้นเองก็ได้มีรถมอเตอร์ไซด์จอดอยู่โดยไม่มีใครเฝ้าและมีกุญแจเสียบคาเอาไว้ เมื่อความเร่งรีบกำลังกระตุ้นให้ความชั่วตื่นในจิตใต้สำนึก ยูมิถือวิสาสะเข็นออกจากบริเวณนั้น เปิดเครื่องยนต์พร้อมขึ้นไปนั่งบนเบาะก่อนที่จะบิดแฮนด์ซิ่งตามถนนอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังระมัดระวัง ไม่ประมาทกลางถนนจนตัวตาย

    คราวนี้แหละที่ฉันจะต้องไปถึงโรงเรียนทันเวลา รอก่อนนะ...โรงเรียนคาลเดียเอ๋ย!!”


    นั่นไง! โรงเรียนคาลเดียที่เรากำลังรอคอย!!

    เอี๊ยดด~!

    ยูมิพูดในใจแล้วรีบขี่มอเตอร์ไซด์จอดทิ้งไว้ที่กำแพงหน้าโรงเรียน มองไปรอบๆ ก็รู้สึกโล่งอกเพราะไม่มีใครเห็นหรือเดินผ่านเลย เธอสะพายกระเป๋าและจับไว้แน่นไม่ให้ร่วงลงพื้นพร้อมวิ่งเข้าประตูโรงเรียนอย่างรวดเร็ว เมื่อก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ พบว่าตอนนี้เป็นเวลา 8.00 น. ถือว่าไม่สายเกินไป

    พอผ่านจากประตูหน้าโรงเรียนแล้ว ทางซ้ายขวาจะมีเก้าอี้นั่งเล่นไม่กี่ตัว ทางเดินมีดอกไม้เล็กๆ ปลูกไว้ข้างทางพร้อม ซึ่งทั้งสองฝั่งนี้จะมีลักษณะเหมือนกันคือ บ่อน้ำพุตรงหน้าต้นซากุระเตี้ยๆ และพุ่มไม้กลมๆ ที่ถูกปลูกขนาบข้าง รวมทั้งเก้าอี้นั่งเล่นฝั่งละสองตัว

    นักเรียนแต่ละคนยังคงจับกลุ่มคุยกัน เล่นกันอยู่แถวนั้น พวกเขาเลือกที่จะเข้าห้องเรียนเวลาประมาณ 8.20 น. เหตุผลคือ เวลาโฮมรูมจะเริ่มตอน 8.30 น. ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องรีบขนาดนั้น ผิดกับยูมิที่ลนลานหนัก พยายามเต็มที่เพื่อให้ทันเวลา ซึ่งครั้งนี้เรียกว่า มาล่วงหน้า ได้เลย

    ระหว่างที่เธอเปลี่ยนรองเท้าคัทชูสีดำมาใส่เป็นสีน้ำตาลจากตู้ล็อกเกอร์และรีบวิ่งเข้าอาคารเรียน ก็ได้มีนักเรียนชายอีกคนเดินมาจากทางขวา ในจังหวะนั้นเองพวกเขาทั้งสองเดินตัดหน้าพอดี ทำให้นักเรียนสาวเผลอวิ่งชนจนต้องล้มหงายลงพื้น

    ตุบ!

    โอ๊ะ...เจ็บๆๆ

    มะ...ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่มั้ยขอรับ...

    เธอเงยหน้าไปมองคนตรงหน้าและพบว่า เป็นนักเรียนชายชั้นปีหนึ่งที่เป็นเด็กใหม่ ผมสั้นสีแดง ปัดหน้าม้าปิดตาข้างขวา ดวงตาสีแดงอันน่าจับจ้อง มีรูปร่างที่ผอมเล็ก ความสูงประมาณ 158 เซนติเมตร เขากำลังอยู่ในชุดนักเรียนเบลเซอร์ที่เป็นเครื่องแบบหลักของโรงเรียนนี้ เสื้อสูทสีดำทับเสื้อเชิ้ตแขนยาวทั่วไป ผูกเนคไทสีแดง เข็มขัด กางเกงขายาวและรองเท้าคัทชูสีดำ รวมทั้งอีกหนึ่งอย่างที่โดดเด่นเป็นพิเศษ นั่นคือ ผ้าพันคอสีแดง

    เขายื่นมือขวาลงมาหวังช่วยยูมิที่นอนหงายอยู่บนพื้น เธอมองรูปลักษณ์ไปพักใหญ่ก่อนที่จะสะบัดหัวเรียกสติแล้วจับมือเขาพร้อมลุกขึ้นยืน

    อะ...อื้ม ฉันไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณที่ช่วยนะ เอ่อ...

    ฟูมะ โคทาโร่ขอรับ ระ...รุ่นพี่...”

    รุ่นพี่!? คุณพระ! ช่างเป็นบุคลิกรุ่นน้องชายที่ดีอะไรเช่นนี้

    นักเรียนสาวแอบใจเต้นตึกตักและรู้สึกร้อนผ่าวเล็กๆ บนใบหน้า ในชีวิตของเธอไม่เคยเจอใครเรียก รุ่นพี่ มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นเลยแม้แต่นิด ถึงช่วงนั้นจะอยู่ระดับสูงสุดแล้ว เหล่ารุ่นน้องก็ยังพากันเรียกชื่อห้วนๆ หรือบางรายมีปากชวนยั่วส้นเท้าจากเธอไปกระทืบให้ตายด้วยการเรียกว่า เจ๊

    ก่อนที่เธอจะได้ขอตัวเดินไปห้องเรียนตัวเอง รุ่นน้องผมแดงก็จับข้อมือรั้งเอาไว้ไม่ให้ไปไหน

    ฟูมะคุง? มีอะไรรึเปล่า...

    คือ...กระผมเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามา ก็เลย...อยากจะให้พาสำรวจโรงเรียนแห่งนี้สักหน่อย รุ่นพี่...พอจะช่วยได้มั้ยขอรับ

    น้ำเสียงของเขาค่อนข้างกระตุกกระตักด้วยความเขินอายบวกกับไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่นัก รุ่นพี่สาวก้มมองนาฬิกาแล้วก็รู้สึกได้ว่า ตอนนี้น่าจะไม่ต้องรีบเข้าห้องก็ได้มั้ง เธอจึงพยักหน้าตกลงพร้อมเดินนำทางเขาไป

    ยูมิคอยแนะนำห้องต่างๆ ให้รุ่นน้องคนใหม่ ไม่ว่าจะห้องเรียน ชมรม พยาบาล แนะแนว หรือแม้แต่ห้องพักครู วิชาการ และทะเบียนวัดผล ซึ่งตัวอาคารเรียนสามชั้นนี้จะมีเพียงอาคารเดียว แต่ก็ทดแทนด้วยการทำทางเดินล้อมรอบเป็นสี่เหลี่ยม พื้นที่ใจกลางมีบ่อน้ำพุสวยๆ เก้าอี้นั่งเล่นข้างทางเดินทั้งสี่ มีต้นซากุระขนาดกลางปลูกอยู่สี่มุม หากออกไปนอกตัวอาคารจะมีโรงยิม สนามกีฬา อาคารเปลี่ยนชุดพละ และที่พิเศษกว่านั้นคือ โซนว่ายน้ำสำหรับชมรมว่ายน้ำหรือการเรียนวิชาพลศึกษานั่นเอง

    หลังจากที่พาไปสำรวจจนครบทุกอย่าง พวกเขาก็หยุดยืนอยู่ใกล้บ่อน้ำพุ ณ พื้นที่ใจกลางโรงเรียน

    คร่าวๆ ก็ประมาณนี้นะ...ถ้ามีส่วนไหนที่ยังลืมหรือเผลอหลงทาง แผนที่ใบนี้จะช่วยเธอได้ดีเลยรุ่นพี่สาวเปิดกระเป๋านักเรียนแล้วหยิบกระดาษแผนที่โรงเรียนคาลเดียพร้อมส่งไปให้รุ่นน้องหนุ่มตรงหน้า

    ขะ...ขอบคุณนะขอรับ เอ่อ...รุ่นพี่...

