คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : Episode 21 ชูยะกับคนๆ นั้น
[ ระหว่างที่ยูกิรับงาน ]
[ มุมมองของชูยะ ]
ณ ฐานพอร์ตมาเฟียชั้นบนสุด
หลังจากจัดการมุรากามิ ฮารุกิเรียบร้อย
ตัวผมที่ถูกนำตัวกลับฐานพอร์ตมาเฟียก็ได้รับการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายอย่างสมบูรณ์
พร้อมทำงานต่อในฐานะมาเฟีย แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อไม่นานยูกิถูกอัดเข้าลิ้นปี่จนหมดสติ
ส่วนผมใช้พลังมลทินเข้าสู้และปกป้องเธอไว้ จากนั้นก็รับรู้อะไรไม่ได้เลยว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นต่ออีก
“...”
ป่านนี้เธอเป็นยังไงบ้างแล้วเนี่ย...
ตึก...ตึก...ตึก
จังหวะที่กำลังนึกคิดเรื่องเมื่อครู่
เสียงฝีเท้าได้ดังกระทบลงพื้นเป็นจังหวะเดินจากทางด้านหน้า
พอหันมองไปก็พบกับร่างของผู้ชายผมรองทรงน้ำตาลใส่ชุดสูทสีดำและแว่นกรอบเหลี่ยมมนดำทึบอันเป็นหนึ่งในเหล่าลูกน้องของพวกผม
โดยเขาคนนี้คอยรับหน้าที่ช่วยเฝ้ายามประจำฐานพอร์ตมาเฟีย
“ท่านชูยะ...อรุณสวัสดิ์ครับ”
“โอ้ว...ว่าไง นายดูท่าทางสบายดีนี่ พวกลูกน้องคนอื่นๆ
เป็นไงบ้าง”
“มีบางกลุ่มที่ยังบาดเจ็บเพราะเกิดเหตุเมื่อคืน
พวกเขาบอกว่าเจอใครสักคนหนึ่งบุกเข้ามาทำร้ายจนท่านอาคุตางาวะต้องไปช่วยน่ะครับ”
เมื่อคืน? ใช่เวลาเดียวกันกับคอนเสิร์ตของเจ้าเด็กนั่นรึเปล่านะ
ชักสงสัยซะแล้วสิ...
“พอจะมีรายละเอียดอะไรมากกว่านี้อีกรึเปล่าล่ะ...”
“เรื่องนี้ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ อ้อ...และก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับที่ท่านกลับมาทำงานต่อได้แล้ว”
บอดี้การ์ดตรงหน้าพูดกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มบางที่แฝงความโล่งอกโล่งใจอยู่ไม่น้อย
ทำเอาผมแอบรู้สึกจั๊กจี้เส้นประสาทแปลกๆ
“บ้าบอน่า! ฉันยังไม่ตายสักหน่อย แค่ใช้พลังพิเศษเกินขีดจำกัดเท่านั้นเอง”
“ฮ่ะๆๆ งั้นผมขอตัวเฝ้ายามก่อนนะครับ
หวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีของท่าน”
ว่าจบเขาก็โค้งคำนับหนึ่งรอบอย่างสุภาพก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าประจำตำแหน่งของตัวเอง
นั่นคือข้างทางเข้าลิฟต์ชั้นแรกสุด ผมหันมองตามไปไม่นานแล้วลองย้อนคิดเรื่องประโยคล่าสุด
“วันที่ดี...งั้นเหรอ”
เอาตรงๆ คือผมไม่สามารถคิดแบบนั้นได้เลยแม้แต่นิด
ตราบใดที่องค์กรแบล็คโคลเวอร์ไม่เลิกราตามล่ายูกิ ทุกวันทุกวินาทีจะเสี่ยงอันตรายเหมือนเดิม
เผลอๆ ทั้งสององค์กรอาจเป็นเป้าหมายเพื่อถล่มในอนาคตด้วยก็ได้
ถ้าเพื่อมิตรพ้อง สหายมาเฟีย กลุ่มนักสืบ
และเพื่อนสาวคนๆ เดียว...ผมยอมเค้นทุกอย่างใช้ปกป้องพวกเขาให้อยู่รอด แม้ว่าตัวเองต้องเปรอะเปื้อน
‘มลทิน’ อีกครั้ง...แต่ก็ยังคงเชื่อใจไอ้เบื๊อกผ้าพันแผลนั่นต่อไป
“คนที่นายจะลงมือฆ่าน่ะ...ไม่ใช่ฉันหรอก”
“คนอย่างฉันไม่มีทางโกหกหรอก...นายก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอ”
“ชูยะ...แผนการของฉันเคยผิดพลาดตรงไหนบ้างล่ะ”
“นายยอมใช้มลทินเพราะเชื่อใจฉันสินะ...ซึ้งน้ำตาไหลเลยจริงๆ”
บ้าจริง! ถ้าไม่ใช่ว่ามันเคยเป็นคู่หูและช่วยล้างมลทินให้ล่ะก็...ป่านนั้นคงโดนฟาดแข้งให้น็อกตายไปตั้งนานละ
ตึก...ตึก...ตึก
“หืม...?”
