ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Bungo Stray Dogs] นางฟ้าแห่งคำสาป

    ลำดับตอนที่ #30 : Episode 20 งานไหว้วานใหม่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 422
      60
      7 เม.ย. 63

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     Tiny Hand 

    หลังจากเปิดอกเปิดใจพูดคุยกับเรียวโกะจนได้คำยืนยันว่าคำสาปภายในตัวฉันยังสามารถลบล้างออกได้ แต่เธอคนนั้นกลับไม่ยอมบอกอย่างง่ายดายพร้อมแนะนำให้พูดคุยกับริปเปอร์เพื่อหาคำตอบเอาเอง อีกทั้งยังบอกใบ้ไว้ว่ามันจะสื่อถึงความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับพวกเรา

    แบบนี้จะเรียกว่าการเริ่มต้นลบล้างที่แท้จริงได้รึเปล่านะ...

    ตึก...ตึก...ตึก

    ฉันกับอัตสึชิเริ่มเดินทางขึ้นไปยังชั้นสี่เพื่อเข้าพบลูกค้าผู้จ้างวานงานใหม่ในสำนักงานนักสืบบุโซ โดยรอบนี้เปลี่ยนจากการขึ้นลิฟต์เป็นการเดินบันไดแทน ระหว่างนั้นอีกฝ่ายก็เริ่มเปิดประเด็นคุยก่อนคนแรก

    เอ่อคือ...คุณทาจิบานะ คิดยังไงกับเพื่อนคนใหม่ที่ชื่อเรียวโกะเหรอครับ

    เรียวโกะ...? อืม...เธอดูน่าไว้ใจดีนะ ฉันสามารถเปิดใจคุยเรื่องคำสาปได้เพราะดูท่าทางจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี อีกอย่าง...คำตอบเกี่ยวกับพลังพิเศษของฉันถูกบอกใบ้บ้างแล้ว

    คำตอบ...? งั้นก็แปลว่า...

    มันยังคงมีหนทางที่จะชำระล้างคำสาปของฉันได้อยู่น่ะ

    “เห...เป็นอย่างที่คุณดาไซคาดเดาเอาไว้เลยครับ ทางตัวผมเองก็เชื่อแบบนั้นเหมือนกัน แต่เรื่องวิธีการนี่ยังไม่รู้ว่าควรทำยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าต้องสูญเสียอะไรเป็นการแลกเปลี่ยนด้วยรึเปล่า

    นั่นสินะ...พวกเราทั้งนักสืบและพอร์ตมาเฟียในตอนนี้ยังไม่มีทางพบเจอคำตอบนั่นง่ายๆ ภายในไม่กี่วันอยู่แล้ว ทุกอย่างต้องใช้เวลาไม่มากก็น้อย แต่บางอย่างก็ไม่สามารถจะเจียดเวลามาคิดได้เลยว่าควรจะทำยังไงให้สำเร็จลุล่วง

    ดังนั้นฉันถึงต้องพยายามหาคำตอบ พยายามพูดคุยกับริปเปอร์ในห้วงมิติอสรพิษอัปยศให้รู้เรื่องรู้ราว 

    จนท้ายสุด...พวกเราจะเริ่มต้นชำระล้างด้วยกัน

    ไม่ต้องห่วงหรอก อัตสึชิคุง ฉันทำได้อยู่แล้วล่ะฉันพูดพร้อมส่งรอยยิ้มเล็กน้อยที่ทั้งปลอบใจตัวเขาและตัวฉันเอง เพราะภายในใจยังแฝงความหวาดระแวงอยู่ กลัวว่าจะทำร้ายคนบริสุทธิ์อีก

    ถ้าให้พูดตรงๆ คือ...ผมเป็นห่วงคุณมากเลยนะครับ ถึงรู้ตัวดีว่ายังอ่อนแอ แต่ผมก็อยากปกป้องคุณ...มากกว่าที่จะถูกช่วยหรือคอยปกป้องเหมือนครั้งก่อน” เสือสมิงผมขาวหยุดเดินอยู่ที่บันไดชั้นสามแล้วยื่นมือมาจับมือสองข้างของฉันไว้อย่างทะนุถนอม ทำเอารู้สึกใจเต้นระรัวด้วยความเคอะเขินบางๆ

    อะ...อื้ม...เมื่อครั้งก่อนก็ต้องขอโทษจริงๆ นะ...ที่ปล่อยให้อัตสึชิคุงซื้อของคนเดียว...แต่ฉัน...ไม่อยากให้ใครต้องพัวพันกับความตายแบบนั้---

    ผมไม่สนหรอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ไม่แคร์หรอกว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง แต่ผม...อยากให้คุณอยู่รอดเพื่อบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จ รวมถึงความใฝ่ฝันวัยเยาว์ด้วย

    “...!?”

