คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Episode 4 คำสาปบริสุทธิ์
ในระหว่างที่พวกเราทั้งสามกำลังเดินตามหาแหล่งกบดานของกลุ่มอาชญากรชุดดำอยู่
ดาไซพูดอธิบายเกี่ยวกับพลังพิเศษของตัวเขาและคุนิคิดะ พวกเขาล้วนมีพลังพิเศษที่เป็นประโยชน์อย่างมาก
พอหันกลับมาดูตัวเองแล้วรู้สึกเหมือนกำลังเป็นนกกาในฝูงหงส์
เพราะมีคำสาปแฝงข้างในตั้งแต่เกิด
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครกันที่มีพลังแบบนี้จนสืบทอดมาได้
“ไม่แน่ว่าพลังของยูกิจังจะมีประโยชน์ด้วยก็ได้
เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสที่เหมาะสมพอเท่านั้นเอง ฉันขอรับประกันแบบนั้นเลย” ดาไซพูดเชิงให้กำลังใจแล้วลูบหัวฉันเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“นี่ใช่เวลาหลีผู้หญิงมั้ยเนี่ย
เจ้าบ้า! งั้นลองเดาๆ มาสักที่ซิ แหล่งกบดานของพวกนั้นมันควรอยู่ที่ไหน” คุนิคิดะดุอีกคนเหมือนเคยแล้วหยิบสมุดอุดมคติขึ้นมาจดอะไรบางอย่างอีกแล้ว
ขนาดจะเดินตามหาผู้ร้ายยังต้องมีการจดเพิ่มเติมด้วยแฮะ...ไม่ธรรมดาจริงๆ
“แหม...ก็คนเขาน่ารักนี่นา เลยเผลอไปนิด~” ชายหนุ่มจิตพิลึกยิ้มกริ่มให้ก่อนที่จะเข้าโหมดซีเรียสต่อจากนี้ “เริ่มแรกก่อนเลย...เรื่องเสียงในโทรศัพท์ ตอนเจ้าอาชญากรนั่นพูดกับยูกิจังในโหมดเปิดลำโพง ได้ยินอะไรแปลกๆ กันมั้ย”
“จะว่าไปเสียงพูดตอนนั้นมันดูก้องๆ
ยังไงไม่รู้แฮะ เหมือนกำลังอยู่ในห้องใต้ดินเลย” ฉันยืนจับคางตัวเองครุ่นคิดแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นเปิดแอพ
Call Recorder กดไปที่เบอร์โทรล่าสุดเพื่อฟังอีกรอบ
.
.
.
.
.
“เธอมีบันทึกประวัติการโทรแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ
น่าแปลกดีนะ ท่าทางฉันต้องโหลดเอาไว้ใช้ภายภาคหน้าซะแล้วสิ”
หลังจากฉันปิดโทรศัพท์แล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกง
หนุ่มแว่นแสดงท่าทีแปลกใจเกี่ยวกับแอพ Call
Recorder อย่างเห็นได้ชัดพร้อมจดเพิ่มเติมลงไปในสมุดเล่มเดิม
บางทีฉันก็แอบคิดว่าตอนสมัยเรียนเขาคงจะชอบจดเนื้อหาบทเรียนด้วยความละเอียดยิบเพื่อให้เรียนหรือสอบได้อันดับสูงสุดของโรงเรียน
ดังนั้นการได้มาเป็นนักสืบจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย
“เอ่อคือ...พวกคุณจะว่าอะไรมั้ยถ้าฉันขอเดินไปบ้านตัวเองก่อน
เมื่อกี้เพิ่งนึกออกว่า อยากจะพกอาวุธไว้ป้องกันตัวเองสักหน่อยน่ะ”
“เดี๋ยวสิ ทาจิบานะ พวกเราจะมาเสียเวลาเพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้
เรื่องอาวุธป้องกันตัวพวกเราจะ...”
“ได้เลย ยูกิจัง
บังเอิญว่าฉันอยากไปดูบ้านเธออยู่พอดี เผื่อว่างจากงานจะได้พูดคุยนู่นนี่เป็นการส่วนตัว
อ้อ...และก็ถ้าคุยกันแค่สองคนแล้วเหงา ฉันจะลากคุนิคิดะคุงมาอีกคนด้วยนะ”
ดาไซเข้ามาโอบไหล่แล้วบอกให้ช่วยนำทางไปบ้านโดยลืมเลยว่ายังมีเพื่อนร่วมงานอีกคนกำลังยืนเงิบและเปลี่ยนเป็นโกรธเล็กๆ
แต่เขาคงจะเหนื่อยกับการโวยวายติดต่อกันก็เลยไม่ทำอะไรต่อ
ในระหว่างนั้นฉันก็รู้สึกหวั่นระแวงแปลกๆ
เหมือนมีใครบางคนนอกจากนักสืบทั้งสองกำลังแอบเดินตาม ใครบางคน...ที่อาจเป็นหนึ่งในกลุ่มอาชญากรชุดดำ แต่พอมองไปรอบๆ กลับไม่พบอะไร มีเพียงถนนโล่งในบรรยากาศมืดสลัวๆ เสาไฟตั้งเรียงไว้แค่ไม่กี่ต้น และเหล่านักทำงานที่ต่างกันเดินทางกลับบ้านตัวเองด้วยความเร่งรีบ
“ยูกิจัง...?”
“เอ๊ะ? อะ...เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก เมื่อกี้แค่คิดบางเรื่องลอยๆ ไปเองน่ะ” ฉันหัวเราะแห้งๆ แล้วยิ้มกลบเกลื่อนให้ดาไซก่อนที่จะเดินนำทางไปยังป่าไม้ต่อ
“ยูกิ! ยังอยู่ในสายใช่มั้ย!! ตอบลุงที!!”
“ขอล่ะ...ปล่อยผมเถอะ...ผมยังมีลูกเมียที่ต้องดูแลอยู่นะ...”
“ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยพวกเราที...”
“เธอคนนั้นน่ะ...! ช่วยปลดปล่อยพวกเราให้เป็นอิสระที...!”
“คุณแม่...ช่วยหนูด้วย...หนูยังไม่อยากตาย...”
เสียงขอความช่วยเหลือของพวกเขายังคงดังกึกก้องในหัววนไปมาจนทำให้เริ่มรู้สึกกลัวว่า
ตัวฉันที่มีพลังพิเศษต้องสาปจะสามารถช่วยได้จริงมั้ย ถ้าตอนนั้นเผลอใช้มันต่อหน้าทุกคน
จะเกิดเหตุการณ์อย่างอื่นด้วยรึเปล่า ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาจนทำให้เกือบไม่มีสมาธิจะเดินไปข้างหน้า
แต่ก็พยายามตั้งสติและค่อยกลับมาปกติได้เหมือนเดิม
ให้ตายเถอะยูกิ...ทำไมเธอถึงกลายเป็นแบบนี้นะ
พอเวลาผ่านไปนาน พวกเราได้เดินมาถึงบ้านในป่าที่คุ้นเคย นั่นคือบ้านของฉันเอง สภาพของมันคงไม่ต้องบรรยายเยอะ เพราะเป็นแค่บ้านไม้ทาสีเขียวบวกกับปูนธรรมดาชั้นเดียว ไม่ได้หรูหรามากมาย แล้วฐานะที่ค่อนข้างจนแบบนี้ มีโทรศัพท์ติดตัวด้วยก็ดีเหลือเกินแล้ว ขนาดเสื้อผ้ายังต้องซื้อราคาถูกให้พอใส่ได้ในแต่ละวันเลย งานหยาบโคตรๆ
“สภาพบ้านดูเก่าไม่น้อยเลย
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่พวกฉันต้องซื้อชุดใหม่ให้เธอสินะ” คุนิคิดะยืนมองทั่วหน้าบ้านแล้วหันมาพูดกับฉันเกี่ยวกับเรื่องเมื่อตอนเย็น
“ถึงจะไม่กล้ายอมรับเท่าไหร่แต่ก็ประมาณนั้นค่ะ อ้อ...สำหรับเสื้อผ้าชุดนี้ต้องขอขอบคุณจริงๆ นะคะ พอดีลืมพูดเรื่องนี้ตอนอยู่บ้านพักไปซะสนิทเลย”
ฉันโค้งขอบคุณพร้อมยิ้มให้คนตรงหน้าจนทำให้เขาหันไปอีกทางพร้อมเกาแก้มตัวเองเบาๆ
นี่เขากำลัง...แอบเขินอยู่รึเปล่านะ
หรือว่าฉันคิดไปเอง?