ระหว่างนั้นเอง เสียงฝีเท้าได้ดังกระทบลงพื้นเป็นจังหวะเดินจากทางด้านหน้าอีกครั้ง
โดยรอบนี้เป็นของผู้สังหารมือฉมังประจำองค์กรพอร์ตมาเฟียอย่างอาคุตางาวะ เจ้านั่นเดินล้วงกระเป๋าชุดคลุมดำด้วยสีหน้านิ่งเรียบตามเคย
ไม่มีเปลี่ยนแปลง
“โย่ว...อาคุตางาวะ นายดูท่าทางสบายดีไม่ใช่เหรอนั่น”
“...?” เขาหยุดเดินพร้อมหันมาคุยตรงหน้าผมทันทีที่ถูกทักเมื่อครู่
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณชูยะ ร่างกายตอนนี้เป็นไงบ้าง...”
“ก็นะ...นอนพักฟื้นนานยิ่งกว่าเวลานอนปกติซะอีก
แต่ถือว่าโอเคขึ้นล่ะนะ”
“งั้นขอแสดงความยินดีด้วยละกันครับ...แค่คุณปลอดภัยดี กระผมก็เริ่มหายห่วงแล้ว”
...? นี่ผมคิดไปเองรึเปล่านะว่าอาคุตางาวะเริ่มมีนิสัยเปลี่ยนไป
ตั้งแต่รู้จักยูกิได้พักหนึ่ง...เหมือนจิตใจเขากำลังถูกขัดเกลาออกทีละนิดละน้อยเลย
“อ้อ...ได้ข่าวว่านายเข้าไปช่วยเจ้าพวกลูกน้องของฉันด้วยนี่
ขอบใจมากละกันนะ”
“...กระผมแค่ทำตามหน้าที่และคำสั่งจากบอสเท่านั้นเอง”
“ฮ่ะๆๆ นั่นสินะ...เดิมทีนายเก่งด้านนี้อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ”
ผมยื่นมือไปตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ แล้วยิ้มกว้างเชิงชื่นชมตามประสาคนร่วมงานมาด้วยกันก่อนที่จะนึกบางอย่างออก
“แล้วนี่กำลังจะไปไหนรึเปล่า”
“...? เตรียมรับงานใหม่มาทำในวันนี้...เดี๋ยวอีกสักพักใหญ่ๆ
กระผมจะกลับฐานพอร์ตมาเฟียเอง”
“งานใหม่? แบบไหนล่ะนั่น...”
“...” อาคุตางาวะเงียบได้ไม่นานแล้วยกมือขวาขึ้นปิดปากตัวเองไอสองสามที
“คุณอาจจะไม่เชื่ออย่างที่ได้ยินก็ได้ แต่กระผมกำลังรับงานช่วยตามหาคนหายร่วมกับพวกนักสืบบุโซอยู่”
“เห...”
ห๊ะ? พวกนักสืบบุโซ? หรือว่า...จะไปหายูกิด้วย!?
มะ...ไม่หรอกมั้ง...เจ้านั่นคงจะแอบตามวอแวไอ้เบื๊อกดาไซหรือไม่ก็เตรียมฆ่าเจ้าเสือสมิงเหมือนเดิมแน่ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น...!!
“เอ่อนี่...อาคุตางาวะ ไหนๆ ก็จะไปทั้งที ถ้าเจอยูกิแล้ว...นายช่วยฝากทักทายแทนฉันด้วยได้รึเปล่า”
ผมพูดพร้อมแอบหันหน้าหนีเล็กน้อยและยกมือขวาขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองไปมาเบาๆ
ราวกับตัวเองกำลังประหม่า
“...ถ้านั่นคือความประสงค์ของคุณ...กระผมจะช่วยทำให้เอง
เพราะยังไงก็ต้องได้เจออยู่แล้ว”
“ได้เจอ...อยู่แล้ว...?”
“ครับ...งั้นก็ขอตัวไปก่อนล่ะ เกรงว่าการพูดคุยครั้งนี้จะกินเวลางานมากเกินไป
แต่ถ้าหากเกิดเหตุย่ำแย่ขึ้นกับคุณ...โทรเรียกกระผมได้เลย”
ว่าจบเขาก็เอามือไพ่หลังพร้อมโค้งคำนับแสดงความเคารพต่อผู้บริหารแล้วค่อยเดินออกไปทางเดียวกันกับบอดี้การ์ดคนล่าสุด นั่นคือลิฟต์ที่จะนำพาสู่ชั้นแรก ผมหันมองได้สักพักก่อนที่จะรู้สึกตัวอีกทีว่าตัวเองพลาดไปอย่างหนึ่ง
เพราะผม...มีเรื่องต้องคุยกับยูกิด้วยตัวเอง
“...”
ถ้างั้น...
ตึก...ตึก...ตึก
...ผมจะแอบตามอาคุตางาวะไปด้วยละกัน!
ผ่านไปประมาณสิบนาที
“...”
“...”