    สิ้นเสียงพูดนั้นปุ๊บ จู่ๆ อัตสึชิก็ดึงตัวเข้าไปโอบร่างไว้เบาๆ ท่ามกลางบรรยากาศสลัวๆ บนบันไดชั้นสาม นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขากอดฉันด้วยเหตุผลบางอย่าง ความอบอุ่นจากอีกฝ่ายทำให้จิตใจรู้สึกสงบและสามารถไว้วางใจได้จริง

    อัตสึชิคุง...

    ได้โปรดเชื่อใจผมเถอะครับ...คุณทาจิบานะ ครั้งนี้ผมจะทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่คาดหวังไว้ให้ได้ คุณดาไซกับคุณคุนิคิดะเองก็จะคอยสนับสนุนตลอดเวลาเหมือนกัน

     

    ไม่แน่ว่าพลังของยูกิจังจะมีประโยชน์ด้วยก็ได้ เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสที่เหมาะสมพอเท่านั้นเอง

    พอถึงเวลาจริงๆ เธอก็คงจะหาทางรับมือมันได้ ฉันเชื่อมั่นแบบนั้นนะ...ยูกิจัง

    “ทาจิบานะ ถ้าเกิดเป็นไปได้ล่ะก็...เธออย่าตายต่อหน้าฉันหรือสมาชิกคนอื่นๆ เลย”

    เธอทำได้อยู่แล้ว ก็ถ้ายอมแพ้ตั้งแต่คดีคนหายครั้งก่อน มันคงไม่มีทางก้าวข้ามออกจากขุมนรกนั่นได้หรอก”

    “ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นล่ะก็...เธอยังมีพวกฉันคอยปกป้องอยู่”

     

    อื้ม...ขอบคุณนะ...

    ฉันค่อยๆ หลับตาลงในขณะที่นึกถึงคำพูดของสองนักสืบแล้วโอบรับความอบอุ่นของนักสืบผมขาวเอาไว้ รอบนี้ถือว่ากินเวลาไปหลายวินาทีเลยก็ว่าได้ มันเหมือนกับการโหยหาความอ่อนโยนที่ขาดหายในชีวิตตั้งแต่ลุงนายพรานเผยตัวเป็นคนร้ายคดีลักพาตัว

    ถ้าจะให้พูดต่ออีกคือ ก่อนหน้านั้นเขาดูแลฉันได้เป็นอย่างดีอยู่บ้าง แม้ข้าวของภายในบ้านจะค่อนข้างเก่า เงินทองมีไม่มากแต่อย่างน้อยก็เหลือใช้ในชีวิตประจำวัน

    ...โดยที่ไม่เคยรู้ความลับนั่นเลย

    .

    ..

    ...

    จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่กี่นาที อัตสึชิเริ่มรู้ตัวว่าโอบกอดฉันนานแค่ไหน เขาผละตัวออกจากกันอย่างช้าๆ ไม่มีอาการตื่นตระหนกตกใจ เพียงแค่รู้สึกเคอะเขินเท่านั้นเอง

    “เอ่อ...ขะ...ขอโทษด้วยนะครับ...ที่ผมกอดคุณนานไปหน่อย คงไม่ได้...รู้สึกลำบากใจใช่มั้ยครับ

    มะ...ไม่เลยจ้ะ นี่เป็นเพราะอัตสึชิคุงเลยล่ะ ฉันถึงได้กลับมาสัมผัสถึงความอบอุ่นอีกครั้ง

    “...!?” อีกฝ่ายแสดงสีหน้าตกใจไปได้สักพักแล้วค่อยส่งรอยยิ้มให้จนเกิดออร่ารุ่นน้องหนุ่มแสนอ่อนโยน “แหะๆ ขอบคุณครับ...คุณทาจิบานะ ผมฟังแล้วรู้สึกดีใจมากเลยล่ะ

    อื้ม...ฉันส่งรอยยิ้มบางตอบกลับก่อนที่จะพาเขาเดินขึ้นบันไดเพื่อเข้าสู่สำนักงานนักสืบบุโซต่อไป งั้นงานไหว้วานใหม่ครั้งนี้เรามาพยายามด้วยกันเถอะเนาะ...

    “...โอเคครับ!”

    ว่าจบพวกเราทั้งสองก็เริ่มเดินทางขึ้นไปยังสำนักงานรอรับงานใหม่จากลูกค้าผู้ว่าจ้างงานที่ชั้นสี่ พอถึงหน้าประตูที่มีป้าย Armed detective agency ปุ๊บ สิ่งที่นึกขึ้นได้อย่างแรกเลยคือ จะมีเสียงแห่งความโกลาหนหรือวุ่นวายจากนักสืบจิตพิลึกผู้นั้นหรือไม่

    “...”

