คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Episode 5 การใช้ชีวิตในเมืองของยูกิ
เช้าวันต่อมา
เมื่อสัมผัสถึงแสงแดดยามเช้าที่ส่องลงมาผ่านหน้าต่างห้องพักใหม่
ฉันก็เริ่มรู้สึกตัวและค่อยๆ ลืมตาตื่น นาฬิกาบนจอโทรศัพท์กำลังแสดงเลขเวลาเป็น
6.30 น. มือทั้งสองยันฟูกนอนให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมหันหน้ามองรอบๆ ห้อง แน่นอนทุกอย่างถูกจัดให้ดูเหมือนกับห้องของคุนิคิดะเป๊ะ
สาเหตุที่ต้องมานอนที่นี่เพราะนักสืบทั้งสองมองว่า
ถ้าปล่อยให้ฉันนอนบ้านตัวเองในสภาพค่อนข้างเละเทะอาจจะไม่ค่อยดีนัก จึงเริ่มทำการตกลงว่า
จะช่วยกันเก็บข้าวของหรือชุดที่จำเป็นจริงๆ เพื่อย้ายมาเช่าห้องพักนี้แทน
ส่วนค่าเช่าทางดาไซจะคอยช่วยหนุนให้ซึ่งตอนแรกคุนิคิดะเกือบปฏิเสธเพราะค่าใช้จ่ายมีไม่มากพอ
แต่สุดท้ายเขาก็ยอมจนได้
“...ให้ตายเถอะ
ง่วงชะมัด” ฉันปิดปากหาวออกมาด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำภารกิจและขนของเมื่อคืนก่อนที่จะลุกขึ้นไปเตรียมอุปกรณ์ล้างหน้าแปรงฟัน
รวมถึงเสื้อผ้าและผ้าขนหนูอาบน้ำ
ในระหว่างที่กำลังทำกิจวัตรประจำวันในห้องอาบน้ำ
ฉันก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่เหมือนจะฝันเห็นร่างเงาริปเปอร์ งูด้านชั่วของพลังพิเศษ...อสรพิษอัปยศ
ในฝันนั้นมันมาเลื้อยขึ้นตามตัวแล้วโผล่หน้ามาบนไหล่ขวาพร้อมพูดเกี่ยวกับตัวของมันเอง
“ยูกิเอ๋ย...บัดนี้ตัวข้าได้รับการควบคุมอย่างสมบูรณ์
ความบ้าคลั่งในโลหิตหรือแม้แต่คำสาปเริ่มถูกชำระออกจนเหลือเพียงนิด
นั่นหมายความว่าข้าจักเตรียมสังหารเป้าหมายในครั้นที่เจ้าจำเป็นต้องเรียกใช้เท่านั้น
และอย่าได้กังวลไป...ข้าไม่ยอมเผยร่างให้เหล่าคนบริสุทธิ์พบเห็นอย่างแน่นอน
เว้นแต่ว่าจะไม่ได้ใส่ผ้าปิดตาข้างขวาผนึกไว้ สำหรับครั้งนี้ขอจบแค่นี้ก่อน...หากมีบางอย่างเกิดขึ้นหรือสิ่งใหม่ๆ
ที่ควรรู้ ข้าจักบอกเจ้าในฝันต่อไปเอง”
คำพูดคำจาของริปเปอร์เปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาด
ดูไม่ค่อยเป็นอสรพิษด้านชั่วเลยสักนิด
คงเป็นเพราะตอนอยู่ห้องลับฉันควบคุมมันได้อย่างเต็มรูปแบบแล้วมั้ง
แต่เอาเถอะ...อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอาละวาดไปเรื่อยล่ะนะ
เวลาผ่านไปหลายนาที(มาก)จนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ฉันก็เดินออกจากห้องอาบน้ำแล้วแขวนผ้าขนหนูกับพวกเสื้อผ้าชุดเก่าที่ซักจนปั่นแห้งเรียบร้อย จากนั้นค่อยเดินไปห้องครัว
สิ่งที่พบตรงหน้าคือ
ร่างของคุนิคิดะในชุดทำงานที่มีผ้ากันเปื้อนสีขาวใส่ทับข้างนอกและกำลังทำอาหารเช้าให้อยู่
พอลองหันมองโต๊ะไม้ พบร่างของดาไซที่กำลังอ่านคู่มือฆ่าตัวตายฉบับสมบูรณ์อย่างเพลิดเพลิน
ถามจริงเหอะ...ในโลกนี้ยังมีใครอ่านหนังสือบ้าบอนี่เหมือนกับเขาอยู่บ้างรึเปล่าเนี่ย
“อรุณสวัสดิ์น้า
ยูกิจางง~ วันนี้ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยแฮะ” เขาหันหน้ามาทักทายพร้อมขยิบตาให้หนึ่งทีตามประสาคนขี้หลีเหมือนเดิม
“อะ...อื้ม
อรุณสวัสดิ์ ดาไซ อ้อ...และก็คุณคุนิคิดะด้วยนะคะ” ฉันทักทายพวกเขาทั้งสองแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้รอกินอาหารเช้าฝีมือนักสืบหนุ่ม
“อรุณสวัสดิ์
ทาจิบานะ เมื่อคืนคงดูเหนื่อยพอตัวจริงๆ แต่ด้วยการที่ได้เธอช่วยปิดคดีให้
พวกฉันก็เลยขอตอบแทนด้วยห้องพักนี้ หวังว่าคงจะไม่ได้มากน้อยจนเกินไปนะ”
“มะ...ไม่ค่ะๆ
ทั้งห้องพัก อาหาร และชุดใหม่ที่ซื้อให้ แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับฉันแล้วล่ะค่ะ”
ฉันแตะอกเสื้อตัวเองแล้วพูดกับนักสืบทั้งสองด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
พวกเขาแสดงปฏิกิริยาตอบกลับที่ต่างกัน ดาไซยิ้มกว้าง
คุนิคิดะพยักหน้าให้พร้อมทำอาหารเช้าต่อไปจนเสร็จ พอลองดูๆ
แล้วรู้สึกว่าทางหนุ่มแว่นผมบลอนด์เข้มจะยิ้มยากเพราะเขาจริงจังกับงานหรือพวกอุดมคติตามที่เขียนไว้ในสมุดจดของเขาเป็นประจำมากกว่า
ต่อมาพวกเราจึงได้เริ่มนั่งกินอาหารเช้าด้วยกัน โดยเมนูครั้งนี้มีเบคอน ไข่ดาว ข้าวสวยอุ่นๆ และน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว ถือเป็นเมนูเบสิกจนเรียกว่า ‘สิ้นคิด’ เลยทีเดียว แต่ถึงจะสิ้นคิดยังไง กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องเป็นธรรมดา กำลังแรงและใจจะเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อได้กินอาหารดีๆ เข้าไปจนอิ่มท้อง
“จะทานแล้วนะครับ/คะ!!”
