ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Bungo Stray Dogs] นางฟ้าแห่งคำสาป

    ลำดับตอนที่ #5 : Episode 5 การใช้ชีวิตในเมืองของยูกิ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.48K
      134
      5 มี.ค. 63

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     Tiny Hand 

    เช้าวันต่อมา

    เมื่อสัมผัสถึงแสงแดดยามเช้าที่ส่องลงมาผ่านหน้าต่างห้องพักใหม่ ฉันก็เริ่มรู้สึกตัวและค่อยๆ ลืมตาตื่น นาฬิกาบนจอโทรศัพท์กำลังแสดงเลขเวลาเป็น 6.30 น. มือทั้งสองยันฟูกนอนให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมหันหน้ามองรอบๆ ห้อง แน่นอนทุกอย่างถูกจัดให้ดูเหมือนกับห้องของคุนิคิดะเป๊ะ

    สาเหตุที่ต้องมานอนที่นี่เพราะนักสืบทั้งสองมองว่า ถ้าปล่อยให้ฉันนอนบ้านตัวเองในสภาพค่อนข้างเละเทะอาจจะไม่ค่อยดีนัก จึงเริ่มทำการตกลงว่า จะช่วยกันเก็บข้าวของหรือชุดที่จำเป็นจริงๆ เพื่อย้ายมาเช่าห้องพักนี้แทน ส่วนค่าเช่าทางดาไซจะคอยช่วยหนุนให้ซึ่งตอนแรกคุนิคิดะเกือบปฏิเสธเพราะค่าใช้จ่ายมีไม่มากพอ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมจนได้

    ...ให้ตายเถอะ ง่วงชะมัดฉันปิดปากหาวออกมาด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำภารกิจและขนของเมื่อคืนก่อนที่จะลุกขึ้นไปเตรียมอุปกรณ์ล้างหน้าแปรงฟัน รวมถึงเสื้อผ้าและผ้าขนหนูอาบน้ำ

    ในระหว่างที่กำลังทำกิจวัตรประจำวันในห้องอาบน้ำ ฉันก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่เหมือนจะฝันเห็นร่างเงาริปเปอร์ งูด้านชั่วของพลังพิเศษ...อสรพิษอัปยศ ในฝันนั้นมันมาเลื้อยขึ้นตามตัวแล้วโผล่หน้ามาบนไหล่ขวาพร้อมพูดเกี่ยวกับตัวของมันเอง

     

    ยูกิเอ๋ย...บัดนี้ตัวข้าได้รับการควบคุมอย่างสมบูรณ์ ความบ้าคลั่งในโลหิตหรือแม้แต่คำสาปเริ่มถูกชำระออกจนเหลือเพียงนิด นั่นหมายความว่าข้าจักเตรียมสังหารเป้าหมายในครั้นที่เจ้าจำเป็นต้องเรียกใช้เท่านั้น และอย่าได้กังวลไป...ข้าไม่ยอมเผยร่างให้เหล่าคนบริสุทธิ์พบเห็นอย่างแน่นอน เว้นแต่ว่าจะไม่ได้ใส่ผ้าปิดตาข้างขวาผนึกไว้ สำหรับครั้งนี้ขอจบแค่นี้ก่อน...หากมีบางอย่างเกิดขึ้นหรือสิ่งใหม่ๆ ที่ควรรู้ ข้าจักบอกเจ้าในฝันต่อไปเอง

     

    คำพูดคำจาของริปเปอร์เปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาด ดูไม่ค่อยเป็นอสรพิษด้านชั่วเลยสักนิด คงเป็นเพราะตอนอยู่ห้องลับฉันควบคุมมันได้อย่างเต็มรูปแบบแล้วมั้ง แต่เอาเถอะ...อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอาละวาดไปเรื่อยล่ะนะ

    เวลาผ่านไปหลายนาที(มาก)จนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ฉันก็เดินออกจากห้องอาบน้ำแล้วแขวนผ้าขนหนูกับพวกเสื้อผ้าชุดเก่าที่ซักจนปั่นแห้งเรียบร้อย จากนั้นค่อยเดินไปห้องครัว 

    สิ่งที่พบตรงหน้าคือ ร่างของคุนิคิดะในชุดทำงานที่มีผ้ากันเปื้อนสีขาวใส่ทับข้างนอกและกำลังทำอาหารเช้าให้อยู่ พอลองหันมองโต๊ะไม้ พบร่างของดาไซที่กำลังอ่านคู่มือฆ่าตัวตายฉบับสมบูรณ์อย่างเพลิดเพลิน

    ถามจริงเหอะ...ในโลกนี้ยังมีใครอ่านหนังสือบ้าบอนี่เหมือนกับเขาอยู่บ้างรึเปล่าเนี่ย

    อรุณสวัสดิ์น้า ยูกิจางง~ วันนี้ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยแฮะเขาหันหน้ามาทักทายพร้อมขยิบตาให้หนึ่งทีตามประสาคนขี้หลีเหมือนเดิม

    อะ...อื้ม อรุณสวัสดิ์ ดาไซ อ้อ...และก็คุณคุนิคิดะด้วยนะคะฉันทักทายพวกเขาทั้งสองแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้รอกินอาหารเช้าฝีมือนักสืบหนุ่ม

    อรุณสวัสดิ์ ทาจิบานะ เมื่อคืนคงดูเหนื่อยพอตัวจริงๆ แต่ด้วยการที่ได้เธอช่วยปิดคดีให้ พวกฉันก็เลยขอตอบแทนด้วยห้องพักนี้ หวังว่าคงจะไม่ได้มากน้อยจนเกินไปนะ

    มะ...ไม่ค่ะๆ ทั้งห้องพัก อาหาร และชุดใหม่ที่ซื้อให้ แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับฉันแล้วล่ะค่ะ