    อิชิมารุ ยูมิจ้ะ งั้นพี่ขอตัวเข้าห้องเรียนก่อน มีโอกาสเจอกันอีกทีค่อยคุยกันใหม่นะ

    ว่าจบยูมิก็รีบเดินไปทางฝั่งซ้ายของตัวอาคาร ขึ้นไปยังชั้นสองแล้วเข้าห้อง 2-A ก่อนที่จะนั่งบนเก้าอี้หลังห้องติดริมกระจกอย่างไว พอเธอทบทวนเรื่องเมื่อเช้าใหม่อีกทีก็รู้สึกตัวจนสะดุ้งโหยงและแทบกรีดร้อง เพราะตอนวิ่งออกจากบ้านดันลืมกล่องข้าวกลางวันที่เอมิยะอุตส่าห์ทำให้ ภาพของมันกำลังลอยในหัววนไปมา พยายามตอกย้ำความขี้ลืมเอาให้ได้

    คือแบบ...นี่อะไรกันวะเนี่ยยย!! วันนี้มันโคตรซวยแต่เช้าเลยนี่หว่า!!

    เธอแอบโวยในใจพร้อมโขกหัวตัวเองลงบนโต๊ะหนึ่งทีด้วยความเซ็งจิตแล้วนั่งห้อยแขนลงไปทั้งอย่างนั้น จากนั้นก็ได้มีนักเรียนคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องของเธอเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ตรงหน้า

    เช้านี้เป็นอะไรไปรึ ยูมิ ดูท่าทางหมดแรงไม่ใช่น้อยเลย

    อราชเหรอ...ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก เมื่อคืนแค่แต่งนิยายดึกเกินเท่านั้นเองเธอตอบกลับพร้อมพลิกหน้าออกไปทางกระจกแล้วแอบถอนหายใจเบาๆ

    อราชเกิดมาพร้อมนิสัยที่ใจดี เฟรนด์ลี่กับเพื่อนร่วมห้องทุกคน ยิ้มแย้มแจ่มใสให้ทุกครั้ง แต่กลับมีคนที่สนิทติดหนึบและอยากปกป้องยิ่งกว่า นั่นคือยูมิ พวกเขารู้จักกันครั้งแรกตอนสมัยมัธยมต้น เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้กัน ทั้งคู่จึงได้ย้ายเข้ามาเรียนมัธยมปลายที่นี่ด้วยความบังเอิญ

    หืมม? อย่างเธอเนี่ยนะที่จะหมดแรงเพราะแต่งนิยาย มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นใช่มั้ยล่ะ...นักเรียนหนุ่มเอียงคอและทำสีหน้าสงสัยเล็กน้อย จากนั้นมือขวาของเขาก็ยื่นไปจับหันหน้าเพื่อนสาวให้กลับมามองตัวเอง หรือว่า...ลืมของไว้ที่บ้านรึเปล่า...ปกติก็ไม่น่าจะลืมขนาดนี้นี่นา

    “...” เธอเงียบปากไปประมาณห้าวินาทีก่อนที่จะตอบความจริงแต่โดยดี เมื่อเช้า...ฉันตื่นสาย รีบจัด กินข้าวเสร็จก็ลืมเอากล่องข้าวกลางวันมา...

    หลังยูมิพูดจบ อราชก็แอบหัวเราะพร้อมใช้มือขวาเขกหน้าผากคนตรงหน้าเบาๆ ต่อมาเขาได้พยายามพูดปลอบใจประมาณว่า เดี๋ยวคุณแม่คงจะขับรถเอากล่องข้าวมาให้ถึงที่ช่วงพักกลางวันน่ะแหละ สักพักเหล่าเพื่อนร่วมห้องที่เหลือก็เริ่มทยอยเดินเข้าห้องอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งสองจึงจบการสนทนาไว้เพียงแค่นี้ อราชหันกลับไปนั่งประจำที่ตัวเอง ส่วนยูมินั่งห่อเหี่ยวหน้าแนบโต๊ะเหมือนเดิม

    ขณะนี้เวลา 8.40 น. เกินชั่วโมงโฮมรูมของนักเรียนทุกห้องแล้ว แน่นอนสิ่งที่ตามมาคือ ร่างของอาจารย์ประจำชั้น ซึ่งในห้อง 2-A นี้มีอาจารย์เป็นผู้ชายผมสีฟ้าที่ตั้งขึ้นและมีหน้าม้าสี่เส้น แต่ผมด้านหลังกลับปล่อยยาวลงถึงหลัง ดวงตาสีแดงอันมีเสน่ห์ เขามาในเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พับแขนเสื้อขึ้นระดับศอก ผูกเนคไทสีน้ำเงิน เข็มขัดสีเทาเข้ม กางเกงขายาวและรองเท้าคัทชูสีดำ เครื่องประดับที่ใส่มาก็มีนาฬิกาข้อมือสีดำ ตุ้มหูเรียวยาว จิวหูแบบหนีบใบหูสีเงินพร้อมแว่นตากรอบเหลี่ยมมนสีดำ

    ตัวตนของอาจารย์คนนี้คือ คูฮูลินน์เวอร์ชั่นแคสเตอร์นั่นเอง และตอนนี้เขาก็กำลังยืนอยู่หน้าห้องแล้วขยับแว่นหนึ่งทีก่อนที่จะเริ่มพูดต่อจากนี้

    อ่า...ต้องขอโทษทีนะที่ครั้งนี้มาช้าจนนักเรียนหลายคนยังไม่ได้เห็นหน้าอาจารย์เลย นั่นก็เพราะมีปัญหาเรื่องการเดินทางนิดหน่อย พอดีขอแวะบ้านเพื่อนสักแป๊บก่อนเข้าโรงเรียน แต่จู่ๆ รถมอเตอร์ไซด์ที่เผลอเสียบกุญแจทิ้งไว้ก็หายไปไหนไม่รู้ มาถึงหน้าโรงเรียนอีกที มันถูกจอดอยู่แถวนั้นแล้ว

    “อ่ะ...!

    ชิบละ...อย่าบอกนะว่าเป็นมอเตอร์ไซด์ที่ฉันขี่มาช่วงคับขันเรื่องมาสาย!?

    ยูมิแอบสะดุ้ง นั่งหลังตรงอย่างเป็นระเบียบทันที เหงื่อเริ่มไหลออกมือทีละนิด เสียงหัวใจกลางอกที่เต็มไปด้วยบาปกรรมดังกึกก้องในหู เธอเริ่มเลือกไม่ถูกว่าจะต้องทำยังไงต่อ ไปขอโทษเขาตอนพักกลางวันหรือปล่อยไว้เฉยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อมาจึงคิดได้ว่า พอถึงเวลาค่อยตัดสินใจละกัน

    แต่ช่างมันเถอะเนาะ อย่างน้อยรถของอาจารย์ก็ยังไม่โดนใครขโมยไป เอาเป็นว่าชั่วโมงโฮมรูมในวันนี้ขอเริ่มจากเรื่องนักเรียนย้ายมาใหม่ก่อนละกัน

    หลังอาจารย์คูได้เอ่ยคำว่า นักเรียนย้ายมาใหม่ หลายคนก็พากันซุบซิบ ตื่นเต้นและลุ้นว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จากนั้นเสียงซุบซิบนั่นก็หายไปโดยถูกสั่งให้ฟังอาจารย์อย่างเงียบๆ เขากวาดสายตามองนักเรียนในห้องที่นั่งอย่างสงบแล้วหันไปเรียกอีกคนที่อยู่นอกห้อง