“อะไรเนี่ย ยูกิจังใจร้าย~ ไม่ขอบคุณดาไซคนนี้ด้วยล่ะ อุตส่าห์เป็นคนเลือกให้เชียวนะ”
“อ่ะ...อื้ม
ดาไซเป็นคนเลือกชุดให้ฉันนี่เอง ขอบคุณนะ...ห๊ะ?”
เดี๋ยวๆๆ งั้นแปลว่าเขาก็เลือกชุดชั้นในให้ด้วย...เรอะ!!
“แต่เรื่องชั้นในสองตัวนั้น
ฉันขอให้ทางพนักงานเขาช่วยเลือกแทนน่ะ เอาจริงๆ ก็อยากลองเลือกให้อยู่น้าา~ ถ้าโอกาสหน้าได้แต่งหญิงไปซื้อใหม่คงดีไม่ใช่น้อยเลย
เผื่อจะสืบหาสไตล์ที่แท้จริงของแม่โฉมงามคนนี้ด้วย”
ดาไซเดินมายืนโอบไหล่พร้อมจับเชยคางมอง
ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มทะเล้น รวมถึงการขยิบตายิงดาเมจให้หนึ่งทีตามประสาคนขี้หลี
ทำให้ใจฉันเริ่มหวั่นไหวบ้าง
ต่อมาความรู้สึกนั้นก็ถูกตัดขาดทันทีเมื่อหนุ่มแว่นเจ้าระเบียบเดินเข้ามาลากเพื่อนร่วมงานของตัวเองออกแล้วสวมบทคุณแม่ดุฉอดๆ
ใส่
ฉันแอบหัวเราะเบาๆ แล้วพาพวกเขาเดินไปยังหน้าประตู แต่สิ่งที่พบคือ ประตูไม่ได้ล็อก ทั้งที่เคยใส่แม่กุญแจไว้ก่อนออกจากบ้านตามหาคุณลุงนายพรานเมื่อเช้าแล้วแท้ๆ
ถึงจะแอบงงอย่างนั้น ฉันก็ยังคงเข้าบ้านอย่างปกติ ภายในถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาว มีการแบ่งห้องชัดเจน เช่น ห้องนอนสองห้อง และห้องครัว ส่วนห้องน้ำจะตั้งอยู่หลังบ้านแทน
พอมองไปรอบๆ สักพักก็มุ่งเข้าห้องนอนของตัวเองเพื่อหาอาวุธป้องกันตัวทันที มือขวาจับเปิดประตูก่อนที่จะพบกับความผิดปกติอีกครั้ง ฟูกนอนบนพื้นหายไป ข้าวของถูกหยิบจับไม่เป็นที่เป็นทาง ขอสาบานต่อหน้าพระเจ้า ณ ตอนนี้และที่นี่เลยว่านั่นไม่ใช่ฝีมือฉันแม้แต่นิด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำตัวไร้ซึ่งความเป็นระเบียบแบบนี้เลยนะ
จากนั้นก็พบกระดาษหนึ่งแผ่นติดบนผนัง เนื้อหาของมันมีเพียงสั้นๆ คือ...
:: Found you ::
(เจอตัวเธอแล้ว)
“บ้าจริง...ใครเขียนอะไรไร้สาระในเวลาแบบนี้กัน...”
ฉันดึงกระดาษโน้ตออกมาแล้วเดินออกจากห้องตัวเอง แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรต่อ
ดาไซก็ได้แย่งไปดูอย่างไว “อ่ะ! ดะ...เดี๋ยวสิ”
“Found you งั้นเหรอ...ถ้าเป็นในหนังผีคงจะน่ากลัวไม่น้อยเลยแฮะ”
“เจ้าบ้าเอ๊ย!
เราไม่ได้มีเวลาวิเคราะห์กระดาษโน้ตโง่ๆ นี่สักหน่อย เอามาซะ!”
คุนิคิดะแย่งกระดาษจากเพื่อนร่วมงานจิตพิลึกพร้อมกับฉีกทิ้งจนเศษกระดาษร่วงโรยลงพื้นอย่างช้าๆ
“ไม่สิ...บางทีอาจมีความหมายสำหรับตัวยูกิจังก็ได้
อีกอย่างลองดูห้องนอนนั่นสิ ตอนนี้มันกำลังเปิดอยู่ด้วย ต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนไว้แน่ๆ”
คำพูดของดาไซเมื่อครู่ทำให้ฉันต้องหันไปยังห้องนอนของคุณลุงนายพรานทันที
ซึ่งประตูกำลังเปิดอ้าต้อนรับแขกอยู่จริง พอมองได้สักพัก ขาทั้งสองก็เริ่มเดินเข้าโดยไม่มีการออกคำสั่ง
สภาพห้องของเขาตอนนี้ค่อนข้างโล่ง มีข้าวของจัดวางเพียงนิด ไม่มีของตกแต่งนอกเหนือจากเหล่าอุปกรณ์ล่าสัตว์และตู้หนังสือ
แต่มีสิ่งหนึ่งเพิ่มเติมมาคือ กระดาษโน้ตอีกแผ่นติดบนผนัง
รอบนี้มันเขียนไว้สั้นๆ ว่า...
:: Come and find me ::
(ตามหาฉันให้เจอสิ)
ให้ตามหาเนี่ยนะ...คิดว่าบ้านนี้มีผีเฮี้ยนรึไงกัน
ฉันดึงมันออกด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยก่อนที่จะพบกับปุ่มสีแดงติดอยู่บนผนัง
ซึ่งมีข้อความเขียนไว้ว่า Press this button (กดปุ่มนี้สิ)
มันดูประหลาดเกินกว่าจะเป็นบ้านคนธรรมดาไปจริงๆ แน่นอน...ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์มีอยู่กันทุกคน
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ เรียกความกล้าพร้อมยื่นมือขวาไปกด
ครืดดด~
เสียงตู้หนังสือค่อยๆ
เคลื่อนออกมาจากผนังห้องแล้วจบลงด้วยการเคลื่อนไปทางขวามือของมัน
เบื้องหลังนี้มีช่องทางเดินที่มืดมิด ไม่มีแสงไฟ ถ้าจะให้พูดง่ายๆ
มันก็คือห้องลับนั่นเอง ฉันยังคงแปลกใจมาโดยตลอดว่าทำไมคุณลุงนายพรานถึงได้ปิดบังสิ่งนี้ ช่วงเวลา 18 ปีที่รับฉันเลี้ยงที่นี่ เขาไม่เคยอนุญาตให้เข้าห้องเลย
แม้แต่จะไปห้องน้ำก็ต้องล็อกกุญแจไว้
“ห้องนี้มัน...”