    ฉันแตะอกเสื้อตัวเองแล้วพูดกับนักสืบทั้งสองด้วยรอยยิ้มเล็กๆ พวกเขาแสดงปฏิกิริยาตอบกลับที่ต่างกัน ดาไซยิ้มกว้าง คุนิคิดะพยักหน้าให้พร้อมทำอาหารเช้าต่อไปจนเสร็จ พอลองดูๆ แล้วรู้สึกว่าทางหนุ่มแว่นผมบลอนด์เข้มจะยิ้มยากเพราะเขาจริงจังกับงานหรือพวกอุดมคติตามที่เขียนไว้ในสมุดจดของเขาเป็นประจำมากกว่า

    ต่อมาพวกเราจึงได้เริ่มนั่งกินอาหารเช้าด้วยกัน โดยเมนูครั้งนี้มีเบคอน ไข่ดาว ข้าวสวยอุ่นๆ และน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว ถือเป็นเมนูเบสิกจนเรียกว่า สิ้นคิด เลยทีเดียว แต่ถึงจะสิ้นคิดยังไง กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องเป็นธรรมดา กำลังแรงและใจจะเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อได้กินอาหารดีๆ เข้าไปจนอิ่มท้อง

    จะทานแล้วนะครับ/คะ!!”

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ผ่านไปหลายนาที พวกเราทั้งสามก็กินอาหารเช้าหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่เศษข้าวเม็ดเดียว ฉันขอรับหน้าที่เก็บถ้วยจานไปล้างเองเพราะห้องนี้เริ่มเป็นห้องพักของฉันแล้ว ในระหว่างนั้นคุนิคิดะได้ยื่นมือช่วยเหลือด้วยอีกแรง ส่วนดาไซจิตพิลึกก็นั่งอ่านคู่มือพิลึกนั่นต่อไป

    ทาจิบานะ...จากนี้เป็นต้นไป การใช้ชีวิตในตัวเมืองจะเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเธอแล้ว เพราะงั้นสิ่งที่ควรทำในวันนี้คือ เดินทัวร์เมืองโยโกฮาม่าให้รู้เส้นทางและสถานที่ต่างๆ พอสังเขปแค่นั้น

    นั่นสินะคะ เพราะตอนอยู่บ้านหลังเก่าฉันไม่เคยได้ออกไปเที่ยวที่อื่นนอกเหนือจากเข้าโรงเรียนบ้านๆ กับเดินเล่นในป่า ก็เลยไม่เคยได้รู้สถานการณ์หรือบรรยากาศบ้านเมืองเลย

    ใช่แล้ว...ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนที่หลบหนีจากอาชญากรชุดดำคราวนั้นฉันไม่เคยได้ออกไปเผชิญหน้ากับสังคมเมืองเลยสักครั้ง ในแต่ละวันจะอยู่แค่ในบ้าน ป่าไม้ และโรงเรียนเท่านั้น เหล่าข้าวของทั้งหมดคุณลุงนายพรานจะออกไปซื้อให้เอง ชีวิตตอนนั้นก็เลยดูหม่นๆ เหมือนนกในกรง แน่นอนว่าไม่มีเพื่อนสักคน มีแค่แคทเชอร์ที่คอยเล่นด้วยกับริปเปอร์ที่คอยพูดคุยในฝันเท่านั้น

    แต่ยูกิจังตอนนี้ก็หลุดพ้นจากกรงนกนั่นได้แล้วนี่ ไม่มีอะไรต้องกังวลมากมายอีกต่อไป เพียงแค่ปรับตัวอีกสักหน่อยจนกว่าจะคุ้นเคยกับกลุ่มผู้คนในตัวเมืองนี้น่ะดาไซเก็บคู่มือของตัวเองเข้ากระเป๋าด้านในเสื้อโค้ทพร้อมกับเตรียมเดินออกจากห้องพัก เอาเป็นว่าฉันขอตัวไปเดินเล่นสักหน่อยละกันนะ

    เอี๊ยดด~

    อ้าวเฮ้ย...ไอ้บ้าดาไซ! รอเดี๋ยวสิ...

    ปึง!

    ...เฟ้ย

    คุนิคิดะยืนนิ่งด้วยความเงิบแดกสักพักก็แอบแสดงท่าทางโมโหใส่เพื่อนร่วมงานตัวเองที่ปิดประตูอัดหน้าเมื่อครู่ แต่การช่วยล้างถ้วยจานยังคงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรียกง่ายๆ คือ ข่มอารมณ์เอาไว้ในใจก่อน ฉันมองแล้วเกือบจะหลุดขำเล็กๆ เต็มทน ทำให้เขาต้องส่งสายตาจ้องมาทางนี้อย่างเร็วไว

    เอ่อ...ปะ...เปล่าค่ะๆ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แหะๆๆ

    ให้ตายเถอะ เธอเนี่ยน้า...

    พวกเราสองคนรีบล้างถ้วยจานจนเสร็จแล้วก็ต่างแยกกันเตรียมของจำเป็นในห้องพักตัวเอง ฉันได้เดินไปส่องกระจกเพื่อดูสภาพชุดแต่งกาย ซึ่งเป็นแบบที่ดาไซเคยเลือกไว้ ส่วนผ้าปิดตาในครั้งนี้จะใส่อันใหม่ แต่ยังคงเป็นสีดำเหมือนเดิม จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋ากางเกง เดินออกจากห้องพร้อมล็อกกุญแจไว้ให้สนิท

    เอาตรงๆ ฉันแอบประทับใจชุดนี้อยู่เหมือนกันนะ ถึงจะมีฮู้ดหูกระต่ายที่ไม่ค่อยเข้ากับพลังพิเศษอย่างอสรพิษเลย แต่ถ้าพวกเขามองว่าน่ารักก็ไม่อยากเกี่ยงอะไรมากมาย

    เตรียมของครบแล้วสินะ ทาจิบานะคุนิคิดะเดินออกจากห้องและล็อกกุญแจพร้อมเดินเข้ามาหาฉัน แต่ในวินาทีนั้นเหมือนเขาจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงได้ยกมือซ้ายขึ้นมาถอดฮู้ดออกให้

    อ่ะ...? คุณคุนิคิดะ?”

