ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อผมต้องรับบทเป็น...ผี

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 เทพอารักษ์

    • อัปเดตล่าสุด 27 ม.ค. 52


    4.
     
     
             “ทีนี้นายเชื่อหรือยังว่านายนะ ตายแล้ว” 

    เด็กนั่นเด็กบนระเบียงห้องก่อนกระดิกเท้าอย่างสบายใจ

    “นายช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังได้มั๊ย” ท่าทีผมอ่อนลงไปมาก อาจเป็น

    เพราะผมคงไม่มีทางเลือกที่จะเชื่อไปมากกว่านี้แล้ว

    “นายฆ่าตัวตาย เมื่อสามวันก่อน ดวงจิตของนายเร่ร่อนอยู่สามวัน ก่อนจะกลับ

    มายังที่ที่ความทรงจำสุดท้ายของนายนั่นคือ ที่นี่ ซึ่งมันควรจะเป็นคุกของนายใน

    อนาคต” เด็กนั่นเงียบไปครู่หนึ่ง

    “อันที่จริงนายจะต้องทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่จนกว่าวาระการดับสูญทั้งกายหยาบและ

    กายทิพย์ของนายจะมาถึง นายถึงจะไปสู่นรกภูมิเพราะกรรมที่นายได้ทำนั้นบาป

    หนักมาก” ผมกลืนน้ำลายเอื๊อก นี่ยังทรมานไม่พออีกเหรอ

    “อย่างนี้ชาติหน้าฉันมิต้องฆ่าตัวตายต่อๆไปเป็นห้าร้อยชาติเลยเหรอ” ผมพูดสี

    หน้าสำนึกผิด

    “อย่าบ้าไปหน่อยเลย   มันเป็นเพียงความเชื่อที่สืบๆกันมาน่ะ ไม่ใช่ความจริงอัน

    เป็นสากลหรอก
     คนโบราณท่านเพียงระบุไว้คร่าวๆเพื่อให้เห็นความน่ากลัวของ

    การฆ่าตัวตาย ว่ามีผลให้จิตใจอ่อนแอและต้องปลิดชีพตนเองอีกครั้งแล้วครั้ง

    เล่า ถ้าเป็นกฎตายตัวว่าฆ่าตัวตายหนึ่งครั้งต้องฆ่าตัวตายซ้ำอีก ๕๐๐ หน อย่าง

    นี้ไม่ต้องแปลว่านายต้องเอา ๕๐๐ คูณเข้าไปในการฆ่าตัวตายแต่ละครั้งไม่มีที่

    สิ้นสุดหรอกเหรอ” เด็กนั่นพูดแววตาภาคภูมิใจที่เห็นว่าผมนั้นโง่เขลาเสียเต็ม

    ประดา

    “แต่โชคยังดีที่นายได้ทำบุญไว้อย่างหนึ่ง”

    “ทำอะไร” ผมถามเมื่อได้ยินคำว่าโชคยังดี

    “นายได้เคยช่วยนกตัวหนึ่งตอนที่นายยังเป็นเด็ก แล้วบังเอิ๊ญ” เด็กนั่นทำเสียง

    สูง “นกตัวนั้นดันเป็นนกตัวโปรดของท่านเสียด้วย”

    “ ท่าน เหรอ” ผมสงสัย นี่มันอะไรกัน โลกหลังความตายหรือว่าโลกของมาเฟีย

    กันแน่

    “ใช่   ความดีความชอบของนายจึงส่งผลให้นายไม่ต้องรับทุกข์ทรมานในห้อง

    นี้
    ” 

    เด็กนั่นยิ้มเยาะ

    “จริงเหรอ มีแบบนี้ในโลกของนายด้วยเหรอ” ผมทำหน้าดีใจครั้งแรกในรอบสาม

    สี่วันที่ผ่านมา

    “โลกของนายเป็นอย่างไร โลกของฉันก็ไม่ต่างกันนักหรอก บางครั้งเราก็เดาใจ

    ท่านไม่ถูกหรอก แต่อย่าเพิ่งดีใจไป ท่านมีข้อแม้” สายตาของเด็กนั่นเจ้าเล่ห์

    เหมือนแมวในการ์ตูน Tom and Jerry

    “ข้อแม้อะไร”
     