    .

    ..

    ...

    “...”

    มะ...ไม่มีแฮะ...เงียบกริบซะเป็นอาคารทิ้งร้างในป่าเลย

    พอคิดได้เช่นนั้นแล้ว ฉันค่อยๆ ยื่นมือขวาไปจับลูกบิดเปิดประตูเข้าไปข้างในอย่างไม่รีรอจนกระทั่งพบกับเหตุการณ์ประหลาดๆ อีกครั้งหนึ่ง แถมยังเป็นรายเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือสองนักสืบคู่หูคู่แม่ลูก คุนิคิดะกับดาไซ รวมถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งในโซนรับแขก

    เธอคนนั้นมีเรือนผมสีเบจตัดหน้าม้าและถักเปียลงบนไหล่ขวา นัยน์ตาสีเบจอ่อนๆ หนังตาสองชั้น ริมฝีปากถูกทาด้วยลิปสติกสีชมพู ชุดที่ใส่ประกอบด้วยเสื้อซับในสีขาวภายใต้เสื้อคอวีสีเหลืองแขนยาวเกินข้อศอกนิดๆ กระโปรงทรงเอสีน้ำตาลเข้มยาวเท่าครึ่งต้นขา ถุงน่องมันวาวสีเดียวกันกับกระโปรง รองเท้าส้นต่ำสีไข่อ่อน ส่วนเครื่องประดับมีเพียงต่างหูรูปดอกไม้สามแฉกสีเขียวและสร้อยคอจี้ทรงกลม

    ท่าทางจะดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าพวกเราทั้งหมดเยอะเลยนะเนี่ย...

    แหมๆ แม่โฉมงามผู้เต็มไปด้วยความเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้...ช่างงดงามเสียเหลือเกินดาไซนั่งคุกเข่าตรงหน้าลูกค้าพลางจับมือขึ้นอย่างทะนุถนอม สายตาจับจ้องใบหน้าและเผยรอยยิ้มอันแสนเล่ห์เหลี่ยม หลังใช้บริการนี้เสร็จแล้ว...เรามาฆ่าตัวตายร่วมกั---

    เฮ้ย...ดาไซ...” คุนิคิดะยืนกอดอกพร้อมเปลวเพลิงแห่งโทสะท่วมทั้งตัว เขาจับลากคอเสื้ออีกฝ่ายออกมาจากโซนนั้นไปยังบริเวณโต๊ะท่านประธาน “ในเวลางานแบบนี้...แกจะไปหลีสาวทำแป๊ะกงรึไง!!”

    เพี๊ยะ...!

    แอร๊ยย~ คุนิคิดะคุงง่าา~นักสืบผมน้ำตาลเริ่มเล่นใหญ่ด้วยการหมุนตัวรอบๆ อย่างกับกำลังเต้นบัลเลย์ก่อนที่จะหยุดอยู่ใกล้ผ้าม่านข้างหน้าต่างแล้วจับผูกคอตัวเองเหมือนหนังอินเดีย งั้นก็บ๊ายบาย~ อ่อก...แอ่ก...

    อะ...อ้าวเฮ้ย! ดาไซ!! เล่นบ้าอะไรของแกฟะ!! ฉันไม่ได้ตบแรงเบอร์นั้นนะเฟ้ย!!”

    เดี๋ยวนะ...พวกคุณเคยบอกเองกับปากไม่ใช่เหรอว่าอย่าทำอะไรให้ภาพลักษณ์เสื่อมเสีย

    ตอนนี้ดิฉันสัมผัสได้ถึงความเสื่อมเสียไปประมาณยี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ละ...

    เอ่อคือ...พวกเขาสองคนคงไม่ได้เป็นอะไรมากสินะคะหญิงสาวผมเบจหันมาถามฉันแล้วมองไปยังสองนักสืบผู้สร้างความวุ่นวายต่อสำนักงาน

    มะ...ไม่หรอกค่ะ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เอาเป็นว่าคุยเรื่องงานไหว้วานครั้งนี้กันดีกว่านะคะ

    ว่าจบทั้งฉันและอัตสึชิต่างพากันนั่งลงเตรียมพร้อมรับฟังงานใหม่จากลูกค้า โดยเธอได้แนะนำชื่อตัวเองว่า อิเคโดะ ฟุมิโกะ เป็นนักเขียนอิสระเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรมจีน แถมยังเป็นภรรยาของชายคนหนึ่งชื่อ ฮิเดทสึงุ ซึ่งมีอาชีพนักเขียนเช่นเดียวกัน แต่ส่วนที่สำคัญยิ่งกว่าคือ...