    ไม่จำเป็นต้องใส่ขนาดนั้นหรอกน่า...สังคมในเมืองไม่ได้มีแต่ความน่ากลัวสักหน่อย แม้การกล้าเผชิญหน้าโดยไม่ปิดบังตัวตนจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่อย่าเปิดเผยมากเกินไปละกัน โดยเฉพาะพลังพิเศษของเธอเขาพูดแล้วเลื่อนมือที่เพิ่งถอดฮู้ดลงมาแตะบนผ้าปิดตาสีดำเบาๆ เชิงเตือนใจเอาไว้ก่อน

    เอ่อ...เข้าใจแล้วค่ะ ทางริปเปอร์เองก็บอกฉันไว้ในฝันว่าหากยังไม่ถอดผ้าปิดตาออก จะไม่เผยร่างให้ใครเห็นเด็ดขาด

    “เจ้าคำสาปที่ว่านั่นน่ะเหรอ...ดีแล้วล่ะที่คุยกันได้

    ฉันพยักหน้าและยิ้มให้เล็กน้อยก่อนที่เขาจะพาเดินลงไปชั้นล่างแล้วขึ้นรถยนต์คันสีดำ โดยฉันขอนั่งข้างหลังติดริมกระจกข้างซ้ายเพราะเป็นความชอบส่วนตัวล้วนๆ เขายอมให้นั่งพร้อมสตาร์ทเครื่องเตรียมมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองโยโกฮาม่าเพื่อพาทัวร์และดูสถานที่ต่างๆ ในแต่ละจุด

    ทีนี้...การใช้ชีวิตในป่าก็จบลงสักที ความใฝ่ฝันที่อยากออกไปสัมผัสโลกภายนอกกำลังจะกลายเป็นจริงในไม่ช้านี้


    ณ หน้าอาคารสำนักงานนักสืบบุโซ

    ว้าว...ที่ทำงานของพวกคุณดูใหญ่โตมากเลยนะคะเนี่ย

    หลังจากคุนิคิดะขับรถยนต์มาถึงที่ทำงานของเขาและดาไซอย่างสำนักงานนักสืบบุโซใกล้สี่แยกจราจร ฉันก็ถึงกับตาวาวด้วยความประหลาดใจ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นอาคารที่ใหญ่โตขนาดนี้ โครงสร้างภายนอกคืออาคารอิฐโทนสีแดงที่มีเสาเป็นสีไข่ มีทั้งหมดห้าชั้น ซึ่งชั้นบนสุดจะเป็นเหมือนปูนสีไข่ออกน้ำตาลหน่อยๆ ด้านขวามือของอาคารมีป้ายชื่อสำนักงานแห่งนี้

    ก็ประมาณนั้น...ในตัวเมืองย่อมมีอาคารหลังใหญ่เยอะเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เอาเป็นว่าฉันขอขึ้นไปดูที่ห้องทำงานก่อนว่ามีใครมาแล้วบ้าง ส่วนเธอนั่งรออยู่ตรงนี้ โอเคนะ

    ว่าจบเขาก็ออกจากรถยนต์แล้วเดินเข้าอาคารหลังนั้นโดยทิ้งฉันให้นั่งอึนและมึนรอ พอมองรอบๆ พบว่ามีเหล่าคนเมืองเดินไปมา ทั้งนักเรียน-นักศึกษา คนทำงาน ครอบครัวธรรมดา คู่ชายหญิงสองคน รวมถึงกลุ่มเพื่อนที่คุยกันอย่างสนุกสนานและเฮฮา สักพักลองหันกลับมามองตัวเองก็ถึงกับต้องถอนหายใจหนักหน่วง เพราะนอกจากนักสืบทั้งสองคนแล้ว คงมีแค่อสรพิษอีกสองตัวที่เล่นหรือคุยด้วยได้

    จากที่สังเกตเมื่อเช้า รู้สึกว่ากระจกรถยนต์คันนี้จะเป็นแบบทึบจากข้างนอกแฮะ งั้นแปลว่าการเรียกแคทเชอร์ออกมาตอนนี้คงไร้กังวลสินะ

    พอคิดได้เช่นนั้น ฉันก็ดีดนิ้วซ้ายเรียกให้อสรพิษด้านดีปรากฏตัวภายใต้ควันสีดำที่ลอยในอากาศ มันค่อยๆ มองหน้าแล้วตรงเข้ามาคลอเคลียแก้มซ้าย ออดอ้อนราวกับลูกแมวน้อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือของับมือเล่น ทุกครั้งที่เห็นเจ้างูตัวนี้คอยเล่นด้วย มันทำให้ฉันมีความสุขแปลกๆ ถึงจะอยู่ด้วยกันยาวนานแล้วก็ตาม

    ถ้าริปเปอร์เล่นกับฉันได้คงจะดีมากเลย...

    ในขณะที่ฉันกำลังพูดกับตัวเอง คุนิคิดะก็เดินกลับมาขึ้นรถโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยแม้แต่นิด

    เรื่องนั้นเกรงว่าจะยากหน่อยล่ะนะ เพราะเดิมทีอสรพิษด้านชั่วของเธอไม่ได้ถูกสอนให้อยู่ร่วมกับมนุษย์นอกจากสังหาร แต่เจ้าบ้าดาไซเห็นว่าคำสาปเริ่มถูกชำระแล้ว แปลว่าน่าจะมีโอกาสที่ปรากฏตัวมาพูดคุยได้ปกติอยู่บ้าง

    เรื่องนี้...ฉันก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน หลายปีที่ผ่านมา ริปเปอร์จะพูดคุยด้วยเฉพาะในฝันเท่านั้น เพราะเป็นห้วงมิติที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นและรับรู้ แต่บางครั้งไม่ฝันอะไร นั่นคงหมายถึงไม่มีเรื่องจะบอกเล่าให้ฟังหรือสอนใช้พลังพิเศษใหม่ๆฉันดีดนิ้วอีกรอบเพื่อให้แคทเชอร์ได้กลับเข้าสู่สภาวะเดิม สลายไปกับควันสีดำในอากาศ

