ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภูตอเวจี

    ลำดับตอนที่ #12 : จุดจบของสงคราม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.64K
      29
      12 ธ.ค. 55

    ละอองน้ำในอากาศเริ่มรวมตัวกันค่อย ๆ จับตัวกันเป็นเกล็ดเล็กๆแพร่จะกระจายออกไปเรื่อยๆเกล็ดน้ำแข็งมากมายล่องลอยอยู่ในอากาศค่อยๆรวมตัวละหมุนวนไปมาเหมือนเป็นสัญญาณของคิมหันต์ฤดู ฝ่ามือของจ้าวตำหนักเหมันต์ค่อย ๆ ดึงดูดละอองหิมะเข้าหาและรวมตัวกันส่งแสงอ่อน ๆ สีขาวนวลราวกับไข่มุกจากใต้ทะเลลึก เหยือกเย็นสุดขั้นลึกลับสุดหยังนั้นคงอธิบายตัวตนของจ้าวตำหนักเหมันต์หวางกงชี่ได้เป็นอย่างดี


     

                อุณหภูมิที่ค่อยๆสูงขึ้นแผ่นดินเริ่มแตกออกเป็นฝุ่นละอองดินที่แตกระแหงค่อย ๆ สลายตัวกลายเป็นผืนทรายอย่างช้า ๆ ลมร้อนที่พัดปลิวมาราวกับลมแรกของแดนทะเลทราย ผิวอากาศเริ่มสั่นไหวเป็นระรอกคลื่นจากเกลียวเล็ก ๆ ขยายใหญ่ขึ้นทั้งยังกระจายออกโดยรอบแสงสีแดงสดใหม่ที่ส่องสว่างภายในตาของจ้าวสำนักสุริยันดูราวกับทับทิมที่ส่องประกายยามต้องแสงไฟก็ไม่ปาน


    .....................................

    นักอ่านทุกท่านคิดถึงฮุ่ยซิงกันบ้างหรือเปล่าตัวผู้เขียนคิดถึงมากเลย
    ปล. ติชมและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนิยายของผมได้เต็มที่นะครับ(ชมและให้กำลังในผู้เขียนด้วยจะดีมากครับ^^)ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ติดตามผลงานของผมครับ
     

    ทั้งสองเขยิบตัวเข้าหากันหนึ่งร้อนหนึ่งเย็นปะทะกันด้วยลมปราณก่อเกิดเป็นพายุไตฝุ่นขนาดย่อมระหว่างทั้งสองสูบดินและอากาศรอบๆเข้าไปไม่หยุด ชาวยุทธเริ่มถอยห่างออกจากลานประลองของหวางกงชี่และเทียนป้าอ๋องเพราะไม่อาจทนแรงดูดจากไตฝุ่นได้ไหว

    ทั้งสองพยายามผลักดันพายุให้เข้าหาอีกฝ่ายแต่เหมือนเป็นเรื่องตลกแม้จะประลองกันอยู่แต่หยินและหยางกลับหนุนเสริมกันได้อย่างลงตัวพายุไม่เพียงไม่โยกคลอนตามแรงผลักแต่กลับขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆทั้งหวางกงชี่และเทียนป้าอ๋องเริ่มรู้ตัวว่าไม่อาจประลองด้านปราณกันได้อีกต่อไปทั้งสองสบตากันคราหนึ่งก่อนจะสลายพลังปราณไตฝุ่นที่เคยมีอยู่ก็ถูกสลายหายไปพร้อมกับระเบิดเอาอากาศที่แสนอบอุ่นออกมา

     

    เทียนป้าอ๋องยิ้มออกมาหวางกงชี่ก็เช่นกัน ทั้งสองทะยานเข้าหากันก่อนจะเริ่มการต่อสู้ที่ไม่มีวันลืมเป็นการต่อสู้ที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดอากาศที่เกาะตัวเป็นใยแมงมุมน้ำแข็งก่อนจะระเห่ยกลายเป็นไอ แสงสีแดงและขาวนวลปะทะกันไปมาการต่อสู้เนินนานถึงหนึ่งวันเต็มๆไม่มีใครยอมใคร