    พักนี้เพื่อนสนิทของฉันไม่ค่อยได้ติดต่อทางโทรศัพท์เลยน่ะค่ะ แม้จะลองติดต่อหลายช่องทางแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีการตอบรับสักครั้ง ฟุมิโกะเปิดกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมแล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา ซึ่งเป็นรูปภาพหญิงสาวคนหนึ่งถ่ายคู่ด้วยกัน

    รูปร่างหน้าตาเทียบเหมือนกับหญิงสาวสายเนิร์ด เรือนผมสีดำปล่อยยาวลงกลางหลัง ตัดหน้าม้าและมีปอยผมยาวขนาบข้าง นัยน์ตาสีส้ม ทาลิปสติกส้มอ่อนๆ ชุดที่ใส่เป็นรูปแบบชุดสไตล์คุณหนู เสื้อแขนยาวสีขาว ส่วนใต้หน้าอกลงไปถึงกระโปรงบานยาวครึ่งต้นขาเป็นโทนสีส้ม ถุงเท้าข้อสั้นสีขาวและรองเท้ามีสายคาดสีส้มรวมถึงหมวกปีกกว้างสีน้ำตาลอ่อน

    พอมองดูแล้ว สองคนนี้ช่างแตกต่างกันมากจริงๆ

    งั้นเป็นไปได้มั้ยคะว่าเพื่อนของคุณจะ...โดนใครลักพาตัว

    อืมม...อาจเป็นไปได้นะครับ...คุณทาจิบานะ เหตุการณ์ผู้คนในเมืองบางส่วนหายตัวอย่างไม่ทราบสาเหตุเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยด้วยอัตสึชิจับคางตัวเองมองอย่างครุ่นคิดและหันมาคุยกับฉันเรื่องเมื่อครู่

    ทางตำรวจเองก็ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ไม่ได้เพราะเกินความสามารถมากเกินไปน่ะค่ะ สรุปคือ...

    จะไหว้วานให้นักสืบบุโซช่วยตามหาเพื่อนของคุณ...สินะคะ...

    หญิงสาวผมเปียพยักหน้าลงเบาๆ เป็นการตอบคำถามแทน ฉันเริ่มหยิบสมุดจดเล่มเล็กที่ดาไซเคยยกให้ก่อนเริ่มคดีของฮารุกิขึ้นจดรายละเอียดงานคร่าวๆ ทีละข้อเพื่อเตือนความจำและสร้างนิสัยของนักสืบเต็มตัว

    ขอรายละเอียดเกี่ยวกับเพื่อนคนนั้นด้วยค่ะ...ทั้งสถานที่ที่พบเจอครั้งล่าสุด สิ่งที่เธอตั้งใจจะบอกคุณก่อนแยกทางกัน

    ตอนนั้น...ฉันกับยาสุจังกำลังเดินเที่ยวด้วยกัน แล้วบังเอิญว่าเจอโปสเตอร์เรื่องคอนเสิร์ตของไอดอลคนหนึ่งพอดี เธอบอกว่าจะต้องเตรียมตัวไปดูช่วงเย็นให้ได้

    หรือว่าจะเป็นเหตุการณ์เมื่อวาน!?

    แล้วป่านนี้คนที่ชื่อยาสุจะ...

    เอ่อคือ...แล้วคุณอิเคโดะพอจะจำได้มั้ยครับว่าเจอกันครั้งล่าสุดที่ไหน

    ได้แน่นอนค่ะ...”

    ฟุมิโกะพยักหน้าตอบอัตสึชิก่อนที่จะยื่นรูปภาพอีกหนึ่งใบให้กับพวกเราซึ่งถ่ายคู่กันหน้าร้านแพนด้า เธอนั่งรออยู่ในโซนรับแขกต่อไปหลังจากฉันบอกว่าขอเวลาเตรียมจัดการเอกสารนู่นนี่ อีกทั้งยังต้องรายงานให้กับพวกคุนิคิดะด้วย

    แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม...

    อ่ะ...ยูกิจวาง~ คุยเรื่องงานเสร็จแล้วเหรออ~

    ขนาดคุยตั้งแต่เริ่มจนจบแล้ว ดาไซยังอยู่ในสภาพผูกคอตัวเองเหมือนหนังอินเดียนั่นอีก

    เอิ่ม...นี่คุณกินเห็ดพิษดอกที่ร้อยแปดเข้าไปแล้วเรอะนั่นฉันถามด้วยสีหน้าตายด้านเพราะวันๆ อีกฝ่ายก็เอาแต่ก่อกวนเรื่องบ้าๆ ชวนปวดจิตปวดใจ

    แหมๆ พูดเป็นเล่นไปน่า ฉันแค่อยากลองฆ่าตัวตายแบบง่าย สนุกและเพลิดเพลินอ่ะ

    ห๊ะ...? ง่าย สนุกและเพลิดเพลิน? เอ็งคิดว่าเป็นเครื่องครัวตามโฆษณารึง๊ายย!

