คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : Episode 20 งานไหว้วานใหม่
หลังจากเปิดอกเปิดใจพูดคุยกับเรียวโกะจนได้คำยืนยันว่าคำสาปภายในตัวฉันยังสามารถลบล้างออกได้
แต่เธอคนนั้นกลับไม่ยอมบอกอย่างง่ายดายพร้อมแนะนำให้พูดคุยกับริปเปอร์เพื่อหาคำตอบเอาเอง
อีกทั้งยังบอกใบ้ไว้ว่ามันจะสื่อถึงความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับพวกเรา
แบบนี้จะเรียกว่าการเริ่มต้นลบล้างที่แท้จริงได้รึเปล่านะ...
ตึก...ตึก...ตึก
ฉันกับอัตสึชิเริ่มเดินทางขึ้นไปยังชั้นสี่เพื่อเข้าพบลูกค้าผู้จ้างวานงานใหม่ในสำนักงานนักสืบบุโซ
โดยรอบนี้เปลี่ยนจากการขึ้นลิฟต์เป็นการเดินบันไดแทน
ระหว่างนั้นอีกฝ่ายก็เริ่มเปิดประเด็นคุยก่อนคนแรก
“เอ่อคือ...คุณทาจิบานะ
คิดยังไงกับเพื่อนคนใหม่ที่ชื่อเรียวโกะเหรอครับ”
“เรียวโกะ...? อืม...เธอดูน่าไว้ใจดีนะ
ฉันสามารถเปิดใจคุยเรื่องคำสาปได้เพราะดูท่าทางจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
อีกอย่าง...คำตอบเกี่ยวกับพลังพิเศษของฉันถูกบอกใบ้บ้างแล้ว”
“คำตอบ...? งั้นก็แปลว่า...”
“มันยังคงมีหนทางที่จะชำระล้างคำสาปของฉันได้อยู่น่ะ”
“เห...เป็นอย่างที่คุณดาไซคาดเดาเอาไว้เลยครับ ทางตัวผมเองก็เชื่อแบบนั้นเหมือนกัน แต่เรื่องวิธีการนี่ยังไม่รู้ว่าควรทำยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าต้องสูญเสียอะไรเป็นการแลกเปลี่ยนด้วยรึเปล่า”
นั่นสินะ...พวกเราทั้งนักสืบและพอร์ตมาเฟียในตอนนี้ยังไม่มีทางพบเจอคำตอบนั่นง่ายๆ
ภายในไม่กี่วันอยู่แล้ว ทุกอย่างต้องใช้เวลาไม่มากก็น้อย แต่บางอย่างก็ไม่สามารถจะเจียดเวลามาคิดได้เลยว่าควรจะทำยังไงให้สำเร็จลุล่วง
ดังนั้นฉันถึงต้องพยายามหาคำตอบ พยายามพูดคุยกับริปเปอร์ในห้วงมิติอสรพิษอัปยศให้รู้เรื่องรู้ราว
จนท้ายสุด...พวกเราจะเริ่มต้นชำระล้างด้วยกัน
“ไม่ต้องห่วงหรอก อัตสึชิคุง ฉันทำได้อยู่แล้วล่ะ”
ฉันพูดพร้อมส่งรอยยิ้มเล็กน้อยที่ทั้งปลอบใจตัวเขาและตัวฉันเอง
เพราะภายในใจยังแฝงความหวาดระแวงอยู่ กลัวว่าจะทำร้ายคนบริสุทธิ์อีก
“ถ้าให้พูดตรงๆ คือ...ผมเป็นห่วงคุณมากเลยนะครับ ถึงรู้ตัวดีว่ายังอ่อนแอ แต่ผมก็อยากปกป้องคุณ...มากกว่าที่จะถูกช่วยหรือคอยปกป้องเหมือนครั้งก่อน” เสือสมิงผมขาวหยุดเดินอยู่ที่บันไดชั้นสามแล้วยื่นมือมาจับมือสองข้างของฉันไว้อย่างทะนุถนอม ทำเอารู้สึกใจเต้นระรัวด้วยความเคอะเขินบางๆ
“อะ...อื้ม...เมื่อครั้งก่อนก็ต้องขอโทษจริงๆ นะ...ที่ปล่อยให้อัตสึชิคุงซื้อของคนเดียว...แต่ฉัน...ไม่อยากให้ใครต้องพัวพันกับความตายแบบนั้---”
“ผมไม่สนหรอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
ไม่แคร์หรอกว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง
แต่ผม...อยากให้คุณอยู่รอดเพื่อบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จ
รวมถึงความใฝ่ฝันวัยเยาว์ด้วย”
“...!?”