ผ่านไปหลายนาที
พวกเราทั้งสามก็กินอาหารเช้าหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่เศษข้าวเม็ดเดียว
ฉันขอรับหน้าที่เก็บถ้วยจานไปล้างเองเพราะห้องนี้เริ่มเป็นห้องพักของฉันแล้ว
ในระหว่างนั้นคุนิคิดะได้ยื่นมือช่วยเหลือด้วยอีกแรง
ส่วนดาไซจิตพิลึกก็นั่งอ่านคู่มือพิลึกนั่นต่อไป
“ทาจิบานะ...จากนี้เป็นต้นไป การใช้ชีวิตในตัวเมืองจะเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเธอแล้ว เพราะงั้นสิ่งที่ควรทำในวันนี้คือ เดินทัวร์เมืองโยโกฮาม่าให้รู้เส้นทางและสถานที่ต่างๆ พอสังเขปแค่นั้น”
“นั่นสินะคะ
เพราะตอนอยู่บ้านหลังเก่าฉันไม่เคยได้ออกไปเที่ยวที่อื่นนอกเหนือจากเข้าโรงเรียนบ้านๆ
กับเดินเล่นในป่า ก็เลยไม่เคยได้รู้สถานการณ์หรือบรรยากาศบ้านเมืองเลย”
ใช่แล้ว...ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนที่หลบหนีจากอาชญากรชุดดำคราวนั้นฉันไม่เคยได้ออกไปเผชิญหน้ากับสังคมเมืองเลยสักครั้ง
ในแต่ละวันจะอยู่แค่ในบ้าน ป่าไม้ และโรงเรียนเท่านั้น เหล่าข้าวของทั้งหมดคุณลุงนายพรานจะออกไปซื้อให้เอง
ชีวิตตอนนั้นก็เลยดูหม่นๆ เหมือนนกในกรง แน่นอนว่าไม่มีเพื่อนสักคน
มีแค่แคทเชอร์ที่คอยเล่นด้วยกับริปเปอร์ที่คอยพูดคุยในฝันเท่านั้น
“แต่ยูกิจังตอนนี้ก็หลุดพ้นจากกรงนกนั่นได้แล้วนี่ ไม่มีอะไรต้องกังวลมากมายอีกต่อไป เพียงแค่ปรับตัวอีกสักหน่อยจนกว่าจะคุ้นเคยกับกลุ่มผู้คนในตัวเมืองนี้น่ะ” ดาไซเก็บคู่มือของตัวเองเข้ากระเป๋าด้านในเสื้อโค้ทพร้อมกับเตรียมเดินออกจากห้องพัก
“เอาเป็นว่าฉันขอตัวไปเดินเล่นสักหน่อยละกันนะ”
เอี๊ยดด~
“อ้าวเฮ้ย...ไอ้บ้าดาไซ!
รอเดี๋ยวสิ...”
ปึง!
“...เฟ้ย”
คุนิคิดะยืนนิ่งด้วยความเงิบแดกสักพักก็แอบแสดงท่าทางโมโหใส่เพื่อนร่วมงานตัวเองที่ปิดประตูอัดหน้าเมื่อครู่ แต่การช่วยล้างถ้วยจานยังคงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรียกง่ายๆ คือ ข่มอารมณ์เอาไว้ในใจก่อน
ฉันมองแล้วเกือบจะหลุดขำเล็กๆ เต็มทน ทำให้เขาต้องส่งสายตาจ้องมาทางนี้อย่างเร็วไว
“เอ่อ...ปะ...เปล่าค่ะๆ
ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แหะๆๆ”
“ให้ตายเถอะ
เธอเนี่ยน้า...”
พวกเราสองคนรีบล้างถ้วยจานจนเสร็จแล้วก็ต่างแยกกันเตรียมของจำเป็นในห้องพักตัวเอง
ฉันได้เดินไปส่องกระจกเพื่อดูสภาพชุดแต่งกาย
ซึ่งเป็นแบบที่ดาไซเคยเลือกไว้ ส่วนผ้าปิดตาในครั้งนี้จะใส่อันใหม่
แต่ยังคงเป็นสีดำเหมือนเดิม จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋ากางเกง
เดินออกจากห้องพร้อมล็อกกุญแจไว้ให้สนิท
เอาตรงๆ ฉันแอบประทับใจชุดนี้อยู่เหมือนกันนะ ถึงจะมีฮู้ดหูกระต่ายที่ไม่ค่อยเข้ากับพลังพิเศษอย่างอสรพิษเลย แต่ถ้าพวกเขามองว่าน่ารักก็ไม่อยากเกี่ยงอะไรมากมาย
“เตรียมของครบแล้วสินะ
ทาจิบานะ” คุนิคิดะเดินออกจากห้องและล็อกกุญแจพร้อมเดินเข้ามาหาฉัน
แต่ในวินาทีนั้นเหมือนเขาจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงได้ยกมือซ้ายขึ้นมาถอดฮู้ดออกให้
“อ่ะ...? คุณคุนิคิดะ?”
