ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ภูตอเวจี

    ลำดับตอนที่ #13 : ท่าก้าวมังกรท่องหล้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.72K
      31
      12 ธ.ค. 55

       เทพโอสถเริ่มแสดงการก้าวเท้าเคลื่อนไหวไปมาเป็นทรงกลมราวกับไม่มีที่สิ้นสุดทุกก้าวล้วนถูกสรรค์สร้างเพื่อ ก้าวต่อไป แต่ในมุมมองของฮุ่ยซิงเขาเห็นแค่เทพโอสถหมุนตัวไปมาชวนให้ตาลายเท่านั้นและมันได้ผลมากเพราะตอนนี้เขาเริ่มที่จะเห็นเทพโอสถแยกออกจากหนึ่งเป็นสองและแตกหน่อออกไปเรื่อยๆราวกับดอกเห็ด

     

    เทพโอสถหยุดในท่าที่ดูสง่างามพลางมองมาที่ฮุ่ยซิง ภาพไอ้หนุ่มที่กำลังสะบัดหัวไปมาเหมือนกับไล่แมลงนั้นได้กระตุกต่อมบ้างอย่างในตัวเทพโอสถที่ไม่สามารถบอกได้

     

    “ดูที่เท้าของข้าให้ดี” เทพโอสถบอกก่อนจะเริ่มออกท่าทางอีกครั้ง รอบนี้ฮุ่ยซิงจับจังหวะและดูไปที่การก้าวเท้าของเทพโอสถอย่างไม่วางตาทำให้ได้เห็น จุดสำคัญของท่านี้คือการวางเท้าตำแหน่งการวางล้วนเชื่อมต่อสามารถหลบหลีกหรือรุกไล่ไปตามแนวทแยงหรือเป็นเส้นตรงได้ไม่ติดขัด เมื่อพอจับจุดได้เท่านั้นฮุ่ยซิงก็แอบกระหยิมยิ้มหย่องในใจ
     

    “ท่านดูข้า” ฮุ่ยซิงเริ่มจะโชว์สเต็ปการก้าวในแบบของเทพโอสถตามแบบฉบับของฮุ่ยซิง สิบก้าวแรกล้วนเป็นไปอย่างไหลลื่นจนเทพโอสถถึงกับต้องหยุดหันมามองก่อนจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เป็นก้าวที่สิบสี่นั้นเองขาของฮุ่ยซิงเกิดพันกันก่อนจะล้มหน้าคว่ำจิ้มพื้นดิน

     

    “ไม่เลว ๆ นับว่าน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก” เทพโอสถยังปรบมือรั้งท้ายความจริงการดูเขาเพียงครั้งเดียวแล้วสามารถทำตามได้เลยนับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก แต่ท่าจบของฮุ่ยซิงกลับสร้างความประทับใจให้เทพโอสถได้มากกว่า

     

    “ตั้งแต่วันนี้เจ้าก็ลองฝึกท่าก้าวไปก่อนก็แล้วกัน” เทพโอสถพูดหลังจากที่กลั้นหัวเราะไว้ได้พร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากหางตานับก่อนจะไปนั่งที่ระเบียงกระท่อมจิบชาพลางดูฮุ่ยซิงฝึกฝน

     

    “ใช้หัวแม่เท้านำทิศทาง” เทพโอสถบอกกับฮุ่ยซิงก่อนจะเดินหายไปในป่า

     

    บังคับง่ายขึ้นจริง ๆฮุ่ยซิงเริ่มจะจับจุดได้การก้าวเริ่มเป็นไปอย่างไหลลื่น ความรวดเร็วในการเข้าใจของฮุ่ยซิงนั้นนับว่าน่าตระหนกยิ่งนักหากเป็นคนทั่วไปเพียงแค่มองดูเพียงไม่กี่รอบคงไม่สามารถจดจำท่าก้าวที่ซับซ้อนของเทพโอสถได้แต่ฮุ่ยซิงกลับจำได้ด้วยการมองเพียงรอบเดียว อัจฉริยะภาพทางด้านการฝึกยุทธของฮุ่ยซิงถือได้ว่าเป็นพรสวรรค์ที่ยากหาใครทัดเทียมจริง ๆ

     

    หลังจากฝึกมาได้เกือบสามชั่วยามหัวแม่เท้าของเขาเริ่มประทวงด้วยการส่งอาการปวดและชามาเป็นระยะ ๆ และดูเหมือนจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ เทพโอสถที่เดินกลับมาเห็นการก้าวของฮุ่ยซิงที่เริ่มจะเข้าที่เข้าทางก็ชักจะหงุดหงิดเพราะว่าฮุ่ยซิงเริ่มที่จะเรียนรู้เร็วเกินไปหน่อย
     