    แม้หลายครั้งที่หวางกงชี่พลาดพลั้งแต่ก็สามารถแก้สถานการณ์กลับมาสูสีได้ แม้ชาวยุทธจะมองว่ามันสูสีแต่สำหรับห้าราชันไม่ใช่พวกเขามองเห็น เห็นความพ่ายแพ้ของหวางกงชี่เทียนป้าอ๋องยิ่งสู้ยิ่งรุนแรงราวกับถูกเติมเชื้อเพลิงตลอดเวลาแต่หวางกงชี่แม้ไม่แสดงออกทางสีหน้าแต่ก็ค่อยๆถูกเทียนป้าอ๋องไล่ต้อนไปเรื่อยๆ และแล้วจุดตัดสินก็มาถึงเทียนป้าอ๋องเร่งเร้าลมปราณในร่างจนผมและเสื้อผ้าล้วนถูกเผาไหม้ไปหมดก่อนจะรุกไล่หวางกงชี่หนักกว่าเดิม

     

    แต่ทันใดนั้นเองหมู่เมฆที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้ารวมตัวกันและกลั่นออกมาเป็นหยาดละออง หยดน้ำเริ่มตกลงมาจากฟากฟ้าแม้แต่สวรรค์ยังร่ำไห้ให้กับการต่อสู้ของทั้งสอง การกระทำครั้งนี้ของฟ้าเหมือนดั่งเติมเต็มชีวิตของหวางกงชี่แต่กับเทียนป้าอ๋องแล้วนี้เหมือนกับทัณฑ์สวรรค์

     

    คงเป็นลิขิตฟ้าปราณร้อนเมื่อเจอกับสภาพอากาศเช่นนี้ก็เหมือนจุดเทียนกลางกายฝนไม่ว่าจะร้อนแรงแค่ไหนไม่ช้าก็ต้องดับลง หวางกงชี่หยิบยืมพลังจากฟากฟ้ากลั้นกรองหยาดพิรุณเป็นคมกระบี่ตกกระแทกใส่ร่างของเทียนป้าอ๋องจากหนึ่งเป็นสิบจากสิบเป็นร้อยจากร้อยเป็นพันต่อเนื่องไม่มีสิ้นสุด ต่อเนื่องจนกระทั้งหมู่เมฆสลายตัวหายไปเกิดเป็นรุ้งกินน้ำสายหนึ่ง

     

    ร่างของเทียนป้าอ๋องนอนคว่ำอยู่บนผืนดินไม่เหลือเค้าร่างของราชันอหังการอีกต่อไป ทั่วร่างล้วนมีร่องรอยของคมกระบี่เสียบแทงทะลุมากมายจนไม่อาจนับไหว นี้นับเป็นจุดจบของการประลองครั้งนี้ เสียงชาวยุทธโห่ร้องตะโกนชื่อของหวางกงชี่ดังลั่นไปทั่วแผ่นดินนาทีนั้นเองที่ทำเนียบยอดยุทธได้จัดให้หวางกงชี่ดำรงตำแหน่งสูงสุดไปเรียบร้อยแล้ว

     

    “ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามัน” เสียงตะโกนก้องของปีศาจที่หลับใหลภายในตัวชาวยุทธหลายคนได้ถูกปลดปล่อยออกมาเมื่อไม่มีเทียนป้าอ๋องอยู่แล้วพวกตนก็ไม่มีสิ่งใดให้หวาดกลัวอีก นี้นับเป็นจุดจบของสงครามและจุดเริ่มต้นของการกวาดล้างสำนักสุริยัน
     