สิ้นเสียงพูดนั้นปุ๊บ จู่ๆ
อัตสึชิก็ดึงตัวเข้าไปโอบร่างไว้เบาๆ ท่ามกลางบรรยากาศสลัวๆ บนบันไดชั้นสาม
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขากอดฉันด้วยเหตุผลบางอย่าง
ความอบอุ่นจากอีกฝ่ายทำให้จิตใจรู้สึกสงบและสามารถไว้วางใจได้จริง
“อัตสึชิคุง...”
“ได้โปรดเชื่อใจผมเถอะครับ...คุณทาจิบานะ ครั้งนี้ผมจะทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่คาดหวังไว้ให้ได้
คุณดาไซกับคุณคุนิคิดะเองก็จะคอยสนับสนุนตลอดเวลาเหมือนกัน”
“ไม่แน่ว่าพลังของยูกิจังจะมีประโยชน์ด้วยก็ได้ เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสที่เหมาะสมพอเท่านั้นเอง”
“พอถึงเวลาจริงๆ เธอก็คงจะหาทางรับมือมันได้ ฉันเชื่อมั่นแบบนั้นนะ...ยูกิจัง”
“ทาจิบานะ ถ้าเกิดเป็นไปได้ล่ะก็...เธออย่าตายต่อหน้าฉันหรือสมาชิกคนอื่นๆ
เลย”
“เธอทำได้อยู่แล้ว ก็ถ้ายอมแพ้ตั้งแต่คดีคนหายครั้งก่อน มันคงไม่มีทางก้าวข้ามออกจากขุมนรกนั่นได้หรอก”
“ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นล่ะก็...เธอยังมีพวกฉันคอยปกป้องอยู่”
“อื้ม...ขอบคุณนะ...”
ฉันค่อยๆ หลับตาลงในขณะที่นึกถึงคำพูดของสองนักสืบแล้วโอบรับความอบอุ่นของนักสืบผมขาวเอาไว้
รอบนี้ถือว่ากินเวลาไปหลายวินาทีเลยก็ว่าได้ มันเหมือนกับการโหยหาความอ่อนโยนที่ขาดหายในชีวิตตั้งแต่ลุงนายพรานเผยตัวเป็นคนร้ายคดีลักพาตัว
ถ้าจะให้พูดต่ออีกคือ
ก่อนหน้านั้นเขาดูแลฉันได้เป็นอย่างดีอยู่บ้าง แม้ข้าวของภายในบ้านจะค่อนข้างเก่า
เงินทองมีไม่มากแต่อย่างน้อยก็เหลือใช้ในชีวิตประจำวัน
...โดยที่ไม่เคยรู้ความลับนั่นเลย
.
..
...
จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่กี่นาที อัตสึชิเริ่มรู้ตัวว่าโอบกอดฉันนานแค่ไหน
เขาผละตัวออกจากกันอย่างช้าๆ ไม่มีอาการตื่นตระหนกตกใจ
เพียงแค่รู้สึกเคอะเขินเท่านั้นเอง
“เอ่อ...ขะ...ขอโทษด้วยนะครับ...ที่ผมกอดคุณนานไปหน่อย
คงไม่ได้...รู้สึกลำบากใจใช่มั้ยครับ”
“มะ...ไม่เลยจ้ะ นี่เป็นเพราะอัตสึชิคุงเลยล่ะ
ฉันถึงได้กลับมาสัมผัสถึงความอบอุ่นอีกครั้ง”
“...!?” อีกฝ่ายแสดงสีหน้าตกใจไปได้สักพักแล้วค่อยส่งรอยยิ้มให้จนเกิดออร่ารุ่นน้องหนุ่มแสนอ่อนโยน “แหะๆ ขอบคุณครับ...คุณทาจิบานะ ผมฟังแล้วรู้สึกดีใจมากเลยล่ะ”
“อื้ม...” ฉันส่งรอยยิ้มบางตอบกลับก่อนที่จะพาเขาเดินขึ้นบันไดเพื่อเข้าสู่สำนักงานนักสืบบุโซต่อไป
“งั้นงานไหว้วานใหม่ครั้งนี้เรามาพยายามด้วยกันเถอะเนาะ...”
“...โอเคครับ!”
ว่าจบพวกเราทั้งสองก็เริ่มเดินทางขึ้นไปยังสำนักงานรอรับงานใหม่จากลูกค้าผู้ว่าจ้างงานที่ชั้นสี่
พอถึงหน้าประตูที่มีป้าย Armed detective
agency ปุ๊บ สิ่งที่นึกขึ้นได้อย่างแรกเลยคือ จะมีเสียงแห่งความโกลาหนหรือวุ่นวายจากนักสืบจิตพิลึกผู้นั้นหรือไม่
“...”
.
..
...
“...”