     “ท่านให้โอกาสนายแก้ตัว นายจะต้องทำให้ร่างนี้” เด็กนั่นดีดนิ้วครั้งหนึ่ง ภาพ

    จอมอร์นิเตอร์ก็ปรากฏขึ้น

    “โห ไฮเทคนะนี่” ผมยิ้ม

    “โลกฉันกับโลกนายก็ไม่ต่างกันหรอก หรือบางทีโลกของฉันอาจล้ำสมัยกว่า

    โลกของนายด้วยซ้ำ” เด็กนั่นหัวเราะเหมือนกับเด็กที่กำลังอวดของเล่นชิ้นโปรด

    “นายต้องกลับไปช่วยคนคนนี้ไม่ให้เขาฆ่าตัวตาย” ทันใดนั้นร่างของชายหนุ่มก็

    ปรากฏขึ้นในจอภาพ ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ จ้องภาพนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย

    “นั้นมันฉันนิ” ผมตกใจเมื่อเห็นคนที่อยู่ในจอนั้นคือตัวเอง

    เด็กนั่นยิ้มไม่ตอบอะไร

    “นายมีเวลาจำกัดที่จะทำภารกิจนี้ ถ้านายทำได้นายจะ............................”

    “ฉันจะได้กลับไปมีชีวิตอีกครั้งใช่มั๊ย” ผมพูดแทรกขึ้นมา แววตากลับมามีความ

    หวังอีกครั้ง

    เด็กนั่นเว้นจังหวะ ทำหน้าเหมือนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ

    “แล้วถ้าฉันทำไม่ได้หล่ะ” ผมรีบถามต่ออย่างใจจดใจจ่อ

    “นายจะต้องรับกรรมที่นายก่อ ซึ่งกรรมนั้นน่ากลัวเกินกว่าที่นายจะคาดคิด  และ

    หลังจากนั้นนายจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต้องเริ่มต้นสะสมบุญบารมีเพื่อ

    เกิดเป็นมนุษย์ใหม่ ” เสียงหัวเราะร่าของเด็กนั่นทำให้ผมนึกกลัวขึ้นมามากกว่า

    ที่ควรจะเป็นเสียอีก

    “นายไม่รู้หรอกว่า มันนานแค่ไหนกว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บางที พอนาย

    สะสมบุญได้ถึงเกณฑ์กำหนด นายอาจไม่ได้เห็นโลกใบนี้อีกเลยก็เป็นได้”

    “ไม่มีทางเลือกอื่นอีกเหรอ” ผมถามอ้อมแอ้ม

    “มี”

    “อะไร”

    “อีกทางเลือกก็คือนายจะต้องอยู่ที่นี่ ห้องนี้ รับกรรมที่นายก่อจนกว่าจะถึงเวลาที่

    ดวงจิตหมดวาระ แล้วนายก็จะได้ตีตั๋วเที่ยวเดียวไปรับกรรมต่อในนรก    อูย ฉัน

    นะ แทบไม่อยากให้นายคิดเลยว่านายจะเจออะไรในนั้นบ้าง   หลังจากนายจบ

    หลักสูตรในนรกแล้วนายก็กลับไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่อไป
    ” พูดเหมือนเป็น