    “แม้จ้าวตำหนักเหมันต์และราชันทั้งห้าจะอยากคัดค้านเพียงใดก็ไม่อาจกระทำ ญาติสนิท สหายรัก ครอบครัว ที่เหล่าชาวยุทธสูญเสียไปจากการปะทะในคราแรกนั้นนับว่ามากมายเหลือคณา การไล่ล่ายาวนานถึงหนึ่งปีเต็มไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงเด็กหรือคนชราใครก็ตามที่มีความเกี่ยวพันกับสำนักสุริยันล้วนถูกสังหารตายตกพร้อมกับที่ชาวยุทธล้วนตกลงกันว่าจะไม่มีใครเอ่ยถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นอีกแล้วสำนักสุริยันก็ได้ว่าหายไปจากยุทธภพอย่างถาวร”เล่าจบที่ตรงนี้เทพโอสถกลับดูชราภาพลงอีกหลายปีทีเดียว

     

    “เอาละกลับกันเถอะ” เทพโอสถเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินนำฮุ่ยซิงกลับไปที่กระท่อมของตน คืนนั้นฮุ่ยซิงฝันว่าตนเองเป็นจ้าวสำนักสุริยันที่ต่อสู้กับจ้าวตำหนักเหมันต์ทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัวความรู้สึกต่างๆถูกผสมรวมกันเต็มไปหมด

     

    “เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้อยู่รอดในยุทธภพคืออะไร” เทพโอสถถามฮุ่ยซิงขึ้นในขณะที่กำลังกินมื้อเช้าหลังจากการไต่เขาประจำวันซึ่งเดียวนี้ฮุ่ยซิงในเวลาเพียงแค่ชั่วยามเดียวเท่านั้นก็สามารถไต่ถึงยอดได้ทั้งยังไม่มีอาการเหนื่อยหอบให้เห็น

     

    ฮุ่ยซิงไม่ตอบเพียงแค่ชี้นิ้วไปที่หัวของตนเองก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารของตัวเองต่อ

     

    “ใช่ถูกนับว่าเจ้าฉลาดไม่น้อย ถ้างั้นนอกจากสมองเจ้าคิดว่าอะไรที่สำคัญรองลงมา” ฮุ่ยซิงยกแขนขึ้นก่อน

    จะเอาน่องไก่ขึ้นมาคาบไว้แล้วเบ่งกล้ามก่อนจะชี้ไปที่แขนของตัวเอง
    ก่อนที่เทพโอสถจะส่ายหน้าเบาๆแทนการตอบคำ

     

    “กำลังแม้จะสำคัญแต่ถ้าเกิดเจ้าเจอคนที่มีมากกว่าเล่า”

    “เราก็ต้องมีมากที่สุดสิ”

    “ยุทธภพกว้างใหญ่ไพศาลเจ้าไร้ประสบการณ์จะรู้อะไร”

    “งั้นท่านว่ามา” เทพโอสถชี้ไปที่สองขาของตนแทนคำตอบ

    “วิชาตัวเบา”

    “นับว่ายังพอมีมันสมองอยู่บ้าง” เทพโอสถยังไม่วายอยากเหน็บฮุ่ยซิงสักหน่อยก่อนจะก้าวเท้าให้ชายเสื้อพริ้วไหวสวยงาม

     

    เป็นไงละไอ้หนูทึ้งละสิเทพโอสถคิดพลางแสดงท่าก้าวของตัวเองต่อไปถ้าหากสังเกตุฮุ่ยซิงสักนิดจะเห็นว่าเขานั่งแทะน่องไก่ในมืออย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่หันมองเทพโอสถด้วยซ้ำ

     

    “ตั้งแต่วันนี้เจ้าจะต้องเรียนวิชาตัวเบาของข้า มังกรท่องหล้า” เทพโอสถกล่าวก่อนจะเหลือบไปมองเห็นฮุ่ยซิงที่เพิ่งแทะน่องไก่เสร็จก่อนจะโยนทิ้งและจ้องมองตนอยู่พอดี


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×