“ทาจิบานะ! เธอทำอะไรอยู่เนี่ย ภารกิจของเราคือการตามหาแหล่งกบดานของกลุ่มอาชญากรชุดดำนั่นไม่ใช่เหรอ
แล้วไหนว่าจะหาอาวุธป้องกันตัวล่ะ” คุนิคิดะเดินมาจับไหล่แล้วเตือนความจำเรื่องที่พวกเราทั้งสามควรจะทำคืนนี้
“คุนิคิดะคุง...ห้องนี้มันดูแปลกตาเอาเรื่องเลยนะ
แถมมีกระดาษเชิญชวนให้เดินตามหาเจ้าของโน้ตนั่นด้วย
ถ้าสมมุติว่าที่ห้องลับคือแหล่งกบดานของพวกนั้น จะเชื่อมั้ย”
“นี่แกจะเพ้อเจ้อมากเกินไปแล้วนะ ดาไซ! ตั้งแต่กระโดดลงแม่น้ำเมื่อตอนเย็น
สมงสมองก็ไปคนละทิศคนละทางเลย!” หนุ่มแว่นกุมขมับตัวเอง
แสดงท่าทีโมโหเล็กน้อยใส่ดาไซพร้อมเตรียมเดินออกจากบ้าน “ให้ตายเถอะ...ตอนบอกให้ช่วยกันตามหาตอนนั้นทำเป็นเท่เหลือเกิน...”
นี่ฉัน...ควรเดินออกไปจริงๆ
เหรอ แต่ก็คงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า พยายามคิดในแง่ดีก่อนสิว่าห้องนี้อาจเป็นที่สะสมของเก่าแก่
เพราะงั้นปล่อยไว้เหมือนเดิมนี่แหละดีแล้ว
“ยูกิจัง พวกเราลองเข้าไปดูด้วยกันมั้ย
ฉันรู้สึกสงสัยในห้องลับนี้มาก อ้อ...และก็ขอใช้ความคิดเพ้อเจ้อทั้งหมดในหัวเป็นตัวพนันละกัน
ถ้าผิดตั้งแต่สามจุดขึ้นไปถือว่าฉันมั่วซั่ว จะยอมชดใช้โดยการปกป้องเธอและปล่อยให้พักที่นี่เหมือนเดิม ถ้าผิดน้อยกว่านั้น...ฉันขอยกหน้าที่การช่วยเหลือคนบริสุทธิ์ให้เธอได้ลองทดสอบนะ”
ดาไซเดินเข้ามาใกล้พลางล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ทสีเหลืองน้ำตาลอ่อนเหมือนที่เคยทำแล้วคุยกับฉันด้วยสีหน้าจริงจังมาก ราวกับว่าเขากำลังรู้คำตอบเกี่ยวกับห้องลับของคุณลุงนายพรานเพียงแค่เห็นสภาพห้องที่กระจัดกระจาย กระดาษโน้ตประหลาดสองแผ่น รวมถึงปุ่มสีแดงชวนให้กด
ตอนแรกฉันไม่อยากเชื่อสักเท่าไหร่เลย แต่พอเขาที่เป็นหนึ่งในสมาชิกนักสืบพูดจริงจังขนาดนี้มันอาจจะมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่ก็ได้
“อะ...อื้ม
ตามนั้นละกัน”
ว่าจบฉันก็เปิดโทรศัพท์กดเมนูไฟฉาย
แสงจากหลังเครื่องเปล่งออกอย่างสว่างจ้า ทำให้เห็นทางเดินได้ชัดเจนขึ้น เราสองคนค่อยๆ
เดินเข้าด้วยความระมัดระวังโดยฉันเป็นคนนำหน้า ส่วนดาไซคอยคุ้มกันข้างหลังให้
มันเป็นบันไดของอาคารทั่วไปที่ลงลึกประมาณห้าเมตร ถือว่าลึกพอควรเลย
ต่อมาพวกเราได้พบกับประตูเหล็กหนึ่งบานพร้อมกระดาษโน้ตเขียนว่า...
:: Open and come, but only one person ::
(เปิดและเข้ามาสิ
แต่เข้าได้คนเดียวเท่านั้น)
เหงื่อบนใบหน้าไหลลงช้าๆ
ด้วยความกลัวและระแวงเล็กน้อย ฉันหันกลับไปมองนักสืบหนุ่มผมน้ำตาล
เขาชี้นิ้วมาทางฉัน ส่งสัญญาณมือบอกให้เข้าไปล่วงหน้าก่อน จากนั้นก็ยื่นอะไรสักอย่างในกำมือใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อแขนยาวข้างขวา
พอลองหยิบขึ้นดู พบว่าเป็นตุ๊กตาหมีไซส์เล็กที่มีห่วงเหล็กราวกับเป็นพวงกุญแจ
และไมค์หูฟังบลูทูธขนาดเล็ก
“งั้นเธอช่วยหาหน่อยว่ามีข้อมูลอะไรที่เกี่ยวข้องกับคดีคนหายครั้งนี้รึเปล่า
เดี๋ยวฉันจะยืนรอฟังสถานการณ์อยู่ตรงนี้เอง”
เขาพูดพร้อมหยิบตัวเครื่องบลูทูธขึ้นมา
สิ่งนี้กำลังสื่อว่า ถ้าฉันพบเห็นอะไร ให้กดเปิดหูฟังแล้วบอกได้เลย ส่วนตุ๊กตาคิดว่าน่าจะเป็นเครื่องดักฟังที่เปรียบได้เหมือนตัวซัพพอร์ตในการฟังโดยรอบอีกที
“เป็นเครื่องดักฟังที่น่ารักจังแฮะ...แล้วถ้าในนั้นไม่มีอะไรเลยล่ะ”
“ทุกอย่างบนโลกมันไม่แน่นอนอยู่แล้วนี่นา
บางทีที่เราคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้กลับเป็นไปได้ อีกอย่าง...ฉันอยากให้ลองใช้พลังพิเศษนั่นให้เป็นประโยชน์สักครั้งดู”
“แต่พลังที่เต็มไปด้วยคำสาปแบบนี้...ฉัน...”
“ไม่ต้องกลัวหรอก
พอถึงเวลาจริงๆ เธอก็คงจะหาทางรับมือมันได้ ฉันเชื่อมั่นแบบนั้นนะ...ยูกิจัง”
ดาไซยิ้มด้วยความมั่นใจ
มือของเขาจับใส่หูฟังบนหูขวาและฮู้ดเสื้อให้ก่อนที่จะเดินถอยหลังออกสามก้าว ฉันยังรู้สึกกล้าๆ
กลัวๆ ในใจที่ต้องเข้าห้องคนเดียวแต่ก็พยักหน้าตกลงด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
จากนั้นมือขวาได้เก็บตุ๊กตาหมีกลับเข้ากระเป๋าเสื้อแล้วยื่นไปเปิดประตูเหล็ก
แอ๊ดด~
เสียงประตูเหล็กค่อยๆ
เปิดออกอย่างกับหนังสยองขวัญ มองไปตรงหน้าพบแต่ความมืดมิดจนเรียกได้ว่า มืดมากจนมองอะไรไม่เห็นเลย
ฉันเดินเข้าห้องพร้อมไฟฉายโทรศัพท์อย่างช้าๆ พอลองสาดส่องไฟฉายทั่วห้อง สิ่งที่พบต่อจากนี้กำลังทำให้เริ่มฉันรู้สึกขนลุกทั่วแขน
ใจเต้นตึกตักและเหงื่อบนมือที่ไหลออกด้วยความกลัว
“นะ...นี่มันหมายความว่าไงกัน...”