ตั้งแต่เริ่มออกจากฐานพอร์ตมาเฟียจนถึงตัวเมือง
ทั้งอาคุตางาวะและผมที่แอบตามหลังต่างเดินบนริมถนนอย่างเงียบๆ ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดหย่อนด้วยเหตุผลประการใด
ทุกอย่างรอบตัวยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
ผู้คนหลากวัยต่างมีกิจวัตรประจำวันของตัวเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องเปิดร้านส่วนตัว
เข้างานประจำ บางส่วนก็เดินเล่น นัดเที่ยวกับเพื่อนๆ
หรือแม้แต่การเข้าเรียนหลายระดับชั้น
...ทุกอย่างเหมือนเดิมทั้งที่เมื่อคืนเกิดเรื่องใหญ่แท้ๆ
“...?”
แต่พอผมลองสังเกตกลุ่มคนส่วนหนึ่งให้ดี พบว่าพวกเขามีอาการซึมๆ
คล้ายว่ามีใครบางคนเพิ่งจะสิ้นลมหายใจ ดวงตาสองข้างและปลายจมูกแดงก่ำเพราะผ่านการร่ำไห้ข้ามคืน
ไม่มีรอยยิ้มเผยออกมาให้เห็น ความสดใสที่เคยเป็นถูกกลบด้วยความหม่นหมอง
ถ้าเจ้าคุนิคิดะนั่นเห็นเข้าคงรู้สึกแย่ไม่น้อยเลย...
แน่นอน...ผมเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน
รู้สึกแทนยูกิได้เลยล่ะ
“ยูกิ...”
ตัวเธอที่เปี่ยมไปด้วยคำสาป...และเปี่ยมไปด้วยคำถามมากมาย แม้ได้ลองทำงานร่วมกันในช่วงที่ทำความรู้จักครั้งหนึ่ง...แม้ได้รู้เรื่องบางส่วนบ้างแล้ว แต่ทุกอย่างยังไม่เคลียร์ร้อยเปอร์เซ็นต์สักที
เธอจะเกลียดตัวเองรึเปล่า...ถ้ายังต้องสู้และจบด้วยการสังหารผู้คนเช่นเดิม
เธอจะรังเกียจพลังพิเศษรึเปล่า...ถ้ายังต้องใช้เพื่อซ้ำรอยเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า
เธอจะ...ไม่หวาดระแวงกลุ่มพอร์ตมาเฟียอย่างพวกเราใช่มั้ย
ฟุ่บ!
“...?”
ในระหว่างที่กำลังนึกคิดเรื่องเมื่อครู่
ก็ได้ยินเสียงแว่วๆ จากทางขวามือซึ่งเป็นซอกหลืบที่พบเจอยูกิครั้งแรก
ผมอดสงสัยไม่ได้พร้อมหันกลับไปพิสูจน์ดูว่าในจุดนั้นมีอะไรผิดปกติรึเปล่า
ตึก...ตึก...ตึก
“...”
ผมพยายามมองซ้ายขวาจนถึงเบื้องบนในเขตบริเวณตรงหน้าแล้วยังไม่พบอะไรจนกระทั่งได้เลี้ยวเข้าทางซ้ายมือ
โดยบรรยากาศรอบตัวค่อนข้างสลัว ไร้แสงไฟสาดส่อง
มีเพียงแสงอาทิตย์เท่านั้นที่ยังพอช่วยได้นิดหน่อย
“หืม...?”
จากนั้น...ก็ได้รับรู้ถึงต้นเสียงเมื่อครู่จนได้
นั่นคือร่างของคนๆ หนึ่งที่กำลังใส่ผ้าคลุมตัวมีฮู้ดสีดำ ส่วนสูง 185 เซนติเมตรเทียบเท่าได้เหมือนเพศชาย
ร่างนั้นยืนมองนิ่งๆ อยู่ไม่นานก่อนที่จะย่างก้าวเดินเข้าหาอย่างเชื่องช้า
“นี่แก...เป็นใครมาจากไหนกัน” ผมเริ่มตั้งคำถามแรกที่นึกออกในหัวพลางแอบกำหมัดไว้ด้านหลัง
เผื่อเจ้านั่นเป็นศัตรูจะได้ป้องกันตัวและสวนกลับทัน
“เป็นแค่นักเดินทางที่ต้องการแสวงหาบางอย่างเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้...”
เสียงที่พูดออกมาเป็นของผู้ชายจริงๆ แต่คงจะเป็นคนประเภทนิ่งๆ ขรึมๆ
แน่นอน
“นายรู้จักฉันด้วยงั้นเหรอ...ขอบอกก่อนเลยนะว่าตอนนี้ฉันไม่ว่างคุยเรื่องไร้สาระ”
“ไร้สาระ? ไม่หรอก...เรื่องที่จะคุยด้วยอาจเป็นประโยชน์ต่อนายด้วยซ้ำ
เพราะฉันเริ่มรู้จักกลุ่มนักสืบบ้างแล้ว”
“...? อย่าบอกนะว่านาย...รู้จักยูกิ?”