    ต้องแกล้งมันสักหน่อยความคิดแล่นปราดเข้ามาในหัวของเทพโอสถเขามองไปรอบ ๆ เพื่อหาสิ่งที่ต้องการก่อนจะสะดุดตาเข้ากับหินก้อนหนึ่ง

     

     แล้วเสียงแน่น ๆ ดังขึ้นพร้อมกับร่างของฮุ่ยซิงที่ชะงักพร้อมกับหลังที่แอ่นไปด้านหน้า เขาชำเลืองมองหาสาเหตุก่อนจะเห็นเทพโอสถที่กำลังเดินไปหยิบหินก้อนใหม่เข้าอย่างพอดิบพอดี

     

    “ท่านทำบ้าอะไรกัน”

     

    “ช่วยเจ้าฝึกไง” เทพโอสถตอบพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะเริ่มระดมปาหินเข้าใส่ฮุ่ยซิง ตอนแรกๆฮุ่ยซิงสามารถใช้ท่าก้าวที่เรียนรู้หลบได้อย่างต่อเนื่องทั้งยังส่งสายตาไปทางเทพโอสถเป็นเชิงท้าทายเหมือนเทพโอสถจะเข้าใจสายตานั้นและตอบรับได้เป็นอย่างดี

    หินที่พุ่งเข้ามาเริ่มเร็วขึ้นจากหนึ่งเริ่มเพิ่มเป็นสองอัตราการเพิ่มอย่างเท่าทวีจนฮุ่ยซิงไม่อาจหลบได้ทั้งหมด เขาส่งสายตากลับไปทางเทพโอสถเป็นเชิงว่าให้หยุดแต่เหมือนคราวนี้เทพโอสถจะไม่เข้าใจความเร็วและจำนวนหินยังเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุด จากท่าก้าวที่สวยงามฮุ่ยซิงเริ่มเปลี่ยนเป็นการออกวิ่งและแน่นอนเทพโอสถก็วิ่งไล่ตามและปาฮุ่ยซิงอย่างสนุกสนานโดยไม่สนใจคำทัดท้วงที่ออกจากปากฮุ่ยซิงเลยแม้แต่น้อย

     

    ในที่สุดไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยหรือเบื่อเทพโอสถก็หยุดมือ ฮุ่ยซิงทิ้งตัวลงนอนกับพื้นอย่างหมดสภาพหายใจถี่แรงและเร็วพยายามสูดอากาศให้เข้าไปในปอดให้ได้มากที่สุด

     

    “ได้เวลาแล้ว” เทพโอสถแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าก่อนจะนำฮุ่ยซิงกลับไปที่ถ้ำนั้นอีกครั้ง ครั้งนี้ฮุ่ยซิงเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนน้ำในบ่อตอนนี้แทบจะเหมือนเหลือแล้วเมื่อเข้านั่งลงไปน้ำนั้นสูงเพียงแค่เอวของเขาเท่านั้น

     

    “นี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว” เทพโอสถกล่าวขึ้นหลังจากมองดูน้ำที่เหลืออยู่ในบ่อ วันนี้ไม่มีการพูดคุยเกินขึ้นฮุ่ยซิงเหนื่อยเกินกว่าจะเปิดปากเขาเพียงแค่เดินลมปราณก็มากเกินไปสำหรับฮุ่ยซิงในตอนนี้แล้ว
     

                ระหว่างที่ฮุ่ยซิงหายตัวไปการออกตามล่าก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดแม้จะผ่านไปครึ่งปีแล้วแต่คำสั่งตามล่ายังไม่ถูกถอดทอนยิ่งราชสำนักตกอยู่ในอำนาจของไท่หยางยิ่งแล้วใหญ่ เพียงแค่ครึ่งปีไท่หยางยึดครองอำนาจเบ็ดเสร็จขุนนางทุกคนล้วนขึ้นตรงต่อเขาใช้ข้ออ้างในการตามล่าฮุ่ยซิงเป็นตัวยึดอำนาจด้านการทหารในวังหลวงไว้กับตนเอง ตอนนี้ไม่มีราชครูไท่หยางอีกแล้วแต่เป็นมหาอุปราชไท่หยางที่ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากฮ่องเต้

     

    “ท่านมหาอุปราชมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้” ทุกเรื่องไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่เพียงใดมหาอุปราชผู้นี้ล้วนให้คำตอบกับตนได้เสมอ ทั้งการดูแลและปกครองไม่ด้อยไปกว่ามารดาของตนเลยทั้งยังไม่ปล่อยปละละเลยการตามล่ามือสังหารที่สังหารผู้เป็นที่รักยิ่งของเขา
     