    เอาล่ะ...เด็กใหม่ ถึงเวลาแนะนำตัวให้เพื่อนๆ รู้จักกันแล้วนะ

    เด็กใหม่พยักหน้าให้ก่อนที่จะค่อยๆ ก้าวขาเดินเข้ามาอย่างช้าๆ นั่นทำให้ปฏิกิริยาของเหล่าผู้หญิงถูกเผยอย่างชัดเจน เพราะคนนั้นเป็นนักเรียนชายที่มีผมสีน้ำตาล ปลายหงอนผมสองเส้นมีสีดำอ่อน ดวงตาสีแดงทับทิม เขามีรูปร่างผอมที่ค่อนไปทางเปราะบาง ใส่เครื่องแบบนักเรียนเดียวกันกับของโรงเรียนนี้เป๊ะ

    เมื่อเขาได้มาถึงหน้าห้อง อาจารย์ก็เดินออกทางซ้ายมือของห้องสามก้าว ปล่อยให้แนะนำตัวไป

    ชื่อ ซิก ย้ายมาจากกรุงโรมาเนีย ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย...ครับ

    หลังสิ้นสุดการแนะนำตัว เหล่านักเรียนเก่าก็เริ่มซุบซิบด้วยกันหนักกว่าเดิม พวกผู้หญิงค่อนข้างรู้สึกปลาบปลื้มในความน่ารักของซิก ความคิดที่ว่าตอนพักกลางวันจะเข้าไปถามนู่นนี่นั่นเริ่มผุดขึ้นทันใด ส่วนทางนักเรียนชายถูกแบ่งเป็นคนละฝั่ง เช่น อยากคุยด้วย อยากลองแกล้งเพราะเห็นว่าน่าจะอ่อนแอ หรือรู้สึกเฉยๆ ไม่สนใจ ยูมิมองแล้วเริ่มสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่างที่ต้องเกิดขึ้นกับเขาเร็วๆ นี้

    เอ้าๆ ทุกคนเงียบได้แล้ว ต่อจากนี้ก็ขอให้พวกเธอทุกคนสนิทกันเข้าไว้ ส่วนซิก...นั่งตรงหลังห้องที่มีโต๊ะข้างๆ ยูมินะ

    อาจารย์คูพูดจบ เด็กใหม่ก็เดินตรงไปยังโต๊ะว่างข้างกับนักเรียนสาวแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ และแน่นอนโมเม้นต์ยอดฮิตสำหรับเรื่องราวในโรงเรียนก็เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน นั่นคือ เหล่าผู้หญิงทั้งหมดแสดงปฏิกิริยาคนละแบบ บ้างก็อิจฉา หมั่นไส้ โมโหที่ตัวเองไม่ได้นั่งด้วย แต่ดันเป็นผู้หญิงบ้านๆ หน้าตาออกจะธรรมดา ไม่ได้มีความน่ารักเลย

    พอเด็กใหม่ผู้ชายได้นั่งข้างฉัน ทำไมรัศมีของเหล่าชะนีที่จ้องมาแถวนี้มันช่างรุนแรงดีจัง

    ทีนี้ก็ไม่มีอะไรมากมายแล้ว ขอเริ่มชั่วโมงโฮมรูมของพวกเราจริงๆ เลยละกัน

    ว่าจบทุกคนก็เข้าสู่ภาวะเล่าเรียนตามปกติ โดยสิ่งที่ไม่ปกติอย่างออร่าความอิจฉาริษยายังคงลอยวนไปรอบตัวยูมิ ความจริงเธอไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไรมากมาย เพียงแต่แอบหมั่นไส้เล็กๆ บวกคันมือนิดหน่อย ถ้าใครบังอาจแกล้งซิกหรือกล้าหือกับเธอ โหมดการต่อสู้และป้องกันตัวจะต้องถูกเปิดใช้งานอย่างไม่ลังเล

    ถึงจะเป็นผู้หญิงบ้านๆ แต่ฉันก็ไม่ได้มีนอบนหน้าผากเหมือนพวกเธอหรอกนะเฟ้ย!!


    ช่วงพักกลางวัน

    นายๆ ที่โรมาเนียเป็นไงบ้าง อากาศร้อนเหมือนที่นี่รึเปล่า

    เข้ามาช่วงปีสองกะทันหันอาจจะยังไม่คุ้นกับบทเรียนของที่นี่หน่อยเนาะ เดี๋ยวว่างๆ พวกเราจะช่วยสอนเอง

    ไหนๆ ก็มีเด็กใหม่เข้ามาทั้งที เอาเป็นว่าเย็นนี้เราขอเลี้ยงข้าวเป็นการต้อนรับดีกว่า

    จะว่าไปซิกคุงมีแฟนรึยังน่ะ คือเห็นเป็นหนุ่มน่ารักแบบนี้คงมีสักคนในใจแล้วก็ได้

    ซิกคุง เย็นนี้ไปร้านกาแฟด้วยกันมั้ย พวกเรามีเรื่องจะคุยด้วยเยอะเลยล่ะ

    อืมม...จ้ะ พอเด็กใหม่มาก็เห่อกันเหลือเกิน เชื่อเหอะ...เดี๋ยวสักพักแม่มก็ไม่สนใจกันละ

    ยูมิคิดในใจพร้อมนั่งมองกลุ่มเพื่อนร่วมห้องที่รุมกันถามนู่นนี่นั่นกับซิกไม่หยุดหย่อน เขาทำได้แค่ตอบสั้นๆ หรือพยักหน้า ส่ายหน้าเท่านั้น ต่อมาเธอก็หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากระโปรงพร้อมเปิดเมนูรายชื่อติดต่อ เลื่อนหาชื่อของเอมิยะแล้วกดโทรทันที

    “...”

    เสียงรอสายที่เป็นเพลงประจำตัวของเอมิยะคลอไปหลายวินาที ตอนแรกเธอคิดว่าคงไม่ว่างหรือนอนหลับอยู่ แต่ก่อนที่จะกดวางสายนั้นอีกฝั่งก็ได้รับโทรศัพท์พอดี

    ยูมิ? โทรมาตอนกลางวันแบบนี้มีเรื่องอะไรจะปรึกษารึเปล่า

    เอ่อคือ...กล่องข้าวกลางวันของหนูที่ทำให้เมื่อเช้ายังอยู่มั้ยคะ พอดีรีบวิ่งออกจากบ้านแล้วลืมหยิบมาโรงเรียนด้วย

    อ๋อ...กล่องข้าวน่ะเหรอ ตอนนี้มันยังวางที่เดิมอยู่เลย เดี๋ยวสักพักจะขับรถยนต์เอาไปให้แล้วล่ะ ถึงหน้าโรงเรียนเมื่อไหร่จะโทรหาอีกทีนะ

    ขอบคุณค่ะ คุณแม่ หนูจะรอนะคะ

    ติ๊ด!