“ยูกิ...? อ่อ...ทาจิบานะ ยูกิสินะ...” อีกฝ่ายพูดด้วยท่าทีเหมือนรู้จักเพื่อนสาวผมดำไม่น้อยแล้วค่อยยกมือขวาถอดฮู้ดคลุมหัวลงเผยให้เห็นหน้าตาที่แท้จริง
เจ้านั่นมีรูปหน้าคร่าตาที่โหด เคร่งขรึม เรือนผมสีน้ำเงินจัดทรงผมตั้ง ปล่อยหน้าม้าเพียงสี่เส้นห่างเท่าๆ กัน ผมส่วนหลังที่ยาวลงบนไหล่ขวาถูกรวบไว้ด้วยเหล็กสีทอง ใต้นัยน์ตาสีแดงทั้งสองมีรอยสักเป็นเส้นขนาดกลางๆ ไขว้ไปมาหนึ่งรอบจนปลายเส้นบรรจบด้วยกัน ตบท้ายด้วยต่างหูทรงเรียวยาวสีเงิน
แต่พอลองดูๆ
แล้วก็เหมาะกับสมาชิกพอร์ตมาเฟียไม่น้อยเลยแฮะ...
“...”
ไม่สิ...นี่ไม่ใช่ประเด็นที่อยากจะพูดสักหน่อย!
“แล้ว...มีธุระอะไรกับฉันล่ะ เจ้าคนหน้านิ่ง” ผมเปิดปากถามออกไปพร้อมยืนกอดอกพิงกำแพงเหมือนที่เคยทำ
“ได้ข่าวว่าช่วงนี้...พวกนายทั้งสององค์กรกำลังตกอยู่ในอันตรายด้วยฝีมือบางคน
ก็เลยอยากลองพูดคุยด้วยสักหน่อย” อีกฝ่ายยืนกอดอกพิงกำแพงฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มเปิดประเด็นแรกที่เข้าข่ายกับพวกเรามากๆ
“ห๊ะ? หมายความว่าไงนั่น...”
“ฮืม...งั้นคงต้องอธิบายสถานการณ์ของทางนี้ก่อนสินะ”
ว่าจบเจ้านั่นก็อธิบายที่มาที่ไปตั้งแต่เริ่มต้นให้ผมฟังทันที
เริ่มจากการแนะนำตัวเองว่า คูแลนน์ มีเพื่อนร่วมทางเป็นผู้หญิงชื่อ อิชิคาวะ เรียวโกะ
พวกเขาสองคนเป็นนักเดินทางจากจังหวัดอื่นในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตอนแรกตั้งใจว่าจะท่องเที่ยวรับหน้าหนาวช่วงสิ้นเดือนตุลาคม
แน่นอนว่าแบล็คโคลเวอร์ปรากฏตัวพอดี
“ช่วงนั้นพวกเราเริ่มคิดได้ว่าไม่น่าใช่เวลาท่องเที่ยวอีกต่อไปแน่ๆ ก็เลยร่วมวางแผนช่วยปกป้องผู้คนชาวโยโกฮาม่าสักครั้งในชีวิต...”
“แล้วนาย...รู้จักพวกเราทั้งสององค์กรได้ยังไง”
“ชาวเมืองบางส่วนบอกเล่าให้ฟังว่า กลุ่มนักสืบบุโซและพอร์ตมาเฟียเคยร่วมมือกันปกป้องจนเมืองสงบสุขดี
ท่าทางพวกเขาดูภูมิใจไม่น้อยเลย...”
“เห...”
น่าแปลกดีแฮะ...แทบไม่เชื่อเลยว่าพอร์ตมาเฟียจะถูกพูดถึงขนาดนี้
หรือว่าจะเป็นบารมีจากกลุ่มนักสืบบุโซกันแน่นะ
ให้ตายเถอะ...พอพูดถึงบารมีแล้วในหัวดันนึกถึงสีหน้ายิ้มทะเล้นของไอ้เบื๊อกดาไซก่อนคนแรกทุกที
“ทีนี้...สิ่งที่ฉันอยากบอกนายคือ
อีกไม่นานกลุ่มแบล็คโคลเวอร์บางส่วนจะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เป้าหมายคงไม่พ้นทาจิบานะ
ยูกิเหมือนเดิม”
“อีกครั้ง? นี่นาย...ไปรู้เรื่องนั้นมาจากไหน”
“เรียวโกะฝากบอกให้แอบตามติดผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นสมาชิกในองค์กร...จนได้ยินข่าวว่าพวกนั้นจัดกลุ่มเพื่อแบ่งแยกหน้าที่กันคนละอย่าง” คูแลนน์พูดในขณะที่ล้วงกระเป๋ากางเกงขายาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนหน้าจอแล้วหันกลับให้มาดู
“...!!? นี่มัน...”