“ไม่จำเป็นต้องใส่ขนาดนั้นหรอกน่า...สังคมในเมืองไม่ได้มีแต่ความน่ากลัวสักหน่อย แม้การกล้าเผชิญหน้าโดยไม่ปิดบังตัวตนจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่อย่าเปิดเผยมากเกินไปละกัน โดยเฉพาะพลังพิเศษของเธอ” เขาพูดแล้วเลื่อนมือที่เพิ่งถอดฮู้ดลงมาแตะบนผ้าปิดตาสีดำเบาๆ
เชิงเตือนใจเอาไว้ก่อน
“เอ่อ...เข้าใจแล้วค่ะ
ทางริปเปอร์เองก็บอกฉันไว้ในฝันว่าหากยังไม่ถอดผ้าปิดตาออก
จะไม่เผยร่างให้ใครเห็นเด็ดขาด”
“เจ้าคำสาปที่ว่านั่นน่ะเหรอ...ดีแล้วล่ะที่คุยกันได้”
ฉันพยักหน้าและยิ้มให้เล็กน้อยก่อนที่เขาจะพาเดินลงไปชั้นล่างแล้วขึ้นรถยนต์คันสีดำ
โดยฉันขอนั่งข้างหลังติดริมกระจกข้างซ้ายเพราะเป็นความชอบส่วนตัวล้วนๆ เขายอมให้นั่งพร้อมสตาร์ทเครื่องเตรียมมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองโยโกฮาม่าเพื่อพาทัวร์และดูสถานที่ต่างๆ
ในแต่ละจุด
ทีนี้...การใช้ชีวิตในป่าก็จบลงสักที
ความใฝ่ฝันที่อยากออกไปสัมผัสโลกภายนอกกำลังจะกลายเป็นจริงในไม่ช้านี้
ณ
หน้าอาคารสำนักงานนักสืบบุโซ
“ว้าว...ที่ทำงานของพวกคุณดูใหญ่โตมากเลยนะคะเนี่ย”
หลังจากคุนิคิดะขับรถยนต์มาถึงที่ทำงานของเขาและดาไซอย่างสำนักงานนักสืบบุโซใกล้สี่แยกจราจร
ฉันก็ถึงกับตาวาวด้วยความประหลาดใจ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นอาคารที่ใหญ่โตขนาดนี้
โครงสร้างภายนอกคืออาคารอิฐโทนสีแดงที่มีเสาเป็นสีไข่ มีทั้งหมดห้าชั้น ซึ่งชั้นบนสุดจะเป็นเหมือนปูนสีไข่ออกน้ำตาลหน่อยๆ
ด้านขวามือของอาคารมีป้ายชื่อสำนักงานแห่งนี้
“ก็ประมาณนั้น...ในตัวเมืองย่อมมีอาคารหลังใหญ่เยอะเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
เอาเป็นว่าฉันขอขึ้นไปดูที่ห้องทำงานก่อนว่ามีใครมาแล้วบ้าง ส่วนเธอนั่งรออยู่ตรงนี้
โอเคนะ”
ว่าจบเขาก็ออกจากรถยนต์แล้วเดินเข้าอาคารหลังนั้นโดยทิ้งฉันให้นั่งอึนและมึนรอ
พอมองรอบๆ พบว่ามีเหล่าคนเมืองเดินไปมา ทั้งนักเรียน-นักศึกษา คนทำงาน
ครอบครัวธรรมดา คู่ชายหญิงสองคน รวมถึงกลุ่มเพื่อนที่คุยกันอย่างสนุกสนานและเฮฮา
สักพักลองหันกลับมามองตัวเองก็ถึงกับต้องถอนหายใจหนักหน่วง
เพราะนอกจากนักสืบทั้งสองคนแล้ว คงมีแค่อสรพิษอีกสองตัวที่เล่นหรือคุยด้วยได้
จากที่สังเกตเมื่อเช้า รู้สึกว่ากระจกรถยนต์คันนี้จะเป็นแบบทึบจากข้างนอกแฮะ งั้นแปลว่าการเรียกแคทเชอร์ออกมาตอนนี้คงไร้กังวลสินะ
พอคิดได้เช่นนั้น
ฉันก็ดีดนิ้วซ้ายเรียกให้อสรพิษด้านดีปรากฏตัวภายใต้ควันสีดำที่ลอยในอากาศ
มันค่อยๆ มองหน้าแล้วตรงเข้ามาคลอเคลียแก้มซ้าย ออดอ้อนราวกับลูกแมวน้อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือของับมือเล่น ทุกครั้งที่เห็นเจ้างูตัวนี้คอยเล่นด้วย มันทำให้ฉันมีความสุขแปลกๆ ถึงจะอยู่ด้วยกันยาวนานแล้วก็ตาม
“ถ้าริปเปอร์เล่นกับฉันได้คงจะดีมากเลย...”
