ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Bungo Stray Dogs] นางฟ้าแห่งคำสาป

    ลำดับตอนที่ #31 : Episode 21 ชูยะกับคนๆ นั้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 451
      42
      22 เม.ย. 63

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     Tiny Hand 

    [ ระหว่างที่ยูกิรับงาน ]

    [ มุมมองของชูยะ ]

    ณ ฐานพอร์ตมาเฟียชั้นบนสุด

    หลังจากจัดการมุรากามิ ฮารุกิเรียบร้อย ตัวผมที่ถูกนำตัวกลับฐานพอร์ตมาเฟียก็ได้รับการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายอย่างสมบูรณ์ พร้อมทำงานต่อในฐานะมาเฟีย แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อไม่นานยูกิถูกอัดเข้าลิ้นปี่จนหมดสติ ส่วนผมใช้พลังมลทินเข้าสู้และปกป้องเธอไว้ จากนั้นก็รับรู้อะไรไม่ได้เลยว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นต่ออีก

    ...

    ป่านนี้เธอเป็นยังไงบ้างแล้วเนี่ย...

    ตึก...ตึก...ตึก

    จังหวะที่กำลังนึกคิดเรื่องเมื่อครู่ เสียงฝีเท้าได้ดังกระทบลงพื้นเป็นจังหวะเดินจากทางด้านหน้า พอหันมองไปก็พบกับร่างของผู้ชายผมรองทรงน้ำตาลใส่ชุดสูทสีดำและแว่นกรอบเหลี่ยมมนดำทึบอันเป็นหนึ่งในเหล่าลูกน้องของพวกผม โดยเขาคนนี้คอยรับหน้าที่ช่วยเฝ้ายามประจำฐานพอร์ตมาเฟีย

    ท่านชูยะ...อรุณสวัสดิ์ครับ

    โอ้ว...ว่าไง นายดูท่าทางสบายดีนี่ พวกลูกน้องคนอื่นๆ เป็นไงบ้าง

    มีบางกลุ่มที่ยังบาดเจ็บเพราะเกิดเหตุเมื่อคืน พวกเขาบอกว่าเจอใครสักคนหนึ่งบุกเข้ามาทำร้ายจนท่านอาคุตางาวะต้องไปช่วยน่ะครับ

    เมื่อคืน? ใช่เวลาเดียวกันกับคอนเสิร์ตของเจ้าเด็กนั่นรึเปล่านะ

    ชักสงสัยซะแล้วสิ...

    พอจะมีรายละเอียดอะไรมากกว่านี้อีกรึเปล่าล่ะ...

    เรื่องนี้ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ อ้อ...และก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับที่ท่านกลับมาทำงานต่อได้แล้วบอดี้การ์ดตรงหน้าพูดกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มบางที่แฝงความโล่งอกโล่งใจอยู่ไม่น้อย ทำเอาผมแอบรู้สึกจั๊กจี้เส้นประสาทแปลกๆ

    บ้าบอน่า! ฉันยังไม่ตายสักหน่อย แค่ใช้พลังพิเศษเกินขีดจำกัดเท่านั้นเอง

    ฮ่ะๆๆ งั้นผมขอตัวเฝ้ายามก่อนนะครับ หวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีของท่าน

    ว่าจบเขาก็โค้งคำนับหนึ่งรอบอย่างสุภาพก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าประจำตำแหน่งของตัวเอง นั่นคือข้างทางเข้าลิฟต์ชั้นแรกสุด ผมหันมองตามไปไม่นานแล้วลองย้อนคิดเรื่องประโยคล่าสุด

    วันที่ดี...งั้นเหรอ

    เอาตรงๆ คือผมไม่สามารถคิดแบบนั้นได้เลยแม้แต่นิด ตราบใดที่องค์กรแบล็คโคลเวอร์ไม่เลิกราตามล่ายูกิ ทุกวันทุกวินาทีจะเสี่ยงอันตรายเหมือนเดิม เผลอๆ ทั้งสององค์กรอาจเป็นเป้าหมายเพื่อถล่มในอนาคตด้วยก็ได้

    ถ้าเพื่อมิตรพ้อง สหายมาเฟีย กลุ่มนักสืบ และเพื่อนสาวคนๆ เดียว...ผมยอมเค้นทุกอย่างใช้ปกป้องพวกเขาให้อยู่รอด แม้ว่าตัวเองต้องเปรอะเปื้อน มลทิน อีกครั้ง...แต่ก็ยังคงเชื่อใจไอ้เบื๊อกผ้าพันแผลนั่นต่อไป


    คนที่นายจะลงมือฆ่าน่ะ...ไม่ใช่ฉันหรอก

    คนอย่างฉันไม่มีทางโกหกหรอก...นายก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอ

    “ชูยะ...แผนการของฉันเคยผิดพลาดตรงไหนบ้างล่ะ

    “นายยอมใช้มลทินเพราะเชื่อใจฉันสินะ...ซึ้งน้ำตาไหลเลยจริงๆ


    บ้าจริง! ถ้าไม่ใช่ว่ามันเคยเป็นคู่หูและช่วยล้างมลทินให้ล่ะก็...ป่านนั้นคงโดนฟาดแข้งให้น็อกตายไปตั้งนานละ

    ตึก...ตึก...ตึก

    หืม...?”