    ยูมิกดปุ่มวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากระโปรงเหมือนเดิมพร้อมนั่งรออย่างใจจอใจจ่อ เธอหันไปทางหน้าต่าง มองออกนอกอาคารแล้วพบกับภารโรงสองคนกำลังกวาดทำความสะอาดโรงเรียนด้วยกัน ซึ่งตัวตนของพวกเขาคือ คูฮูลินน์เวอร์ชั่นอัลเตอร์กับโปรโตไทป์

    ทั้งตัวเธอและภารโรงสองคนนั้นรู้จักกันตั้งแต่ปีที่แล้วโดยเริ่มจากเหตุการณ์เดียวกันกับเมื่อครู่ เธอลืมกล่องข้าวกลางวันจนกระทั่งเอมิยะขับรถยนต์มาพร้อมฝากอัลเตอร์ไปให้ ณ พื้นที่นั่งเล่นฝั่งซ้ายของโรงเรียน ช่วงนั้นโปรโตไทป์เองก็นั่งคุยกับเธอและอราชอยู่ด้วย ทำให้พวกเขาได้รู้จักกันจนถึงวันนี้

    เธอรอคอยคุณแม่เอมิยะอยู่หลายนาที...จนท้ายที่สุดก็ก้มหน้าฟุ่บลงบนโต๊ะด้วยความอ่อนเพลีย อราชเห็นเพื่อนสาวในสภาพอิดโรยรวมถึงซิกที่ยังมีคนรุมถามหรือแนะนำอะไรต่ออะไรไปเรื่อยแล้วก็ตัดสินใจที่จะชวนทั้งสองกินข้าวกัน อีกอย่างคือ เขาเริ่มมองว่าเด็กใหม่ตอนนี้อาจถูกหลอก กลั่นแกล้งได้ง่ายจากนักเรียนบางกลุ่มด้วย

    ยูมิ...ซิก พวกเราไปกินข้าวในโรงอาหารกันเถอะ

    นักเรียนทั้งสองเงียบและมองคนเชิญชวนไปพักๆ ก่อนที่จะพยักหน้าตกลงกัน นั่นทำให้ผู้หญิงคนอื่นเริ่มแอบจิกสายตามาทางยูมิอย่างอาฆาต อิจฉาริษยา แต่ถึงอย่างนั้น...ปฏิกิริยาของเหล่านางก็ไม่สะทกสะท้านเลย อราชเข้ามาโอบคอเพื่อนสาวกับซิกด้วยความสนิทสนมพร้อมเดินออกจากห้องลงไปยังโรงอาหารทันที

    ถูกยิงคำถามกับข้อเสนอใส่รัวแบบนี้คงรู้สึกไม่สบายใจไปหน่อยสินะ ซิกนักเรียนหนุ่มผมดำหันไปถามเด็กใหม่และตบไหล่เบาๆ เพื่อทำให้รู้สึกสบายใจ ไม่อึดอัด

    อืม...ต้องขอโทษด้วยนะ ฉันอาจจะพูดหรือทำตัวไม่ค่อยถูกเหมือนมนุษย์อย่างพวกคุณ เพราะเดิมทีก็เป็นแค่โฮมุนครุสเท่านั้น

    โฮมุนครุส? อ่อ...อย่างนี้นี่เอง ฉันเคยอ่านมาจากหนังสือตอนเรียนปีหนึ่งเห็นว่าปกติไม่น่าจะมีความรู้สึกใดๆ ภายในร่างและจิตใจว่างเปล่าหมด แต่ตัวซิกคุงตอนนี้กลับดูมีชีวิตเหมือนคนทั่วไปเลย

    เรื่องนั้น...ต้องขอบคุณสองคนนั้นล่ะนะ ไม่สิ...สามคนเลยก็ว่าได้ ไรเดอร์ช่วยหลบหนีออกจากขุมนรกในกลุ่มอิกด์มิลเลนเนีย รูลเลอร์ช่วยสอนหลายๆ อย่างเกี่ยวกับมนุษย์ ที่สำคัญ...ซิกฟรีด เขาสละหัวใจตัวเองเพื่อช่วยให้ฉันมีชีวิตรอดและเผชิญหน้ากับโลกนี้ต่อไป

    หลังซิกพูดจบประโยคเมื่อครู่ เด็กเก่าทั้งสองก็หันหน้ามองมาทางเดียวกันก่อนที่จะยิ้มบางๆ อราชปล่อยเพื่อนใหม่ของตนออกจากอ้อมแขนและพายูมิเดินมายืนตรงหน้าเตรียมแนะนำตัว

    จะว่าไปพวกเรายังไม่ทันได้แนะนำตัวเองเลยนี่เนาะ ฉันชื่อ อราช เรียนอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปีแรกพร้อมเธอคนนี้เพราะบ้านใกล้กันพอดีเขายีหัวเพื่อนสาวเล่นในขณะที่พูดแนะนำชื่อตัวเอง

    ส่วนฉัน อิชิมารุ ยูมิ ยินดีที่ได้รู้จักนะ...ซิกคุง

    อราชและยูมิต่างยื่นมือไปแล้วยิ้มกว้าง นักเรียนหนุ่มผมน้ำตาลพยักหน้าก่อนที่จะจับมือพวกเขา

    ทางนี้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยละกัน...อราช ยูมิ

    อึ่ก...!”

    ยูมิแอบสะดุ้งและใจเต้นตึกตักแปลกๆ เมื่อเห็นเด็กใหม่พยายามยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน ดูเหมือนว่าเขาจะมีความบิโชเน็นสูงจนสามารถสร้างดาเมจแก่สาวๆ ได้ง่ายดายเลยทีเดียว ต่อมาเธอจึงสะบัดหัวเพื่อตั้งสติกลับมาพร้อมลากเพื่อนหนุ่มทั้งสองไปกินข้าวในโรงอาหารด่วนจี๋

    จังหวะนั้นเอง เบื้องหลังนักเรียนสามคนนั้นยังมีนักเรียนสาวกลุ่มหนึ่งแอบสอดแนมและมองด้วยความอิจฉาริษยา โมโหที่ยูมิ...ผู้หญิงบ้านๆ ที่พวกเธอมองว่าแรดเงียบช่วงชิงตัวซิกให้ไปอยู่ร่วมกัน จากนั้นเหล่านางก็ได้แอบเดินตามก่อนที่จะยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย

    มันต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นต่อจากนี้แน่นอน...

     

    ในขณะเดียวกัน ภารโรงหนุ่มสองคนอย่างคูอัลเตอร์กับโปรโตไทป์ก็กำลังทำความสะอาดทางเดินทั้งสองฝั่งบริเวณหน้าอาคารเรียน ซึ่งได้แบ่งกันคนละฝั่งเรียบร้อย เพื่อที่จะได้ปัดกวาดเสร็จเร็วขึ้น แต่นั่นก็ยังไม่มากเท่าที่ควร เพราะโรงเรียนคาลเดียแห่งนี้จ้างภารโรงมาแค่สองคน อีกทั้งยังไม่มีการประกาศจ้างเพิ่มด้วย ทำให้ภาระงานในบางวันอาจจะหนักหน่วงเกินไป

    พวกเขาปัดกวาดทางเดินไปเรื่อยๆ จนเสร็จภายในห้านาที ช่วงที่เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดและกำลังจะได้นั่งพัก อัลเตอร์ก็สังเกตเห็นรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่หน้าโรงเรียน เขามองแล้วเริ่มรู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยเห็นมาก่อน ต่อมาจึงนึกได้ว่านั่นเป็นรถยนต์ของเอมิยะ เขาเดินไปยังหน้าโรงเรียนพร้อมกับยืนกอดอกพิงประตูรอให้อีกฝ่ายก้าวเท้าออกจากรถ

    ครั้งนี้ทางลูกสาวลืมเอาอะไรมาอีกล่ะ...เอมิยะ

    แค่กล่องข้าวกลางวันอย่างเดียวเอมิยะยื่นกล่องข้าวที่ถูกห่อด้วยผ้าสีแดงอ่อนๆ ไปให้ทางภารโรงตรงหน้า วันนี้ยูมิดันตื่นสาย ก็เลยรีบออกจากบ้านแล้วลืมเอาของมาด้วย

    เพราะนางเป็นคนตรงต่อเวลาเกินไปล่ะมั้ง...แต่เอาเถอะ เดี๋ยวจะเอาไปให้เอง

    ว่าจบอัลเตอร์ก็รับกล่องข้าวเอาไว้พร้อมเดินตามหายูมิในอาคารเรียน ทางเอมิยะแอบยิ้มเล็กน้อยแล้วหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงมากดโทรไปยังลูกสาวของตัวเอง เพื่อยืนยันให้เธอรู้ว่า มีภารโรงกำลังส่งกล่องข้าวกลางวันไม่อีกไม่ช้านี้ พอหลังจากโทรบอกเรียบร้อย เขาหันไปขึ้นรถยนต์เตรียมสตาร์ทเครื่องขับกลับบ้านตัวเอง