ในขณะที่ฉันกำลังพูดกับตัวเอง
คุนิคิดะก็เดินกลับมาขึ้นรถโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยแม้แต่นิด
“เรื่องนั้นเกรงว่าจะยากหน่อยล่ะนะ เพราะเดิมทีอสรพิษด้านชั่วของเธอไม่ได้ถูกสอนให้อยู่ร่วมกับมนุษย์นอกจากสังหาร แต่เจ้าบ้าดาไซเห็นว่าคำสาปเริ่มถูกชำระแล้ว แปลว่าน่าจะมีโอกาสที่ปรากฏตัวมาพูดคุยได้ปกติอยู่บ้าง”
“เรื่องนี้...ฉันก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน
หลายปีที่ผ่านมา ริปเปอร์จะพูดคุยด้วยเฉพาะในฝันเท่านั้น เพราะเป็นห้วงมิติที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นและรับรู้
แต่บางครั้งไม่ฝันอะไร
นั่นคงหมายถึงไม่มีเรื่องจะบอกเล่าให้ฟังหรือสอนใช้พลังพิเศษใหม่ๆ” ฉันดีดนิ้วอีกรอบเพื่อให้แคทเชอร์ได้กลับเข้าสู่สภาวะเดิม สลายไปกับควันสีดำในอากาศ
“แปลกดีแฮะ...ทั้งชีวิตฝันแค่เรื่องเดียวเนี่ย
ถือว่าน่าสนใจดี เดี๋ยวจะจดเอาไว้ในสมุดทีหลังละกัน” เขาเริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อขับไปยังที่จอดรถพร้อมพาเดินออกจากรถและล็อกประตู
จะว่าไปมันก็แปลกจริงแหละ...ปกติคนเราควรมีเรื่องฝันเยอะกว่านี้
เพราะในชีวิตประจำวันไม่ได้เหมือนเดิมตลอด มันมีการเปลี่ยนแปลง เรื่องราวพลิกผันกลับด้าน
การตัดสินใจบางอย่างที่อาจส่งผลมาถึงฝัน เป็นไปตามคำนิยามที่ว่า คิดผิด/เลือกผิด
ชีวิตเปลี่ยน
ส่วนของฉันคิดว่าไม่น่าจะใช่ความฝันธรรมดา
มันเหมือนดึงจิตเข้าสู่อีกมิติหนึ่งในโลกของพลังพิเศษ...อสรพิษอัปยศมากกว่า
แต่ถึงแบบนั้นร่างเงาที่พบก็มีแต่ริปเปอร์ อสรพิษด้านชั่วตัวนั้นเคยบอกกับฉันไว้ว่า แคทเชอร์ไม่ชอบเข้าโลกพลังพิเศษ มันชอบเผชิญหน้าและใช้ชีวิตในโลกความจริง
เพราะงั้นอสรพิษด้านดีจึงยอมโผล่ให้เห็นอยู่บ่อยๆ
“ทีนี้...ถึงเวลาเดินทัวร์เมืองโยโกฮาม่าแล้ว
และดูเหมือนว่าฉันจะต้องรับบทเป็นไกด์แทนก่อน ถึงจะขัดกับแผนการไปหน่อย
แต่ในเมื่อยังไม่มีสมาชิกคนอื่นมาก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”
ว่าจบนักสืบหนุ่มแว่นก็เดินนำหน้าก่อนที่ฉันจะเดินตามพร้อมมองบรรยากาศบ้านเมืองรอบๆ
คนเมืองแต่ละคนต่างใช้ชีวิตประจำวันคนละแบบกัน อย่างการเตรียมไปทำงาน ไปเรียน ซื้อข้าวของจำเป็น
เที่ยวด้วยกันกับกลุ่มเพื่อน หรือแม้แต่คู่ชายหญิงที่จับมือ ควงแขนกันและเดินเล่นอย่างมีความสุข
มันทำให้โลกที่ฉันกำลังเผชิญอยู่นี้มีสีสันมากกว่าเดิม
ระหว่างนั้นเอง
พวกเราได้เจอเด็กนักเรียนสาววัยประถมรูปร่างอวบคนหนึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้ ดูท่าทางจะบาดเจ็บอยู่
คุนิคิดะหยุดยืนมองสักพักก็เริ่มเดินเข้าไปซักถาม
“เจ้าหนู...เกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอน่ะ บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า”
“เอ่อ...พอดีเมื่อเช้าหนูเดินๆ
อยู่แล้วมันก็เจ็บตรงข้อเท้าขวาจนล้มลงพื้นน่ะค่ะ”
“งั้นเหรอ
เอาเป็นว่าฉันขอเช็คอาการหน่อยละกัน...อาจจะต้องทนเจ็บบ้าง แต่มันก็จำเป็นนะ”
นักสืบหนุ่มแว่นย่อตัวลงชันเข่าบนพื้นแล้วยื่นมือทั้งสองไปแตะข้อเท้าขวาของเด็กน้อยพร้อมจับให้ขยับไปมาอย่างช้าๆ
สายตาของเขาดูจริงจังกับการช่วยเหลือผู้คนมากจริงๆ
เหมือนมันกำลังส่งแสงแห่งความยุติธรรมออกมาให้เห็นเต็มตา ต่อมาก็ได้ยินเสียงเด็กสาวคนเมื่อกี้ร้องด้วยความเจ็บปวดเบาๆ
ก่อนที่อีกคนจะเริ่มปล่อยมือออก
“ท่าทางเส้นเอ็นข้อเท้าจะพลิกแฮะ
เธอมีเบอร์โทรของพ่อแม่มั้ย จะได้ติดต่อให้”
เธอพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเปิดกระเป๋านักเรียนของตัวเอง
มือขวาเริ่มล้วงเข้าไปหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กและเปิดหาเรื่อยๆ จากนั้นก็ยื่นสมุดที่เปิดหน้ากระดาษไว้ให้กับคุนิคิดะ
ฝ่ายนั้นรับทราบพร้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นเพื่อกดเบอร์ติดต่อนั้น
ฉันไม่รู้จะทำยังไงต่อนอกจากขอนั่งข้างๆ รอเป็นเพื่อนแล้วถามเกี่ยวกับโรงเรียนที่กำลังเรียนอยู่ ซึ่งได้ทราบมาว่า เป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างไกล ต้องเดินไปยังจุดสถานีรถบัสต่อด้วย แต่ถึงอย่างนั้นทางพ่อแม่ก็ยังพอใจในเรื่องค่าเทอม เหมือนเป็นการยอมแลกเปลี่ยนระหว่างเดินทางไกลกับค่าเทอมถูก
ส่วนการเรียนการสอนเธอมองว่า ไม่ได้แย่อะไรมากมาย เพื่อนๆ ในห้องมีทั้งดีและไม่ดี
ครูผู้สอนเองก็เช่นกัน เธอเลือกที่จะอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ดีเสมอ
ส่งผลให้การเรียนดี สอบผ่านมาตลอด ฉันฟังเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกสบายใจแทนพ่อแม่เลย
.
.
.
.
.