    ระหว่างนั้นเอง เสียงฝีเท้าได้ดังกระทบลงพื้นเป็นจังหวะเดินจากทางด้านหน้าอีกครั้ง โดยรอบนี้เป็นของผู้สังหารมือฉมังประจำองค์กรพอร์ตมาเฟียอย่างอาคุตางาวะ เจ้านั่นเดินล้วงกระเป๋าชุดคลุมดำด้วยสีหน้านิ่งเรียบตามเคย ไม่มีเปลี่ยนแปลง

    โย่ว...อาคุตางาวะ นายดูท่าทางสบายดีไม่ใช่เหรอนั่น

    “...?” เขาหยุดเดินพร้อมหันมาคุยตรงหน้าผมทันทีที่ถูกทักเมื่อครู่ อรุณสวัสดิ์ครับ คุณชูยะ ร่างกายตอนนี้เป็นไงบ้าง...

    ก็นะ...นอนพักฟื้นนานยิ่งกว่าเวลานอนปกติซะอีก แต่ถือว่าโอเคขึ้นล่ะนะ

    งั้นขอแสดงความยินดีด้วยละกันครับ...แค่คุณปลอดภัยดี กระผมก็เริ่มหายห่วงแล้ว

    ...? นี่ผมคิดไปเองรึเปล่านะว่าอาคุตางาวะเริ่มมีนิสัยเปลี่ยนไป

    ตั้งแต่รู้จักยูกิได้พักหนึ่ง...เหมือนจิตใจเขากำลังถูกขัดเกลาออกทีละนิดละน้อยเลย

    อ้อ...ได้ข่าวว่านายเข้าไปช่วยเจ้าพวกลูกน้องของฉันด้วยนี่ ขอบใจมากละกันนะ

    “...กระผมแค่ทำตามหน้าที่และคำสั่งจากบอสเท่านั้นเอง

    ฮ่ะๆๆ นั่นสินะ...เดิมทีนายเก่งด้านนี้อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะผมยื่นมือไปตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ แล้วยิ้มกว้างเชิงชื่นชมตามประสาคนร่วมงานมาด้วยกันก่อนที่จะนึกบางอย่างออก แล้วนี่กำลังจะไปไหนรึเปล่า

    “...? เตรียมรับงานใหม่มาทำในวันนี้...เดี๋ยวอีกสักพักใหญ่ๆ กระผมจะกลับฐานพอร์ตมาเฟียเอง

    งานใหม่? แบบไหนล่ะนั่น...

    ...อาคุตางาวะเงียบได้ไม่นานแล้วยกมือขวาขึ้นปิดปากตัวเองไอสองสามที คุณอาจจะไม่เชื่ออย่างที่ได้ยินก็ได้ แต่กระผมกำลังรับงานช่วยตามหาคนหายร่วมกับพวกนักสืบบุโซอยู่

    เห...

    ห๊ะ? พวกนักสืบบุโซ? หรือว่า...จะไปหายูกิด้วย!?

    มะ...ไม่หรอกมั้ง...เจ้านั่นคงจะแอบตามวอแวไอ้เบื๊อกดาไซหรือไม่ก็เตรียมฆ่าเจ้าเสือสมิงเหมือนเดิมแน่ๆ

    แต่ถึงอย่างนั้น...!!

    เอ่อนี่...อาคุตางาวะ ไหนๆ ก็จะไปทั้งที ถ้าเจอยูกิแล้ว...นายช่วยฝากทักทายแทนฉันด้วยได้รึเปล่าผมพูดพร้อมแอบหันหน้าหนีเล็กน้อยและยกมือขวาขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองไปมาเบาๆ ราวกับตัวเองกำลังประหม่า

    ...ถ้านั่นคือความประสงค์ของคุณ...กระผมจะช่วยทำให้เอง เพราะยังไงก็ต้องได้เจออยู่แล้ว

    ได้เจอ...อยู่แล้ว...?”

    ครับ...งั้นก็ขอตัวไปก่อนล่ะ เกรงว่าการพูดคุยครั้งนี้จะกินเวลางานมากเกินไป แต่ถ้าหากเกิดเหตุย่ำแย่ขึ้นกับคุณ...โทรเรียกกระผมได้เลย

    ว่าจบเขาก็เอามือไพ่หลังพร้อมโค้งคำนับแสดงความเคารพต่อผู้บริหารแล้วค่อยเดินออกไปทางเดียวกันกับบอดี้การ์ดคนล่าสุด นั่นคือลิฟต์ที่จะนำพาสู่ชั้นแรก ผมหันมองได้สักพักก่อนที่จะรู้สึกตัวอีกทีว่าตัวเองพลาดไปอย่างหนึ่ง 

    เพราะผม...มีเรื่องต้องคุยกับยูกิด้วยตัวเอง

    “...”

    ถ้างั้น...

    ตึก...ตึก...ตึก

    ...ผมจะแอบตามอาคุตางาวะไปด้วยละกัน!


    ผ่านไปประมาณสิบนาที

    “...”

    “...”