    แปลกดีแฮะ...ทั้งชีวิตฝันแค่เรื่องเดียวเนี่ย ถือว่าน่าสนใจดี เดี๋ยวจะจดเอาไว้ในสมุดทีหลังละกันเขาเริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อขับไปยังที่จอดรถพร้อมพาเดินออกจากรถและล็อกประตู

    จะว่าไปมันก็แปลกจริงแหละ...ปกติคนเราควรมีเรื่องฝันเยอะกว่านี้ เพราะในชีวิตประจำวันไม่ได้เหมือนเดิมตลอด มันมีการเปลี่ยนแปลง เรื่องราวพลิกผันกลับด้าน การตัดสินใจบางอย่างที่อาจส่งผลมาถึงฝัน เป็นไปตามคำนิยามที่ว่า คิดผิด/เลือกผิด ชีวิตเปลี่ยน

    ส่วนของฉันคิดว่าไม่น่าจะใช่ความฝันธรรมดา มันเหมือนดึงจิตเข้าสู่อีกมิติหนึ่งในโลกของพลังพิเศษ...อสรพิษอัปยศมากกว่า แต่ถึงแบบนั้นร่างเงาที่พบก็มีแต่ริปเปอร์ อสรพิษด้านชั่วตัวนั้นเคยบอกกับฉันไว้ว่า แคทเชอร์ไม่ชอบเข้าโลกพลังพิเศษ มันชอบเผชิญหน้าและใช้ชีวิตในโลกความจริง เพราะงั้นอสรพิษด้านดีจึงยอมโผล่ให้เห็นอยู่บ่อยๆ

    ทีนี้...ถึงเวลาเดินทัวร์เมืองโยโกฮาม่าแล้ว และดูเหมือนว่าฉันจะต้องรับบทเป็นไกด์แทนก่อน ถึงจะขัดกับแผนการไปหน่อย แต่ในเมื่อยังไม่มีสมาชิกคนอื่นมาก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ

    ว่าจบนักสืบหนุ่มแว่นก็เดินนำหน้าก่อนที่ฉันจะเดินตามพร้อมมองบรรยากาศบ้านเมืองรอบๆ คนเมืองแต่ละคนต่างใช้ชีวิตประจำวันคนละแบบกัน อย่างการเตรียมไปทำงาน ไปเรียน ซื้อข้าวของจำเป็น เที่ยวด้วยกันกับกลุ่มเพื่อน หรือแม้แต่คู่ชายหญิงที่จับมือ ควงแขนกันและเดินเล่นอย่างมีความสุข มันทำให้โลกที่ฉันกำลังเผชิญอยู่นี้มีสีสันมากกว่าเดิม

    ระหว่างนั้นเอง พวกเราได้เจอเด็กนักเรียนสาววัยประถมรูปร่างอวบคนหนึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้ ดูท่าทางจะบาดเจ็บอยู่ คุนิคิดะหยุดยืนมองสักพักก็เริ่มเดินเข้าไปซักถาม

    เจ้าหนู...เกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอน่ะ บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า

    เอ่อ...พอดีเมื่อเช้าหนูเดินๆ อยู่แล้วมันก็เจ็บตรงข้อเท้าขวาจนล้มลงพื้นน่ะค่ะ

    งั้นเหรอ เอาเป็นว่าฉันขอเช็คอาการหน่อยละกัน...อาจจะต้องทนเจ็บบ้าง แต่มันก็จำเป็นนะ

    นักสืบหนุ่มแว่นย่อตัวลงชันเข่าบนพื้นแล้วยื่นมือทั้งสองไปแตะข้อเท้าขวาของเด็กน้อยพร้อมจับให้ขยับไปมาอย่างช้าๆ สายตาของเขาดูจริงจังกับการช่วยเหลือผู้คนมากจริงๆ เหมือนมันกำลังส่งแสงแห่งความยุติธรรมออกมาให้เห็นเต็มตา ต่อมาก็ได้ยินเสียงเด็กสาวคนเมื่อกี้ร้องด้วยความเจ็บปวดเบาๆ ก่อนที่อีกคนจะเริ่มปล่อยมือออก

    ท่าทางเส้นเอ็นข้อเท้าจะพลิกแฮะ เธอมีเบอร์โทรของพ่อแม่มั้ย จะได้ติดต่อให้

    เธอพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเปิดกระเป๋านักเรียนของตัวเอง มือขวาเริ่มล้วงเข้าไปหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กและเปิดหาเรื่อยๆ จากนั้นก็ยื่นสมุดที่เปิดหน้ากระดาษไว้ให้กับคุนิคิดะ ฝ่ายนั้นรับทราบพร้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นเพื่อกดเบอร์ติดต่อนั้น

    ฉันไม่รู้จะทำยังไงต่อนอกจากขอนั่งข้างๆ รอเป็นเพื่อนแล้วถามเกี่ยวกับโรงเรียนที่กำลังเรียนอยู่ ซึ่งได้ทราบมาว่า เป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างไกล ต้องเดินไปยังจุดสถานีรถบัสต่อด้วย แต่ถึงอย่างนั้นทางพ่อแม่ก็ยังพอใจในเรื่องค่าเทอม เหมือนเป็นการยอมแลกเปลี่ยนระหว่างเดินทางไกลกับค่าเทอมถูก 

    ส่วนการเรียนการสอนเธอมองว่า ไม่ได้แย่อะไรมากมาย เพื่อนๆ ในห้องมีทั้งดีและไม่ดี ครูผู้สอนเองก็เช่นกัน เธอเลือกที่จะอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ดีเสมอ ส่งผลให้การเรียนดี สอบผ่านมาตลอด ฉันฟังเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกสบายใจแทนพ่อแม่เลย

    .

    .

    .