เวลาผ่านไปหลายนาที
ก็ได้มีรถยนต์คันสีฟ้าจอดอยู่ข้างถนนใกล้ๆ กับพวกเรา
และคนที่เดินออกจากรถคือคู่สามีภรรยาซึ่งน่าจะเป็นพ่อแม่ของเด็กนักเรียนคนนี้
พวกเขารีบตรงเข้ามาด้วยความเป็นห่วง ทางพ่อช่วยอุ้มลูกสาวขึ้นหลังรถ
ส่วนทางแม่เดินมาโค้งขอบคุณคุนิคิดะอย่างนอบน้อม
“ต้องขอขอบคุณจริงๆ
นะคะ นับว่าเป็นบุญคุณที่ดีอย่างหนึ่งเลยค่ะ”
“อ่า...ไม่หรอกครับ เพราะหน้าที่ของพวกผมคือการรับใช้ประชาชนภายในเมืองนี้อยู่แล้ว” เขาพูดในขณะที่ยืนเอามือไพ่หลังตัวเองอย่างสุภาพและขยับแว่นขึ้นหนึ่งที
สามคนพ่อแม่ลูกพากันขึ้นรถแล้วขับไปยังสถานที่ที่เขาต้องการจะไป
คุนิคิดะหันกลับมาดำเนินการพาเดินทัวร์เมืองโยโกฮาม่าต่อ ระหว่างนั้นฉันยังคงตงิดใจกับคำเมื่อกี้อยู่
ทั้งที่เป็นผู้มีพลังพิเศษธรรมดา ยังไม่ได้เป็นนักสืบเลยแท้ๆ แต่คิดไปคิดมาสุดท้ายก็ลงเอยที่ว่าเขาน่าจะพูดรวบยอดให้ดูเหมือนมีคนช่วยเด็กสาวกันสองคน
“จะว่าไป...เมื่อเช้าดาไซบอกว่าขอตัวเดินเล่นสินะคะ ผ่านไปหลายนาทีจนเกือบชั่วโมงแล้ว เขาน่าจะกลับมาหาพวกเราได้แล้วนี่นา”
“เฮอะ! สงสัยตามหลีสาวจนได้ฆ่าตัวตายคู่กันแล้วมั้ง
อย่าไปใส่ใจกับมันให้รกสมองนักเลย...”
“เจ้าคนบ้า...หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ...”
ในวินาทีที่คุนิคิดะกำลังพูดจบประโยค
พวกเราก็ได้ยินเสียงของใครสักคนขอร้องอีกคนให้หยุดดังออกมาจากซอกหลืบ
น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนจะเป็นของผู้หญิง เมื่อความไม่มั่นใจและสงสัยบังเกิด
ฉันขอแอบย่องไปแนบชิดกำแพงเพื่อสังเกตการณ์โดยทางนักสืบแว่นยังคงทำหน้างงๆ แต่ก็แตะสีข้างเตรียมสแตนด์บายปืนของตัวเอง
“หึๆ
คราวนี้ก็หนีไม่พ้นแล้ว...มาให้หยอกเล่นซะดีๆ”
“ไม่ได้! ถอยไปไกลๆ เลย!”
“โธ่...อุตส่าห์ไล่ตามมาได้ทั้งที อย่าทำเป็นขัดขืนฉันนักเลย ปากบอกว่าไม่ๆ แต่ในใจก็อยากทำใช่มั้ยล่ะ...หืมม?”
“บอกว่าให้ถอยไปไกลๆ ไงเล่า!!”
ฉันชะเง้อมองเข้าไปในซอกหลืบเมื่อกี้
สิ่งที่พบคือ เหยื่อหัวส้มคนหนึ่งผู้ถูกกักกั้นและบุกรุกหนักโดยหนุ่มร่างสูงในชุดโค้ทสีเหลืองน้ำตาลอ่อนที่คุ้นเคยกันดี เห็นแบบนี้แล้วไม่ต้องเค้นสมองมาพิจารณาเยอะแยะมากมาย ก็เพราะเจ้าของร่างสูงนั่นไม่ใช่ใครนอกจาก...
“ดะ...ดาไซ?”
“ห๊า...? ไอ้บ้าดาไซเนี่ยนะ หนอย...อย่างนี้ต้องเข้าไปสั่งสอนซะแล้วสิ”
นักสืบหนุ่มผมบลอนด์เข้มหักนิ้วมือตัวเองเตรียมลงไม้ลงมือเพื่อนร่วมงาน
แต่ฉันห้ามเขาไว้พร้อมบอกว่าจะอาสาเข้าไปเอง พวกเราสองคนดึงดันแก่งแย่งหน้าที่โดยพยายามไม่ออกเสียงพูดอะไร
อีกฝ่ายเริ่มหงุดหงิด ออกแรงผลักจนหลุดพ้น
แก้มของฉันเริ่มป่องออกแล้วพุ่งไปดึงแขนไม่ให้เดินเข้า และ...
“อ่อก/แอ่ก!!”
ความชุลมุนวุ่นวายนี้ก็ต้องจบลงอย่างหน้าไม่อายด้วยการเดินเกี่ยวขาสะดุดล้มหัวทิ่มพื้นกันเองระหว่างที่แย่งกันบุก
ส่งผลให้การกระทำของสองคนตรงหน้าหยุดชะงักชั่วคราว
บอกได้คำเดียวเลยว่า...จุกอกมากค่ะ
“อ้าวๆ คุนิคิดะคุง
ยูกิจัง ล้ำเขตส่วนตัวของคนอื่นมันผิดน้าา~” ดาไซพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย
หนำซ้ำยังถือวิสาสะเดินเข้ามาเขกหัวคนละทีอีก
“เขตส่วนตัวบ้านพี่แกดิ
ดาไซ!! นี่มันเรียกว่าเดินเล่นซะที่ไหนล่ะ ห๊ะ!!”