    ตั้งแต่เริ่มออกจากฐานพอร์ตมาเฟียจนถึงตัวเมือง ทั้งอาคุตางาวะและผมที่แอบตามหลังต่างเดินบนริมถนนอย่างเงียบๆ ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดหย่อนด้วยเหตุผลประการใด ทุกอย่างรอบตัวยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน ผู้คนหลากวัยต่างมีกิจวัตรประจำวันของตัวเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องเปิดร้านส่วนตัว เข้างานประจำ บางส่วนก็เดินเล่น นัดเที่ยวกับเพื่อนๆ หรือแม้แต่การเข้าเรียนหลายระดับชั้น

    ...ทุกอย่างเหมือนเดิมทั้งที่เมื่อคืนเกิดเรื่องใหญ่แท้ๆ

    “...?

    แต่พอผมลองสังเกตกลุ่มคนส่วนหนึ่งให้ดี พบว่าพวกเขามีอาการซึมๆ คล้ายว่ามีใครบางคนเพิ่งจะสิ้นลมหายใจ ดวงตาสองข้างและปลายจมูกแดงก่ำเพราะผ่านการร่ำไห้ข้ามคืน ไม่มีรอยยิ้มเผยออกมาให้เห็น ความสดใสที่เคยเป็นถูกกลบด้วยความหม่นหมอง

    ถ้าเจ้าคุนิคิดะนั่นเห็นเข้าคงรู้สึกแย่ไม่น้อยเลย...

    แน่นอน...ผมเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน รู้สึกแทนยูกิได้เลยล่ะ

    ยูกิ...”

    ตัวเธอที่เปี่ยมไปด้วยคำสาป...และเปี่ยมไปด้วยคำถามมากมาย แม้ได้ลองทำงานร่วมกันในช่วงที่ทำความรู้จักครั้งหนึ่ง...แม้ได้รู้เรื่องบางส่วนบ้างแล้ว แต่ทุกอย่างยังไม่เคลียร์ร้อยเปอร์เซ็นต์สักที

    เธอจะเกลียดตัวเองรึเปล่า...ถ้ายังต้องสู้และจบด้วยการสังหารผู้คนเช่นเดิม

    เธอจะรังเกียจพลังพิเศษรึเปล่า...ถ้ายังต้องใช้เพื่อซ้ำรอยเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า

    เธอจะ...ไม่หวาดระแวงกลุ่มพอร์ตมาเฟียอย่างพวกเราใช่มั้ย

    ฟุ่บ!

    “...?

    ในระหว่างที่กำลังนึกคิดเรื่องเมื่อครู่ ก็ได้ยินเสียงแว่วๆ จากทางขวามือซึ่งเป็นซอกหลืบที่พบเจอยูกิครั้งแรก ผมอดสงสัยไม่ได้พร้อมหันกลับไปพิสูจน์ดูว่าในจุดนั้นมีอะไรผิดปกติรึเปล่า

    ตึก...ตึก...ตึก

    “...”

    ผมพยายามมองซ้ายขวาจนถึงเบื้องบนในเขตบริเวณตรงหน้าแล้วยังไม่พบอะไรจนกระทั่งได้เลี้ยวเข้าทางซ้ายมือ โดยบรรยากาศรอบตัวค่อนข้างสลัว ไร้แสงไฟสาดส่อง มีเพียงแสงอาทิตย์เท่านั้นที่ยังพอช่วยได้นิดหน่อย

    หืม...?

    จากนั้น...ก็ได้รับรู้ถึงต้นเสียงเมื่อครู่จนได้ นั่นคือร่างของคนๆ หนึ่งที่กำลังใส่ผ้าคลุมตัวมีฮู้ดสีดำ ส่วนสูง 185 เซนติเมตรเทียบเท่าได้เหมือนเพศชาย ร่างนั้นยืนมองนิ่งๆ อยู่ไม่นานก่อนที่จะย่างก้าวเดินเข้าหาอย่างเชื่องช้า

    นี่แก...เป็นใครมาจากไหนกันผมเริ่มตั้งคำถามแรกที่นึกออกในหัวพลางแอบกำหมัดไว้ด้านหลัง เผื่อเจ้านั่นเป็นศัตรูจะได้ป้องกันตัวและสวนกลับทัน

    “เป็นแค่นักเดินทางที่ต้องการแสวงหาบางอย่างเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้...”

    เสียงที่พูดออกมาเป็นของผู้ชายจริงๆ แต่คงจะเป็นคนประเภทนิ่งๆ ขรึมๆ แน่นอน

    “นายรู้จักฉันด้วยงั้นเหรอ...ขอบอกก่อนเลยนะว่าตอนนี้ฉันไม่ว่างคุยเรื่องไร้สาระ”

    “ไร้สาระ? ไม่หรอก...เรื่องที่จะคุยด้วยอาจเป็นประโยชน์ต่อนายด้วยซ้ำ เพราะฉันเริ่มรู้จักกลุ่มนักสืบบ้างแล้ว”

    “...? อย่าบอกนะว่านาย...รู้จักยูกิ?