เหล่าแคปซูลทดลองวิทยาศาสตร์วางเรียงขนาบข้างทางเดิน
ภายในนั้นมีร่างคนตายที่ถูกมัดข้อมือทั้งสองแล้วห้อยตัวลงมา พวกเขาล้วนไม่มีการเน่าเปื่อยแม้แต่นิด
ผิวยังคงสภาพเดิมราวกับคนมีชีวิต ตอนแรกฉันรู้สึกหดหู่และท้อแท้เพราะคิดว่านั่นเป็นร่างของผู้คนบริสุทธิ์ที่กำลังจะไปช่วย
แต่เมื่อตั้งสติให้ดีก็นึกขึ้นได้
บางทีอาจเป็นกับดักจากใครสักคน...ที่เป็นหนึ่งในอาชญากรชุดดำหรือบุคคลปริศนาคนอื่น
ฉันเริ่มออกตัวเดินฝ่าดงความมืดไปอย่างไม่ลังเล ในใจคิดมุ่งแต่สืบหาข้อมูลทั่วห้องและรีบๆ เคลียร์ให้จบ แต่ถ้าไม่มีจะรีบวิ่งกลับทันที เวลาผ่านไปสักพักจนได้เดินสุดทางแล้ว ก็พบกับประตูไม้ที่รอบนี้ไม่มีกระดาษเขียนไว้แล้ว
ในจังหวะที่กำลังจะเปิดประตู แคทเชอร์จากพลังพิเศษค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นเองภายใต้ควันสีดำทางด้านซ้ายมือ ถึงจะมืดมิดแต่ก็สัมผัสได้ อสรพิษด้านดีพยายามคลอเคลียแก้มเบาๆ เหมือนลูกแมวที่กำลังอ้อน ฉันลูบหัวหนึ่งทีแล้วส่องไฟฉายไปยังประตูไม้ก่อนที่มันจะพุ่งออกตรงหน้าเพื่อทำลายทิ้ง
ปัง!
ประตูไม้ได้พังทลายลง สิ่งต่อมาคือ สภาพห้องที่มีแสงสีขาวส่องทั่วภายใน ฉันดีดนิ้วเพื่อให้แคทเชอร์ซ่อนตัวไว้ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปดูรอบๆ ทางขวามือมีกรงกระจกขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ซึ่งมันก็มีคนถูกขังจริงๆ เหล่าผู้บริสุทธิ์ถูกมัดข้อมือทั้งสองห้อยลงด้วยโซ่เหล็กและกุญแจมือ พวกเขาอยู่ในสภาพที่ต่างกัน ทั้งพยายามตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือ ร้องไห้ด้วยความเสียใจ หรือบางคนก็ได้แต่นิ่งเงียบราวกับปลงในชีวิตแล้ว แต่เสียงของพวกเขาไม่อาจดังมาถึงนอกกรงได้เลย
จะว่าไป...ทำไมคุณลุงนายพรานถึงไม่อยู่ข้างในด้วยล่ะ
แปลกจัง...
ฉันยกมือขวากดเปิดไมค์หูฟังแล้วรีบบอกสถานการณ์ตรงหน้าให้กับดาไซทันที
“ดาไซ...ในห้องนี้มีผู้เคราะห์ร้ายที่หายตัวไปอย่างลึกลับตามคดีของคุณจริงๆ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนจะเดาผิด นั่นคือ...”
“คุณลุงนายพรานไม่ได้อยู่ในกรงด้วย...สินะ”
“อื้ม...ใช่แล้วล่ะ...เอ๊ะ?”
เสียงตอบที่ไม่ใช่ของดาไซเมื่อกี้ทำให้ฉันต้องหยุดพูดกะทันหันแล้วเริ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองด้วยเนื้อตัวที่สั่นระริกก็เดินถอยหลังออกไปชิดกรงกระจกพร้อมเหงื่อบนใบหน้าซีดเผือดไหลลงมา เพราะฉันพบกับสิ่งที่ไม่ควรจะเป็นไปได้
“มีชุดใหม่แล้วเหรอเนี่ย...แย่จัง แบบนี้เงินที่ออมไว้ในกระปุกก็ไร้ประโยชน์เลยน่ะสิ...”
“ทำไมกัน...เป็นไปไม่ได้น่า...”
สิ่งนั้นคือกลุ่มอาชญากรชุดดำที่มีคนๆ
หนึ่งอันน่าคุ้นเคยเป็นหัวหน้า...
และคนนั้นก็เป็นผู้มีพระคุณต่อฉันมาตลอด
18 ปี...!!
“คุณลุง...นายพราน?”
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ห้องลับของลุงนะ...ยูกิ”
เขาพยายามเดินเข้าใกล้ด้วยรอยยิ้มกว้างเหมือนยังเป็นลุงคนเดิมในครั้งก่อนๆ แต่ฉันกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เขาทำตัวผิดปกติมากเกินไป ราวกับว่าสติสัมปชัญญะถูกปีศาจช่วงชิงแล้วเข้าครอบงำเลย
แปลว่าเหตุผลที่ไม่เคยอนุญาตเข้าห้องลับคือเรื่องนี้ใช่มั้ย
แล้วเมื่อเช้าที่ถูกจับเป็นตัวประกันแล้วบอกให้ฉันวิ่งหนีออกไป...เป็นแค่การโกหกเพื่อสานต่อคดีคนหายงั้นเหรอ
บ้าน่า...ลุงที่ทำตัวแสนดีและเลี้ยงดูฉันมาตลอด 18 ปีจะก่อเรื่องเลวทรามแบบนี้เนี่ยนะ
“คุณลุง...นี่มัน...หมายความว่าไงคะ”
ปากที่สั่นระริกด้วยความกลัวเริ่มเปิดออกถามคนตรงหน้า มือทั้งสองกุมไว้ที่อกตัวเองแน่น สติเริ่มปั่นป่วนด้วยเรื่องราวที่กำลังหมุนเวียนและตีกันจนทำให้สับสนไปหมด
“ขอโทษที่ปิดบังมาตลอดนะ ถ้าลุงทำแค่เก็บผลไม้ขาย มันก็ได้เงินน้อยเกินสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันของพวกเรา
เพราะงั้นงานใหม่นี้จะเป็นตัวนำทางสู่ความร่ำรวยที่คนธรรมดาไม่สามารถทำได้...แถมยังเป็นงานที่ทำเพื่อยูกิโดยเฉพาะด้วย”
นัยน์ตาสีแดงก่ำของคุณลุงตอนนี้กำลังจ้องมองด้วยความกระหายเลือด รอยยิ้มยังคงฉีกออกให้เห็นเหมือนเดิม แต่ตรงความผิดปกติกลับเพิ่มพูนยิ่งกว่า
“งะ...งาน...อะไรกันคะ...”