มะ...ไม่มีแฮะ...เงียบกริบซะเป็นอาคารทิ้งร้างในป่าเลย
พอคิดได้เช่นนั้นแล้ว
ฉันค่อยๆ ยื่นมือขวาไปจับลูกบิดเปิดประตูเข้าไปข้างในอย่างไม่รีรอจนกระทั่งพบกับเหตุการณ์ประหลาดๆ
อีกครั้งหนึ่ง แถมยังเป็นรายเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือสองนักสืบคู่หูคู่แม่ลูก
คุนิคิดะกับดาไซ รวมถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งในโซนรับแขก
เธอคนนั้นมีเรือนผมสีเบจตัดหน้าม้าและถักเปียลงบนไหล่ขวา
นัยน์ตาสีเบจอ่อนๆ หนังตาสองชั้น ริมฝีปากถูกทาด้วยลิปสติกสีชมพู
ชุดที่ใส่ประกอบด้วยเสื้อซับในสีขาวภายใต้เสื้อคอวีสีเหลืองแขนยาวเกินข้อศอกนิดๆ
กระโปรงทรงเอสีน้ำตาลเข้มยาวเท่าครึ่งต้นขา ถุงน่องมันวาวสีเดียวกันกับกระโปรง รองเท้าส้นต่ำสีไข่อ่อน
ส่วนเครื่องประดับมีเพียงต่างหูรูปดอกไม้สามแฉกสีเขียวและสร้อยคอจี้ทรงกลม
ท่าทางจะดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าพวกเราทั้งหมดเยอะเลยนะเนี่ย...
“แหมๆ
แม่โฉมงามผู้เต็มไปด้วยความเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้...ช่างงดงามเสียเหลือเกิน” ดาไซนั่งคุกเข่าตรงหน้าลูกค้าพลางจับมือขึ้นอย่างทะนุถนอม สายตาจับจ้องใบหน้าและเผยรอยยิ้มอันแสนเล่ห์เหลี่ยม
“หลังใช้บริการนี้เสร็จแล้ว...เรามาฆ่าตัวตายร่วมกั---”
“เฮ้ย...ดาไซ...” คุนิคิดะยืนกอดอกพร้อมเปลวเพลิงแห่งโทสะท่วมทั้งตัว
เขาจับลากคอเสื้ออีกฝ่ายออกมาจากโซนนั้นไปยังบริเวณโต๊ะท่านประธาน “ในเวลางานแบบนี้...แกจะไปหลีสาวทำแป๊ะกงรึไง!!”
เพี๊ยะ...!
“แอร๊ยย~
คุนิคิดะคุงง่าา~” นักสืบผมน้ำตาลเริ่มเล่นใหญ่ด้วยการหมุนตัวรอบๆ
อย่างกับกำลังเต้นบัลเลย์ก่อนที่จะหยุดอยู่ใกล้ผ้าม่านข้างหน้าต่างแล้วจับผูกคอตัวเองเหมือนหนังอินเดีย
“งั้นก็บ๊ายบาย~ อ่อก...แอ่ก...”
“อะ...อ้าวเฮ้ย!
ดาไซ!! เล่นบ้าอะไรของแกฟะ!! ฉันไม่ได้ตบแรงเบอร์นั้นนะเฟ้ย!!”
เดี๋ยวนะ...พวกคุณเคยบอกเองกับปากไม่ใช่เหรอว่าอย่าทำอะไรให้ภาพลักษณ์เสื่อมเสีย
ตอนนี้ดิฉันสัมผัสได้ถึงความเสื่อมเสียไปประมาณยี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ละ...
“เอ่อคือ...พวกเขาสองคนคงไม่ได้เป็นอะไรมากสินะคะ”
หญิงสาวผมเบจหันมาถามฉันแล้วมองไปยังสองนักสืบผู้สร้างความวุ่นวายต่อสำนักงาน
“มะ...ไม่หรอกค่ะ
มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เอาเป็นว่าคุยเรื่องงานไหว้วานครั้งนี้กันดีกว่านะคะ”
ว่าจบทั้งฉันและอัตสึชิต่างพากันนั่งลงเตรียมพร้อมรับฟังงานใหม่จากลูกค้า
โดยเธอได้แนะนำชื่อตัวเองว่า อิเคโดะ ฟุมิโกะ เป็นนักเขียนอิสระเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
สังคม วัฒนธรรมจีน แถมยังเป็นภรรยาของชายคนหนึ่งชื่อ ฮิเดทสึงุ ซึ่งมีอาชีพนักเขียนเช่นเดียวกัน
แต่ส่วนที่สำคัญยิ่งกว่าคือ...