    “ยูกิ...? อ่อ...ทาจิบานะ ยูกิสินะ...” อีกฝ่ายพูดด้วยท่าทีเหมือนรู้จักเพื่อนสาวผมดำไม่น้อยแล้วค่อยยกมือขวาถอดฮู้ดคลุมหัวลงเผยให้เห็นหน้าตาที่แท้จริง

    เจ้านั่นมีรูปหน้าคร่าตาที่โหด เคร่งขรึม เรือนผมสีน้ำเงินจัดทรงผมตั้ง ปล่อยหน้าม้าเพียงสี่เส้นห่างเท่าๆ กัน ผมส่วนหลังที่ยาวลงบนไหล่ขวาถูกรวบไว้ด้วยเหล็กสีทอง ใต้นัยน์ตาสีแดงทั้งสองมีรอยสักเป็นเส้นขนาดกลางๆ ไขว้ไปมาหนึ่งรอบจนปลายเส้นบรรจบด้วยกัน ตบท้ายด้วยต่างหูทรงเรียวยาวสีเงิน

    แต่พอลองดูๆ แล้วก็เหมาะกับสมาชิกพอร์ตมาเฟียไม่น้อยเลยแฮะ...

    “...”

    ไม่สิ...นี่ไม่ใช่ประเด็นที่อยากจะพูดสักหน่อย!

    แล้ว...มีธุระอะไรกับฉันล่ะ เจ้าคนหน้านิ่ง ผมเปิดปากถามออกไปพร้อมยืนกอดอกพิงกำแพงเหมือนที่เคยทำ

    ได้ข่าวว่าช่วงนี้...พวกนายทั้งสององค์กรกำลังตกอยู่ในอันตรายด้วยฝีมือบางคน ก็เลยอยากลองพูดคุยด้วยสักหน่อยอีกฝ่ายยืนกอดอกพิงกำแพงฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มเปิดประเด็นแรกที่เข้าข่ายกับพวกเรามากๆ

    ห๊ะ? หมายความว่าไงนั่น...”

    ฮืม...งั้นคงต้องอธิบายสถานการณ์ของทางนี้ก่อนสินะ

    ว่าจบเจ้านั่นก็อธิบายที่มาที่ไปตั้งแต่เริ่มต้นให้ผมฟังทันที เริ่มจากการแนะนำตัวเองว่า คูแลนน์ มีเพื่อนร่วมทางเป็นผู้หญิงชื่อ อิชิคาวะ เรียวโกะ พวกเขาสองคนเป็นนักเดินทางจากจังหวัดอื่นในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตอนแรกตั้งใจว่าจะท่องเที่ยวรับหน้าหนาวช่วงสิ้นเดือนตุลาคม แน่นอนว่าแบล็คโคลเวอร์ปรากฏตัวพอดี

    ช่วงนั้นพวกเราเริ่มคิดได้ว่าไม่น่าใช่เวลาท่องเที่ยวอีกต่อไปแน่ๆ ก็เลยร่วมวางแผนช่วยปกป้องผู้คนชาวโยโกฮาม่าสักครั้งในชีวิต...”

    แล้วนาย...รู้จักพวกเราทั้งสององค์กรได้ยังไง

    ชาวเมืองบางส่วนบอกเล่าให้ฟังว่า กลุ่มนักสืบบุโซและพอร์ตมาเฟียเคยร่วมมือกันปกป้องจนเมืองสงบสุขดี ท่าทางพวกเขาดูภูมิใจไม่น้อยเลย...

    เห...”

    น่าแปลกดีแฮะ...แทบไม่เชื่อเลยว่าพอร์ตมาเฟียจะถูกพูดถึงขนาดนี้

    หรือว่าจะเป็นบารมีจากกลุ่มนักสืบบุโซกันแน่นะ

    ให้ตายเถอะ...พอพูดถึงบารมีแล้วในหัวดันนึกถึงสีหน้ายิ้มทะเล้นของไอ้เบื๊อกดาไซก่อนคนแรกทุกที

    ทีนี้...สิ่งที่ฉันอยากบอกนายคือ อีกไม่นานกลุ่มแบล็คโคลเวอร์บางส่วนจะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เป้าหมายคงไม่พ้นทาจิบานะ ยูกิเหมือนเดิม

    “อีกครั้ง? นี่นาย...ไปรู้เรื่องนั้นมาจากไหน

    เรียวโกะฝากบอกให้แอบตามติดผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นสมาชิกในองค์กร...จนได้ยินข่าวว่าพวกนั้นจัดกลุ่มเพื่อแบ่งแยกหน้าที่กันคนละอย่างคูแลนน์พูดในขณะที่ล้วงกระเป๋ากางเกงขายาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนหน้าจอแล้วหันกลับให้มาดู

    “...!!? นี่มัน...