    ในระหว่างที่ยูมิกำลังลากอราชกับซิกไปหาภารโรงผู้รับฝากกล่องข้าวกลางวันจากเอมิยะ อยู่ๆ ก็บังเอิญเดินตัดหน้าอัลเตอร์พอดี ทำให้เธอหยุดเดินกะทันหัน ร่างของเพื่อนสองคนแทบจะชะงักตามไม่ทัน ภารโรงหนุ่มหันมองนักเรียนสาวและกล่องข้าวสลับกันสองรอบแล้วยื่นของฝากให้ตรงหน้า

    แม่เธอเอาข้าวกล่องมาให้แล้วนะ ยูมิ

    อ่า...ค่ะ ขอบคุณที่อุตส่าห์รับของมาส่งให้นะคะ ภารโรงอัลเตอร์

    นักเรียนสาวรับกล่องข้าวกลางวันมาด้วยความดีใจ พวกเงินที่ตั้งใจจะเก็บออมไว้เกือบจะได้ใช้ซื้อข้าวกินเองซะแล้ว อีกฝ่ายพูดเตือนว่าวันหลังอย่าตื่นสายจนลืมของอีกพร้อมยกมือขวามายีหัวเล่นและเขกหน้าผากสองทีหวังเตือนความจำทับซ้อนเข้าไป

    ยูมิยิ้มและหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อนความขี้ลืมในสมองตัวเองให้กับอัลเตอร์โดยไม่รู้เลยว่าเพื่อนหนุ่มอีกสองคนกำลังมองด้วยสายตาที่แปลกจากเดิม อราชกับซิกพูดขอบคุณอีกฝ่ายแล้วรีบลากเธอไปกินข้าวในโรงอาหารทันที ภารโรงมองตามหลังนักเรียนทั้งสามพร้อมยิ้มกว้างเป็นนัยๆ บางอย่างก่อนที่จะเดินกลับจุดนั่งพักผ่อนที่เดิม

    เธอเนี่ย...ยังเป็นนักเรียนที่น่าสนใจไม่เปลี่ยนเลยนะ ยูมิ

     

    ณ โรงอาหารชั้นใต้ดิน

    ปกติแล้วโรงอาหารในแต่ละแห่งจะถูกแยกให้เป็นอีกอาคารออกไปข้างนอก แต่โรงเรียนแห่งนี้ทางผู้อำนวยการกิลกาเมช(เวอร์ชั่นแคสเตอร์)ได้เสนอความคิดมาว่า พวกเราควรสร้างไว้ในชั้นใต้ดินเพื่อไม่ให้นักเรียนทุกคนต้องเหนื่อยกับการเดินลงชั้นล่างแล้วต้องเดินข้างนอกต่อให้ไกลอีก รวมทั้งอีกปัจจัยหนึ่งเกี่ยวกับพื้นที่โรงเรียนทั้งหมดที่อาจไม่เพียงพอสำหรับการสร้างอาคารเพิ่มด้วย

    อราชและซิกพายูมิเดินลงชั้นใต้ดินพร้อมกวาดสายตามองหาที่นั่งว่างๆ ซึ่งพบว่า ตอนนี้มีค่อนข้างน้อย แทบจะเรียกว่าไม่มีที่นั่งเลย แต่ความหวังนั้นก็ยังเมตตาเข้าข้างเพราะมีโต๊ะริมกำแพงตัวหนึ่งว่างอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงรีบตรงเข้าไปจับจองอย่างรวดเร็ว จากนั้นนักเรียนหนุ่มทั้งสองก็พากันซื้อข้าวโดยให้เพื่อนสาวของพวกเขานั่งเฝ้าไว้

    นักเรียนสาวนั่งอึนและมึนรอพร้อมกับมือที่กำลังจับกล่องข้าวกลางวันบนโต๊ะ เธอมองออกไปรอบๆ พบบรรยากาศภายในโรงอาหารในรูปแบบที่ต่างกัน ทั้งนั่งกินข้าวอย่างสงบ คุยกันแทบไม่เกรงใจคนรอบข้าง พยายามพูดคุยเบาๆ หรือบางกลุ่มแอบเทน้ำใส่จานข้าวเล่น ซึ่งการเอาอาหารมาเล่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่บางคนยังคงมองว่าเป็นเรื่องปกติอยู่

    ผ่านไปสักพักเธอก็พบกับร่างของนักเรียนหนุ่มใส่ผ้าพันคอสีแดงที่น่าคุ้นเคย ใช่...คนๆ นั้นคือ ฟูมะ โคทาโร่ที่เพิ่งเจอกันและแนะนำโรงเรียนให้เมื่อเช้า เขาตอนนี้กำลังถือจานข้าวแล้วมองหาโต๊ะนั่งว่างๆ จนกระทั่งสายตาได้ตรวจพบโต๊ะที่รุ่นพี่สาวนั่งคนเดียว ความรู้สึกตอนแรกคือ ไม่กล้า แต่ด้วยการที่ไม่มีทางเลือก เขาจึงเดินตรงไปหาเธออย่างกล้าๆ กลัวๆ

    เอ่อ...รุ่นพี่อิชิมารุ กระผมขอ...นั่งด้วยได้มั้ยขอรับ

    ยูมิมองใบหน้าแดงๆ ของอีกฝ่ายแล้วพยักหน้าตกลงด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร เขายิ้มให้เล็กๆ ก่อนที่จะเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ด้านตรงข้าม ในจังหวะนั้นเองที่อราชและซิกซื้อข้าวเสร็จพอดี พวกเขาเดินกลับมาหาพร้อมมองไปยังแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นการกระทำก็ยังคงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซิกนั่งข้างโคทาโร่ซึ่งตรงข้ามกับอราชที่นั่งข้างเพื่อนสาวของเขา

    นายก็เป็นเด็กใหม่เหรอ ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลยนักเรียนหนุ่มผมดำหันไปถามรุ่นน้องผมแดงด้วยความสงสัย

    เอ่อ...ใช่ขอรับ กระผม...ฟูมะ โคทาโร่ เพิ่งย้ายมาเรียนที่นี่ อยู่ในชั้นปีหนึ่ง ห้องบีขอรับ

    รุ่นน้องสินะ...เอาเถอะ ยินดีที่ได้รู้จักละกัน ฉันชื่อ อราช เด็กใหม่ห้องฉันที่นั่งข้างนายชื่อ ซิก

    ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ...ฟูมะ โคทาโร่

    พวกเขาทั้งสองต่างแนะนำตัวเองให้รุ่นน้องใหม่ได้รู้จักเพราะเห็นว่าต้องเคยพูดคุยกับยูมิด้วยแน่ๆ นั่นถือเป็นการเริ่มต้นสานสัมพันธ์ระหว่างเด็กเก่าและใหม่ที่ดีเลยทีเดียว จากนั้นทุกคนบนโต๊ะนี้ก็เริ่มกินข้าวกลางวันของตัวเองด้วยความสงบ

    จะทานแล้วนะครับ/คะ!!”