สิ่งที่ผมเห็น...เป็นภาพวีดีโอถ่ายจากมุมสูงลงมายังบริเวณที่มีเหล่าคนชุดดำในชุดสูทคล้ายกับองค์กรพอร์ตมาเฟีย
ติดกลัดสัญลักษณ์ใบโคลเวอร์สีดำบนอกเสื้อข้างซ้าย โดยถืออาวุธปืนตั้งแต่ปืนกลยันบาซูก้า
แต่ปัญหาหลักๆ ที่หนักใจยิ่งกว่าคือ ลูกน้องของพวกผมบางคนถูกจับเหมารวมด้วย
เจ้าพวกบ้านี่...เล่นกะเอาตายชัดๆ
“ถ้าให้สันนิษฐานจากอาวุธมากมายที่ถึงกับต้องถือบาซูก้า...พวกนั้นอาจเริ่มมีแผนร่วมมือกันถล่มองค์กรไปด้วยก็ได้
เพื่อทำลายความมุ่งมั่นการเป็นนักสืบในตัวทาจิบานะ ยูกิ”
“...มันจะเป็นไปได้...งั้นเหรอ”
“อ่า...แน่นอนว่าเรียวโกะเองก็น่าจะคิดแบบเดียวกัน” เขาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงแล้วยืนกอดอกพิงกำแพงคุยเช่นเดิม
“แต่เอาเถอะ...หน้าที่ต่อจากนี้ของพวกเราคือปกป้องผู้คน
รวมถึงเมืองแห่งนี้ด้วย...”
“ฮืม...”
พอลองจ้องมองนัยน์ตาสีแดงคู่นั้น
ความรู้สึกแรกคือปฏิเสธไม่ได้ว่าคูแลนน์ดูน่าเชื่อถือมากแค่ไหน
เพราะเริ่มมีข้อมูลเกี่ยวกับแบล็คโคลเวอร์เรื่องการเคลื่อนไหวบ้างแล้ว เผลอๆ
ถ้ามีอีกก็อาจจะรับฟังต่อไป
แต่ว่า...
“นายรับประกันเรื่องพวกนี้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์รึเปล่าล่ะ...คูแลนน์”
“ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของนายแหละนะ ยังไงซะ...พวกฉันก็เป็นแค่นักเดินทางผู้อาสาช่วยเหลือผู้คนเท่านั้น
แต่ขอให้วางใจได้เลย...ไม่ว่าทาจิบานะ
ยูกิจะเดินทางที่หนแห่งใด เรียวโกะจะช่วยตามดูจากเบื้องบนและปกป้องเธอเอง”
ตี๊ดด~ ตี๊ดด~ ตี๊ดด~
“...?”
ช่วงวินาทีที่คูแลนน์พูดจบประโยค
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องนั้นก็ดังขึ้นราวกับรู้เวลา
เขาล้วงมือหยิบมาอีกครั้งก่อนที่จะเลื่อนหน้าจอเพื่อรับสายอย่างไม่รีรอ
“ว่าไง...อ่า...ทางนั้นเป็นไงบ้าง...”
.
..
...
“งั้นเหรอ...” อีกฝ่ายยืนรับฟังต่อได้ประมาณสิบวินาทีแล้วค่อยพยักหน้าลงเบาๆ
พร้อมพูดตอบรับกลับไปยังปลายสาย “รับทราบ กำลังจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
“...?”
คุยกันเร็วจริงจังมาก...ขนาดผมยังพูดคุยโทรศัพท์กับใครได้ไม่สั้นขนาดนี้เลย
“เมื่อกี้เรียวโกะโทรมาน่ะ...เธอบอกว่ากลุ่มแบล็คโคลเวอร์ส่วนหนึ่งเริ่มแยกย้ายกันเคลื่อนไหวบ้างแล้ว”
“งั้นเหรอ...แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ”
“คงไม่ใช่อย่างอื่นนอกจากเริ่มปกป้องพวกนายแหละ แน่นอนว่าต้องสังเกตการณ์จากมุมสูงเหมือนที่เคยทำ และก็อย่างที่บอก...เรียวโกะจะคอยตามปกป้องยูกิเอง รวมถึงพวกนักสืบด้วย” คูแลนน์ยืนกอดอกพลางส่งสายตามองผมด้วยความจริงจังเหมือนกำลังพิสูจน์ความจริงใจจากตัวเขา ดูๆ ไปก็น่าเชื่อถือได้ประมาณครึ่งหนึ่งแล้ว
“อืม...ตามนั้นละกัน แต่พวกนายช่วยสัญญากันได้รึเปล่า...ว่าจะไม่ทำอะไรให้พวกเราทั้งสององค์กรเดือดร้อนหรือแตกหักเอาภายหลัง”
“อ่า...รับประกันได้เลย”
“...”
ผมเริ่มหมดคำพูดอื่นใดต่อนอกจากขยับหมวกตัวเองลงนิดๆ และยืนกอดอกมองอีกฝ่ายจับฮู้ดใส่คลุมหัว นิ้วชี้กระดิกขึ้นลงบนแขนซ้าย
ภายในหัวพยายามคิดวิเคราะห์ว่าหลังจากคุยกับยูกิเสร็จแล้วควรจะทำยังไง
ทางเลือกทั้งหมดตอนนี้มีตั้งแต่การรอตามปกป้องเธออย่างเงียบๆ
การเตรียมไปช่วยเหล่าลูกน้องให้รอดพ้นจากพันธนาการขององค์กรแบล็คโคลเวอร์
หรือแม้กระทั่งการร่วมมือกับคูแลนน์ในฐานะพันธมิตรชั่วคราว
“งั้นก่อนแยกทาง...ช่วยรับนี่ไว้ด้วยล่ะ” คูแลนน์หยิบอะไรบางอย่างภายใต้ผ้าคลุมตัวสีดำนั่นก่อนที่จะโยนมาให้ผม
พอมองแล้วก็พบกับบัตรสมาชิกร้านขายหนังสือพร้อมที่อยู่ตำแหน่งของมันซึ่งระยะทางห่างจากจุดนี้ประมาณสองกิโลเมตร
“บัตรสมาชิก...?”