    สิ่งที่ผมเห็น...เป็นภาพวีดีโอถ่ายจากมุมสูงลงมายังบริเวณที่มีเหล่าคนชุดดำในชุดสูทคล้ายกับองค์กรพอร์ตมาเฟีย ติดกลัดสัญลักษณ์ใบโคลเวอร์สีดำบนอกเสื้อข้างซ้าย โดยถืออาวุธปืนตั้งแต่ปืนกลยันบาซูก้า แต่ปัญหาหลักๆ ที่หนักใจยิ่งกว่าคือ ลูกน้องของพวกผมบางคนถูกจับเหมารวมด้วย

    เจ้าพวกบ้านี่...เล่นกะเอาตายชัดๆ

    ถ้าให้สันนิษฐานจากอาวุธมากมายที่ถึงกับต้องถือบาซูก้า...พวกนั้นอาจเริ่มมีแผนร่วมมือกันถล่มองค์กรไปด้วยก็ได้ เพื่อทำลายความมุ่งมั่นการเป็นนักสืบในตัวทาจิบานะ ยูกิ

    ...มันจะเป็นไปได้...งั้นเหรอ

    อ่า...แน่นอนว่าเรียวโกะเองก็น่าจะคิดแบบเดียวกันเขาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงแล้วยืนกอดอกพิงกำแพงคุยเช่นเดิม แต่เอาเถอะ...หน้าที่ต่อจากนี้ของพวกเราคือปกป้องผู้คน รวมถึงเมืองแห่งนี้ด้วย...

    ฮืม...”

    พอลองจ้องมองนัยน์ตาสีแดงคู่นั้น ความรู้สึกแรกคือปฏิเสธไม่ได้ว่าคูแลนน์ดูน่าเชื่อถือมากแค่ไหน เพราะเริ่มมีข้อมูลเกี่ยวกับแบล็คโคลเวอร์เรื่องการเคลื่อนไหวบ้างแล้ว เผลอๆ ถ้ามีอีกก็อาจจะรับฟังต่อไป

    แต่ว่า...

    นายรับประกันเรื่องพวกนี้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์รึเปล่าล่ะ...คูแลนน์

    “ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของนายแหละนะ ยังไงซะ...พวกฉันก็เป็นแค่นักเดินทางผู้อาสาช่วยเหลือผู้คนเท่านั้น แต่ขอให้วางใจได้เลย...ไม่ว่าทาจิบานะ ยูกิจะเดินทางที่หนแห่งใด เรียวโกะจะช่วยตามดูจากเบื้องบนและปกป้องเธอเอง

    ตี๊ดด~ ตี๊ดด~ ตี๊ดด~

    “...?

    ช่วงวินาทีที่คูแลนน์พูดจบประโยค เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องนั้นก็ดังขึ้นราวกับรู้เวลา เขาล้วงมือหยิบมาอีกครั้งก่อนที่จะเลื่อนหน้าจอเพื่อรับสายอย่างไม่รีรอ

    ว่าไง...อ่า...ทางนั้นเป็นไงบ้าง...”

    .

    ..

    ...

    งั้นเหรอ...” อีกฝ่ายยืนรับฟังต่อได้ประมาณสิบวินาทีแล้วค่อยพยักหน้าลงเบาๆ พร้อมพูดตอบรับกลับไปยังปลายสาย รับทราบ กำลังจะไปเดี๋ยวนี้เลย

    “...?

    คุยกันเร็วจริงจังมาก...ขนาดผมยังพูดคุยโทรศัพท์กับใครได้ไม่สั้นขนาดนี้เลย

    เมื่อกี้เรียวโกะโทรมาน่ะ...เธอบอกว่ากลุ่มแบล็คโคลเวอร์ส่วนหนึ่งเริ่มแยกย้ายกันเคลื่อนไหวบ้างแล้ว

    งั้นเหรอ...แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ

    คงไม่ใช่อย่างอื่นนอกจากเริ่มปกป้องพวกนายแหละ แน่นอนว่าต้องสังเกตการณ์จากมุมสูงเหมือนที่เคยทำ และก็อย่างที่บอก...เรียวโกะจะคอยตามปกป้องยูกิเอง รวมถึงพวกนักสืบด้วย” คูแลนน์ยืนกอดอกพลางส่งสายตามองผมด้วยความจริงจังเหมือนกำลังพิสูจน์ความจริงใจจากตัวเขา ดูๆ ไปก็น่าเชื่อถือได้ประมาณครึ่งหนึ่งแล้ว

    “อืม...ตามนั้นละกัน แต่พวกนายช่วยสัญญากันได้รึเปล่า...ว่าจะไม่ทำอะไรให้พวกเราทั้งสององค์กรเดือดร้อนหรือแตกหักเอาภายหลัง”

    อ่า...รับประกันได้เลย

    “...”

    ผมเริ่มหมดคำพูดอื่นใดต่อนอกจากขยับหมวกตัวเองลงนิดๆ และยืนกอดอกมองอีกฝ่ายจับฮู้ดใส่คลุมหัว นิ้วชี้กระดิกขึ้นลงบนแขนซ้าย ภายในหัวพยายามคิดวิเคราะห์ว่าหลังจากคุยกับยูกิเสร็จแล้วควรจะทำยังไง

    ทางเลือกทั้งหมดตอนนี้มีตั้งแต่การรอตามปกป้องเธออย่างเงียบๆ การเตรียมไปช่วยเหล่าลูกน้องให้รอดพ้นจากพันธนาการขององค์กรแบล็คโคลเวอร์ หรือแม้กระทั่งการร่วมมือกับคูแลนน์ในฐานะพันธมิตรชั่วคราว

    งั้นก่อนแยกทาง...ช่วยรับนี่ไว้ด้วยล่ะคูแลนน์หยิบอะไรบางอย่างภายใต้ผ้าคลุมตัวสีดำนั่นก่อนที่จะโยนมาให้ผม พอมองแล้วก็พบกับบัตรสมาชิกร้านขายหนังสือพร้อมที่อยู่ตำแหน่งของมันซึ่งระยะทางห่างจากจุดนี้ประมาณสองกิโลเมตร

    บัตรสมาชิก...?”