“ถ้าหนูลองมองรอบๆ
ห้องก่อนหน้านี้ก็น่าจะเดาได้นี่นา แต่เอาเถอะ...ลุงจะอธิบายเองละกัน”
เขาเดินเข้ามาอุ้มไปยังหลังห้องที่มีเก้าอี้เหล็กตั้งอยู่
ฉันเห็นแล้วเริ่มรู้สึกกลัว พยายามดิ้นไปมาให้หลุดพ้นออกจากอ้อมแขนแต่ทำไม่สำเร็จ
สุดท้ายก็เดินถึงจุดมุ่งหมาย เขาอุ้มลงให้นั่งบนเก้าอี้พร้อมเรียกลูกน้องที่เหลือจับแขนขามัดไว้กับมันด้วยเชือก
ต่อมาจึงได้ยืนตรงหน้าเตรียมอธิบายบางอย่างให้ฟัง
“จะว่าไงดีน้า...ตั้งแต่รับเลี้ยงหนูมา ลุงรู้สึกว่าชีวิตของพวกเรามันลำบากเกินไปรึเปล่า ตอนเรียนมีเงินแค่ไม่กี่เยน
หาซื้อข้าวกลางวันกินไม่ได้ และไม่มีโอกาสซื้อของหรูๆ สักอย่าง
ลุงเห็นหนูทุกข์ทนลำบากแบบนี้มานานมากพอ ในความคิดตอนนั้นคือ อยากหางานที่ทำแล้วมีเงินใช้เยอะๆ
และก็ได้ทำจริงจนถึงทุกวันนี้ แถมยังเหลือใช้อยู่เหมือนเดิม...ไม่สิ มันล้นเกินคำว่า
เศรษฐีแล้วล่ะ”
“...”
ฉันเงียบไปอย่างไม่มีทางเลือก
จะพูดต่อล้อต่อเถียงหรือขัดใจคงไม่ดีอีก เสียงใจเต้นตึกตักตอนนี้กำลังแฝงไปด้วยความหวาดกลัวและรอคำตอบที่แท้จริงจากปากของคุณลุง
“มันอาจจะดูสกปรกไปหน่อย
แต่ค่าตอบแทนมันคุ้มมากจนลืมงานสุจริตอื่นๆ เลยเชียว” เขายื่นหน้ามาใกล้หูซ้ายพร้อมกระซิบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“นั่นคือ...การค้าอวัยวะไงล่ะ”
“การค้า...อวัยวะ!?”
“มันเป็นงานที่อยู่ในโลกเบื้องหลังน่ะ...ยูกิจัง
พวกเขาจะคอยจับลักพาตัวคนบริสุทธิ์หรือคนที่ไม่อยากมีชีวิตต่อเพื่อดำเนินการค้าอวัยวะในตลาดมืด
แต่ถึงแบบนั้น...การส่งขายจากญี่ปุ่นไปต่างประเทศก็ได้เงินไม่มากเท่าไหร่
ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะเตรียมขายไปทางองค์กรลักลอบการค้าอวัยวะภายในประเทศแทน”
คำตอบของคุณลุงและคำอธิบายเสริมของดาไซทำให้ฉันเบิกตากว้าง
ใจเริ่มสั่นคล้ายจะเป็นลม เหงื่อค่อยๆ ไหลลงใบหน้า สติใกล้ได้แตกกระเจิงทุกที
ความคิดที่ไม่อยากจะตายผุดขึ้นภายในไม่กี่วินาที
แขนขาเริ่มพยายามขยับไปมาให้หลุดจากพันธนาการเชือกแต่มันก็รู้สึกเจ็บแปล๊บๆ เพราะมีการเสียดสีระหว่างเชือกกับเก้าอี้เหล็ก
“ความจริงลุงอยากชวนหนูมาทำงานด้วยกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
แต่พอนึกบางอย่างออกก็เปลี่ยนใจ ปล่อยให้หนูไม่รู้ไม่เห็นไปก่อน จนถึงวันนี้...วันที่พลังพิเศษของหนูจะมีประโยชน์มากขึ้น” เขายื่นมือมาแตะผ้าปิดตาสีดำเบาๆ
แล้วยิ้มกว้างให้อย่างน่ากลัวก่อนที่จะถอดมันออกโดยไม่ลังเล
นี่เขา...กำลังคิดจะทำอะไรกับคำสาปจากพลังพิเศษของฉันกันแน่!!
“...!? ไม่นะ!
คุณลุง! อย่าเปิดตาขวาของหนูเลย!” ฉันหันหน้าหนีลงพื้นพร้อมหลับตาไว้แน่น
“ยูกิ!! หนูต้องหัดใช้พลังของหนูจริงๆ ได้แล้วนะ จะยอมปล่อยให้เป็นแค่เครื่องประดับชีวิตไปตลอดงั้นเหรอ!!”
คุณลุงเริ่มตะคอกใส่เสียงดังหลังถูกต่อต้านต่อหน้า การกระทำในครั้งนี้แสดงออกถึงสันดานที่แท้จริงภายในจิตใจอย่างชัดเจน ใครจะไปรู้ล่ะว่า คนที่แสนดีมายาวนานกลับเลวทรามยิ่งกว่ายักษ์ในนรก หรือคนที่คอยทำตัวแย่ต่อหน้า เบื้องหลังเขาอาจมีความอ่อนโยน สงสาร แม้กระทั่งความใจดีที่ไม่อาจแสดงให้ใครเห็นได้
“เอ่อ...เปล่าค่ะ
หนูพยายามหาจุดหมายปลายทางในการใช้พลังพิเศษอยู่ แต่เพราะมันมีคำสาปแฝงข้างใน
ก็เลยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ใช้สักที...”
“หืมม? ถ้างั้นหนูไม่ต้องไปไหนไกลอีกแล้ว...” เขาเดินอ้อมไปยังด้านหลังพร้อมจับหน้าฉันให้เงยขึ้นมองเหล่าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายก่อนที่จะเปิดหน้าม้าข้างขวาออกและใช้กิ๊ปหนีบไว้
“ทีนี้...ลองมองและตีมูลค่าของพวกเขาดูสิ”
เมื่อมองด้วยตาข้างซ้ายแล้วก็รู้สึกเจ็บแค้นใจ
พวกเขาต่างหวาดกลัว พยายามดิ้นรนให้หลุดทั้งที่รู้ตัวดีว่ามันไม่ได้ผลเลยแม้แต่นิด
น้ำตาแห่งความทุกข์ทรมานจากคนบริสุทธิ์กำลังไหลลงไม่หยุดหย่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆ
อีกทั้งฉันยังไม่เคยร้องไห้สักครั้งด้วย
ใช่...ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยหลั่งน้ำตาเลย ถึงจะเจอเรื่องเลวร้ายแบบใด แต่มันกลับไม่ไหลสักหยด และความรู้สึกเจ็บปวดก็เพิ่งมาเป็นตอนนี้...
...ตอนที่กำลังจะถูกใช้คำสาปเป็นเครื่องมือ!