“มันอาจเป็นประโยชน์ต่อพวกนายทั้งสององค์กรอีกไม่นานนี้ก็ได้...”
“แล้ว...ฉันต้องเอาไปทำยังไงล่ะ เข้าร้านเพื่อไปเช่าหนังสือในระหว่างที่พวกแบล็คโคลเวอร์เริ่มเคลื่อนไหวน่ะเหรอ”
“อ่า...เพราะได้ยินมาว่าวันนี้มีหนังสือเซ็ตหนึ่งกำลังถูกเล็งไว้ แถมเหลือชุดเดียวในเมืองโยโกฮาม่าด้วย
เพราะงั้นรีบเข้าไปเช่าซะล่ะ...ก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่เอาภายหลัง”
เจ้าตัวพูดตักเตือนผมเหมือนคาดเดาความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ครั้งหน้าเอาไว้ในหัวแล้ว
หนังสือพวกนั้น...มีความหมายอะไรแฝงอยู่รึเปล่านะ
“ถ้านายคาดเดาไว้อย่างนั้น...ฉันจะลองดูละกัน” ผมเก็บบัตรสี่เหลี่ยมมนเข้ากระเป๋าเสื้อด้านในแล้วค่อยลองถามอีกหนึ่งเรื่องเพื่อความแน่ใจ
“งั้นนายรู้รึเปล่าว่าเป็นเซ็ตไหน...”
“แน่นอนอยู่แล้ว...แต่ฉันขอบอกใบ้แทนดีกว่า”
.
..
...
....
.....
“เรื่องเกี่ยวกับนักดาบ...?”
“อ่า...ลองสังเกตดูละกัน ฉันคิดว่าน่าจะถูกวางเรียงเป็นเซ็ตเดียวกันตามประสาพวกหนังสือเซ็ตอื่นๆ”
คูแลนน์บอกใบ้ให้แล้วเริ่มขยับตัวห่างออกจากกำแพงที่พิงก่อนที่จะหันมาเตือนอีกครั้ง
“อย่าลืมว่าตอนนี้ทาจิบานะ ยูกิกำลังถูกหมายหัวอยู่
ถ้าเผลอประมาทไปอาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดก็ได้”
“เรื่องไม่คาดคิด...”
“ขอตัวล่ะ...เรียวโกะกำลังรออยู่”
ฟุ่บ!!
ว่าจบอีกฝ่ายก็ดีดตัวไปบนตึกข้างๆ
ที่ผมเคยพายูกิพูดคุยอย่างรวดเร็ว ภายในหัวตอนนี้มีหลายเรื่องให้นึกคิดมากมาย ทั้งเรื่องแบล็คโคลเวอร์
เจ้านั่นกับเรียวโกะ รวมถึงบัตรสมาชิกร้านกับเซ็ตหนังสือเมื่อครู่โดยมีคำใบ้อย่างหนึ่งคือ
นักดาบ
ผมควรเอาเรื่องพวกนี้ไปปรึกษากับบอสเลยดีมั้ยนะ...
“...”
แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็ต้องรีบไปคุยกับยูกิก่อนอยู่ดี
จะได้หายคาใจในหลายๆ
ประเด็นสักที...
ณ
หน้าร้านคาเฟ่อิสึมากิ
ตึก...ตึก...ตึก
ตรงนี้แหละที่ผมเลือกเข้าพูดคุยกับยูกิ...เพราะถือว่าเป็นสถานที่ที่โอเคสุดแล้ว
ผมเอื้อมมือออกตรงหน้าเปิดประตูพร้อมก้าวเดินเข้าไปยังภายในร้าน
เสียงกระดิ่งดังต้อนรับลูกค้าตามเคย บรรยากาศเองก็ยังคงดูอบอุ่นเหมือนเวลาที่ผ่านมา
ทำให้คาเฟ่แห่งนี้เปรียบเหมือนสถานที่ช่วยจรรโลงใจ
“โอ๊ะ...ยินดีต้อนรับค่ะ คุณชูยะ” เมดสาวประจำเคาน์เตอร์ที่กำลังเช็ดแก้วได้ยินเสียงเมื่อครู่แล้วหันหน้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส
“วันนี้อยากดื่มอะไรรึเปล่าคะ”
“น้ำเปล่าเย็นๆ หนึ่งแก้วละกัน...”