    เรื่องตลก

    “แล้วมันต่างกันตรงไหน” ผมตัดพ้อ  ก่อนจะเดินมานั่งใกล้ๆเด็กนั่น

    “ในระหว่างที่นายอยู่ในการปฏิบัติภาระกิจนั้น นายจะอยู่ห่างจากร่างนั้นได้ไม่

    เกิน 500 เมตรไม่งั้นดวงจิตนายจะแตกดับ อีกอย่างห้ามนายใช้อิทธิฤทธิ์ซึ่งอัน

    ที่จริงแล้ว นายไม่มี” เด็กนั่นหัวเราะชอบใจ

     “นายจะสามารถเข้าสิงร่างนั้นได้เพียงแค่สามครั้ง เพราะฉะนั้นจำไว้ว่า ใช้ใน

    ยามจำเป็นเท่านั้น” เสียงลมพัดใบสนดังโหยหวนเป็นระยะๆ ผมนั่งฟังเด็กนั่นพูด

    อย่างว่าง่าย ไม่มีขัดขืน เพราะตอนนี้รู้แล้วว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว

    “เข้าใจแล้วนะ” เด็กนั่นกระโดดลงมาจากระเบียง อันที่จริงถ้าเป็นคนปกติแทบ

    จะยกขาขึ้นไม่ได้อยู่แล้วเพราะระเบียงเตี้ยแค่ระดับเอว แต่สำหรับเด็กนั่น

    “ยิ้มอะไร” เด็กนั่นมองผมด้วยสายตาเหมือนรู้ทัน   ผมนึกขึ้นได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อ

    เสียงเรียงนามเด็กนั่นเลย

    “นายชื่ออะไร” ผมเปลี่ยนเรื่อง

    “บุญมี” เด็กนั่นพูดก่อนจะหลบสายตาลงต่ำ

    “บุญมี” ผมกลั้นหัวเราะ จนเผลอพ่นลมออกทางปาก

    “คนเมื่อกี้ก็ชื่อบุญโชค พวกนายมีแต่คนชื่อบุญเหรอ” ผมถาม

    “ใช่  ส่วนใหญ่  พวกเราจะมีชื่อบุญนำหน้าก็เหมือนคนจีนที่มีแซ่ซ้ำๆกันนั่น

    แหละ เทพที่มาเป็นเทพประจำตัวมนุษย์ถือเป็นผู้มีบุญ เพราะพวกนายกว่าจะมา

    เกิดเป็นมนุษย์ได้นั้นลำบากกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก” บุญมีกระโดดขึ้นไป

    นั่งที่ระเบียงอีกครั้ง ผมกลัวจริงๆว่าจะหงายหลังหล่นลงไป

    “พวกเราจึงมีทั้งชื่อ บุญโชค บุญช่วย บุญสร้าง บุญสม บุญ....”

    “พอๆฉันเชื่อแล้ว” ผมขัดเมื่อเห็นท่าว่าจะยาว

    “แต่ฉันสิ บุญมี แต่กรรมบังที่ดันจับฉลากได้เป็นเทพอารักษ์มนุษย์ที่ไม่รู้จักคุณ

    ค่าของชีวิตอย่างนาย” บุญมีมองออกไปนอกระเบียง

    “เออ ถามหน่อยสิ ทำไมชั้นถึงฆ่าตัวตาย”ผมถาม

    “ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะความโง่ของนายไง” เด็กนั่นตอบ

    “เมื่อถึงเวลานายจะรู้เองว่าทำไม” แล้วร่างของเด็กนั่นก็หายวับไปกับตา แต่จะ

    หายไปอย่างนี้ได้อย่างไรในเมื่อผมยังมีปัญหาอีกมากมายที่ยังสงสัย

    “บุญมี บุญมี กลับมาก่อนอย่าเพิ่งไป ฉันยังถามนายไม่จบ” ผมตะโกนมองไป

    รอบๆห้อง

    “ฉันมีเวลาให้นายมาทั้งชีวิตนายแล้ว แต่นายไม่สนใจเอง คราวนี้ตาฉันบ้าง

    หล่ะ” 

    เด็กนั่นหัวเราะเสียงก้องดังไปทั่วห้องจนผมอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า ผู้คนที่ยังมีชีวิต

    อยู่ข้างๆจะได้ยินเสียงนั่นบ้างหรือปล่าว

    “แล้วฉันจะทำยังไงต่อไป”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×