    อะ...เอาเป็นว่าช่วยแก้มัดกันก่อนดีกว่านะครับ คุณทาจิบานะอัตสึชิพาฉันเดินไปหานักสืบจิตพิลึกพร้อมช่วยกันแก้มัดผ้าม่านออกอย่างรวดเร็ว โดยพยายามไม่ให้มันผูกแน่นมากกว่าเดิม

    อร๊ายย~ อัตสึชิคุงใจเด็ดมากเลยย~ ผูกอีกสิ ผูกอีกก~อีกฝ่ายจับมือเสือสมิงไว้อย่างร่าเริงแล้วพยายามบังคับให้มัดคอตัวเองเข้าไป ทำเอาดูเหมือนกำลังเลี้ยงเด็กสติไม่เต็มยังไงยังงั้น

    แล้วจะเล่นเป็นเด็กแบบนั้นทำเพื่ออะไรวะค้าาา!!?”

    .

    ..

    ...

    ....

    .....

    แฮ่ก...แฮ่ก...ให้ตายเถอะ คุณนี่มันดื้อด้านกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย ดาไซ

    หลังผ่านไปหลายวินาที พวกฉันสองคนสามารถช่วยดึงสติดาไซพร้อมแก้มัดผ้าม่านออกจนสำเร็จ บางช่วงที่ทำท่าขัดขืนเหมือนกำลังแกล้งเล่นนี่ทำเอาปวดสมองจริงๆ ส่วนคุนิคิดะก็ถามรายละเอียดเกี่ยวกับงานไหว้วานใหม่ครั้งนี้แล้วจดบันทึกลงบนสมุดอุดมคติ

    ฮืม...พอดูๆ แล้วรู้สึกว่าคดีคนหายจะเกิดขึ้นบ่อยมากเลยแฮะ งั้นเอาเป็นว่าพวกเราพูดคุยกันที่ห้องประชุมกันดีกว่า

    นักสืบผมบลอนด์เข้มขยับแว่นตัวเองขึ้นหนึ่งทีก่อนที่จะพาสมาชิกนักสืบภายในห้องรวมตัวกัน ณ จุดประชุม โดยช่วงเวลานั้นดันมีนักสืบผมน้ำตาลคนเดียวเท่านั้นที่ขออยู่เฝ้าฟุมิโกะด้วยเหตุผลอันแสนน่าคิด(รึเปล่า)

    ถ้างั้นฉันขออยู่กับคุณฟุมิโกะก่อนละกัน...พอดีมีเรื่องอยากคุยสักเรื่องสองเรื่องอ่ะนา~

    ว่าแต่ทำไมเพิ่งมีกะจิตกะใจเข้าหาลูกค้าเอาตอนนี้ล่ะฟะ...

    “...”

    เฮ้อ...เอาเถอะ เขาคงมีเหตุผลบางอย่างในใจจริงๆ แหละมั้ง

    ตึก...ตึก...ตึก

    ต่อมาพวกเรานักสืบบุโซยกเว้นท่านประธานได้พากันเปิดประตูเข้าห้องประชุมอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งสมาชิกในขณะนี้มีฉัน อัตสึชิ เคียวกะ (นั่งโต๊ะซ้าย) คุนิคิดะ พี่น้องทานิซากิ และเคนจิ (นั่งโต๊ะขวา) แน่นอนว่าคุณหมอโยซาโนะกับรัมโปยังคงตามสืบคดีในเมืองอื่นๆ เช่นเดิม

    เอาล่ะ...ขอเข้าเรื่องเลยละกันนักสืบแว่นยกแขนขึ้นวางศอกทั้งสองบนโต๊ะและกุมมือเข้าหาเตรียมเปิดประเด็น ตั้งแต่กลุ่มแบล็คโคลเวอร์เริ่มเคลื่อนไหว...พวกนายคงพบเหตุการณ์คนหายสาบสูญบ่อยๆ สินะ

    ครับ...ทั้งคุณคานาเอะและฮารุกิต่างก่อเหตุให้ผู้คนหายไป แต่หลังจากจัดการเรียบร้อย พวกเขาก็กลับมายังโลกเดิมอีกครั้ง แถมครั้งนี้ก็ด้วย...ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรต่อจากนี้อีก

    คุณฟุมิโกะบอกว่ามีเพื่อนชื่อ ยาสุ แต่เธอไม่ได้บอกชื่อเต็มๆ มาเลยน่ะค่ะ แบบนี้พวกเราจะตามหาเจอรึเปล่านะ...

