ไม่เคยรักใครเท่าติ๋ม - ไม่เคยรักใครเท่าติ๋ม นิยาย ไม่เคยรักใครเท่าติ๋ม : Dek-D.com - Writer

    ไม่เคยรักใครเท่าติ๋ม

    หนุ่มน้อยนึกว่าตัวเองรู้จักโลกกว้าง แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่

    ผู้เข้าชมรวม

    79

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    79

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 พ.ค. 66 / 00:40 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    1.05

    เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมพบผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นนางในดวงใจของผมเลยแหละ แต่ว่า..เธออายุมากกว่าผมเกือบยี่สิบปี ผมเฝ้าวนเวียนถามตัวเองมาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่รู้จักเธอว่าจริงเหรอ ผมจะรักเธอได้เหรอ เธอแก่กว่าผมจนจะเป็นแม่ผมได้เลยนะ การศึกษาผมก็สูง การงานผมก็เข้าที หน้าตาผมก็ไม่ได้ขี้เหร่ ผมสามารถหาผู้หญิงหน้าตาดี ๆ ที่เพียบพร้อมจะเป็นคู่ชีวิต เป็นแม่ของลูก เป็นหน้าเป็นตาในวงสังคม (ที่คิดเองว่าไฮโซ) ของผม แล้วทำไมผมต้องเลือกเธอด้วย พนักงานจน ๆ คนหนึ่ง หน้าตาก็ไม่ได้สะสวย ผิวรึก็ไม่ได้ขาวผ่องเนียนลออแบบสเปกผมสักนิด 

    แต่ทำไมล่ะ เรื่องของหัวใจ ผมยังหาคำตอบกับตัวเองไม่ได้สักที ทำไมผมกลับประทับใจในตัวเธอ ณ คืนที่ผมยังคงตาสว่างอยู่นี้ ผมก็คิดไปว่า มีอะไรประทับใจทำให้ผมไม่อาจลบเธอออกไปจากใจผมได้เลย

    ‘วันนี้ พี่มีน้องเจ้าหน้าที่คนใหม่มาแนะนำ น้องเอกค่ะ เพิ่งจบมาเดือนที่แล้ว ยังไม่ทันรับปริญญาเลย’

    เสียงปรบมือแสดงความดีใจบริเวณพื้นที่ว่างของโถงด้านหน้าห้องทำงานชั้นล่างของสำนักงานราชการแห่งหนึ่ง ฟังดูเหมือนการต้อนรับน้องใหม่ที่ทุกคนยินดี แต่ภายใต้หน้ากากยิ้มแย้มของแต่ละคนนั้นแล้ว ถ้าสะท้อนออกมาเป็นเสียงดัง ๆ น้องใหม่ที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาทำงานวันแรกก็คงอยากจะเผ่นออกไปเสียทันทีจากที่ที่มีแต่แร้งทึ้งแห่งนี้

    ‘จบเกียรตินิยมเหรอ จะใช้ให้หนัก’ ภายใต้หน้าตาใจดีของพี่หัวหน้าฝ่ายผู้อาวุโสสูงสุด

    ‘ดีใจจังโว้ย งานที่ทำ ๆ อยู่ จะให้มันทำให้หมดเลย จะได้มีเวลาขายของออนไลน์’ ป้าหลังห้องขยับแว่นยิ้มมุมปาก

    ‘หล่อ ๆ แบบนี้ น้องจะจับฟาดตั้งแต่เดือนแรก ไม่รอดแน่ทูนหัว’ น้องนักศึกษาฝึกงานหน้าใสแต่ใจเกินร้อยยืนทำหน้าแบ๊วบิดตัวไปมาราวกับเขินอายเสียเต็มประดา

    ‘เอ้า เรามาเริ่มงานใหม่ ๆ ก็ต้องมีพี่เลี้ยงคอยดูแลนะ นี่พี่ติ๋ม พี่จะให้เค้าเป็นคนสอนงานเอก’