    .

    .

    เวลาผ่านไปหลายนาที ก็ได้มีรถยนต์คันสีฟ้าจอดอยู่ข้างถนนใกล้ๆ กับพวกเรา และคนที่เดินออกจากรถคือคู่สามีภรรยาซึ่งน่าจะเป็นพ่อแม่ของเด็กนักเรียนคนนี้ พวกเขารีบตรงเข้ามาด้วยความเป็นห่วง ทางพ่อช่วยอุ้มลูกสาวขึ้นหลังรถ ส่วนทางแม่เดินมาโค้งขอบคุณคุนิคิดะอย่างนอบน้อม

    ต้องขอขอบคุณจริงๆ นะคะ นับว่าเป็นบุญคุณที่ดีอย่างหนึ่งเลยค่ะ

    อ่า...ไม่หรอกครับ เพราะหน้าที่ของพวกผมคือการรับใช้ประชาชนภายในเมืองนี้อยู่แล้วเขาพูดในขณะที่ยืนเอามือไพ่หลังตัวเองอย่างสุภาพและขยับแว่นขึ้นหนึ่งที

    สามคนพ่อแม่ลูกพากันขึ้นรถแล้วขับไปยังสถานที่ที่เขาต้องการจะไป คุนิคิดะหันกลับมาดำเนินการพาเดินทัวร์เมืองโยโกฮาม่าต่อ ระหว่างนั้นฉันยังคงตงิดใจกับคำเมื่อกี้อยู่ ทั้งที่เป็นผู้มีพลังพิเศษธรรมดา ยังไม่ได้เป็นนักสืบเลยแท้ๆ แต่คิดไปคิดมาสุดท้ายก็ลงเอยที่ว่าเขาน่าจะพูดรวบยอดให้ดูเหมือนมีคนช่วยเด็กสาวกันสองคน

    จะว่าไป...เมื่อเช้าดาไซบอกว่าขอตัวเดินเล่นสินะคะ ผ่านไปหลายนาทีจนเกือบชั่วโมงแล้ว เขาน่าจะกลับมาหาพวกเราได้แล้วนี่นา

    เฮอะ! สงสัยตามหลีสาวจนได้ฆ่าตัวตายคู่กันแล้วมั้ง อย่าไปใส่ใจกับมันให้รกสมองนักเลย...”

    เจ้าคนบ้า...หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ...”

    ในวินาทีที่คุนิคิดะกำลังพูดจบประโยค พวกเราก็ได้ยินเสียงของใครสักคนขอร้องอีกคนให้หยุดดังออกมาจากซอกหลืบ น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนจะเป็นของผู้หญิง เมื่อความไม่มั่นใจและสงสัยบังเกิด ฉันขอแอบย่องไปแนบชิดกำแพงเพื่อสังเกตการณ์โดยทางนักสืบแว่นยังคงทำหน้างงๆ แต่ก็แตะสีข้างเตรียมสแตนด์บายปืนของตัวเอง

    หึๆ คราวนี้ก็หนีไม่พ้นแล้ว...มาให้หยอกเล่นซะดีๆ

    ไม่ได้! ถอยไปไกลๆ เลย!”

    “โธ่...อุตส่าห์ไล่ตามมาได้ทั้งที อย่าทำเป็นขัดขืนฉันนักเลย ปากบอกว่าไม่ๆ แต่ในใจก็อยากทำใช่มั้ยล่ะ...หืมม?”

    บอกว่าให้ถอยไปไกลๆ ไงเล่า!!”

    ฉันชะเง้อมองเข้าไปในซอกหลืบเมื่อกี้ สิ่งที่พบคือ เหยื่อหัวส้มคนหนึ่งผู้ถูกกักกั้นและบุกรุกหนักโดยหนุ่มร่างสูงในชุดโค้ทสีเหลืองน้ำตาลอ่อนที่คุ้นเคยกันดี เห็นแบบนี้แล้วไม่ต้องเค้นสมองมาพิจารณาเยอะแยะมากมาย ก็เพราะเจ้าของร่างสูงนั่นไม่ใช่ใครนอกจาก...

    ดะ...ดาไซ?”

    ห๊า...? ไอ้บ้าดาไซเนี่ยนะ หนอย...อย่างนี้ต้องเข้าไปสั่งสอนซะแล้วสิ

    นักสืบหนุ่มผมบลอนด์เข้มหักนิ้วมือตัวเองเตรียมลงไม้ลงมือเพื่อนร่วมงาน แต่ฉันห้ามเขาไว้พร้อมบอกว่าจะอาสาเข้าไปเอง พวกเราสองคนดึงดันแก่งแย่งหน้าที่โดยพยายามไม่ออกเสียงพูดอะไร อีกฝ่ายเริ่มหงุดหงิด ออกแรงผลักจนหลุดพ้น แก้มของฉันเริ่มป่องออกแล้วพุ่งไปดึงแขนไม่ให้เดินเข้า และ...

    อ่อก/แอ่ก!!”

    ความชุลมุนวุ่นวายนี้ก็ต้องจบลงอย่างหน้าไม่อายด้วยการเดินเกี่ยวขาสะดุดล้มหัวทิ่มพื้นกันเองระหว่างที่แย่งกันบุก ส่งผลให้การกระทำของสองคนตรงหน้าหยุดชะงักชั่วคราว

    บอกได้คำเดียวเลยว่า...จุกอกมากค่ะ

    อ้าวๆ คุนิคิดะคุง ยูกิจัง ล้ำเขตส่วนตัวของคนอื่นมันผิดน้าา~ดาไซพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย หนำซ้ำยังถือวิสาสะเดินเข้ามาเขกหัวคนละทีอีก

    เขตส่วนตัวบ้านพี่แกดิ ดาไซ!! นี่มันเรียกว่าเดินเล่นซะที่ไหนล่ะ ห๊ะ!!”