    ฉันกับอัตสึชิต่างออกความเห็นอย่างกังวลใจหลังได้รับงานไหว้วานด้วยตัวเองเมื่อไม่นานแล้วหยิบรูปภาพของฟุมิโกะใบล่าสุดออกมาให้สมาชิกตรงหน้าดู


    อืมม...งั้นเดี๋ยวผมจะช่วยอีกแรงนะครับ คุณยูกิ ในละแวกนั้นผมค่อนข้างรู้จักดีเลยล่ะเคนจิจับคางครุ่นคิดพลางมองพื้นหลังที่เป็นร้านแพนด้า

    ผมเองก็จะช่วยด้วยเช่นกันนะ ยูกิจัง ตามหากันแค่สองคนคงเหนื่อยแย่จริงๆ

    ถ้าท่านพี่ไป นาโอมิก็ไปเหมือนกันนะค้า~นาโอมิกอดแขนพี่ชายผมส้มข้างๆ พร้อมยิ้มกว้างด้วยความร่าเริงแจ่มใสสมกับนักเรียนมัธยมปลาย

    ฉันเองก็จะไปด้วย...เพราะจำเส้นทางของสถานที่สำคัญในแผนที่ได้ทั้งหมดแล้ว

    เอ๊ะ? ตะ...แต่ว่าเคียวกะจัง...จะตามหาพร้อมกับใคร--- ฉันหยุดชะงักไปพักหนึ่งแล้วครุ่นคิดว่านักสืบคนไหนที่พอจะปกป้องเคียวกะได้ ภายในหัวที่นึกออกมีเพียงเสือสมิงคนเดียวเท่านั้น

    แต่งานครั้งนี้คุนิคิดะฝากฝังให้ฉันกับอัตสึชิแทนนี่นา...

    แล้วพอจะมีใครช่วยอีกแรงได้บ้างล่ะ...

    “...”

    ก๊อกๆ

    เอี๊ยดด~

    ระหว่างนั้นเอง เสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นแล้วเปิดเข้าห้องประชุม พอพวกเราทุกคนหันกลับไปมองก็พบกับร่างสูงเจ้าของผมสีเงินในชุดยูกาตะสีเขียวภายใต้ผ้าคลุมสีดำขอบทอง เขาเดินมาด้วยสีหน้านิ่งและเคร่งขรึมเหมือนเคย

    ทะ...ท่านประธาน...!!?”

    ทาจิบานะ...บอสแห่งพอร์ตมาเฟียอยากจะขอคุยกับเธอด้วยหน่อย

    คุณโมริ...งั้นเหรอคะ

    อ่า...ตอนนี้กำลังอยู่ในสายแล้ว ใช้โทรศัพท์ของฉันคุยได้เลยท่านประธานฟุคุซาวะยื่นโทรศัพท์เครื่องหนึ่งมาให้ซึ่งบนหน้าจอมีหมายเลขของโมริติดต่ออยู่จริงๆ

    ระ...รับทราบค่ะฉันพยักหน้าตอบรับแล้วค่อยรับมาแนบใบหูเตรียมพูดคุยกับอีกฝ่าย เอ่อ...สวัสดีค่ะ ทาจิบานะ ยูกิมาแล้วค่ะ

    ยูกิคุง...ถ้าการโทรครั้งนี้เป็นการรบกวนก็ต้องขอโทษด้วยละกันนะ

    มะ...ไม่รบกวนหรอกค่ะ อันที่จริงฉันเพิ่งได้รับงานไหว้วานใหม่จากลูกค้าเมื่อกี้เอง

    อย่างนี้นี่เอง...ว่าแต่โทรศัพท์ของเธอมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า โทรไปแล้วไม่รับสายเลย

    เอ๊ะ...?” ฉันเริ่มเอะใจก่อนที่จะรีบล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดหน้าจอ พบกับสายที่ไม่ได้รับจากโมริประมาณสามรอบติด ทำให้รู้ทันทีว่าตัวเองลืมเปิดสั่น จริงด้วยแฮะ! ขะ...ขอโทษจริงๆ นะคะ คุณโมริ ฉะ...ฉันเผลอปิดเสียงไว้แล้วไม่ได้ตั้งสั่นน่ะค่ะ

    ฮ่ะๆๆ แปลว่าไม่ได้มีปัญหาเกิดขึ้นเหมือนคราวก่อนสิเนี่ย ถ้างั้นตอนนี้...ขอฉันบอกเรื่องสำคัญสักหน่อยดีกว่า

    เรื่องสำคัญ...?”

    เมื่อกี้อาคุตางาวะคุงถามว่าถ้าเป็นไปได้...เขาขอร่วมทำงานกับเธอตั้งแต่วันนี้ได้รึเปล่า

    อาคุตางาวะ...?