    เอกภพสอดส่ายสายตาไปทางที่หัวหน้าฝ่ายผายมือไป พบกับหญิงวัยกลางคนผิวค่อนข้างเข้มไม่อ้วนไม่ผอมท่าทางปราดเปรียวกำลังเดินวุ่นระหว่างโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ คนอื่น ๆ เข้ามารุมล้อมเขา แต่กับพี่คนนี้ เขาเห็นแค่เหลือบมามองเพียงแวบเดียวก็หันกลับไปทำงานต่อ

    ‘พี่เค้าก็เป็นแบบนี้แหละ อยู่ ๆ ไปเดี๋ยวก็ชิน’

    หัวหน้าฝ่ายท่าทางใจดีเดินมาตบบ่าน้องใหม่เบา ๆ เพราะเห็นพี่สอนงานไม่ให้ความสนใจ ปล่อยให้ดาวดวงใหม่จรัสแสงอย่างเขายืนยิ้มค้างเก้อ มือที่สวัสดีก็ปล่อยลง หลังจากพี่ติ๋มแค่ปรายตามองมาและพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะหันไปสนใจกับกองเอกสารตรงหน้า

    ‘พี่เอก ไปทานข้าวกันไม๊คะ ร้านอยู่ตรงนู้น’

    เอกภพนั่งเฉย ๆ อยู่ที่โต๊ะทำงานจนเที่ยง เพราะได้แต่มองพี่ติ๋มทำนั่นทำนี่มือเป็นระวิง ส่วนตัวเขาก็รอคอยการมอบหมายงาน แต่พี่ติ๋มก็ไม่มีทีท่าว่าจะเรียกให้เขาไปทำอะไรซักที จนน้องแอ๊บแบ๊วนักศึกษาฝึกงานมาชวนไปกินข้าวเที่ยงนั่นแหละ แต่เขาจะไปกินข้าว คงต้องบอกพี่ติ๋มก่อน

    ‘พี่ติ๋มครับ ผมขอไปกินข้าวเที่ยงก่อนนะครับ’

    ‘อืม’

    สั้นง่ายได้ใจความ พร้อมท่าทางปรายตามองมาเหมือนเคย ผมเห็นพี่ติ๋มยังคงนั่งทำงานอยู่ แม้จะเป็นเวลาพักเที่ยงแล้ว

    ตกบ่าย ผมก็ยังคงไม่ได้รับมอบหมายอะไรจากพี่ติ๋มอีก ทั้งห้องเงียบดี เพราะไม่มีคนอยู่ ไปไหนผมก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะไม่กล้าถาม ดูเหมือนว่าทุกคนเกรงใจที่จะส่งเสียงดังรบกวนพี่ติ๋ม ผมเองก็เช่นกัน ได้แต่นั่งตัวเกร็งและหยิบแล็ปท็อปขึ้นมาเปิดดูนั่นดูนี่ไปพลาง ๆ รอคอยว่าเมื่อไหร่พี่ติ๋มจะเรียกให้ไปรับงานมาทำ

    ผมนั่งว่างอยู่ตลอดบ่ายและพี่ติ๋มก็ไม่ได้มอบหมายงานอะไรอีกเช่นเคย ผมควรต้องทำตัวยังไง สุดท้ายก็ต้องกล่าวคำลาโดยวันนี้ยังไม่ได้ทำอะไรซักอย่าง

    ‘ผมกลับก่อนนะครับพี่ติ๋ม’ ผมกะพุ่มมือไหว้สตรีผู้สูงวัยกว่าและเช่นเคย พี่ติ๋มรับคำและเหลือบตาขึ้นมองแค่แวบเดียว ก่อนจะหันไปสนใจงานหน้าคอมตัวเองต่อ

    ผมเดินกลับมางง ๆ ชีวิตการทำงานจริง ๆ เป็นแบบนี้เหรอ ผมเคยฝึกงานที่ทำงานแห่งหนึ่งในสายงานธุรการคล้ายกัน แต่พี่ที่ฝึกงานจะเอางานมาป้อนให้ผมทำตลอด จะว่าที่นี่ไม่มีงานก็คงไม่ใช่ เพราะผมเห็นพี่ติ๋มทำงานอยู่ตลอด ไม่ได้แวบไปมาเหมือนคนอื่น ๆ 