“พักนี้เพื่อนสนิทของฉันไม่ค่อยได้ติดต่อทางโทรศัพท์เลยน่ะค่ะ
แม้จะลองติดต่อหลายช่องทางแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีการตอบรับสักครั้ง” ฟุมิโกะเปิดกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมแล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา
ซึ่งเป็นรูปภาพหญิงสาวคนหนึ่งถ่ายคู่ด้วยกัน
รูปร่างหน้าตาเทียบเหมือนกับหญิงสาวสายเนิร์ด เรือนผมสีดำปล่อยยาวลงกลางหลัง ตัดหน้าม้าและมีปอยผมยาวขนาบข้าง นัยน์ตาสีส้ม ทาลิปสติกส้มอ่อนๆ ชุดที่ใส่เป็นรูปแบบชุดสไตล์คุณหนู เสื้อแขนยาวสีขาว ส่วนใต้หน้าอกลงไปถึงกระโปรงบานยาวครึ่งต้นขาเป็นโทนสีส้ม ถุงเท้าข้อสั้นสีขาวและรองเท้ามีสายคาดสีส้มรวมถึงหมวกปีกกว้างสีน้ำตาลอ่อน
พอมองดูแล้ว
สองคนนี้ช่างแตกต่างกันมากจริงๆ
“งั้นเป็นไปได้มั้ยคะว่าเพื่อนของคุณจะ...โดนใครลักพาตัว”
“อืมม...อาจเป็นไปได้นะครับ...คุณทาจิบานะ
เหตุการณ์ผู้คนในเมืองบางส่วนหายตัวอย่างไม่ทราบสาเหตุเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยด้วย”
อัตสึชิจับคางตัวเองมองอย่างครุ่นคิดและหันมาคุยกับฉันเรื่องเมื่อครู่
“ทางตำรวจเองก็ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ไม่ได้เพราะเกินความสามารถมากเกินไปน่ะค่ะ
สรุปคือ...”
“จะไหว้วานให้นักสืบบุโซช่วยตามหาเพื่อนของคุณ...สินะคะ...”
หญิงสาวผมเปียพยักหน้าลงเบาๆ
เป็นการตอบคำถามแทน ฉันเริ่มหยิบสมุดจดเล่มเล็กที่ดาไซเคยยกให้ก่อนเริ่มคดีของฮารุกิขึ้นจดรายละเอียดงานคร่าวๆ
ทีละข้อเพื่อเตือนความจำและสร้างนิสัยของนักสืบเต็มตัว
“ขอรายละเอียดเกี่ยวกับเพื่อนคนนั้นด้วยค่ะ...ทั้งสถานที่ที่พบเจอครั้งล่าสุด สิ่งที่เธอตั้งใจจะบอกคุณก่อนแยกทางกัน”
“ตอนนั้น...ฉันกับยาสุจังกำลังเดินเที่ยวด้วยกัน แล้วบังเอิญว่าเจอโปสเตอร์เรื่องคอนเสิร์ตของไอดอลคนหนึ่งพอดี
เธอบอกว่าจะต้องเตรียมตัวไปดูช่วงเย็นให้ได้”
หรือว่าจะเป็นเหตุการณ์เมื่อวาน!?
แล้วป่านนี้คนที่ชื่อยาสุจะ...
“เอ่อคือ...แล้วคุณอิเคโดะพอจะจำได้มั้ยครับว่าเจอกันครั้งล่าสุดที่ไหน”
“ได้แน่นอนค่ะ...”
ฟุมิโกะพยักหน้าตอบอัตสึชิก่อนที่จะยื่นรูปภาพอีกหนึ่งใบให้กับพวกเราซึ่งถ่ายคู่กันหน้าร้านแพนด้า
เธอนั่งรออยู่ในโซนรับแขกต่อไปหลังจากฉันบอกว่าขอเวลาเตรียมจัดการเอกสารนู่นนี่
อีกทั้งยังต้องรายงานให้กับพวกคุนิคิดะด้วย
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม...
“อ่ะ...ยูกิจวาง~
คุยเรื่องงานเสร็จแล้วเหรออ~”
ขนาดคุยตั้งแต่เริ่มจนจบแล้ว
ดาไซยังอยู่ในสภาพผูกคอตัวเองเหมือนหนังอินเดียนั่นอีก
“เอิ่ม...นี่คุณกินเห็ดพิษดอกที่ร้อยแปดเข้าไปแล้วเรอะนั่น”
ฉันถามด้วยสีหน้าตายด้านเพราะวันๆ อีกฝ่ายก็เอาแต่ก่อกวนเรื่องบ้าๆ
ชวนปวดจิตปวดใจ
“แหมๆ
พูดเป็นเล่นไปน่า ฉันแค่อยากลองฆ่าตัวตายแบบง่าย สนุกและเพลิดเพลินอ่ะ”
ห๊ะ...? ง่าย สนุกและเพลิดเพลิน? เอ็งคิดว่าเป็นเครื่องครัวตามโฆษณารึง๊ายย!