    คุนิคิดะเริ่มเข้าสู่โหมดคุณแม่โวยวายใส่แล้วลุกขึ้นลากตัวเพื่อนร่วมงานจิตพิลึกมาบีบคอโยกไปมาตามเคย ทางเหยื่อรายนั้นมัวแต่ยืนทำหน้าทำตาเงิบแดกนานมากแทนที่จะวิ่งหนี ส่วนฉันก็ค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นพร้อมปัดฝุ่นออกจากตัว ยืนกอดอกมองดาไซนิ่งๆ

    ให้ตายเถอะ...ตอนแรกนึกว่าจะไปหาเรื่องฆ่าตัวตายเถอะ ไม่คิดเลยว่าจะตามหลีสาวในซอกหลืบแบบนี้เนี่ย เปลี่ยนรสนิยมเป็นทอมบอยแล้วก็ไม่ยอมบอกกันเลยน้า

    “...”

    “...”

    “...”

    ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายทั้งสามที่ท่านเรียก...

    กรุณาติดต่อใหม่ด้วย...ค่ะ

    เอ๊ะ...?”

    หลังจากฉันพูดจบประโยคเมื่อกี้ จู่ๆ บรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนไป มันเงียบฉี่จนได้ยินแค่เสียงลมหายใจของแต่ละคน พอลองมองทางนักสืบและเหยื่อ พบว่าพวกเขามีรีแอคติ้งที่ต่างกัน 

    คุนิคิดะที่กำลังบีบคออีกฝ่ายอ้าปากด้วยความเหวอหนักหน่วง ดาไซหลับตาพริ้มพร้อมยิ้มกริ่มเหมือนคนบ้า ที่สำคัญกว่านั้นคือ เหยื่อคนนั้นหน้าแดงแจ๋ ยืนกำหมัดและตัวสั่นระริกไปหมด

    ชิบละ...นี่ฉันทำอะไรลงไปนิ

    เอ่อ...ทุกท่านคะ ฉันพูดอะไรผิดไปรึเปล่า ถ้ามีส่วนไหนของประโยคที่ผิด ช่วยชี้แจงด้วยค่ะ...

    ไอ้บ้าดาซ้ายยยยยยย!!!!!”

    สุดท้ายต้องกลายเป็นฉันที่ยืนเอ๋อและเงิบแดกแทน คุนิคิดะกับคนหัวส้มเริ่มร่วมด้วยช่วยกันทำการทารุณกรรมดาไซโดยทางนักสืบแว่นยกร่างขึ้นเหนือหัวแล้วโยนออกไป อีกฝ่ายก้าวขาขวาออกไปข้างๆ เตรียมกำหมัดไว้แน่นพร้อมอัดอัปเปอร์คัทใส่ร่างของนักสืบจิตพิลึกขึ้นฟ้า เขาได้พูดก่อนที่จะลอยไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นทิ้งท้ายไว้ว่า...

    โอ้วว~ หมัดยังรุนแรงเหมือนเดิมเลยน้าา~ ชูยะจางง~

    อย่าเติมคำว่า จัง หลังชื่อฉันแบบนั้นสิเฟ้ย!! ไอ้อดีตคู่หูผีบ้า!!”

    ในวินาทีนั้นเองฉันก็เริ่มลองพิจารณาดูรูปร่างของคนๆ นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าที่มีดวงตาสีฟ้า-เทา ผมลอนสีส้มปล่อยลงสั้น หน้าม้าปัดไปทางขวานิดๆ ผมบางส่วนที่ยาวกว่าถูกปัดลงไปยังไหล่ซ้าย  บนหัวมีหมวกสีดำที่มีริบบิ้นสีแดงผูกรอบๆ และโซ่เส้นบางสีเงินห้อยอยู่เหนือปีกหมวก

    รูปร่างอันผอมเพรียวนี้ถูกปกคลุมด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวภายใต้เสื้อกั๊กสีแดงเข้ม ชั้นนอกสุดเป็นเสื้อแจ็กเก็ตตัวสั้นสีดำที่มีการพับแขนเสื้อขึ้นประมาณศอก ตรงคอมีริบบิ้นสีดำผูกคล้ายกระดิ่งสัตว์เลี้ยง จุดที่เป็นเนคไทกลายเป็นการผูกริบบิ้นสีดำเข้ากันด้วยหัวเข็มขัดเล็กๆ สีเงินให้เป็นกากบาทแทน ถุงมือที่ใส่ก็เป็นสีดำ ช่วงล่างมีทั้งเข็มขัด กางเกงขายาว และรองเท้าคัทชูที่เป็นสีดำหมด

    ทั้งหมดทั้งปวงนี้เป็นสิ่งที่กำลังชี้แจงและแก้ข่าวให้กับฉันเกี่ยวกับคนๆ นั้น นั่นคือ...ผู้ชายตัวจริง!!

    สงสัยวันหลังฉันต้องให้ทางแพทย์ผ่าตัดระบบประสาทใหม่แล้วสิเนี่ย...ดันเข้าใจผิดซะจนแหกเลี้ยวโค้งไปไกลเลย

    เอ่อคือ...ชุดนั้นน่ะ...จะไปประกวดหัวข้อ แบล็คแฟชั่น ใช่ป่ะ ชูยะ...จัง?” ฉันเอียงคอมองความเยอะของชุดที่เขาใส่แล้วถามด้วยความสงสัย ส่วนคำว่า จัง ที่เติมไปเมื่อกี้เป็นการลองหยอกเล่นดูเฉยๆ

    บอกแล้วไงว่าอย่าเติมคำว่า จัง หลังชื่อฉันน่ะ!” เขาแสดงท่าทีหงุดหงิดใจแล้วเดินไปหยิบเสื้อ คลุมยาวสีดำซึ่งด้านในมีสีแดงเข้มก่อนที่จะเดินมาหาฉันใกล้ๆ จนทำให้รู้สึกว่า ความสูงของพวกเราไล่เลี่ยกันเหลือเกิน แล้วที่สำคัญ...เธอเป็นใครเนี่ย!”