“มะ...ไม่ได้
หนูทำไม่ได้จริงๆ ค่ะ...” ฉันหลับตาและพยายามก้มหน้าลงให้ได้แต่แรงมือของคุณลุงกลับต้านได้ดีกว่า
“หรืออยากจะให้ลุงตายต่อหน้าก่อนล่ะ”
เขาค่อยๆ
ปล่อยมือแล้วเดินอ้อมมายืนตรงหน้าพร้อมเปิดกระดุมเสื้อสูทสีดำออก
สิ่งที่อยู่ภายในทำให้ใจคอไม่ดีขึ้นมาทันที มันคือเสื้อติดระเบิดรอบลำตัวที่ยังไม่ได้ทำการเซ็ตเวลาเอาไว้
แต่ถ้าใครเริ่มกดระเบิดล่ะก็...วินาทีนั้นจะใจเย็นหรือหวาดกลัวอะไรไม่ได้อีกแล้ว
“คุณลุง...ทำแบบนี้ไปทำไมกันคะ
มันไม่มีทางที่ต้องเสียสละหลายคนเพื่อตัวลุงคนเดียวนี่นา”
“ลุงแค่อยากให้ลองแสดงความรักที่แท้จริงบ้าง! 18 ปีแล้วที่ยังไม่เคยได้ยินคำว่า รัก จากปากหนู จนบางทีก็แปลกใจว่าหนูยังเป็นลูกบุญธรรมอยู่ใช่มั้ย...บอกตรงๆ
คือลุงเสียใจมาก...นี่มันเหมือนไม่ได้อยู่ครอบครัวเดียวกันเลยไม่ใช่เหรอ”
น้ำเสียงอันแสนเจ็บปวดและน้ำตาจากคุณลุงกำลังสะกิดใจฉันอยู่ข้างใน แต่อีกด้านหนึ่งก็คิดว่า นั่นเป็นแค่มารยา เขากำลังหลอกลวงให้ลงมือฆ่าคนบริสุทธิ์เพื่ออยู่รอดกันแค่สองคนพร้อมทำงานค้าอวัยวะต่อไป
งานสกปรกแบบนั้น...ยอมรับไม่ได้หรอก
“ไม่ต้องกลัวหรอก พอถึงเวลาจริงๆ เธอก็คงจะหาทางรับมือมันได้ ฉันเชื่อมั่นแบบนั้นนะ...ยูกิจัง”
“หนูขอโทษนะคะที่ไม่เคยบอกรักคุณลุงเลย...เพราะจิตใจหนูตอนนั้นมันดำมืดด้วยคำสาป
มีความคิดแค่ว่า ขอให้มีชีวิตอยู่บนโลกต่อไปก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่การที่คุณลุงช่วยรับเลี้ยงถือว่าเป็นพระคุณจริงๆ
ค่ะ” ฉันมองด้วยตาข้างซ้าย ทำเป็นแสร้งตามน้ำไปก่อนเพื่อลองเชิง
“ถ้างั้นวันนี้...ลองบอกรักลุงสิ
แค่คำนี้คำเดียวเท่านั้นที่อยากได้ยิน...”
“ได้แน่นอนค่ะ...คุณลุงมาใกล้ๆ
หนูก่อนสิคะ”
เขาเดินมานั่งชันเข่าใกล้ๆ
แล้วยื่นมือไปจับหน้าทั้งสองข้าง แต่ทางข้างขวากลับยกขึ้นสูงกว่าจนถึงตำแหน่งของไมค์หูฟังที่ดาไซให้มา
และเมื่อรู้สึกว่าเขากำลังจะหยิบมันออก ฉันก็เริ่มเบิกตาทั้งสองขึ้นกว้างเตรียมใช้พลังพิเศษ
“พลังพิเศษ : อสรพิษอัปยศ!!”
เหล่าแถบออร่าสีดำม่วงซึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษรต่างๆ
เริ่มหมุนเวียนรอบตัวฉัน แสดงให้เห็นถึงพลังพิเศษที่แท้จริง ควันสีดำลอยในอากาศขนาบข้างลำตัวพร้อมการปรากฏตัวของอสรพิษทั้งด้านดีและชั่ว
คุณลุงนายพรานเดินถอยกลับไปสองก้าวและมองด้วยสีหน้าค่อนข้างพึงพอใจก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นหน้าซีดแทน
เพราะครั้งนี้พวกมันเผยมาอีกเกือบสิบจนน่าสะพรึงกลัว
“ยะ...ยูกิ
พลังพิเศษของหนูมีอสรพิษแค่สองตัวเองไม่ใช่เหรอ นี่มันผิดปกติชัดๆ”
“ไม่ค่ะ นี่คือปกติของอสรพิษอัปยศ...พลังพิเศษของหนู มีแค่สองตัวเท่านั้นที่สามารถปรากฏให้เห็นทันที หนูได้รู้เรื่องนี้ด้วยตัวเองตอนนอนฝัน
พวกมันคอยบอกความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดเลย”
ฉันอธิบายเกี่ยวกับพลังพิเศษของตัวเองให้คุณลุงและดาไซจากเครื่องดักฟังได้ประจักษ์
ซึ่งเหล่างูเกือบสิบเป็นรูปลักษณ์ที่แท้จริง จะถูกใช้งานก็ต่อเมื่อเรียกชื่อพลังเท่านั้น
ส่วนสองตัวซ้ายขวาอย่างแคทเชอร์กับริปเปอร์(นักเชือด)เป็นร่างธรรมดา มีเงื่อนไขการปรากฏตัวคนละแบบ นั่นคือดีดนิ้วซ้ายเรียกและเปิดผ้าปิดตาข้างขวาออก
“สะ...สุดยอด ไม่อยากเชื่อเลยว่าพลังพิเศษของหนูมันจะอเนกประสงค์กว่าที่คิดไว้ ทีนี้ก็ทำงานกับลุงได้สบายเลยสิ” เขาพูดด้วยความตื่นเต้นเมื่อเจอของใหม่ที่ไม่เคยคาดคิดพร้อมรอยยิ้มปีศาจบนใบหน้าที่ยิ่งฉีกกว้างกว่าเดิมอีก
“...”
“ถ้างั้นรอเดี๋ยวนะ...ยูกิ ลุงจะปล่อยออกให้มาช่วยงานตอนนี้...”
“ขอปฏิเสธค่ะ หนู...คงลงมือฆ่าคนบริสุทธิ์พวกนั้นเพื่อเพิ่มฐานะเงินทองไม่ได้หรอก
ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ” ฉันหันหน้าจ้องมองไปทางคนตรงหน้าแล้วเริ่มใช้พลัง
“เหล่าคนบาปเอ๋ย...จงหลับใหล เหล่าคนบริสุทธิ์เอ๋ย...จงอย่าได้เห็นและลืมเลือนความมืดมิดของข้า”
เหล่าอสรพิษอ้าปากตัวเองออกพร้อมพ่นควันสีดำม่วงไปทางกลุ่มอาชญากรชุดดำทั้งหมด ส่วนละอองสีเทาถูกพ่นไปทางกลุ่มคนบริสุทธิ์โดยสอดแทรกผ่านซอกเล็กๆ ตามกรงกระจก ควันค่อยๆ ลอยเข้าสู่จมูกของกลุ่มคนบาป ทำให้สำลักไม่กี่วินาทีและสลบล้มนอนลงพื้นพร้อมกัน ต่างจากอีกกลุ่มที่จะไม่สลบ เพียงแต่มองไม่เห็นรูปลักษณ์ของพลังพิเศษจนกระทั่งลืมมันไปทีละนิดในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมง
“ริปเปอร์...ช่วยตัดเชือกให้ฉันที”
หลังออกคำสั่งจบ อสรพิษด้านชั่วได้เผยคมมีดจากหัวแล้วทำการปลดพันธนาการจากเชือกโดยพยายามเลี่ยงไม่ให้เฉือนโดนแขนขาก่อนที่จะหายไปพร้อมควันสีดำ จากนั้นฉันก็ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นยืนและเปิดไมค์หูฟังติดต่ออีกคน
เพียงเท่านี้ก็ไร้กังวลแล้วล่ะนะ...