    เช้าวันใหม่ ผมมาเข้างานตรงเวลา ที่สำนักงานเครื่องสแกนนิ้วเสียและให้พนักงานเซ็นชื่อเพื่อเป็นการเช็กวันทำงาน แต่ผมก็ยังมาก่อนเวลาเล็กน้อย พอนั่งทำงานไปสักพักก็เห็นพี่ติ๋มเดินเข้ามา การทักทายระหว่างเราเป็นไปอย่างห่างเหินเช่นเคย ทั้งห้องมีแค่เราสองคน และเป็นเวลาสายมากแล้ว คนอื่น ๆ จึงเริ่มทยอยเข้ามาทำงาน เสียงที่ดังแว่วอยู่ภายนอกเงียบลงเมื่อทุกคนเดินเข้ามาในห้อง ผมทักทายทุกคนอย่างนอบน้อมตามประสา 

    ‘น้องเอก เสียดายจังน้องเพิ่งมา พวกเราต้องลงพื้นที่กัน อยากให้เอกไปด้วยแต่ว่าคงทำขออนุมัติไม่ทัน ไว้โอกาสหน้านะ อยู่กับพี่ติ๋มไปก่อน ช่วยงานพี่เค้า เค้าต้องคอยซัพพอร์ทอยู่ทางนี้’

    ‘ครับ’

    แล้วทุกคนในห้องก็ออกเดินทางที่เรียกว่าลงพื้นที่ ผมนั่งรอแล้วรอเล่าว่าเมื่อไหร่พี่ติ๋มจะเรียกใช้ รอจนเที่ยงท้องผมก็เริ่มประท้วงตามรอบเวลาของมัน ผมเลยต้องขออนุญาตพี่ติ๋มไปกินข้าวเที่ยง ทั้งที่วันนี้ยังไม่ได้ทำงานอะไรซักชิ้นเหมือนเคย

    ‘อืม’

    พี่ติ๋มไม่ได้ว่าอะไรเหมือนเคย ผมก็ไปกินข้าวเที่ยงที่เดิม กลับมาอีกครั้งไม่เห็นพี่เลี้ยงของผม แกคงจะไปกินข้าวยังไม่กลับ ผมก็เล่นคอมรอไปงั้น คุยกับเพื่อนถามเรื่องงานกันไป ไม่นาน พี่ติ๋มก็เดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสารหลายแฟ้ม ด้วยอารมณ์เด็กดีที่ชอบช่วยผู้ใหญ่ถือของ ก็เลยเอ่ยปากคุยเรื่องงานกับพี่ติ๋มครั้งแรก

    ‘ให้ผมช่วยอะไรไม๊ครับพี่’

    พี่ติ๋มปรายตามอง พยักหน้านิดหนึ่ง ก่อนพูดประโยคยาว ๆ ครั้งแรกเช่นกัน

    ‘เออ นึกว่าจะไม่ถามละ’

    ‘เอ้อ พี่มีอะไรให้ผมช่วยบอกผมได้นะครับ ผมก็รอให้พี่เรียกใช้อยู่’

    ‘เหรอ แล้วนั่งทำอะไรอยู่ล่ะ’

    ‘ก็ไม่มีไรครับ คุยนั่นนี่กับเพื่อน ดูหนังสือที่เคยเรียนบ้าง ดูหน้าเว็บสำนักงานบ้าง ผมรอพี่ใช้อยู่’

    ‘ตอนอยู่บ้านยังให้แม่หาข้าวหาน้ำให้กินอยู่ไม๊ ผ้ายังต้องมีคนซักให้หรือเปล่า ตอนเรียนหนังสือต้องรอให้ครูบอกตลอดรึเปล่า ว่าวิชานี้อ่านเล่มไหนบ้าง หาหนังสือเล่มไหนอ่าน ข้อสอบออกแบบนี้ ไปอ่านเล่มนี้ เคยสงสัยอะไรแล้วไปค้นคว้าหาความรู้เอาเองไม๊ ทำงานไม่เหมือนเรียนหรอกนะ ประเทศเราน่ะครูเขาอยากให้จบเขาก็ป้อนให้ เพราะไม่ป้อนมันก็ไม่เรียน แต่มาทำงานจะมานั่งรอพี่ป้อนงานอย่างเดียวไม่ได้หรอก เรานั่งว่างเมื่อไหร่ก็แสดงว่าว่างงานแล้ว มาถามพี่ว่ามีอะไรให้ทำบ้างอย่างนี้ถูกแล้ว แต่ก็ยังดีที่ไม่รอจนถึงเดือนค่อยมาถาม เอ้านี่ เอาแฟ้มพวกนี้ไปคีย์ลงเอกเซล เดี๋ยวพี่จะส่งไฟล์ให้’