คุนิคิดะเริ่มเข้าสู่โหมดคุณแม่โวยวายใส่แล้วลุกขึ้นลากตัวเพื่อนร่วมงานจิตพิลึกมาบีบคอโยกไปมาตามเคย
ทางเหยื่อรายนั้นมัวแต่ยืนทำหน้าทำตาเงิบแดกนานมากแทนที่จะวิ่งหนี ส่วนฉันก็ค่อยๆ
ยันตัวเองให้ลุกขึ้นพร้อมปัดฝุ่นออกจากตัว ยืนกอดอกมองดาไซนิ่งๆ
“ให้ตายเถอะ...ตอนแรกนึกว่าจะไปหาเรื่องฆ่าตัวตายเถอะ
ไม่คิดเลยว่าจะตามหลีสาวในซอกหลืบแบบนี้เนี่ย
เปลี่ยนรสนิยมเป็นทอมบอยแล้วก็ไม่ยอมบอกกันเลยน้า”
“...”
“...”
“...”
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายทั้งสามที่ท่านเรียก...
กรุณาติดต่อใหม่ด้วย...ค่ะ
“เอ๊ะ...?”
หลังจากฉันพูดจบประโยคเมื่อกี้ จู่ๆ บรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนไป มันเงียบฉี่จนได้ยินแค่เสียงลมหายใจของแต่ละคน พอลองมองทางนักสืบและเหยื่อ พบว่าพวกเขามีรีแอคติ้งที่ต่างกัน
คุนิคิดะที่กำลังบีบคออีกฝ่ายอ้าปากด้วยความเหวอหนักหน่วง
ดาไซหลับตาพริ้มพร้อมยิ้มกริ่มเหมือนคนบ้า ที่สำคัญกว่านั้นคือ เหยื่อคนนั้นหน้าแดงแจ๋
ยืนกำหมัดและตัวสั่นระริกไปหมด
ชิบละ...นี่ฉันทำอะไรลงไปนิ
“เอ่อ...ทุกท่านคะ ฉันพูดอะไรผิดไปรึเปล่า ถ้ามีส่วนไหนของประโยคที่ผิด ช่วยชี้แจงด้วยค่ะ...”
“ไอ้บ้าดาซ้ายยยยยยย!!!!!”
สุดท้ายต้องกลายเป็นฉันที่ยืนเอ๋อและเงิบแดกแทน
คุนิคิดะกับคนหัวส้มเริ่มร่วมด้วยช่วยกันทำการทารุณกรรมดาไซโดยทางนักสืบแว่นยกร่างขึ้นเหนือหัวแล้วโยนออกไป
อีกฝ่ายก้าวขาขวาออกไปข้างๆ เตรียมกำหมัดไว้แน่นพร้อมอัดอัปเปอร์คัทใส่ร่างของนักสืบจิตพิลึกขึ้นฟ้า
เขาได้พูดก่อนที่จะลอยไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นทิ้งท้ายไว้ว่า...
“โอ้วว~ หมัดยังรุนแรงเหมือนเดิมเลยน้าา~
ชูยะจางง~”
“อย่าเติมคำว่า จัง
หลังชื่อฉันแบบนั้นสิเฟ้ย!! ไอ้อดีตคู่หูผีบ้า!!”
ในวินาทีนั้นเองฉันก็เริ่มลองพิจารณาดูรูปร่างของคนๆ นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าที่มีดวงตาสีฟ้า-เทา ผมลอนสีส้มปล่อยลงสั้น หน้าม้าปัดไปทางขวานิดๆ ผมบางส่วนที่ยาวกว่าถูกปัดลงไปยังไหล่ซ้าย บนหัวมีหมวกสีดำที่มีริบบิ้นสีแดงผูกรอบๆ และโซ่เส้นบางสีเงินห้อยอยู่เหนือปีกหมวก
รูปร่างอันผอมเพรียวนี้ถูกปกคลุมด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวภายใต้เสื้อกั๊กสีแดงเข้ม
ชั้นนอกสุดเป็นเสื้อแจ็กเก็ตตัวสั้นสีดำที่มีการพับแขนเสื้อขึ้นประมาณศอก ตรงคอมีริบบิ้นสีดำผูกคล้ายกระดิ่งสัตว์เลี้ยง
จุดที่เป็นเนคไทกลายเป็นการผูกริบบิ้นสีดำเข้ากันด้วยหัวเข็มขัดเล็กๆ สีเงินให้เป็นกากบาทแทน
ถุงมือที่ใส่ก็เป็นสีดำ ช่วงล่างมีทั้งเข็มขัด กางเกงขายาว และรองเท้าคัทชูที่เป็นสีดำหมด
ทั้งหมดทั้งปวงนี้เป็นสิ่งที่กำลังชี้แจงและแก้ข่าวให้กับฉันเกี่ยวกับคนๆ นั้น นั่นคือ...ผู้ชายตัวจริง!!
สงสัยวันหลังฉันต้องให้ทางแพทย์ผ่าตัดระบบประสาทใหม่แล้วสิเนี่ย...ดันเข้าใจผิดซะจนแหกเลี้ยวโค้งไปไกลเลย
“เอ่อคือ...ชุดนั้นน่ะ...จะไปประกวดหัวข้อ
‘แบล็คแฟชั่น’ ใช่ป่ะ ชูยะ...จัง?” ฉันเอียงคอมองความเยอะของชุดที่เขาใส่แล้วถามด้วยความสงสัย
ส่วนคำว่า จัง ที่เติมไปเมื่อกี้เป็นการลองหยอกเล่นดูเฉยๆ
“บอกแล้วไงว่าอย่าเติมคำว่า
จัง หลังชื่อฉันน่ะ!” เขาแสดงท่าทีหงุดหงิดใจแล้วเดินไปหยิบเสื้อ
คลุมยาวสีดำซึ่งด้านในมีสีแดงเข้มก่อนที่จะเดินมาหาฉันใกล้ๆ จนทำให้รู้สึกว่า
ความสูงของพวกเราไล่เลี่ยกันเหลือเกิน “แล้วที่สำคัญ...เธอเป็นใครเนี่ย!”