“ดาไซ...ทางนี้ปลอดภัยแล้ว เข้ามาได้เลย”
“รับทราบ งั้นยูกิจังคอยคุ้มกันกลุ่มคนบริสุทธิ์อยู่ตรงนั้นนะ เดี๋ยวฉันขอตัวไปตามคุนิคิดะคุงก่อน”
ดาไซตัดสายจากการติดต่อเรียบร้อย
ส่วนฉันก็ยืนมองกลุ่มอาชญากรชุดดำที่นอนสลบกันเพราะพลังพิเศษของตัวเอง มือขวายื่นลงไปเก็บผ้าปิดตาสีดำจากมือคุณลุงนายพรานผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มมาใส่กลับเข้าที่เดิมแล้วถอดกิ๊ปหนีบผมออก
อย่างน้อย...ก็ไม่ได้ฆ่าพวกเขาให้ตายต่อหน้าผู้คนบริสุทธิ์ตอนนี้สักคน
ถ้าเมื่อกี้ไม่มีการควบคุมขึ้นมา ริปเปอร์อาจดื้อดันสังหารทิ้งอย่างไร้เยื่อใยเหมือนสมัยเรียนก็เป็นได้
ฉันเริ่มทำการค้นตัวหากุญแจไขกรงกระจกทีละคนโดยมีแคทเชอร์ช่วยด้วยอีกแรง
แต่พอค้นครบทุกคนแล้วกลับไม่เจอเลย อสรพิษด้านดีเองก็ยังส่ายหัวอย่างน่าเสียดายพร้อมกับหายตัวไป สิ่งที่เจอแทนคือ หนึ่งในอาชญากรชุดดำคนสุดท้ายที่กำลังจับตัวกดปุ่มระเบิดเอาไว้แน่นก่อนตาย
นั่นทำให้ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจและรู้สึกหน้าซีดทันที
ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด
เสียงสัญญาณนับถอยหลังของระเบิดจากตัวคุณลุงนายพรานเริ่มดังขึ้น เมื่อเดินเข้าไปส่องเวลานั้นแล้ว...
มันเหลือเพียงสามนาที!!
“ทาจิบานะ!!” คุนิคิดะวิ่งเข้ามาหาพร้อมดาไซตามที่เคยพูดไว้ก่อนที่จะสังเกตเห็นระเบิดตรงหน้า
“เดี๋ยวสิ...เจ้าตัวระเบิดนั่นมัน...”
“หรือว่า...คนพวกนี้กำลังเริ่มแผนการตายพร้อมกลุ่มคนที่ลักพาตัวมา!? แถมยังเหลือเวลาแค่สามนาทีซะด้วย...ยูกิจังช่วยหาตัวหยุดระเบิดทีนะ เดี๋ยวฉันจะใช้กุญแจผีเปิดกรงกระจกและปลดปล่อยเหยื่อออกให้ ส่วนคุนิคิดะคุงเตรียมแบกพวกเขาออกจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด!”
“รับทราบ!”
“รู้แล้วล่ะน่า!
เจ้าบ้า!”
หนุ่มแว่นผมบลอนด์เข้มและหนุ่มผมน้ำตาลพากันออกตัวไปช่วยเหล่าคนบริสุทธิ์ในกรงกระจก
ฉันรีบหันมองที่ตัวกดปุ่มระเบิดจากมืออาชญากรคนเมื่อกี้พร้อมยื่นมือขวาหยิบขึ้นมาดู
ปรากฏว่าไม่มีการใส่ปุ่มหยุดเวลาเอาไว้ ฉันกำมือแน่นแล้วโยนมันทิ้งก่อนที่จะรีบค้นหาทั่วห้อง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ทำไมกัน...ทำไมถึงไม่มีล่ะ...”
หลังเดินค้นหาประมาณหนึ่งนาที
สิ่งที่พบคือความว่างเปล่า ตัวหยุดระเบิดไม่ได้อยู่ในห้องนี้เลย ใจฉันเริ่มเต้นรัว
ทำตัวแทบไม่ถูก มือสั่นระริกไปหมด ความรู้สึกท้อแท้ค่อยๆ เพิ่มพูนทีละนิด
ถ้าช่วยไม่ทัน ทุกคนรวมถึงฉันก็จะตาย และไม่มีใครสามารถรับรู้ได้ด้วยเพราะอยู่ในห้องลับของบ้านกลางป่าไม้
บางที...ฉันคงช่วยพวกเขาไม่ได้แล้วจริงๆ
“ยูกิจัง...ยูกิจัง!!”
“...!!?”
เสียงของดาไซได้ปลุกฉันให้ตื่นจากวังวนความท้อแท้พร้อมจับมือทั้งสองไว้แน่นเพื่อเตือนสติอีกที
“ฟังนะ...ยูกิจัง ดูท่าทางเราจะมีเพียงทางเลือกเดียวแล้วแหละ”
หนุ่มนักสืบยกมือขวามาจับไหล่แล้วเสนอทางเลือกต่อจากนี้ “อสรพิษจากพลังพิเศษของเธอ...ใช้พวกมันรวบกลุ่มอาชญากรทุกคนและก็แกะเสื้อระเบิดทิ้งไว้ที่นี่ซะ”
“ตะ...แต่ว่า...ร่างคนตายในหลอดแคปซูล...”
“ไม่มีเวลาไปใส่ใจคนตายแล้ว!
พวกเราต้องช่วยเหลือคนเป็นให้อยู่รอดในเมืองโยโกฮาม่าต่อไปเท่านั้น พวกเขาจะตายด้วยวิธีแบบนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด แม้แต่คนร้ายเองก็ต้องถูกส่งไปยังสถานีตำรวจเพื่อสอบสวนให้ได้ เข้าใจนะ...”
พอดาไซพูดจบ มันก็ทำให้รู้สึกตาสว่างขึ้น ฉันเริ่มเข้าใจทันทีเลยว่า นักสืบทั้งสองรวมถึงคนอื่นๆ จำเป็นต้องช่วยเหลือคนที่ยังมีชีวิตอยู่และปกป้องเมืองแห่งนี้ให้สงบสุข ส่วนเหล่าคนร้ายก็ต้องได้รับโทษตามที่ศาลยืนยันเท่านั้น
เห็นทีคงต้องใช้พลังพิเศษให้เป็นประโยชน์อย่างจริงจังซะแล้วสิ
พลังนี้...ที่ต้องไม่ถูกใช้เพื่อการสังหาร แต่เป็นการสงเคราะห์ชีวิตผู้คน
คำสาปที่มีติดตัวมาตลอด
20 ปี...มันจะต้องบริสุทธิ์ขึ้น!
“อื้ม...นั่นเป็นส่วนหนึ่งในการทดสอบเกี่ยวกับพลังพิเศษใช่มั้ยล่ะ
เพราะงั้น...ฉันจะทำมันเอง” ฉันหันหน้าไปตอบนักสืบผมน้ำตาลด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง
มุ่งมั่นที่สุด สิ่งที่ได้กลับมาคือ รอยยิ้มอ่อนโยนของเขา
“งั้นฉันกับคุนิคิดะคุงขอพาเหยื่อทั้งหมดเดินออกจากห้องนี้ล่วงหน้าก่อน
ทำหน้าที่ตอนนี้ให้ดีที่สุดนะ...ยูกิจัง”
ว่าจบดาไซรีบวิ่งกลับไปสมทบคุนิคิดะพร้อมรับกลุ่มคนบริสุทธิ์ออกจากห้องนี้
แต่ด้วยการที่บางส่วนไม่มีเรี่ยวแรงจะวิ่งต่อ จึงต้องทำให้คนอื่นๆ
ช่วยแบกไปอย่างทุรนทุราย เมื่อเห็นว่าพวกเขาไปกันหมดเรียบร้อย ฉันก็รีบแกะเสื้อติดระเบิดออกจากลำตัวคุณลุงนายพรานแล้วโยนทิ้งให้ไกลที่สุดก่อนที่จะเรียกใช้พลังพิเศษของตัวเองโดยไม่เปิดผ้าปิดตาออก
“อสรพิษอัปยศ!!”