ผมเดินเข้าไปยังเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ก่อนที่จะนั่งสั่งเครื่องดื่มสุดแสนธรรมดาแทนพวกแอลกอฮอล์
“วันนี้ฉันกะว่าจะคุยกับยูกิสักหน่อยน่ะ”
“คุณยูกิ...? อ๋อ...เมื่อกี้เธอเพิ่งเดินออกไปพร้อมกับคุณอัตสึชิ คุณอาคุตางาวะ
และคุณเคียวกะเมื่อประมาณห้านาทีที่แล้ว ถ้าเรียกมาคุยตอนนี้ก็น่าจะทันอยู่นะคะ”
อาคุตางาวะ...? สรุปคือร่วมกันทำงานจริงๆ
สิเนี่ย
“อย่างนี้นี่เอง...ขอบใจมากนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันยินดีที่จะรับใช้บริการเสมอค่ะ”
เธอยิ้มกว้างตามประสาเมดสายสดใสพร้อมเทน้ำเปล่าใส่แก้วที่มีน้ำแข็งบรรจุไว้ประมาณครึ่งหนึ่งแล้วค่อยวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า
ผมรับมาจิบไม่มากนักก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ส่งข้อความไปยังเพื่อนสาวผมดำ
แต่พอพิมพ์ได้แค่หนึ่งบรรทัดก็เปลี่ยนใจใช้วิธีการโทรออกแทน
“...”
.
..
...
“ฮัลโหล...นี่ยูกิเอง มีเรื่องอะไรอยากคุยรึเปล่า ชูยะ”
ระหว่างที่นั่งรอประมาณห้าวินาที
ยูกิก็รับสายผมทันที น้ำเสียงที่ได้ยินยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
แสดงให้รู้ว่าเธอสบายดีแล้ว นั่นพลอยทำให้ผมรู้สึกโล่งใจด้วยเช่นกัน
“เอ่อ...คืองี้นะ ยูกิ ช่วยมาหาที่ร้านคาเฟ่ประจำสำนักงานนักสืบได้รึเปล่า”
“เอ๊ะ...? ตอนนี้เลยงั้นเหรอ...”
“ใช่...อีกอย่างฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอเยอะเลย กลัวว่ามันจะคาใจอีกนานน่ะ”
...เพราะถ้าไม่รีบคุยตอนนี้
อาจมีโอกาสน้อยลงกว่าที่คิดก็ได้ ยิ่งพวกแบล็คโคลเวอร์เริ่มเอาจริงซะขนาดนั้น
พวกเราทั้งสององค์กรคงต้องเตรียมรับมือให้ไว
“งั้นฉันขอบอกผู้ว่าจ้างงานก่อนละกัน...ถ้าได้คำตอบยังไงเดี๋ยวจะติดต่อกลับไป โอเคเนาะ”
“อะ...อ่า...ฉันจะรอละกันนะ”
ติ๊ด!
เมื่อพูดจบ
ผมกดวางสายแล้วถือโทรศัพท์เอาไว้ในมือขวารอยูกิติดต่อกลับมา เอาตรงๆ
คือตอนนี้แอบรู้สึกโล่งใจบ้างที่ไอ้เบื๊อกดาไซไม่ได้ตามก่อกวนชวนประสาทกิน แต่พอลองคิดอีกทีมันก็ดูแปลกๆ
ยังไงชอบกล
หรือว่าเจ้านั่น...จะกำลังเร่ร่อนตามเมืองเพื่อหาวิธีฆ่าตัวตายเหมือนเดิมหว่า
“...”
ไอ้เบื๊อกเอ๊ย...แกจะพยายามฆ่าตัวตายแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ
รึไง ไม่เคยรู้ตัวบ้างเหรอว่าแกกับพลังพิเศษลบล้างนั่นสำคัญต่อพรรคพวกนักสืบมากแค่ไหน
แกเป็นคนเดียวที่จะช่วยยูกิได้นะเฟ้ย!
ตื๊ดด~
ตื๊ดด~ ตื๊ดด~
ขณะที่กำลังนึกคิดและบ่นในใจสักพักใหญ่
เสียงโทรศัพท์สั่นดังขึ้นขัดจังหวะ ผมจิบน้ำเปล่าพลางหันมองปลายสายจนพบว่าเป็นชื่อยูกิ จากนั้นจึงรีบกดรับสายภายในทันที
“ฮัลโหล ยูกิ”
“ตอนนี้ฉันคุยกับผู้ว่าจ้างงานเรียบร้อยแล้ว...เดี๋ยวรออีกแป๊บเดียวเนาะ ในระหว่างนั้นก็ฝากสั่งนมสดอุ่นเผื่อให้---”
“คุณทาจิบานะ!!
ระวังด้านหลัง!!!”
“หืม...?”
นั่นมัน...เสียงของเสือสมิงไม่ใช่เหรอ
ปึก!!
“อ๊ะ...!”
เสียงร้องอุทานด้วยความเจ็บแปร๊บของยูกิดังขึ้นทันทีที่โดนอะไรบางอย่างฟาดเข้าไปยังตัวเธอและล้มลงพื้น ซึ่งก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด
จนกระทั่งผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของผู้หญิงคนหนึ่ง
“ฮึๆๆ รู้สึกดีจังเลยน้าา...ขอบใจมากที่ยอมรับงานตามหาเพื่อนฉันในครั้งนี้”
“คุณ...ฟุมิโกะ...?”
“ยูกิ!! เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า!!”