    เวลานี้อำนาจในวังหลวงล้วนตกอยู่ในมือของมหาอุปราชไท่หยางอย่างแท้จริงด้วยความสามารถทางการปกครองและความรู้ความสามารถ ทั้งยังซื้อใจฮ่องเต้ได้อย่างสนิทใจแม้ก่อนหน้านี้ฮองเฮาจะเคยกล่าวเตือนตนไว้ว่าอย่าไว้ใจคนผู้นี้มากนักแต่ในเวลาเช่นนี้นับว่าคนผู้นี้เป็นที่พึงพาที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาแล้ว

     

    นโยบายที่ไท่หยางออกเป็นอันดับแรกคือการลดหย่อนภาษีที่เคยมากเกินตอนนี้ทุกครัวเรือนในแคว้นตงล้วนอยู่ดีกินดีมีเงินเหลือใช้แม้จะแลกกับการที่ต้องส่งบุตรชายของตนไปเป็นทหาร แต่ยุคที่มีแต่ความสงบที่ทุกแว่นแคว้นล้วนไปมาหาสู่กันได้โดยไม่ต้องระวังตัวทั้งยังทำการค้าแลกเปลี่ยนนำส่วนที่เกินไปแลกเปลี่ยนกับส่วนที่ขาดของแคว้นตนนับว่าบุตรหลานของพวกตนล้วนไม่มีความเสี่ยง

    แค่นโยบายนี้ออกมาชาวบ้านก็พากันไปสรรเสริญฮ่องเต้นับหมื่นนับแสนแม้ไท่หยางจะเป็นคนคิดแต่ล้วนยกความดีความชอบทั้งหมดให้ฮ่องเต้นับว่าเป็นการซื้อใจของฮ่องเต้น้อยได้อยู่หมัด ชั่วชีวิตของฮ่องเต้ไม่เคยมีประชาราชมา สรรเสริญตนถึงเพียงนี้เพราะทุกเรื่องล้วนเป็นฮองเฮาที่เป็นผู้จัดการ คนเราเมื่อลิ้มรสของอำนาจไม่ว่าจะทางใดก็ตามล้วนไม่อาจแยกออกได้

     

    ภายหลังเรื่องราวในครานั้นไท่หยางถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นมหาอุปราชอย่างเป็นทางการทั้งยังสั่งประหารขุนนางแสดงความไม่พอใจต่อการแต่งตั้งทั้งหมด นับว่าเป็นคำสั่งที่โหดเหี้ยมยิ่งนักสำหรับเด็กวัยเพียงสิบห้า
     

    มหาอุปราชนั่งอยู่บนบัลลังก์ของตนพลางหยิบวางเม็ดหมากบนกระดานไปมา ตอนนี้ราชวังล้วนตกอยู่ในความครอบครองของเขาเกือบทั้งหมดเม็ดหมากทั้งกระดานกลายเป็นหมากดำเหลือเพียงหมากขาวเม็ดเดียวเท่านั้น
     

    ไท่หยางหยิบหมากเม็ดนั้นขึ้นมาก่อนจะยิ้มเหี้ยมเกรียมแล้วขยี้หมากเม็ดนั้นจนแหลกคานิ้วของตน

     

                เทพโอสถสอนสิ่งใหม่ให้กับฮุ่ยซิงโดยบอกว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเพลงยุทธ นั้นคือจังหวะการหายใจที่เปลี่ยนไปทุกทวงท่าการเคลื่อนไหวเพื่อให้สอดรับกับจังหวะการทำงานของร่างกาย ท่าก้าวของฮุ่ยซิงนับว่ามีความพัฒนาไม่น้อยทั้งความเร็วและการพลิกแพลงล้วนจัดว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว

     

    “เจ้าเคยสู้กับใครอย่างจริงจังไหม” เทพโอสถถามฮุ่ยซิงขึ้นมาในขณะที่เขากำลังพยายามใช้ท่าก้าวไต่ขึ้นต้นไม้ต้นหนึ่ง ฮุ่ยซิงอยู่ในสมาธิไม่อาจตอบคำได้แต่ส่ายหัวไปมาแทนคำตอบ

     

    “เสร็จแล้วตามรีบตามข้ามา” ฮุ่ยซิงตื่นเต้นจนร่วงตกมาจากต้นไม้ แม้ถูกกระแทกอย่างแรงกลับไม่รู้สึกเจ็บอย่างใด ในหัวเพียงคิดว่าคู่ต่อสู้คนแรกของตนจะเป็นใครเก่งขนาดไหนและยังคิดไปไกล ถึงขนาดว่าถ้าชนะบ้างทีเขาอาจจะได้ลงจากเขาเสียที

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×