เหล่าแถบออร่าสีดำม่วงเริ่มหมุนเวียนรอบตัวพร้อมเหล่าอสรพิษด้านดีทั้งสิบปรากฏตัวภายใต้ควันสีดำ
พวกมันพุ่งไปมัดรอบลำตัวกลุ่มอาชญากรชุดดำทุกคนไว้แน่นและยกขึ้นเหนือพื้น ต่อมาฉันก็รีบเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์ส่องทางออก
ขาทั้งสองเริ่มวิ่งให้พ้นห้องนี้ให้เร็วที่สุด
คุณลุงนายพราน...ถึงแม้จะเป็นผู้ร้ายจนทำให้หนูยอมรับไม่ได้
แต่ก็ไม่อยากให้ตายเหมือนกัน เพราะงั้น...หลังจากนี้คุณลุงคงต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานีตำรวจแทนแล้วล่ะค่ะ
.
.
.
.
.
ตู้มมม!!!
เมื่อพวกเราทั้งหมดดิ้นรนออกจากห้องลับภายในเสี้ยววินาที
เสียงระเบิดก็เริ่มดัง แม่น้ำที่อยู่ตำแหน่งเดียวกันได้มีการปะทุขึ้น
ซึ่งยังดีที่ไม่ระเบิดตอนกลางวัน ไม่งั้นประชาชนคนอื่นๆ คงตื่นตระหนกตามไปด้วยแน่ๆ
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ...ภารกิจของพวกเราในฐานะผู้มีพลังพิเศษได้สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้แล้ว
ฉันสั่งให้อสรพิษทั้งสิบวางร่างอาชญากรชุดดำที่ไร้สติสัมปชัญญะลงนอนบนพื้นก่อนที่พวกมันจะหายตัวไปกับควันสีดำ ฉันเดินถอยหลังออกสองสามก้าว ปล่อยให้คุนิคิดะใส่กุญแจมือเรียงคน ส่วนดาไซก็โทรเรียกตำรวจและพยายามเกลี้ยกล่อมเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจนได้ผล พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้นพร้อมพากันรวมกลุ่มนั่งพักในบริเวณเดียวกัน
ภาพเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฉันต้องการเห็นในฐานะประชาชนผู้มีพลังพิเศษ
รอยยิ้มและน้ำตาแห่งความปลื้มปิติยินดีของตัวเองค่อยๆ เอ่อไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
มันรู้สึกดีใจมากที่พวกเขารอดมาได้ แถมยังรู้สึกถึงความยุติธรรมและความถูกต้องในเบื้องลึกของจิตใจที่กำลังเติมเต็มแทนคำสาปอีกด้วย
“คดีคนหายในครั้งนี้คลี่คลายได้เพราะเธอเลยนะ...ยูกิจัง”
ดาไซเดินเข้ามาหาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงจนแทบทำให้ปาดน้ำตาออกไม่ทัน
“อะ...อื้ม
ความจริงงานนี้ต้องปล่อยให้นักสืบอย่างพวกคุณดำเนินการเองแท้ๆ
แต่ฉันดันยุ่งไม่เข้าเรื่องซะได้” ฉันยื่นมือขวาขึ้นจับต้นคอตัวเองแล้วเบี่ยงหน้าออกไปข้างๆ
พร้อมกับสีหน้าทุกข์ใจเล็กน้อย “พอคิดดูดีๆ แล้วก็แทบไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าเขาจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มนั้น...”
“เรื่องนี้แหละที่ฉันเดาเอาไว้ในหัว
เพราะมันทะแม่งตั้งแต่ช่วงเช้าที่ปล่อยให้เธอวิ่งหนีไปโดยไม่เรียกร้องขอชีวิต
ถ้าเป็นในหนังจะน่าซึ้งใจอยู่หรอก แต่นี่คือชีวิตจริง พวกเราไม่สามารถรู้ความคิดหรือเรื่องต่างๆ
ได้ทั้งหมด ดังนั้นฉันถึงลองคาดการณ์ไว้ก่อนว่า เขาอาจเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยด้วย”
“อย่างนี้นี่เอง...”
“อีกอย่าง...จำเรื่องกระดาษโน้ตได้มั้ย
แผ่นแรกน่าจะเป็นแค่ขู่ให้กลัวหรือคิดว่าเป็นอาชญากรคนอื่น
ตั้งแต่แผ่นสองถึงแผ่นสุดท้ายมันทะแม่งยิ่งกว่าเดิม เหมือนจงใจบอกใบ้เกี่ยวกับผู้ร้ายที่แท้จริง ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจขอเดินลงห้องลับด้วยกันและให้เธอเป็นตัวแทนช่วยสืบคดีไงล่ะ”
ในจังหวะที่ดาไซอธิบายจบพอดี
เสียงไซเรนก็ดังมาแต่ไกล ตำรวจเดินทางมาถึงจุดหมายเรียบร้อยพร้อมเตรียมการจับกุมกลุ่มอาชญากรชุดดำและคุณลุงนายพราน
บางส่วนก็พาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายขึ้นรถตู้พยาบาลเพื่อนำส่งไปรักษา
“ทาจิบานะ...เอ่อคือ...เรื่องนี้ฉันต้องขอบคุณส่วนหนึ่งด้วยนะ
ถ้าตอนนั้นเธอไม่บังเอิญอยากกลับมาบ้านก่อน คดีลักพาตัวครั้งนี้อาจยืดเยื้อไม่มีวันจบสิ้นแน่นอน”
คุนิคิดะเดินเข้ามาคุยกับฉันแล้วขยับแว่นหนึ่งทีเหมือนที่เคยทำ
“เธอเปรียบเหมือนกุญแจสำคัญในการดำเนินสืบค้นคดีเลยล่ะ...อย่างน้อยการพบกันของพวกเราครั้งนี้ถือว่าไม่มีสูญเปล่าแม้แต่นิด”
นักสืบหนุ่มผมน้ำตาลถอดฮู้ดและไมค์หูฟังออกพร้อมลูบหัวฉันอย่างเบามือ
“ทีนี้คำสาปก็เริ่มถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ พลังพิเศษของเธอไม่ได้มีไว้แค่สังหารผู้คนอีกต่อไปแล้ว
ยินดีด้วยนะ...ยูกิจัง”
สิ้นเสียงของดาไซแล้ว ของเหลวภายในดวงตาได้เริ่มไหลพรากลงหนักยิ่งกว่าเก่า ซึ่งไม่ใช่น้ำตาแห่งความทุกข์หรือเสียใจ แต่มันมีความรู้สึกดีใจแฝงเต็มไปหมด หนุ่มแว่นผมบลอนด์เข้มเห็นปุ๊บก็บีบคอเพื่อนร่วมงานโยกไปมาด้วยความโมโหอีกครั้ง ฉันรีบเช็ดมันออกแล้วหัวเราะให้กับพวกเขาพร้อมรอยยิ้ม
วันนี้...ถือว่าโชคดีที่สุดในชีวิตเลยล่ะ ทั้งได้แสดงความรู้สึกที่แท้จริง พูดคุยกับผู้คนใหม่ๆ เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือผู้คนแม้ว่าจะไม่ใช่นักสืบ รวมถึงได้รู้จักคำว่า ‘น้ำตา’
ขอบคุณนะ
ดาไซ...คุนิคิดะ ที่พวกเราได้พบเจอกัน...
[ To be continued ]
ความคิดเห็น