“อะ...เอ่อ...ก็เป็นแค่คนธรรมดาที่เพิ่งได้รู้จักดาไซกับคุณคุนิคิดะไม่นานนี้เอง”
“ชื่อ...?”
“ทาจิบานะ...ยูกิ”
พอตอบคำถามเมื่อกี้จบ
หน้าของชูยะก็ค่อยๆ ขยับมาใกล้ยิ่งขึ้น ดวงตาสีฟ้าเทาจ้องลึกเข้ามาในดวงตาสีม่วงข้างซ้ายเหมือนกับตอนที่ดาไซเคยทำเมื่อวาน
ฉันเริ่มรู้สึกได้ถึงใบหน้าที่เริ่มร้อนผ่าวนิดๆ แล้วเดินถอยหลังไปสองก้าว
“ไม่ต้องกลัวฉันขนาดนั้นหรอกน่า
ถึงจะเป็นหนึ่งในสมาชิกพอร์ตมาเฟีย
แต่ขอรับประกันว่าจะไม่ก่อความวุ่นวายให้ใครตามข้อตกลงของสำนักงานนักสืบบุโซแน่นอน”
มาเฟียหนุ่มผมส้มพูดพร้อมใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่ไว้บนไหล่ตัวเองและขยับหมวกตัวเองลงหนึ่งที
“เอาล่ะ...ไหนๆ ก็ได้รู้จักกันแล้ว
ที่เหลือขอฝากทาจิบานะพาเดินทัวร์เมืองโยโกฮาม่าด้วยละกัน พอดีว่ากำหนดการของฉันตอนนี้กำลังจะเริ่มต้นแล้ว”
คุนิคิดะที่กำลังจดอะไรบางอย่างบนสมุดอุดมคติหันมาคุยกับฉันและชูยะตรงหน้า
จากนั้นเขาก็เดินออกจากซอกหลืบนี้ไปทำตามกำหนดการคนเดียวอย่างหน้าตาเฉย...
“เอ๊ะ? คุณคุนิคิดะ! ดะ...เดี๋ยวก่อนสิ...”
ตึก...ตึก...ตึก
(เสียงรองเท้าที่เดินจากไป)
“...คะ”
แพทเทิลนี้พวกท่านคุ้นๆ
มั้ย...เหมือนเมื่อเช้าที่คุนิคิดะเจอกับตัวเป๊ะ นี่มันกรรมตามสนองจากการแอบขำใส่เขาชัดๆ
เลยไม่ใช่เหรอ!!
ฉันยืนนิ่งไปพักๆ
แล้วค่อยเริ่มเดินไปมาด้วยความลนลานเรื่องทางกลับห้องพักตัวเอง สิ่งที่กำลังคิดในหัวตอนนี้คือ
เงินไม่เหลือสักเยน โทรศัพท์ที่ยังไม่มีเบอร์ใครนอกจากคุณลุงนายพราน
แถมยังถูกทิ้งให้อยู่กับสมาชิกพอร์ตมาเฟียอย่างชูยะอีก
แต่ว่า...พอลองคิดดีๆ
แล้วก็น่าจะลองถามเขาเกี่ยวกับกลุ่มอาชญากรชุดดำที่ก่อเหตุเมื่อวานดูเพื่อความมั่นใจสักหน่อย
“เอ่อ...ชูยะ ไม่สิ...เพิ่งจะรู้จักกันต้องเรียกนามสกุลก่อนนี่เนาะ
ชื่อเต็มของนายคืออะไรเหรอ”
“นากาฮาระ ชูยะ เธอจะเรียกชื่อจริงไปเลยก็ได้นะ...ยูกิ” ชูยะที่เพิ่งเรียกชื่อจริงของฉันยื่นมือซ้ายมาจับฮู้ดหูกระต่ายใส่ให้แล้วเตรียมเดินออกจากซอกหลืบเพื่อรับบทเป็นไกด์นำทางตามเมืองโยโกฮาม่าแทนคุนิคิดะ
ตึก...ตึก...ตึก
“จะว่าไป...เมื่อกี้เธอมีเรื่องอะไรอยากถามฉันด้วยรึเปล่า”
“อื้ม...ก็เกี่ยวกับอาชญากรชุดดำที่บุกบ้านเมื่อคืนอ่ะนะ
แต่ถ้าให้คุยกันแถวนี้มันไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่เลย” ฉันพูดด้วยความไม่สบายใจพร้อมเดินออกไปดูรอบๆ
ที่ยังคงมีประชาชนธรรมดาเดินเพ่นพ่านกันอยู่
“งั้น...เดี๋ยวฉันพาไปหาที่นั่งคุยง่ายๆ
เอง”
สิ้นเสียงของมาเฟียหนุ่มผมส้มปุ๊บ
จู่ๆ เขาก็เดินเข้ามาอุ้มร่างฉันในท่าอุ้มเจ้าหญิง เล่นเอาสติสตางค์แทบหลุดจากหัว
และมันก็ใกล้จะหลุดออกจริงจังเมื่อมีการกระโดดขึ้นฟ้าสูงลิ่วเกินกว่าที่คนทั่วไปจะทำได้
ต่อมาจึงพาลงจอดบนดาดฟ้าของอาคารซ้ายพร้อมกับดึงฉันที่ยังแอบตัวสั่นด้วยความกลัวเล็กน้อยให้นั่งลงข้างๆ
ฉันถอดฮู้ดหูกระต่ายออกจากหัวแล้วนั่งกอดเข่า
ส่วนเขาก็นั่งยันขาขวาตัวเองขึ้นและวางแขนขวาไว้บนเข่าให้ดูแมนๆ เท่ๆ กันไป
“คิดว่าตรงนี้น่าจะคุยได้ดีสุดแล้ว
ทีนี้ว่ามา...เรื่องที่อยากถามฉันน่ะ”
“อะ...อื้ม คืองี้นะ...”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ฉันได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนรวมถึงภารกิจช่วยเหลือคนบริสุทธิ์ให้ชูยะฟังทั้งหมดก่อนถามเรื่องอาชญากรชุดดำว่า
มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มของเขารึเปล่า คำตอบที่ได้มาคือ
ไม่เกี่ยวข้องกันเลย หลังจากทำการตกลงระหว่างสำนักงานนักสืบบุโซกับพอร์ตมาเฟีย