    มันอาจเป็นประโยชน์ต่อพวกนายทั้งสององค์กรอีกไม่นานนี้ก็ได้...”

    แล้ว...ฉันต้องเอาไปทำยังไงล่ะ เข้าร้านเพื่อไปเช่าหนังสือในระหว่างที่พวกแบล็คโคลเวอร์เริ่มเคลื่อนไหวน่ะเหรอ

    อ่า...เพราะได้ยินมาว่าวันนี้มีหนังสือเซ็ตหนึ่งกำลังถูกเล็งไว้ แถมเหลือชุดเดียวในเมืองโยโกฮาม่าด้วย เพราะงั้นรีบเข้าไปเช่าซะล่ะ...ก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่เอาภายหลังเจ้าตัวพูดตักเตือนผมเหมือนคาดเดาความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ครั้งหน้าเอาไว้ในหัวแล้ว

    หนังสือพวกนั้น...มีความหมายอะไรแฝงอยู่รึเปล่านะ

    ถ้านายคาดเดาไว้อย่างนั้น...ฉันจะลองดูละกันผมเก็บบัตรสี่เหลี่ยมมนเข้ากระเป๋าเสื้อด้านในแล้วค่อยลองถามอีกหนึ่งเรื่องเพื่อความแน่ใจ งั้นนายรู้รึเปล่าว่าเป็นเซ็ตไหน...”

    แน่นอนอยู่แล้ว...แต่ฉันขอบอกใบ้แทนดีกว่า

    .

    ..

    ...

    ....

    .....

    เรื่องเกี่ยวกับนักดาบ...?”

    อ่า...ลองสังเกตดูละกัน ฉันคิดว่าน่าจะถูกวางเรียงเป็นเซ็ตเดียวกันตามประสาพวกหนังสือเซ็ตอื่นๆคูแลนน์บอกใบ้ให้แล้วเริ่มขยับตัวห่างออกจากกำแพงที่พิงก่อนที่จะหันมาเตือนอีกครั้ง อย่าลืมว่าตอนนี้ทาจิบานะ ยูกิกำลังถูกหมายหัวอยู่ ถ้าเผลอประมาทไปอาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดก็ได้

    เรื่องไม่คาดคิด...”

    ขอตัวล่ะ...เรียวโกะกำลังรออยู่

    ฟุ่บ!!

    ว่าจบอีกฝ่ายก็ดีดตัวไปบนตึกข้างๆ ที่ผมเคยพายูกิพูดคุยอย่างรวดเร็ว ภายในหัวตอนนี้มีหลายเรื่องให้นึกคิดมากมาย ทั้งเรื่องแบล็คโคลเวอร์ เจ้านั่นกับเรียวโกะ รวมถึงบัตรสมาชิกร้านกับเซ็ตหนังสือเมื่อครู่โดยมีคำใบ้อย่างหนึ่งคือ นักดาบ

    ผมควรเอาเรื่องพวกนี้ไปปรึกษากับบอสเลยดีมั้ยนะ...

    “...”

    แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็ต้องรีบไปคุยกับยูกิก่อนอยู่ดี

    จะได้หายคาใจในหลายๆ ประเด็นสักที...

     

    ณ หน้าร้านคาเฟ่อิสึมากิ

    ตึก...ตึก...ตึก

    ตรงนี้แหละที่ผมเลือกเข้าพูดคุยกับยูกิ...เพราะถือว่าเป็นสถานที่ที่โอเคสุดแล้ว

    ผมเอื้อมมือออกตรงหน้าเปิดประตูพร้อมก้าวเดินเข้าไปยังภายในร้าน เสียงกระดิ่งดังต้อนรับลูกค้าตามเคย บรรยากาศเองก็ยังคงดูอบอุ่นเหมือนเวลาที่ผ่านมา ทำให้คาเฟ่แห่งนี้เปรียบเหมือนสถานที่ช่วยจรรโลงใจ

    โอ๊ะ...ยินดีต้อนรับค่ะ คุณชูยะเมดสาวประจำเคาน์เตอร์ที่กำลังเช็ดแก้วได้ยินเสียงเมื่อครู่แล้วหันหน้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส วันนี้อยากดื่มอะไรรึเปล่าคะ

    น้ำเปล่าเย็นๆ หนึ่งแก้วละกัน...” ผมเดินเข้าไปยังเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ก่อนที่จะนั่งสั่งเครื่องดื่มสุดแสนธรรมดาแทนพวกแอลกอฮอล์ วันนี้ฉันกะว่าจะคุยกับยูกิสักหน่อยน่ะ