    อะ...เอ่อ...ก็เป็นแค่คนธรรมดาที่เพิ่งได้รู้จักดาไซกับคุณคุนิคิดะไม่นานนี้เอง

    ชื่อ...?”

    ทาจิบานะ...ยูกิ

    พอตอบคำถามเมื่อกี้จบ หน้าของชูยะก็ค่อยๆ ขยับมาใกล้ยิ่งขึ้น ดวงตาสีฟ้าเทาจ้องลึกเข้ามาในดวงตาสีม่วงข้างซ้ายเหมือนกับตอนที่ดาไซเคยทำเมื่อวาน ฉันเริ่มรู้สึกได้ถึงใบหน้าที่เริ่มร้อนผ่าวนิดๆ แล้วเดินถอยหลังไปสองก้าว

    ไม่ต้องกลัวฉันขนาดนั้นหรอกน่า ถึงจะเป็นหนึ่งในสมาชิกพอร์ตมาเฟีย แต่ขอรับประกันว่าจะไม่ก่อความวุ่นวายให้ใครตามข้อตกลงของสำนักงานนักสืบบุโซแน่นอนมาเฟียหนุ่มผมส้มพูดพร้อมใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่ไว้บนไหล่ตัวเองและขยับหมวกตัวเองลงหนึ่งที

    เอาล่ะ...ไหนๆ ก็ได้รู้จักกันแล้ว ที่เหลือขอฝากทาจิบานะพาเดินทัวร์เมืองโยโกฮาม่าด้วยละกัน พอดีว่ากำหนดการของฉันตอนนี้กำลังจะเริ่มต้นแล้ว

    คุนิคิดะที่กำลังจดอะไรบางอย่างบนสมุดอุดมคติหันมาคุยกับฉันและชูยะตรงหน้า จากนั้นเขาก็เดินออกจากซอกหลืบนี้ไปทำตามกำหนดการคนเดียวอย่างหน้าตาเฉย...

    เอ๊ะ? คุณคุนิคิดะ! ดะ...เดี๋ยวก่อนสิ...

    ตึก...ตึก...ตึก (เสียงรองเท้าที่เดินจากไป)

    “...คะ

    แพทเทิลนี้พวกท่านคุ้นๆ มั้ย...เหมือนเมื่อเช้าที่คุนิคิดะเจอกับตัวเป๊ะ นี่มันกรรมตามสนองจากการแอบขำใส่เขาชัดๆ เลยไม่ใช่เหรอ!!

    ฉันยืนนิ่งไปพักๆ แล้วค่อยเริ่มเดินไปมาด้วยความลนลานเรื่องทางกลับห้องพักตัวเอง สิ่งที่กำลังคิดในหัวตอนนี้คือ เงินไม่เหลือสักเยน โทรศัพท์ที่ยังไม่มีเบอร์ใครนอกจากคุณลุงนายพราน แถมยังถูกทิ้งให้อยู่กับสมาชิกพอร์ตมาเฟียอย่างชูยะอีก

    แต่ว่า...พอลองคิดดีๆ แล้วก็น่าจะลองถามเขาเกี่ยวกับกลุ่มอาชญากรชุดดำที่ก่อเหตุเมื่อวานดูเพื่อความมั่นใจสักหน่อย

    เอ่อ...ชูยะ ไม่สิ...เพิ่งจะรู้จักกันต้องเรียกนามสกุลก่อนนี่เนาะ ชื่อเต็มของนายคืออะไรเหรอ

    นากาฮาระ ชูยะ เธอจะเรียกชื่อจริงไปเลยก็ได้นะ...ยูกิชูยะที่เพิ่งเรียกชื่อจริงของฉันยื่นมือซ้ายมาจับฮู้ดหูกระต่ายใส่ให้แล้วเตรียมเดินออกจากซอกหลืบเพื่อรับบทเป็นไกด์นำทางตามเมืองโยโกฮาม่าแทนคุนิคิดะ 

    ตึก...ตึก...ตึก

    “จะว่าไป...เมื่อกี้เธอมีเรื่องอะไรอยากถามฉันด้วยรึเปล่า

    อื้ม...ก็เกี่ยวกับอาชญากรชุดดำที่บุกบ้านเมื่อคืนอ่ะนะ แต่ถ้าให้คุยกันแถวนี้มันไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่เลยฉันพูดด้วยความไม่สบายใจพร้อมเดินออกไปดูรอบๆ ที่ยังคงมีประชาชนธรรมดาเดินเพ่นพ่านกันอยู่

    งั้น...เดี๋ยวฉันพาไปหาที่นั่งคุยง่ายๆ เอง

    สิ้นเสียงของมาเฟียหนุ่มผมส้มปุ๊บ จู่ๆ เขาก็เดินเข้ามาอุ้มร่างฉันในท่าอุ้มเจ้าหญิง เล่นเอาสติสตางค์แทบหลุดจากหัว และมันก็ใกล้จะหลุดออกจริงจังเมื่อมีการกระโดดขึ้นฟ้าสูงลิ่วเกินกว่าที่คนทั่วไปจะทำได้

    ต่อมาจึงพาลงจอดบนดาดฟ้าของอาคารซ้ายพร้อมกับดึงฉันที่ยังแอบตัวสั่นด้วยความกลัวเล็กน้อยให้นั่งลงข้างๆ ฉันถอดฮู้ดหูกระต่ายออกจากหัวแล้วนั่งกอดเข่า ส่วนเขาก็นั่งยันขาขวาตัวเองขึ้นและวางแขนขวาไว้บนเข่าให้ดูแมนๆ เท่ๆ กันไป

    คิดว่าตรงนี้น่าจะคุยได้ดีสุดแล้ว ทีนี้ว่ามา...เรื่องที่อยากถามฉันน่ะ

    อะ...อื้ม คืองี้นะ...