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    เวลาผ่านไปหลายนาที พวกเขาทั้งสี่ได้กินข้าวกลางวันจนอิ่มท้อง ยูมิเก็บกล่องข้าวแล้วห่อด้วยผ้าสีแดงอ่อนๆ ก่อนที่จะเดินเข้าห้องน้ำชั้นหนึ่งเพื่อล้างกล่องให้สะอาด ทางอราชไม่ยอมปล่อยให้เพื่อนสนิทเดินคนเดียวจึงขอติดตามไปด้วย ส่วนทางเด็กใหม่ทั้งสองก็เริ่มนั่งพูดคุยรอนักเรียนเก่าพลางๆ

    จะว่าไป...โคทาโร่รู้จักกับยูมิมาก่อนแล้วเหรอซิกเริ่มต้นบทสนทนาก่อนคนแรก

    เอ่อ...ก็เพิ่งรู้จักเมื่อเช้าเองขอรับ ตอนนั้นเกิดอุบัติเหตุเดินชนกันจนรุ่นพี่ล้มลงพื้น กระผมเลยยื่นมือให้ความช่วยเหลือ จากนั้นก็ขอให้รุ่นพี่พาเดินดูทั่วโรงเรียนก่อนขึ้นห้องสักหน่อยน่ะขอรับ

    ดีจังแฮะ...ฉันยังไม่มีใครพาเดินดูโรงเรียนเลย มาถึงก็ต้องขึ้นห้องเพราะเลยชั่วโมงโฮมรูมไปแล้ว เอาเป็นว่าตอนเวลาว่างๆ พวกเราชวนยูมิกับอราชเดินเล่นด้วยกันมั้ย

    จะดีเหรอขอรับ...กระผมเป็นแค่รุ่นน้องปีหนึ่งเอง อยู่กับพวกรุ่นพี่มันดูแปลกไปรึเปล่านะ...

    ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็มีกลุ่มตอนพักกลางวันด้วย อีกอย่าง...ถ้ามีการบ้านวิชาไหนไม่เข้าใจจะได้ลองถามพวกเขาสองคนดู แบบนี้ได้ประโยชน์สองเท่าเลยนะ

    ซิกหันไปตบบ่าโคทาโร่เบาๆ พยายามยิ้มให้อย่างเป็นมิตร อีกฝ่ายพยักหน้าตกลงพร้อมยิ้มตอบกลับด้วย ทำให้ออร่าความเป็นบิโชเน็นเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม

    ระหว่างนั้นเองก็ได้มีนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งกำลังแอบมองอยู่ข้างหลัง และบังเอิญช่วงนั้นนักเรียนที่เหลือพากันเดินขึ้นชั้นบนหมดแล้ว พวกเขาแอบพูดตกลงอะไรบางอย่างแล้วลุกไปหาอย่างพร้อมเพรียง

    เฮ้ยน้อง! สนใจร่วมแก๊งค์กับพวกพี่เปล่า อยู่ด้วยแล้วมีตังค์ใช้เยอะนา~

    หัวหน้าแก๊งค์หนุ่มเดินเข้าใกล้ซิกแล้วกอดคอเหมือนเคยสนิทสนมกัน ทางโคทาโร่พยายามพูดปฏิเสธข้อเสนอพร้อมบอกว่ามีกลุ่มแล้ว แต่เหล่าลูกน้องจิ๊กโก๋ก็เข้าสมทบปิดทางไว้ไม่ให้ลุกออกไปไหน รวมถึงบางส่วนที่นั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับเด็กใหม่สองคนด้วย

    เชื่อพี่ดิ พวกน้องจะไม่อดอยาก อยู่ดีกินดีไปทั้งปีการศึกษาเลย

    อะไรเนี่ย...เดินออกห่างแป๊บเดียวมีคนไม่ดีเข้ามาทักแล้วงั้นเหรอ...

    ช่วงที่แก๊งค์รุ่นพี่กำลังเกลี้ยกล่อมให้รุ่นน้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มของพวกเขา ก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังมาจากประตูชั้นใต้ดิน ซึ่งรุ่นน้องสองคนรู้สึกคุ้นหูกับเสียงพูดเมื่อครู่มากจนกระทั่งร่างของคนๆ นั้นเดินมาถึงพร้อมออกแรงมือขวาผลักหัวหน้าให้ห่างจากเพื่อนหนุ่มของตัวเองด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี

    “โอ๊ะโอ...ก็นึกอยู่ว่าใครบังอาจเข้ามาขัดขวาง หันไปดูอีกทีเป็นรุ่นน้องยาหยีของพี่นี่เอง ยูมิจัง

    เลิกเรียกหนูด้วยคำว่า ยาหยีของพี่ ที่น่ารังเกียจนั่นจะได้มั้ยคะ...รุ่นพี่คูฮูลินน์

    ยูมิเข้าไปยื่นแขนขวาออกข้างเชิงปกป้องซิกกับโคทาโร่เอาไว้ด้วยตัวคนเดียวเพราะอราชยังไม่กลับมาจากชั้นบน รุ่นพี่หนุ่มชั้นปีสามห้องซี คูฮูลินน์(เวอร์ชั่นแลนเซอร์) มองรุ่นน้องสาวแล้วยิ้มมุมปาก เขาดีดนิ้วเรียกลูกน้องให้กลับมายืนรวมตัวก่อนที่จะเดินเข้าใกล้เธอ มือขวายกขึ้นจับเชยคางพร้อมจ้องมองด้วยดวงตาสีแดง

    เมื่อก่อนเราไม่เห็นทำตัวขัดใจพี่เลยนะ ทำไมเปิดเทอมนี้มาก็ปกป้องผู้ชายคนอื่นซะแล้วล่ะ

    รุ่นพี่เองก็ยังคงตามลากเด็กบริสุทธิ์ให้เข้ากลุ่มเลวๆ อยู่เหมือนเดิมสินะคะ ครั้งนี้หนูไม่ยอมให้เด็กใหม่ทั้งสองคนต้องคลุกคลีกับพวกอบายมุขเด็ดขาด!” นักเรียนสาวผู้รักความยุติธรรมพูดด้วยน้ำเสียงดุดันและสีหน้าที่จริงจังจนดูเหมือนตนกำลังเป็นพระเอกของเรื่องไปเลย

    ซิกมองสถานการณ์รอบตัวแล้ววางแผนอะไรบางอย่างกับโคทาโร่อย่างลับๆ ต่อมาจึงพากันลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วสะกิดไหล่นักเรียนสาวเพื่อส่งสัญญาณให้เดินถอยออกจากแก๊งค์รุ่นพี่คูฮูลินน์นี้ซะ เธอปัดมือของอีกฝ่ายที่จับคางของตนออกและค่อยๆ เดินถอยโดยยังคงยกแขนปกป้องพวกเขาอยู่

    จากนั้นนักเรียนสามคนก็รีบวิ่งหนีขึ้นชั้นบนแต่หนึ่งในลูกน้องจิ๊กโก๋จับหลังคอเสื้อของยูมิกลับที่เดิมแล้วลากไปหาหัวหน้าแก๊งค์หวังเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ให้หนีออกจากโรงอาหารแห่งนี้ คูฮูลินน์โอบแขนทั้งสองรอบเอวรุ่นน้องสาวจากด้านหลังพร้อมยื่นคางเกยไหล่ขวาด้วยความเจ้าเล่ห์

    รุ่นพี่อิชิมารุ!!”

    ยูมิ!!”