    สติปัญญาระดับเกียรตินิยมอย่างผม แม้จะไม่ใช่จากมหาวิทยาลัยชื่อดังแต่ก็พอเข้าใจได้ไม่ยากกับสิ่งที่พี่ติ๋มสอนงานเป็นครั้งแรก พี่ติ๋มทำให้ผมคิดย้อนไปไกลถึงอดีตที่ผ่านมา

    ผมคิดเพริดไปไกลถึงการเรียนตั้งแต่มัธยม แม่ปลุกผมมาแต่เช้าเพื่อกินข้าวที่แม่เตรียมไว้ให้ แล้วให้พ่อไปส่งที่โรงเรียน พอเย็นแม่ก็มารับ บางครั้งก็เป็นพ่อ กลับมาถึงบ้านตอนเย็นผมก็หิวโซ แต่แม่ก็มีขนมหรือข้าวไว้คอยท่าทุกครั้งไม่เคยให้อด กินเสร็จแม่ยังตามมาเก็บจานชามที่ผมกินทิ้งไว้อีก เพราะพอกินเสร็จผมก็หันไปสนใจกับตำราทันที ด้วยว่าอยากจะเรียนได้เกรดดี ๆ พออ่านได้ที่ผมก็อาบน้ำ เสื้อผ้าพาดไว้ในห้องน้ำอย่างนั้น มีแม่คอยตามเก็บให้ทุกที เป็นอย่างนี้ปกติประจำทุกวัน พ่อไม่เคยว่าและแม่ก็ไม่เคยดุ

    ในโรงเรียนผมก็เป็นที่รักของครูและเพื่อน ๆ เพราะผมเป็นเด็กเรียบร้อยตั้งใจเรียนและมีผลการเรียนดี คุณครูก็จะหมั่นหาบทความหรือหนังสือใหม่ ๆ มาแนะนำให้เสมอเพราะเห็นผมเทียวไปเทียวมาอยู่ที่ห้องสมุด

    เรื่องที่พี่ติ๋มพูด มันจริงทุกอย่างเลย แต่ทำไมไม่เคยมีคนบอกผมเรื่องนี้มาก่อน ผมรู้สึกเล็กแคบขึ้นมาถนัดตา โลกที่ผมเคยอยู่ไม่ได้กว้างเลยทั้งที่บ้านและที่เรียน โลกของการทำงานในมุมของพี่ติ๋มคือเราต้องวิ่งหา อย่ารอให้ใครมาสั่งหรือมาป้อนตลอดว่าเราต้องทำยังไง

    “พี่ติ๋มครับ”

    ผมเดินไปหาพี่ติ๋มที่โต๊ะตัวเดิม กองเอกสารที่ยังตั้งสูงเหมือนเดิม วันนี้ผมตัดสินใจพูดสิ่งที่ค้างคาในใจนับจากสิบปีก่อน พี่ติ๋มเงยหน้าจากกองเอกสารแว่บหนึ่งแล้วก้มหน้าทำงานเหมือนเคย แต่เปล่งเสียงสั้น ๆ

    “ว่า”

    “ผมว่า...ผม...ผม...เอ่อ...ผมรักพี่ติ๋มน่ะครับ”

    พี่ติ๋มทำหน้าแปลกใจนิดนึง แล้วเอื้อนเอ่ย

    “อืม”

    ผมยืนนิ่งอยู่สิบวินาทีกับห้องที่เงียบอย่างกับเป่าสาก เพราะคนอื่นไปกินข้าวเที่ยงกันหมด พี่ติ๋มไม่ได้ยินสิ่งที่ผมพูดเหรอ แต่ก็ไม่น่านะ เพราะแกยังตอบรับอยู่เลย