ทุกคนก็ต่างให้ความร่วมมือและแยกกันทำงานของตัวเองต่อไป
“แล้วทำไมถึงคิดว่ามีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มฉันล่ะ
ยูกิ”
“ดาไซเคยพูดไว้ว่า
ถ้ากลุ่มอาชญากรชุดดำนั่นเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตมาเฟียก็เกือบจะเป็นไปได้อยู่
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้สงสัยอะไรต่อเลย”
“เฮ้อ...ไอ้เบื๊อกดาไซอีกแล้วเรอะ
เอาจริงๆ เจ้านั่นฉลาดมากนะ ติดอย่างเดียวคือเป็นคนบ้านี่แหละ
ชอบหาเรื่องฆ่าตัวตายคู่กับสาวสวยอยู่เรื่อย เห็นแล้วน่าหงุดหงิดชะมัด”
ฉันฟังจบประโยคนั้นแล้วก็หัวเราะให้กับอีกคนเบาๆ จนต้องโดนยีหัวเล่นซะผมเกือบยุ่งเหยิงหมด ต่อมาในหัวก็นึกอะไรบางอย่างออก จึงได้เปิดปากลองถามดู นั่นคือเรื่องที่เขาพูดว่า อดีตคู่หู ซึ่งคำตอบที่ได้ทำให้ฉันแอบตกตะลึงในใจ
“ดาไซ...มันเคยทำงานอยู่ในพอร์ตมาเฟียและเป็นคู่หูของฉันมาก่อน
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ออกจากกลุ่มไปอย่างหน้าตาเฉยแล้วกลับตัวเป็นคนดีในสำนักงานนักสืบบุโซแทน
ตอนนั้นฉันรู้สึกโมโหยังไงไม่รู้” ในระหว่างที่เล่าเรื่องอดีตของดาไซ
ชูยะก็กำหมัดข้างขวาไว้แน่น ราวกับว่าเขากำลังแอบเกลียดแค้นที่ถูกทรยศในใจอยู่
“...”
“เอาเถอะ...บางทีเจ้านั่นอาจเลือกเส้นทางที่ถูกต้องของมันแล้ว
ไม่งั้นบ้านเมืองคงไม่กลับมาสงบสุขอย่างที่เธอเห็นหรอก ใช่มั้ยล่ะ”
มาเฟียหนุ่มค่อยๆ
ยืนขึ้นและยื่นมือซ้ายลงมาตรงหน้า ฉันนั่งมองสักพักก่อนที่จะจับมือพร้อมลุกขึ้น
ความอบอุ่นจากมือภายใต้ถุงมือสีดำนี้กำลังแผ่กระจายจนทำให้รู้สึกอุ่นใจแปลกๆ
จากนั้นเขาก็หันมาคุยอีกเรื่องหนึ่ง
“เออใช่...เรื่องที่เล่าเกี่ยวกับการร่วมทำภารกิจนั่น
ดูเหมือนว่าตัวเธอเองก็มีพลังพิเศษด้วยสินะ”
“...” ฉันไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้าตอบกลับไป
“แบบนี้ค่อยคุยง่ายหน่อย...”
เขายิ้มแล้วเดินมาใกล้พร้อมอุ้มร่างฉันในท่าเดิม ต่อมาจึงเริ่มแนะนำพลังของตัวเองโดยการเรียกใช้จริง
“พลังพิเศษ : แด่ความเศร้าเคล้ามลทิน”
ออร่าจากการเรียกใช้พลังพิเศษครั้งนี้ไม่เหมือนกับของพวกฉันที่เป็นแถบตัวอักษร
แต่กลับเป็นเพียงแต่เส้นสีแดงที่ปรากฏรอบตัว ถ้าจะให้นึกภาพง่ายๆ
มันก็เหมือนการขีดเส้นรอบรูปวาดนั่นเอง
“ความสามารถของพลังนี้คือ ฉันจะสามารถควบคุมแรงโน้มถ่วงของสิ่งต่างๆ
ที่สัมผัสได้ แน่นอนว่าการกระโดดขึ้นมาตรงนี้ก็ใช่เหมือนกัน”
“อ่อ...อย่างนี้นี่เอง”
“เอาเป็นว่าเรื่องพลังพิเศษและอื่นๆ
ไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้พวกเราต้องเดินทัวร์เมืองนี้กันให้เร็วที่สุดก่อน
เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินงานเข้ามากะทันหันเดี๋ยวจะกลับไปหาบอสไม่ทันอีก”
ว่าจบชูยะก็พากระโดดลงจุดเดิมอย่างเซฟตี้ที่สุดก่อนที่จะดำเนินการเดินทัวร์เมืองโยโกฮาม่าต่ออย่างแท้จริงโดยเขายังคงจับฮู้ดหูกระต่ายใส่ให้และเดินนำหน้าเหมือนเดิม
“แล้วถ้าฉันยังเรียกว่า ชูยะจัง นี่...นายจะยอมอยู่มั้ยอ่ะ”
“ไม่หรอกเฟ้ย!!
ฉันเป็นผู้ชายทั้งแท่งเลยนะ เข้าใจ๊!?”
“ค่าๆ
แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง พ่อหนุ่มแฟนซี”
การได้เผชิญหน้ากับโลกภายนอกตามที่เคยใฝ่ฝันไว้เนี่ย...มันดีกว่าที่คิดจริงด้วย เรื่องราวต่างๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นยังมีให้เห็นมากมาย ไม่ว่าจะด้านดีหรือไม่ดี แต่ถ้าฉันสามารถรับมือและแก้ไขมันได้ ก็จะเป็นผลประโยชน์สูงสุดของการใช้ชีวิตในสังคมเมืองที่หายากเลยล่ะ
[ To be continued ]
ความคิดเห็น