    เด็กใหม่สองคนพยายามจะกลับมาช่วยแต่ถูกรุ่นพี่สาวโบกมือห้ามไว้และส่งสัญญาณด้วยภาษาปากบ่งบอกให้วิ่งตามหาอราชหรือกลับห้องเรียนตัวเองแทน ท้ายสุดพวกเขาก็ต้องจำใจทำตามที่บอก

    หืมม? อยากอยู่กับพี่แค่สองคนก็บอกดีๆ สิจ๊ะ แต่จะยืนอยู่ตรงนี้ต่อคงแย่หน่อย พวกเราไปหาจุดลับตาคนกันดีกว่านะ...คูฮูลินน์พูดกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงที่ชวนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสะอิดสะเอียนมากกว่าเดิม

    เฮอะ...ใครมันจะอยากอยู่กับเสือผู้หญิงอย่างรุ่นพี่กันล่ะ แค่คิดก็รู้สึกอยากอ้วกเป็นเศษหัวใจเน่าๆ ของพี่เลยแฮะ

    นักเรียนสาวพยายามดิ้นออกจากพันธนาการ มือสองข้างออกแรงแกะมือของเขา รุ่นพี่หนุ่มแอบหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วล้วงเสื้อนักเรียนลูบไล้หน้าท้องและเอวขึ้นลง สติของเธอเริ่มปั่นป่วนคิดอะไรต่อไปไม่เป็นนอกจากขัดขืน ท้ายสุดสิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือ งัดทางเลือกสุดท้ายมาใช้เพื่อหยุดยั้งพฤติกรรมอีกฝ่าย

    เฮ้อ...ถ้างั้นช่วยพาหนูไปจุดลับตาคนอะไรนั่นก่อนละกัน ขอยอมสักวันก็ได้

    สมแล้วที่เป็นรุ่นน้องยาหยีของพี่ ยอมบอกแบบนี้ตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง

    ว่าจบคูฮูลินน์ก็เดินอ้อมมายืนข้างๆ โอบเอวยูมิทางด้านขวาเตรียมเดินขึ้นไปชั้น 1 โดยมีเหล่าพรรคพวกคอยคุ้มกันตามหลัง นักเรียนสาวแอบมองลูกน้องด้วยหางตา แผนการในหัวใกล้จะได้ใช้งานเต็มทน ในระหว่างนั้นก็ต้องรับมือกับอีกคนที่คอยใช้นิ้วลูบไล้เอวขึ้นลงเบาๆ พยายามตั้งสติและดำเนินแผนการของตัวเองต่อ

    จังหวะที่พวกเขาก้าวขาขึ้นบันได เธอจับมือรุ่นพี่ผมน้ำเงินไว้แน่นแล้วหมุนตัวกลับเดินลงหนึ่งขั้นพร้อมจับเหวี่ยงร่างของเขาปลิวกระแทกกำแพง จากนั้นค่อยดึงกลับมาถีบหวังให้ล้มลงข้างล่าง แน่นอนว่าเหล่าลูกน้องต้องพร้อมใจช่วยกันแบกรับไว้อยู่แล้ว แต่ด้วยการที่แต่ละคนยืนตรงริมทางเท้าพอดี ส่งผลให้พวกเขาทั้งหมดล้มนอนทับกันระนาว

    อะไรเนี่ย...ยูมิจัง ช่างใจร้ายกับพี่เหลือเกิน

    ยูมิยิ้มมุมปากใส่รุ่นพี่หนุ่มอย่างกับผู้ชนะ แผนการเสแสร้งตามน้ำของตนประสบความสำเร็จได้ด้วยแรงควายที่ถูกสะสมจากการฝึกฝนร่างกายตอนปิดเทอม ต่อมาเธอจึงรีบวิ่งหนีออกจากโรงอาหารชั้นใต้ดินและขึ้นไปชั้นสองเตรียมเข้าห้องเรียน ในใจแอบคิดว่าโคทาโร่ ซิกกับอราชน่าจะรออยู่ที่นั่น

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    เมื่อขึ้นไปถึง สิ่งที่พบตรงหน้ามีเพียงเหล่าโต๊ะ เก้าอี้นั่งเรียนที่ถูกตั้งไว้เหมือนเดิม ไม่มีนักเรียนคนไหนนั่งคุยอยู่สักคน แม้แต่นักเรียนหนุ่มทั้งสามเองก็ไม่มาด้วย นั่นทำให้เธอเริ่มตงิดใจ ตอนแรกกะว่าจะออกตามหาพวกเขา แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดึงความสนใจยิ่งกว่า มันคือโต๊ะริมหน้าต่างหลังห้องซึ่งเป็นโต๊ะของเธอ ที่แปลกไปกว่านั้น...กระเป๋านักเรียนหายสาบสูญอย่างไม่ทราบสาเหตุ!

    เดี๋ยวนะ...กระเป๋าของฉันหายไปไหนแล้ว หรือว่าฉันจำห้องตัวเองผิด?

    นักเรียนสาวเงยหน้ามองป้ายห้องเรียน มันยังคงเป็น 2-A ที่เธอกำลังเรียนอยู่ ต่อมาจึงได้เริ่มเดินเข้าไปดูรอบห้องเพื่อตามหากระเป๋าของตัวเอง ไม่ว่าจะในลิ้นชักทุกโต๊ะ ล็อกเกอร์ทุกตู้ ใต้โต๊ะอาจารย์ มุมห้อง ทั้งหมดทั้งปวงต่างไร้ร่องรอย ไม่มีแม้กระทั่งปลายหูหิ้ว เธอถอนหายใจรุนแรงจนสายตาได้ตรวจพบกับหน้าต่างริมห้องซึ่งเป็นจุดสุดท้ายสำหรับการค้นหา

    ว่าแล้วเธอก็มุ่งหน้าไปยังจุดๆ นั้นที่มีโต๊ะเรียนของตัวเองวางชิดติดกัน มือขวาจับเปิดหน้าต่างด้วยความหวั่นระแวง กลัวว่าจะเป็นอย่างที่คิดไว้ในหัว และผลลัพธ์ก็เป็นไปตามคาด กระเป๋านักเรียนของเธอตอนนี้อยู่ในสภาพค่อนข้างเละเทะ เปิดซิปออกกว้างจนทำให้เห็นความว่างเปล่า มันกำลังถูกแขวนไว้ตรงกิ่งไม้บนต้นซากุระริมอาคารฝั่งขวา

    อะไรเนี่ย...ใครมันพิเรนทร์ลักลอบกระเป๋าฉันไปแขวนแบบนั้นกัน!

    แกร๊ก!

    วินาทีนั้นเอง ยูมิได้ยินเสียงใครสักคนทำการล็อกห้องจากด้านหลัง เธอรีบหันกลับไปดูพบว่าตัวเองกำลังถูกกักขังด้วยประตูทั้งสองทาง นั่นเป็นการแกล้งที่เหมือนจะปกติแต่มันก็ไม่ปกติซะทีเดียว ขาทั้งสองวิ่งออกไปเพื่อเปิดประตู พยายามแค่ไหนก็ไม่ได้ผล แม้แต่จะเรียกขอความช่วยเหลือก็ได้ยินแต่เสียงเหล่านักเรียนหญิงหัวเราะคิกคัก แกล้งกันทางจิตใจอย่างสนุกสนาน

    เธอจำเสียงพวกนี้ได้ดี...มันเป็นเสียงของเพื่อนร่วมห้องที่เคยจิกสายตาใส่เมื่อเช้า!

    เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ! ฉันบอกให้เปิดประตูไงเล่า!” นักเรียนสาวผมดำตะโกนขอความช่วยเหลือคนที่อยู่ข้างนอกอีกครั้ง ถึงจะรู้ดีว่ามันไร้ประโยชน์ก็ตาม

    ตายแล้ว...ผีตัวไหนมันเรียกร้องหาส่วนบุญเนี่ยเธอ

    นั่นดิ แต่ฉันไม่เคยได้ยินว่าที่นี่มีผีเลยนะ

    น่ากลัวจัง...แล้วตอนเข้าค่ายในโรงเรียนนี้จะโดนหลอกเอามั้ยอ่ะ

    ถ้ามันมีปัญญาหลอกหลอนพวกเราได้ก็ลองสิ จะตามตบให้หน้าแหกเลย

    แต่ขังมันไว้ในนี้แหละดีแล้ว จะได้ไม่ต้องล่องลอยตามหลังซิกคุงของพวกเราอีกต่อไป

    เฮ้ยย~ พวกแกสองคนใจกล้าดีนี่หว่า อ้อ...อย่าลืมเอาอราชคุงเข้ากลุ่มด้วยนะ มันจะได้กลายเป็นสัมภเวสี ตัวเดียว

    สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นแต่คำพูดคำจาเชิงหยอกล้อ และเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของเหล่านางที่หวังจะครองเพื่อนหนุ่มทั้งสองมาอยู่ในกลุ่มให้ได้

    แม่มเอ๊ย...ไม่ง้อความช่วยเหลือจากพวกชะนีเชื้อผสมสิบเอ็ดรอดออย่างพวกแกก็ได้วะ!