“อะ...เอาเป็นว่าช่วยแก้มัดกันก่อนดีกว่านะครับ
คุณทาจิบานะ” อัตสึชิพาฉันเดินไปหานักสืบจิตพิลึกพร้อมช่วยกันแก้มัดผ้าม่านออกอย่างรวดเร็ว
โดยพยายามไม่ให้มันผูกแน่นมากกว่าเดิม
“อร๊ายย~ อัตสึชิคุงใจเด็ดมากเลยย~ ผูกอีกสิ ผูกอีกก~” อีกฝ่ายจับมือเสือสมิงไว้อย่างร่าเริงแล้วพยายามบังคับให้มัดคอตัวเองเข้าไป ทำเอาดูเหมือนกำลังเลี้ยงเด็กสติไม่เต็มยังไงยังงั้น
“แล้วจะเล่นเป็นเด็กแบบนั้นทำเพื่ออะไรวะค้าาา!!?”
.
..
...
....
.....
“แฮ่ก...แฮ่ก...ให้ตายเถอะ
คุณนี่มันดื้อด้านกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย ดาไซ”
หลังผ่านไปหลายวินาที
พวกฉันสองคนสามารถช่วยดึงสติดาไซพร้อมแก้มัดผ้าม่านออกจนสำเร็จ บางช่วงที่ทำท่าขัดขืนเหมือนกำลังแกล้งเล่นนี่ทำเอาปวดสมองจริงๆ
ส่วนคุนิคิดะก็ถามรายละเอียดเกี่ยวกับงานไหว้วานใหม่ครั้งนี้แล้วจดบันทึกลงบนสมุดอุดมคติ
“ฮืม...พอดูๆ
แล้วรู้สึกว่าคดีคนหายจะเกิดขึ้นบ่อยมากเลยแฮะ
งั้นเอาเป็นว่าพวกเราพูดคุยกันที่ห้องประชุมกันดีกว่า”
นักสืบผมบลอนด์เข้มขยับแว่นตัวเองขึ้นหนึ่งทีก่อนที่จะพาสมาชิกนักสืบภายในห้องรวมตัวกัน
ณ จุดประชุม โดยช่วงเวลานั้นดันมีนักสืบผมน้ำตาลคนเดียวเท่านั้นที่ขออยู่เฝ้าฟุมิโกะด้วยเหตุผลอันแสนน่าคิด(รึเปล่า)
“ถ้างั้นฉันขออยู่กับคุณฟุมิโกะก่อนละกัน...พอดีมีเรื่องอยากคุยสักเรื่องสองเรื่องอ่ะนา~”
ว่าแต่ทำไมเพิ่งมีกะจิตกะใจเข้าหาลูกค้าเอาตอนนี้ล่ะฟะ...
“...”
เฮ้อ...เอาเถอะ
เขาคงมีเหตุผลบางอย่างในใจจริงๆ แหละมั้ง
ตึก...ตึก...ตึก
ต่อมาพวกเรานักสืบบุโซยกเว้นท่านประธานได้พากันเปิดประตูเข้าห้องประชุมอย่างพร้อมเพรียง
ซึ่งสมาชิกในขณะนี้มีฉัน อัตสึชิ เคียวกะ (นั่งโต๊ะซ้าย) คุนิคิดะ พี่น้องทานิซากิ
และเคนจิ (นั่งโต๊ะขวา) แน่นอนว่าคุณหมอโยซาโนะกับรัมโปยังคงตามสืบคดีในเมืองอื่นๆ
เช่นเดิม
“เอาล่ะ...ขอเข้าเรื่องเลยละกัน”
นักสืบแว่นยกแขนขึ้นวางศอกทั้งสองบนโต๊ะและกุมมือเข้าหาเตรียมเปิดประเด็น
“ตั้งแต่กลุ่มแบล็คโคลเวอร์เริ่มเคลื่อนไหว...พวกนายคงพบเหตุการณ์คนหายสาบสูญบ่อยๆ
สินะ”
“ครับ...ทั้งคุณคานาเอะและฮารุกิต่างก่อเหตุให้ผู้คนหายไป
แต่หลังจากจัดการเรียบร้อย พวกเขาก็กลับมายังโลกเดิมอีกครั้ง แถมครั้งนี้ก็ด้วย...ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรต่อจากนี้อีก”
“คุณฟุมิโกะบอกว่ามีเพื่อนชื่อ
ยาสุ แต่เธอไม่ได้บอกชื่อเต็มๆ มาเลยน่ะค่ะ แบบนี้พวกเราจะตามหาเจอรึเปล่านะ...”