    แปลกจังแฮะ...ที่มาเฟียผู้เปรียบเหมือนหมาป่าเดียวดายมาตลอดจะถามมาแบบนี้

    เอ่อ...งั้นขอคุยกับเขาหน่อยได้มั้ยคะ

    ย่อมได้...อ่ะนี่ อาคุตางาวะคุง ยูกิคุงอยากคุยด้วยน่ะ โมริตอบตกลงแล้วพูดคุยกับสมาชิกพอร์ตมาเฟียชุดคลุมดำสักพักหนึ่งก่อนที่จะมีเสียงเจ้าตัวทักทายกลับมา สวัสดี...ทาจิบานะ

    สะ...สวัสดีจ้ะ อาคุตางาวะคุง วันนี้อยากทำงานร่วมกับฉันจริงๆ เหรอเนี่ย

    อ่า...ไม่ว่างานรูปแบบไหนก็บอกมาได้เลย กระผมยินดีที่จะช่วย

    “อื้ม...งั้นช่วยมารอที่คาเฟ่อิสึมากิละกันนะ จะได้อธิบายเรื่องงานง่ายขึ้นหน่อย

    รับทราบ...ไว้เจอกันในอีกไม่ช้านี้...”

    ติ๊ด!

    ว่าจบอาคุตางาวะก็รีบกดวางสายโดยไม่ทันได้พูดอะไรอย่างอื่นต่อ พอหันมองอีกทีพบว่าเหล่านักสืบบุโซภายในห้องประชุมต่างส่งสายตามาทางเดียวกันหมดด้วยความแปลกประหลาด โดยเฉพาะอัตสึชิผู้เป็นอดีตศัตรูของปลายสายที่แสดงสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อยและหยาดเหงื่อไหลลงบางๆ

    คะ...คุณทาจิบานะ...มะ...เมื่อกี้อาคุตางาวะ...พูดอะไรกับคุณเหรอครับ

    อะ...อ้อ...คือวันนี้เขาอยากทำงานร่วมกับฉันน่ะ อัตสึชิคุงไม่ต้องกังวลไปหร---

    กังวลสิครับ!! เจ้านั่นมีพลังราโชมอนที่อันตรายมาก ถ้าคุณไม่ระวังตัว...อาจโดนลูกหลงจนเสียชื่อเสียงได้นะครับเสือสมิงจับไหล่ฉันสองข้างไว้แล้วเตือนด้วยสีหน้าจริงจังบวกกับกังวลเป็นอย่างมาก

    ไม่เป็นไรหรอก...เขาคนนั้นไม่ทำอะไรกับคุณยูกิอย่างแน่นอนเด็กสาวชุดกิโมโนยื่นมือจับแขนเสื้อนักสืบผมขาวไว้เบาๆ แล้วพยายามพูดเกลี้ยกล่อมให้หายกังวล

    เคียวกะจัง!? เธอมั่นใจได้ไงว่าเจ้านั่นจะ---

    อัตสึชิคุง!”

    “...!!?”

    “...” ฉันยกมือขวาขึ้นวางบนข้อมือซ้ายของอีกฝ่ายไว้หลังจากเรียกชื่อออกไปเมื่อครู่แล้วส่งรอยยิ้มบางๆ ให้กับเขา ไว้วางใจได้เลย...อาคุตางาวะคุงเคยช่วยพวกเรามาครั้งหนึ่งแล้ว เพราะงั้นในครั้งนี้...เขาต้องช่วยได้อีกแน่นอน

    คุณทาจิบานะ...

    วันนี้พวกเราต้องแบ่งทีมกันตามหาคุณยาสุที่เป็นเพื่อนของคุณฟุมิโกะกัน

    ฉันเริ่มลองวางแผนเกี่ยวกับงานไหว้วานล่าสุด โดยแบ่งเป็นพี่น้องทานิซากิ เคนจิ-คุนิคิดะ อัตสึชิ-เคียวกะ และฉัน-อาคุตางาวะ สถานที่ที่จะตามหาแบ่งออกเป็นร้านแพนด้า พื้นที่ละแวกใกล้เคียง ถ้าเป็นไปได้ก็จะเดินทางไปยังบ้านของเธอเลย

    เอาเป็นว่านาโอมิกับท่านพี่จะลองตามหาที่ร้านนั้นเองค่ะ!”