    ยูมิไม่ได้เลือกที่จะนั่งรอคนมาเปิดประตูด้วยความรู้สึกท้อแท้ หรือซึมเศร้าเหมือนนางเอกแต่อย่างใด เธอหงุดหงิด โกรธ และโมโหขั้นสุดจนทำให้ต้องทำในสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิด ขาทั้งสองเริ่มก้าวเดินกลับไปยังจุดเดิม เธอก้มหน้ามองข้างล่างซึ่งมีความสูงจากพื้นขึ้นไปชั้นสองประมาณห้าเมตร ทางเลือกเดียวที่จำเป็นต้องทำตอนนี้คือ ปีนออกจากหน้าต่างแล้วไต่ตามไปทางขวาของอาคารนี้

    ในใจแอบคิดว่าตัวเองกำลังผันตัวเป็นนักฆ่าตามซีรี่ส์ Assassin’s Creed เธอปีนขึ้นด้วยความระมัดระวัง มือทั้งสองจับขอบหน้าต่างด้านล่างไว้ให้มั่นพร้อมค่อยๆ หย่อนขาให้เท้าแตะบนปูนที่ถูกสร้างให้ยื่นออก เมื่อได้เหยียบลงแล้วก็กวาดสายตามองหาจุดไต่ต่อไป และสิ่งที่พบเจออีกอย่างคือ เหล่านักเรียนทุกชั้นเรียนพากันไทยมุง แถมยังถ่ายรูปเธอด้วยโทรศัพท์โดยไม่ได้นัดหมาย

    เฮ้ย...พี่เค้าจะกระโดดฆ่าตัวตายแล้วเหรอ

    บ้าน่า...เพิ่งเปิดเทอมวันแรกเองนะ ใครแกล้งอะไรเค้ารึเปล่า

    คิดสั้นจัง เรียนหนักแล้วเครียดมาก อยากฆ่าตัวตายรึไง

    อย่าเลย! อย่า...อย่ารอช้า!”

    นังนี่เรียกร้องความสนใจแน่ๆ เลย ไร้สาระ!”

    ขนาดน้องใส่กระโปรงสั้นแบบนั้นยังกล้าทำเนอะ ประหลาดดีว่ะ

    ฆ่าตัวตายมันบาปนะน้อง! ใจเย็นๆ แล้วปีนกลับเข้าห้องก่อนเถอะ!”

    โอ๊ยยย!! ไอ้พวกตัวเงินตัวทองนี่!! ตูจะเอากระเป๋าหรอก...แต่ห้องมันล็อกเฟ้ย!!

    ยูมิอยากโวยวายประโยคนี้ออกไปดังๆ ใจจะขาดด้วยความรำคาญนักเรียนข้างล่าง แต่เธอก็ต้องพยายามปีนไปตามหน้าต่างเหมือนเดิม ไต่เรื่อยๆ จนถึงจุดเดียวกันกับยอดต้นซากุระที่มีกระเป๋านักเรียนแขวนอยู่ เธอมองและพิจารณารูปลักษณ์กิ่งไม้ว่ามีความแข็งแรงพอที่จะปีนข้ามหรือไม่

    ระหว่างที่กำลังจะได้ก้าวข้าม ก็มีนักเรียนหญิงกลุ่มเดิมวิ่งตามหาจนเจอตัว หนึ่งในกลุ่มนั้นที่เป็นผู้หญิงผมทองเดินเข้าห้องแล้วปีนข้ามหน้าต่างพร้อมหย่อนขาลงยืนบนปูนก่อนที่จะพูดเสแสร้งแกล้งเป็นคนดีกับนักเรียนสาวผมดำ

    เฮ้ยแก...เราขอโทษ พวกเราไม่ได้ตั้งใจที่จะแกล้งแบบนั้นนะ...

    “...” เธอเงียบปาก ไม่ฟังอีกคนแล้วเตรียมกระโดดข้ามกิ่งไม้ขนาดใหญ่บนต้นซากุระ แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันต่อมาก็ได้บังเกิดขึ้นในชั่วพริบตา

    ไม่ได้แกล้งหรอก...ทำจริงๆ เลยต่างหาก...!”

    ว่าจบนักเรียนสาวผมทองก็ยื่นมือขวาออกแรงผลักร่างยูมิด้วยความตั้งใจสุดๆ รอยยิ้มและสายตานางมารถูกเผยอย่างชัดเจน เธอฟังเสียงกรีดร้องของอีกฝ่ายอย่างสะใจพร้อมกับแสดงละครเสแสร้งกรีดร้องตามนักเรียนทุกคนให้ดูเหมือนตกใจร่วมกัน นั่นทำให้ไม่มีใครสนใจเลยว่าเป็นคนลงมือ!

    ช่วงกะบังลมของยูมิกระแทกกิ่งไม้ขนาดใหญ่ตรงหน้า มือไม้สองข้างพยายามกวาดหาอะไรก็ได้ที่จะสามารถจับรั้งให้อยู่รอด แต่ความหวังพวกนั้นก็สูญสลาย เรี่ยวแรงได้ลดฮวบจากการปีนตามหน้าต่างหมดแล้ว เธอจึงปล่อยทุกอย่างลง ให้ร่างกายของตัวเองถูกเกี่ยวหรือขีดข่วนไปมาด้วยเหล่ากิ่งไม้เล็ก จนท้ายสุดแผ่นหลังก็กระแทกลงทางเดินที่เป็นปูนอย่างรุนแรง

    ในช่วงนั้นเองคนที่เกี่ยวข้องกับนักเรียนสาวทั้งห้าคนอย่างอราช โคทาโร่ ซิก ภารโรงอัลเตอร์ และอาจารย์คูได้วิ่งมาถึงพอดี

    โธ่เอ๊ย...อุตส่าห์สัญญาว่าจะปกป้องเธอแล้วแท้ๆ ทำไมกัน...!!”

    ฟื้นตัวสิขอรับ!! รุ่นพี่อิชิมารุ!!”

    ยูมิ!! อย่าเพิ่งตายสิ!! พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วไม่ใช่เหรอ!!”

    ไม่เอาน่า...เธอจะตายไม่ได้นะ! ยูมิ!”

    ยูมิ!! ทำใจดีๆ ไว้!! อาจารย์จะโทรเรียกรถพยาบาลเดี๋ยวนี้แหละ!!”

    ให้ตายเถอะ...เปิดเทอมมาก็จะตายเลยเหรอ...

    ไม่เอา...ฉันไม่ได้อยากตายในวันแรกแบบนี้เลย...

    ทุกคน...ช่วย...ด้วย...

    ยูมิพูดประโยคดังกล่าวในใจด้วยสติสัมปชัญญะที่เริ่มจะหมดทุกที มือขวาพยายามยกขึ้นแตะใครสักคน ต่อมาเธอได้พบสิ่งหนึ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น มันคือน้ำตาแห่งความเจ็บปวดจากดวงตาสองข้างของอราช...ผู้เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวในห้องที่จริงใจและอยากปกป้องเธอมากที่สุด

    หลังจากนั้นนักเรียนสาวผมดำก็หมดสติต่อหน้าพวกเขาทั้งห้าคนภายในทันที...ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ แม้แต่คำขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงและเจ็บปวดใจก็ยังไม่พูดออกจากปากเลย

    เธอ...คงต้องรับชะตากรรมแห่งความตายในครั้งนี้แล้วล่ะ...


    โรงเรียนของเราน่าอยู่...

    คุณครูใจดีทุกคน...

    เด็กๆ ก็ไม่ซุกซน...

    พวกเราทุกคนชอบไปโรงเรียน...

    ชอบไป...ชอบไปโรงเรียน...


    [ The (Dead) End? ]

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×