    คุณยูกิ...? อ๋อ...เมื่อกี้เธอเพิ่งเดินออกไปพร้อมกับคุณอัตสึชิ คุณอาคุตางาวะ และคุณเคียวกะเมื่อประมาณห้านาทีที่แล้ว ถ้าเรียกมาคุยตอนนี้ก็น่าจะทันอยู่นะคะ

    อาคุตางาวะ...? สรุปคือร่วมกันทำงานจริงๆ สิเนี่ย

    อย่างนี้นี่เอง...ขอบใจมากนะ

    ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันยินดีที่จะรับใช้บริการเสมอค่ะ

    เธอยิ้มกว้างตามประสาเมดสายสดใสพร้อมเทน้ำเปล่าใส่แก้วที่มีน้ำแข็งบรรจุไว้ประมาณครึ่งหนึ่งแล้วค่อยวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า ผมรับมาจิบไม่มากนักก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ส่งข้อความไปยังเพื่อนสาวผมดำ แต่พอพิมพ์ได้แค่หนึ่งบรรทัดก็เปลี่ยนใจใช้วิธีการโทรออกแทน

    “...”

    .

    ..

    ...

    ฮัลโหล...นี่ยูกิเอง มีเรื่องอะไรอยากคุยรึเปล่า ชูยะ

    ระหว่างที่นั่งรอประมาณห้าวินาที ยูกิก็รับสายผมทันที น้ำเสียงที่ได้ยินยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน แสดงให้รู้ว่าเธอสบายดีแล้ว นั่นพลอยทำให้ผมรู้สึกโล่งใจด้วยเช่นกัน

    เอ่อ...คืองี้นะ ยูกิ ช่วยมาหาที่ร้านคาเฟ่ประจำสำนักงานนักสืบได้รึเปล่า

    เอ๊ะ...? ตอนนี้เลยงั้นเหรอ...”

    ใช่...อีกอย่างฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอเยอะเลย กลัวว่ามันจะคาใจอีกนานน่ะ

    ...เพราะถ้าไม่รีบคุยตอนนี้ อาจมีโอกาสน้อยลงกว่าที่คิดก็ได้ ยิ่งพวกแบล็คโคลเวอร์เริ่มเอาจริงซะขนาดนั้น พวกเราทั้งสององค์กรคงต้องเตรียมรับมือให้ไว

    งั้นฉันขอบอกผู้ว่าจ้างงานก่อนละกัน...ถ้าได้คำตอบยังไงเดี๋ยวจะติดต่อกลับไป โอเคเนาะ

    อะ...อ่า...ฉันจะรอละกันนะ

    ติ๊ด!

    เมื่อพูดจบ ผมกดวางสายแล้วถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือขวารอยูกิติดต่อกลับมา เอาตรงๆ คือตอนนี้แอบรู้สึกโล่งใจบ้างที่ไอ้เบื๊อกดาไซไม่ได้ตามก่อกวนชวนประสาทกิน แต่พอลองคิดอีกทีมันก็ดูแปลกๆ ยังไงชอบกล

    หรือว่าเจ้านั่น...จะกำลังเร่ร่อนตามเมืองเพื่อหาวิธีฆ่าตัวตายเหมือนเดิมหว่า

    “...”

    ไอ้เบื๊อกเอ๊ย...แกจะพยายามฆ่าตัวตายแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ รึไง ไม่เคยรู้ตัวบ้างเหรอว่าแกกับพลังพิเศษลบล้างนั่นสำคัญต่อพรรคพวกนักสืบมากแค่ไหน

    แกเป็นคนเดียวที่จะช่วยยูกิได้นะเฟ้ย!

    ตื๊ดด~ ตื๊ดด~ ตื๊ดด~

    ขณะที่กำลังนึกคิดและบ่นในใจสักพักใหญ่ เสียงโทรศัพท์สั่นดังขึ้นขัดจังหวะ ผมจิบน้ำเปล่าพลางหันมองปลายสายจนพบว่าเป็นชื่อยูกิ จากนั้นจึงรีบกดรับสายภายในทันที

    ฮัลโหล ยูกิ

    ตอนนี้ฉันคุยกับผู้ว่าจ้างงานเรียบร้อยแล้ว...เดี๋ยวรออีกแป๊บเดียวเนาะ ในระหว่างนั้นก็ฝากสั่งนมสดอุ่นเผื่อให้---”

    คุณทาจิบานะ!! ระวังด้านหลัง!!!”

    หืม...?”

    นั่นมัน...เสียงของเสือสมิงไม่ใช่เหรอ

    ปึก!!

    อ๊ะ...!”

    เสียงร้องอุทานด้วยความเจ็บแปร๊บของยูกิดังขึ้นทันทีที่โดนอะไรบางอย่างฟาดเข้าไปยังตัวเธอและล้มลงพื้น ซึ่งก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด จนกระทั่งผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของผู้หญิงคนหนึ่ง

    ฮึๆๆ รู้สึกดีจังเลยน้าา...ขอบใจมากที่ยอมรับงานตามหาเพื่อนฉันในครั้งนี้

    คุณ...ฟุมิโกะ...?”

    ยูกิ!! เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า!!”