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ฉันได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนรวมถึงภารกิจช่วยเหลือคนบริสุทธิ์ให้ชูยะฟังทั้งหมดก่อนถามเรื่องอาชญากรชุดดำว่า มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มของเขารึเปล่า คำตอบที่ได้มาคือ ไม่เกี่ยวข้องกันเลย หลังจากทำการตกลงระหว่างสำนักงานนักสืบบุโซกับพอร์ตมาเฟีย ทุกคนก็ต่างให้ความร่วมมือและแยกกันทำงานของตัวเองต่อไป

    แล้วทำไมถึงคิดว่ามีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มฉันล่ะ ยูกิ

    ดาไซเคยพูดไว้ว่า ถ้ากลุ่มอาชญากรชุดดำนั่นเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตมาเฟียก็เกือบจะเป็นไปได้อยู่ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้สงสัยอะไรต่อเลย

    เฮ้อ...ไอ้เบื๊อกดาไซอีกแล้วเรอะ เอาจริงๆ เจ้านั่นฉลาดมากนะ ติดอย่างเดียวคือเป็นคนบ้านี่แหละ ชอบหาเรื่องฆ่าตัวตายคู่กับสาวสวยอยู่เรื่อย เห็นแล้วน่าหงุดหงิดชะมัด

    ฉันฟังจบประโยคนั้นแล้วก็หัวเราะให้กับอีกคนเบาๆ จนต้องโดนยีหัวเล่นซะผมเกือบยุ่งเหยิงหมด ต่อมาในหัวก็นึกอะไรบางอย่างออก จึงได้เปิดปากลองถามดู นั่นคือเรื่องที่เขาพูดว่า อดีตคู่หู ซึ่งคำตอบที่ได้ทำให้ฉันแอบตกตะลึงในใจ

    ดาไซ...มันเคยทำงานอยู่ในพอร์ตมาเฟียและเป็นคู่หูของฉันมาก่อน แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ออกจากกลุ่มไปอย่างหน้าตาเฉยแล้วกลับตัวเป็นคนดีในสำนักงานนักสืบบุโซแทน ตอนนั้นฉันรู้สึกโมโหยังไงไม่รู้ ในระหว่างที่เล่าเรื่องอดีตของดาไซ ชูยะก็กำหมัดข้างขวาไว้แน่น ราวกับว่าเขากำลังแอบเกลียดแค้นที่ถูกทรยศในใจอยู่

    “...”

    เอาเถอะ...บางทีเจ้านั่นอาจเลือกเส้นทางที่ถูกต้องของมันแล้ว ไม่งั้นบ้านเมืองคงไม่กลับมาสงบสุขอย่างที่เธอเห็นหรอก ใช่มั้ยล่ะ

    มาเฟียหนุ่มค่อยๆ ยืนขึ้นและยื่นมือซ้ายลงมาตรงหน้า ฉันนั่งมองสักพักก่อนที่จะจับมือพร้อมลุกขึ้น ความอบอุ่นจากมือภายใต้ถุงมือสีดำนี้กำลังแผ่กระจายจนทำให้รู้สึกอุ่นใจแปลกๆ จากนั้นเขาก็หันมาคุยอีกเรื่องหนึ่ง

    เออใช่...เรื่องที่เล่าเกี่ยวกับการร่วมทำภารกิจนั่น ดูเหมือนว่าตัวเธอเองก็มีพลังพิเศษด้วยสินะ

    “...” ฉันไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้าตอบกลับไป

    แบบนี้ค่อยคุยง่ายหน่อย...เขายิ้มแล้วเดินมาใกล้พร้อมอุ้มร่างฉันในท่าเดิม ต่อมาจึงเริ่มแนะนำพลังของตัวเองโดยการเรียกใช้จริง พลังพิเศษ : แด่ความเศร้าเคล้ามลทิน

    ออร่าจากการเรียกใช้พลังพิเศษครั้งนี้ไม่เหมือนกับของพวกฉันที่เป็นแถบตัวอักษร แต่กลับเป็นเพียงแต่เส้นสีแดงที่ปรากฏรอบตัว ถ้าจะให้นึกภาพง่ายๆ มันก็เหมือนการขีดเส้นรอบรูปวาดนั่นเอง

    “ความสามารถของพลังนี้คือ ฉันจะสามารถควบคุมแรงโน้มถ่วงของสิ่งต่างๆ ที่สัมผัสได้ แน่นอนว่าการกระโดดขึ้นมาตรงนี้ก็ใช่เหมือนกัน

    อ่อ...อย่างนี้นี่เอง

    เอาเป็นว่าเรื่องพลังพิเศษและอื่นๆ ไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้พวกเราต้องเดินทัวร์เมืองนี้กันให้เร็วที่สุดก่อน เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินงานเข้ามากะทันหันเดี๋ยวจะกลับไปหาบอสไม่ทันอีก

    ว่าจบชูยะก็พากระโดดลงจุดเดิมอย่างเซฟตี้ที่สุดก่อนที่จะดำเนินการเดินทัวร์เมืองโยโกฮาม่าต่ออย่างแท้จริงโดยเขายังคงจับฮู้ดหูกระต่ายใส่ให้และเดินนำหน้าเหมือนเดิม

    แล้วถ้าฉันยังเรียกว่า ชูยะจัง นี่...นายจะยอมอยู่มั้ยอ่ะ

    ไม่หรอกเฟ้ย!! ฉันเป็นผู้ชายทั้งแท่งเลยนะ เข้าใจ๊!?”

    ค่าๆ แค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง พ่อหนุ่มแฟนซี

    การได้เผชิญหน้ากับโลกภายนอกตามที่เคยใฝ่ฝันไว้เนี่ย...มันดีกว่าที่คิดจริงด้วย เรื่องราวต่างๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นยังมีให้เห็นมากมาย ไม่ว่าจะด้านดีหรือไม่ดี แต่ถ้าฉันสามารถรับมือและแก้ไขมันได้ ก็จะเป็นผลประโยชน์สูงสุดของการใช้ชีวิตในสังคมเมืองที่หายากเลยล่ะ

    [ To be continued ]


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×