ฉันกับอัตสึชิต่างออกความเห็นอย่างกังวลใจหลังได้รับงานไหว้วานด้วยตัวเองเมื่อไม่นานแล้วหยิบรูปภาพของฟุมิโกะใบล่าสุดออกมาให้สมาชิกตรงหน้าดู
“อืมม...งั้นเดี๋ยวผมจะช่วยอีกแรงนะครับ
คุณยูกิ ในละแวกนั้นผมค่อนข้างรู้จักดีเลยล่ะ” เคนจิจับคางครุ่นคิดพลางมองพื้นหลังที่เป็นร้านแพนด้า
“ผมเองก็จะช่วยด้วยเช่นกันนะ
ยูกิจัง ตามหากันแค่สองคนคงเหนื่อยแย่จริงๆ”
“ถ้าท่านพี่ไป
นาโอมิก็ไปเหมือนกันนะค้า~” นาโอมิกอดแขนพี่ชายผมส้มข้างๆ พร้อมยิ้มกว้างด้วยความร่าเริงแจ่มใสสมกับนักเรียนมัธยมปลาย
“ฉันเองก็จะไปด้วย...เพราะจำเส้นทางของสถานที่สำคัญในแผนที่ได้ทั้งหมดแล้ว”
“เอ๊ะ?
ตะ...แต่ว่าเคียวกะจัง...จะตามหาพร้อมกับใคร---” ฉันหยุดชะงักไปพักหนึ่งแล้วครุ่นคิดว่านักสืบคนไหนที่พอจะปกป้องเคียวกะได้
ภายในหัวที่นึกออกมีเพียงเสือสมิงคนเดียวเท่านั้น
แต่งานครั้งนี้คุนิคิดะฝากฝังให้ฉันกับอัตสึชิแทนนี่นา...
แล้วพอจะมีใครช่วยอีกแรงได้บ้างล่ะ...
“...”
ก๊อกๆ
เอี๊ยดด~
ระหว่างนั้นเอง
เสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นแล้วเปิดเข้าห้องประชุม พอพวกเราทุกคนหันกลับไปมองก็พบกับร่างสูงเจ้าของผมสีเงินในชุดยูกาตะสีเขียวภายใต้ผ้าคลุมสีดำขอบทอง เขาเดินมาด้วยสีหน้านิ่งและเคร่งขรึมเหมือนเคย
“ทะ...ท่านประธาน...!!?”
“ทาจิบานะ...บอสแห่งพอร์ตมาเฟียอยากจะขอคุยกับเธอด้วยหน่อย”
“คุณโมริ...งั้นเหรอคะ”
“อ่า...ตอนนี้กำลังอยู่ในสายแล้ว
ใช้โทรศัพท์ของฉันคุยได้เลย” ท่านประธานฟุคุซาวะยื่นโทรศัพท์เครื่องหนึ่งมาให้ซึ่งบนหน้าจอมีหมายเลขของโมริติดต่ออยู่จริงๆ
“ระ...รับทราบค่ะ”
ฉันพยักหน้าตอบรับแล้วค่อยรับมาแนบใบหูเตรียมพูดคุยกับอีกฝ่าย
“เอ่อ...สวัสดีค่ะ ทาจิบานะ ยูกิมาแล้วค่ะ”
“ยูกิคุง...ถ้าการโทรครั้งนี้เป็นการรบกวนก็ต้องขอโทษด้วยละกันนะ”
“มะ...ไม่รบกวนหรอกค่ะ
อันที่จริงฉันเพิ่งได้รับงานไหว้วานใหม่จากลูกค้าเมื่อกี้เอง”
“อย่างนี้นี่เอง...ว่าแต่โทรศัพท์ของเธอมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า
โทรไปแล้วไม่รับสายเลย”
“เอ๊ะ...?”
ฉันเริ่มเอะใจก่อนที่จะรีบล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดหน้าจอ
พบกับสายที่ไม่ได้รับจากโมริประมาณสามรอบติด ทำให้รู้ทันทีว่าตัวเองลืมเปิดสั่น “จริงด้วยแฮะ! ขะ...ขอโทษจริงๆ นะคะ คุณโมริ ฉะ...ฉันเผลอปิดเสียงไว้แล้วไม่ได้ตั้งสั่นน่ะค่ะ”
“ฮ่ะๆๆ
แปลว่าไม่ได้มีปัญหาเกิดขึ้นเหมือนคราวก่อนสิเนี่ย ถ้างั้นตอนนี้...ขอฉันบอกเรื่องสำคัญสักหน่อยดีกว่า”
“เรื่องสำคัญ...?”
“เมื่อกี้อาคุตางาวะคุงถามว่าถ้าเป็นไปได้...เขาขอร่วมทำงานกับเธอตั้งแต่วันนี้ได้รึเปล่า”
อาคุตางาวะ...?