    ผมพยายามเรียกถามอีกฝ่ายแต่ไม่มีการตอบรับใดๆ และได้ยินเสียงการเรียกชื่อฟุมิโกะที่น่าจะเป็นผู้ว่าจ้างงานในวันนี้ จนกระทั่งมีเสียงรองเท้าส้นสูงดังเข้าหาทางโทรศัพท์เป็นจังหวะเดินช้าๆ

    บ้าเอ๊ย! มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นตอนนี้เนี่ย!!

     

    อีกไม่นานกลุ่มแบล็คโคลเวอร์บางส่วนจะเคลื่อนไหวอีกครั้ง เป้าหมายคงไม่พ้นทาจิบานะ ยูกิเหมือนเดิม

    อย่าลืมว่าตอนนี้ทาจิบานะ ยูกิกำลังถูกหมายหัวอยู่ ถ้าเผลอประมาทไปอาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดก็ได้

     

    ช่วงเสี้ยววินาทีนั้นเอง ผมก็นึกถึงคำพูดของคูแลนน์ที่เพิ่งบอกเตือนไว้ไม่นานนัก แถมดูเหมือนว่าประโยคสุดท้ายจะเกิดขึ้นจริงๆ ด้วย แม้รู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว...แต่นี่มันเร็วเกินไป

    ...ทั้งที่ผมกำลังจะได้เคลียร์เรื่องคาใจอีกไม่นานนี้แท้ๆ!!

    คุณฟุมิโกะ...เมื่อกี้มันหมายความว่าไงกันคะ...”

    ก็แหม...ได้ยินข่าวลือว่าเธอมีค่าหัวสูงชะลูดจนเป็นราคาเศรษฐีเลยนี่นา แถมรอบนี้ยังอุตส่าห์แบ่งกลุ่มแยกกันตามหายัยยาสุด้วย เพราะงั้นเกราะป้องกันของเธอลดน้อยลงแล้วล่ะ

    อึ่ก...นี่คุณได้ทำอะไรกับคุณยาสุไว้รึเปล่า...”

    ยัยนั่นน่ะ...กำลังโดนหลอกให้ไปเช่าหนังสืออยู่ ถึงตามหายังไงก็คงไม่เจอหรอก

    ยูกิ!! ได้ยินรึเปล่า!! รีบหนีออกมาเร็วเข้า!!” ผมลองเรียกเพื่อนสาวผมดำอีกครั้งโดยหวังว่ารอบนี้จะได้ยิน แต่ต่อมาผลตอบรับกลับกลายเป็นเสียงหนึ่งดังขึ้นสั้นๆ ที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดทันที

    ติ๊ด!

    ...เพราะโทรศัพท์ของอีกฝ่ายได้กดวางสายตัดหน้าเป็นที่เรียบร้อย

    ชิ...”

    หนังสือเหรอ...คนที่ชื่อ ยาสุ กำลังตามเช่าเล่มไหนกัน!

    อย่าบอกนะว่า...

     

    ได้ยินมาว่าวันนี้มีหนังสือเซ็ตหนึ่งกำลังถูกเล็งไว้ แถมเหลือชุดเดียวในเมืองโยโกฮาม่าด้วย เพราะงั้นรีบเข้าไปเช่าซะล่ะ...ก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่เอาภายหลัง

     

    อึ่ก...หนังสือเกี่ยวกับนักดาบ...” ผมพูดพึมพำเบาๆ พลางกำหมัดแน่นและพยายามสงบสติอารมณ์จากเหตุการณ์เมื่อครู่ ต่อมาจึงหันไปคุยกับเมดสาวประจำคาเฟ่อย่างไว โทษทีนะ...แต่ฉันขอตัวก่อน ฝากบอกเจ้าพวกนักสืบด้วยว่าแบล็คโคลเวอร์เริ่มเคลื่อนไหวส่วนหนึ่งแล้ว

    “...!? ได้ค่ะ! ดิฉันจะรีบติดต่อทางประธานสำนักงานให้ทันทีเลยนะคะ!”

    ขอบใจมาก...อ้อ รับค่าน้ำไว้ด้วยล่ะ!”

    ว่าจบก็ควักกระเป๋ากางเกงหยิบเงินจ่ายค่าน้ำเปล่าหนึ่งร้อยเยนโดยไม่รีรอการทอนและถือว่าเป็นการให้ทิปแทน ผมรีบลุกจากเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์พร้อมวิ่งออกไปเพื่อมุ่งสู่ร้านหนังสือตามตำแหน่งที่คูแลนน์ส่งมาให้

    ถ้าให้ลองคิดวิเคราะห์ตามที่นึกออก แปลว่าหนังสือเซ็ตนั้นต้องมีบางอย่างที่อันตรายแฝงอยู่และห้ามไม่ให้คนใดคนหนึ่งครอบครองไว้แน่ๆ

    ตึกๆๆๆๆ

    อย่าเพิ่งตายซะล่ะ...ยูกิ

    เสือสมิง...อาคุตางาวะ...ฝากปกป้องยูกิด้วย

    คูแลนน์...เรียวโกะ...อย่าลืมตามปกป้องพวกเราทั้งสององค์กรละกัน

    เดี๋ยวฉันขอไปทำลายต้นตอของปัญหาที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้ก่อน!!

    [ To be continued ]

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×