    ส่วนผมกับคุณคุนิคิดะก็เป็นพื้นที่ละแวกใกล้เคียงสินะครับ

    งั้น...ผมกับเคียวกะจังขอร่วมกับคุณได้มั้ยครับ

    อึ่ก...ฉันมองอัตสึชิพร้อมกลืนน้ำลายไปหนึ่งทีเมื่อพบว่ายังไม่ยอมแพ้ที่จะขออยู่ใกล้ๆ เหมือนกับกำลังอยากปกป้องโดยไม่ยอมคืนคำพูดของตัวเอง

    ได้มั้ยครับ...คุณทาจิบานะ...เขาจับไหล่ทั้งสองแน่นกว่าเดิมและจ้องลึกมายังดวงตาสีม่วงข้างซ้ายด้วยความจริงจังถึงขีดสุด ทำเอารู้สึกไร้ทางเลือกทันทีทันใด

    อะ...อื้ม...”

    ขอบคุณมากนะครับ! ผมจะพยายามให้เต็มที่เลย และก็จะทำให้มั่นใจว่าคุณปลอดภัยจากพลังพิเศษอันตรายนั่นด้วย

    ถามจริง...นี่เขาห่วงหรือหวงกันแน่นิ เริ่มตามติดแจใหญ่แล้วอ่ะ

    โอเค...งั้นขอฉันถ่ายรูปภาพนั่นเก็บไว้หน่อยละกัน” คุนิคิดะหยิบกระดาษที่เป็นรูปสองสาวแล้วเปิดโทรศัพท์ถ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐานการตามหาคนหายครั้งนี้ ต่อด้วยนาโอมิและทานิซากิ

    งั้นนาโอมิและท่านพี่จะพยายามอย่างเต็มที่นะคะ!”

    ถ้าเจอตัวแล้วผมจะโทรติดต่อคุณเองนะครับ คุณยูกิ

    ฉัน...จะพยายามนะ

    ฉันมองสองพี่น้องทานิซากิ เคนจิและเคียวกะที่เพิ่งพูดจบไปเมื่อครู่ก่อนที่จะพยักหน้าตอบรับ ส่งรอยยิ้มอ่อนๆ เชิงให้กำลังใจแล้วค่อยพากันแยกย้ายออกจากห้องประชุม แต่พอทุกคนเดินไปเกือบหมดปุ๊บ คุนิคิดะก็จับไหล่รั้งฉันเอาไว้จนเหลือกันแค่สองคน

    ทาจิบานะ...นี่เธอไม่กลัวเจ้าอาคุตางาวะเลยงั้นเหรอ

    เอ๊ะ...? เอ่อก็...แอบกลัวบ้างเพราะเป็นถึงมือสังหารสุดโฉดประจำองค์กรพอร์ตมาเฟีย แต่เขาดูเป็นคนมุ่งมั่น ตั้งใจ ทะเยอทะยานทำทุกอย่างเพื่อดาไซ ถึงบางครั้งจะแรงเกินไปจนอัตสึชิคุงมีอคติก็เถอะ...”

    ให้ตายเถอะ เธอเนี่ยน้า...ใจดีกับใครต่อใครไปหมดเลยจริงๆนักสืบแว่นปัดหน้าม้าซีกขวาออกแล้วใช้นิ้วโป้งลูบผ้าปิดตาสีดำเบาๆ สายตาจับจ้องมองด้วยความเป็นห่วงเป็นใยแม้สีหน้าจะนิ่งเรียบ เล่นเอาภูมิคุ้มกันทางหนุ่มแว่นสั่นระริกและปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม

    คะ...คุณคุนิ...คิดะ...”

    พวกเราต่างมีอุดมคติคล้ายกันแล้ว เพราะงั้น...”

    อีกฝ่ายเว้นช่วงประโยคไว้พร้อมกับโอบเอวเข้าไปสวมกอดหลวมๆ พลางจับหัวฉันให้แนบหูกลางอกซึ่งเป็นตำแหน่งของหัวใจ มันเต้นค่อนข้างรัวอย่างไม่น่าเชื่อจนตัวฉันเองก็พลอยรู้สึกใจเต้นระรัวและเคอะเขินตามไปด้วย

    ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก

    อึ่ก...”

    ช่วยจำเสียงนี้ไว้แล้วระลึกเสมอว่า ต้องจัดการงานตั้งแต่ครั้งนี้ให้สำเร็จจนได้ เข้าใจนะ...”

    ขะ...เข้าใจแล้วค่ะ...”

    ดีมาก...” คุนิคิดะค่อยๆ ผละตัวออกจากฉันก่อนที่จะก้มหน้ามองด้วยนัยน์ตาสีเขียว-เทา ในวินาทีนั้นจึงพบเห็นได้ว่าใบแก้มของเขาเองก็แอบแดงระเรื่อนิดๆ ด้วยเช่นกัน

    “...”

    งั้นพวกเราทุกคนจะช่วยเรื่องงานไหว้วานใหม่เอง เธอเองก็พยายามเข้าล่ะ...ทาจิบานะ

    [ To be continued ]

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×