แปลกจังแฮะ...ที่มาเฟียผู้เปรียบเหมือนหมาป่าเดียวดายมาตลอดจะถามมาแบบนี้
“เอ่อ...งั้นขอคุยกับเขาหน่อยได้มั้ยคะ”
“ย่อมได้...อ่ะนี่
อาคุตางาวะคุง ยูกิคุงอยากคุยด้วยน่ะ” โมริตอบตกลงแล้วพูดคุยกับสมาชิกพอร์ตมาเฟียชุดคลุมดำสักพักหนึ่งก่อนที่จะมีเสียงเจ้าตัวทักทายกลับมา
“สวัสดี...ทาจิบานะ”
“สะ...สวัสดีจ้ะ
อาคุตางาวะคุง วันนี้อยากทำงานร่วมกับฉันจริงๆ เหรอเนี่ย”
“อ่า...ไม่ว่างานรูปแบบไหนก็บอกมาได้เลย กระผมยินดีที่จะช่วย”
“อื้ม...งั้นช่วยมารอที่คาเฟ่อิสึมากิละกันนะ จะได้อธิบายเรื่องงานง่ายขึ้นหน่อย”
“รับทราบ...ไว้เจอกันในอีกไม่ช้านี้...”
ติ๊ด!
ว่าจบอาคุตางาวะก็รีบกดวางสายโดยไม่ทันได้พูดอะไรอย่างอื่นต่อ
พอหันมองอีกทีพบว่าเหล่านักสืบบุโซภายในห้องประชุมต่างส่งสายตามาทางเดียวกันหมดด้วยความแปลกประหลาด
โดยเฉพาะอัตสึชิผู้เป็นอดีตศัตรูของปลายสายที่แสดงสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อยและหยาดเหงื่อไหลลงบางๆ
“คะ...คุณทาจิบานะ...มะ...เมื่อกี้อาคุตางาวะ...พูดอะไรกับคุณเหรอครับ”
“อะ...อ้อ...คือวันนี้เขาอยากทำงานร่วมกับฉันน่ะ
อัตสึชิคุงไม่ต้องกังวลไปหร---”
“กังวลสิครับ!!
เจ้านั่นมีพลังราโชมอนที่อันตรายมาก ถ้าคุณไม่ระวังตัว...อาจโดนลูกหลงจนเสียชื่อเสียงได้นะครับ”
เสือสมิงจับไหล่ฉันสองข้างไว้แล้วเตือนด้วยสีหน้าจริงจังบวกกับกังวลเป็นอย่างมาก
“ไม่เป็นไรหรอก...เขาคนนั้นไม่ทำอะไรกับคุณยูกิอย่างแน่นอน”
เด็กสาวชุดกิโมโนยื่นมือจับแขนเสื้อนักสืบผมขาวไว้เบาๆ
แล้วพยายามพูดเกลี้ยกล่อมให้หายกังวล
“เคียวกะจัง!?
เธอมั่นใจได้ไงว่าเจ้านั่นจะ---”
“อัตสึชิคุง!”
“...!!?”
“...” ฉันยกมือขวาขึ้นวางบนข้อมือซ้ายของอีกฝ่ายไว้หลังจากเรียกชื่อออกไปเมื่อครู่แล้วส่งรอยยิ้มบางๆ
ให้กับเขา “ไว้วางใจได้เลย...อาคุตางาวะคุงเคยช่วยพวกเรามาครั้งหนึ่งแล้ว
เพราะงั้นในครั้งนี้...เขาต้องช่วยได้อีกแน่นอน”
“คุณทาจิบานะ...”
“วันนี้พวกเราต้องแบ่งทีมกันตามหาคุณยาสุที่เป็นเพื่อนของคุณฟุมิโกะกัน”
ฉันเริ่มลองวางแผนเกี่ยวกับงานไหว้วานล่าสุด
โดยแบ่งเป็นพี่น้องทานิซากิ เคนจิ-คุนิคิดะ อัตสึชิ-เคียวกะ และฉัน-อาคุตางาวะ
สถานที่ที่จะตามหาแบ่งออกเป็นร้านแพนด้า พื้นที่ละแวกใกล้เคียง
ถ้าเป็นไปได้ก็จะเดินทางไปยังบ้านของเธอเลย
“เอาเป็นว่านาโอมิกับท่านพี่จะลองตามหาที่ร้านนั้นเองค่ะ!”
“ส่วนผมกับคุณคุนิคิดะก็เป็นพื้นที่ละแวกใกล้เคียงสินะครับ”
“งั้น...ผมกับเคียวกะจังขอร่วมกับคุณได้มั้ยครับ”
“อึ่ก...”