ผมพยายามเรียกถามอีกฝ่ายแต่ไม่มีการตอบรับใดๆ
และได้ยินเสียงการเรียกชื่อฟุมิโกะที่น่าจะเป็นผู้ว่าจ้างงานในวันนี้
จนกระทั่งมีเสียงรองเท้าส้นสูงดังเข้าหาทางโทรศัพท์เป็นจังหวะเดินช้าๆ
บ้าเอ๊ย! มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นตอนนี้เนี่ย!!
“อีกไม่นานกลุ่มแบล็คโคลเวอร์บางส่วนจะเคลื่อนไหวอีกครั้ง
เป้าหมายคงไม่พ้นทาจิบานะ ยูกิเหมือนเดิม”
“อย่าลืมว่าตอนนี้ทาจิบานะ
ยูกิกำลังถูกหมายหัวอยู่ ถ้าเผลอประมาทไปอาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดก็ได้”
ช่วงเสี้ยววินาทีนั้นเอง
ผมก็นึกถึงคำพูดของคูแลนน์ที่เพิ่งบอกเตือนไว้ไม่นานนัก แถมดูเหมือนว่าประโยคสุดท้ายจะเกิดขึ้นจริงๆ
ด้วย แม้รู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว...แต่นี่มันเร็วเกินไป
...ทั้งที่ผมกำลังจะได้เคลียร์เรื่องคาใจอีกไม่นานนี้แท้ๆ!!
“คุณฟุมิโกะ...เมื่อกี้มันหมายความว่าไงกันคะ...”
“ก็แหม...ได้ยินข่าวลือว่าเธอมีค่าหัวสูงชะลูดจนเป็นราคาเศรษฐีเลยนี่นา
แถมรอบนี้ยังอุตส่าห์แบ่งกลุ่มแยกกันตามหายัยยาสุด้วย เพราะงั้นเกราะป้องกันของเธอลดน้อยลงแล้วล่ะ”
“อึ่ก...นี่คุณได้ทำอะไรกับคุณยาสุไว้รึเปล่า...”
“ยัยนั่นน่ะ...กำลังโดนหลอกให้ไปเช่าหนังสืออยู่
ถึงตามหายังไงก็คงไม่เจอหรอก”
“ยูกิ!! ได้ยินรึเปล่า!! รีบหนีออกมาเร็วเข้า!!”
ผมลองเรียกเพื่อนสาวผมดำอีกครั้งโดยหวังว่ารอบนี้จะได้ยิน
แต่ต่อมาผลตอบรับกลับกลายเป็นเสียงหนึ่งดังขึ้นสั้นๆ ที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดทันที
ติ๊ด!
...เพราะโทรศัพท์ของอีกฝ่ายได้กดวางสายตัดหน้าเป็นที่เรียบร้อย
“ชิ...”
หนังสือเหรอ...คนที่ชื่อ ยาสุ กำลังตามเช่าเล่มไหนกัน!
อย่าบอกนะว่า...
“ได้ยินมาว่าวันนี้มีหนังสือเซ็ตหนึ่งกำลังถูกเล็งไว้
แถมเหลือชุดเดียวในเมืองโยโกฮาม่าด้วย เพราะงั้นรีบเข้าไปเช่าซะล่ะ...ก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่เอาภายหลัง”
“อึ่ก...หนังสือเกี่ยวกับนักดาบ...” ผมพูดพึมพำเบาๆ พลางกำหมัดแน่นและพยายามสงบสติอารมณ์จากเหตุการณ์เมื่อครู่
ต่อมาจึงหันไปคุยกับเมดสาวประจำคาเฟ่อย่างไว “โทษทีนะ...แต่ฉันขอตัวก่อน ฝากบอกเจ้าพวกนักสืบด้วยว่าแบล็คโคลเวอร์เริ่มเคลื่อนไหวส่วนหนึ่งแล้ว”
“...!? ได้ค่ะ! ดิฉันจะรีบติดต่อทางประธานสำนักงานให้ทันทีเลยนะคะ!”
“ขอบใจมาก...อ้อ รับค่าน้ำไว้ด้วยล่ะ!”
ว่าจบก็ควักกระเป๋ากางเกงหยิบเงินจ่ายค่าน้ำเปล่าหนึ่งร้อยเยนโดยไม่รีรอการทอนและถือว่าเป็นการให้ทิปแทน ผมรีบลุกจากเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์พร้อมวิ่งออกไปเพื่อมุ่งสู่ร้านหนังสือตามตำแหน่งที่คูแลนน์ส่งมาให้
ถ้าให้ลองคิดวิเคราะห์ตามที่นึกออก แปลว่าหนังสือเซ็ตนั้นต้องมีบางอย่างที่อันตรายแฝงอยู่และห้ามไม่ให้คนใดคนหนึ่งครอบครองไว้แน่ๆ
ตึกๆๆๆๆ
“อย่าเพิ่งตายซะล่ะ...ยูกิ”
เสือสมิง...อาคุตางาวะ...ฝากปกป้องยูกิด้วย
คูแลนน์...เรียวโกะ...อย่าลืมตามปกป้องพวกเราทั้งสององค์กรละกัน
เดี๋ยวฉันขอไปทำลายต้นตอของปัญหาที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้ก่อน!!
[ To be continued ]
ความคิดเห็น