    “พี่ ๆ ผมบอกว่าผมชอบพี่ ผมรักพี่นะครับ”

    ผมเห็นพี่ติ๋มยังคงนั่งทำงานเอกสารในหน้านั้นจนเสร็จ ราวกับกลัวว่าจะลืมว่าทำไว้ถึงตรงไหน ถ้าหยุดทำเสียตอนนี้แล้วจะต่อไม่ติด พอจบงานหน้านั้น พี่ติ๋มแกก็เงยหน้าพูดกับผมจริงจัง อาการเหมือนเมื่อสิบปีก่อนที่เริ่มสอนงานผม

    “เห้อ...เอก ที่ผ่านมาสิบปี เอกเคยทำอะไรให้พี่บ้างล่ะ”

    “ก็...มีทำงานให้ตามที่พี่สอน ไปอบรมสัมมนาให้พี่ตามที่พี่มอบมาเวลาหัวหน้าฝ่ายสั่งแล้วพี่ไม่ว่าง ผมจดบันทึกงานแทนพี่ด้วยนะ ผมซื้อข้าวที่พี่ฝากตังมาซื้อให้ ผมทำงานกับพี่ตอนที่เราต้องเร่งปิดงบประมาณจนดึกดื่น ตอนนั้นพี่สู้ชีวิตมาก ผมโคตรชอบพี่เลย” 

    พี่ติ๋มพยักหน้าเลิกคิ้วเหมือนจะล้อเลียนสิ่งที่ผมพูด

    “เอกลองนึกดูซิว่าพ่อทำอะไรให้แม่เอกบ้าง ที่ผ่านมาที่เอกเห็นตลอดชีวิตของเอก”

    เอกภพนึกย้อนไปแล้วก็พร่ำพูดออกมาให้พี่ติ๋มฟังว่าพ่อของเขาตื่นมาตอนเช้าวันหยุดก็ทำกับข้าวให้แม่ทาน ขับรถไปรับไปส่งแม่เสมอ พ่อบอกบ่อย ๆ ว่าถนนหนทางแถวบ้านอันตราย เวลาไปกินข้าวข้างนอกหรือซื้อของข้างนอกก็จ่ายเงินให้แม่เสมอ แม่ไม่เคยต้องยกของหนักเพราะพ่อเคยบอกเสมอว่าเป็นห่วง พ่อยังทำอะไรให้แม่หลายอย่างโดยแม่ไม่ต้องร้องขอเลย

    “นั่นแหละเอกความรัก แล้วถ้าเอกนึกถึงสิ่งที่พ่อกับแม่ทำให้เอก นั่นยิ่งโคตรรักเลย เอกไม่ได้รักพี่หรอก เอกอาจจะแค่เห็นไอดอลในที่ทำงานแล้วก็คิดไปเอง เวลาเราดูว่าใครรักเราไม๊ มันไม่ใช่แค่คำพูด พี่เลยไม่อะไรกับที่เอกบอกรักพี่ เพราะเอกแค่รู้สึกแต่ไม่ได้ทำอะไรแบบที่พ่อทำให้แม่เอก อ้อ แล้วไม่ต้องพยายามทำนะ เพราะถ้าเอกรู้สึกรักพี่จริง ๆ เอกทำมันให้พี่ไปตั้งนานแล้ว”

    พี่ติ๋มทำให้ผมนิ่งอึ้งอีกแล้ว ที่ผ่านมาสิบปีผมคิดไปเองว่าความปลื้มคือความรัก ผมนี่มันช่างโง่เขลาจริง ๆ ผมยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ตัวแม้กระทั่งพี่ติ๋มเดินออกไปที่ประตูแล้วหันกลับมาสั่งอีกครั้ง

    “เอกก็ไปหาข้าวหาปลากินซะ พี่จะไปหาข้าวกินเองนะไม่ฝากซื้อแล้ว แต่เร่งปิดงบเย็นวันนี้ยังไงก็ต้องช่วยกันนะ เพราะมีแค่เราสองคนที่ทำได้”

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×