ฉันมองอัตสึชิพร้อมกลืนน้ำลายไปหนึ่งทีเมื่อพบว่ายังไม่ยอมแพ้ที่จะขออยู่ใกล้ๆ
เหมือนกับกำลังอยากปกป้องโดยไม่ยอมคืนคำพูดของตัวเอง
“ได้มั้ยครับ...คุณทาจิบานะ...”
เขาจับไหล่ทั้งสองแน่นกว่าเดิมและจ้องลึกมายังดวงตาสีม่วงข้างซ้ายด้วยความจริงจังถึงขีดสุด
ทำเอารู้สึกไร้ทางเลือกทันทีทันใด
“อะ...อื้ม...”
“ขอบคุณมากนะครับ!
ผมจะพยายามให้เต็มที่เลย และก็จะทำให้มั่นใจว่าคุณปลอดภัยจากพลังพิเศษอันตรายนั่นด้วย”
ถามจริง...นี่เขาห่วงหรือหวงกันแน่นิ
เริ่มตามติดแจใหญ่แล้วอ่ะ
“โอเค...งั้นขอฉันถ่ายรูปภาพนั่นเก็บไว้หน่อยละกัน” คุนิคิดะหยิบกระดาษที่เป็นรูปสองสาวแล้วเปิดโทรศัพท์ถ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐานการตามหาคนหายครั้งนี้ ต่อด้วยนาโอมิและทานิซากิ
“งั้นนาโอมิและท่านพี่จะพยายามอย่างเต็มที่นะคะ!”
“ถ้าเจอตัวแล้วผมจะโทรติดต่อคุณเองนะครับ
คุณยูกิ”
“ฉัน...จะพยายามนะ”
ฉันมองสองพี่น้องทานิซากิ
เคนจิและเคียวกะที่เพิ่งพูดจบไปเมื่อครู่ก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับ ส่งรอยยิ้มอ่อนๆ
เชิงให้กำลังใจแล้วค่อยพากันแยกย้ายออกจากห้องประชุม แต่พอทุกคนเดินไปเกือบหมดปุ๊บ
คุนิคิดะก็จับไหล่รั้งฉันเอาไว้จนเหลือกันแค่สองคน
“ทาจิบานะ...นี่เธอไม่กลัวเจ้าอาคุตางาวะเลยงั้นเหรอ”
“เอ๊ะ...?
เอ่อก็...แอบกลัวบ้างเพราะเป็นถึงมือสังหารสุดโฉดประจำองค์กรพอร์ตมาเฟีย
แต่เขาดูเป็นคนมุ่งมั่น ตั้งใจ ทะเยอทะยานทำทุกอย่างเพื่อดาไซ
ถึงบางครั้งจะแรงเกินไปจนอัตสึชิคุงมีอคติก็เถอะ...”
“ให้ตายเถอะ
เธอเนี่ยน้า...ใจดีกับใครต่อใครไปหมดเลยจริงๆ” นักสืบแว่นปัดหน้าม้าซีกขวาออกแล้วใช้นิ้วโป้งลูบผ้าปิดตาสีดำเบาๆ สายตาจับจ้องมองด้วยความเป็นห่วงเป็นใยแม้สีหน้าจะนิ่งเรียบ
เล่นเอาภูมิคุ้มกันทางหนุ่มแว่นสั่นระริกและปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม
“คะ...คุณคุนิ...คิดะ...”
“พวกเราต่างมีอุดมคติคล้ายกันแล้ว
เพราะงั้น...”
อีกฝ่ายเว้นช่วงประโยคไว้พร้อมกับโอบเอวเข้าไปสวมกอดหลวมๆ พลางจับหัวฉันให้แนบหูกลางอกซึ่งเป็นตำแหน่งของหัวใจ มันเต้นค่อนข้างรัวอย่างไม่น่าเชื่อจนตัวฉันเองก็พลอยรู้สึกใจเต้นระรัวและเคอะเขินตามไปด้วย
ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก
“อึ่ก...”
“ช่วยจำเสียงนี้ไว้แล้วระลึกเสมอว่า
ต้องจัดการงานตั้งแต่ครั้งนี้ให้สำเร็จจนได้ เข้าใจนะ...”
“ขะ...เข้าใจแล้วค่ะ...”
“ดีมาก...”
คุนิคิดะค่อยๆ ผละตัวออกจากฉันก่อนที่จะก้มหน้ามองด้วยนัยน์ตาสีเขียว-เทา ในวินาทีนั้นจึงพบเห็นได้ว่าใบแก้มของเขาเองก็แอบแดงระเรื่อนิดๆ
ด้วยเช่นกัน
“...”
“งั้นพวกเราทุกคนจะช่วยเรื่องงานไหว้วานใหม่เอง เธอเองก็พยายามเข้าล่ะ...ทาจิบานะ”
[ To be continued ]
ความคิดเห็น