ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมื่อผมต้องรับบทเป็น...ผี

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่1...ที่นี่ที่ไหน

    • อัปเดตล่าสุด 27 ม.ค. 52


    1.
     “ที่นี่มันที่ไหนกันแน่” 
     ผมเปรยกับตัวเอง หันไปรอบๆตัวมีแต่หมอกควันขาวโพรนเต็มไปหมด นี่ถ้าเท้า

    ผมไม่เหยียบอยู่กับพื้นหินหรืออะไรสักอย่างที่ไอเย็นแล่นผ่านจากปลายเท้าสู่

    ปลายเส้นผม ผมคงคิดว่าผมคงกำลังลอยอยู่บนหมู่เมฆเหนือระดับน้ำทะเล 


    35000 ฟิตเป็นแน่แท้

         ผมรู้ว่านี่คือความฝันเพียงแต่ นี่มันฝันประสาอะไรกัน ใจคอจะไม่ให้ผมได้

    เห็น หรือ รู้อะไรที่พอจะเอาไปตีเป็นเลขเด็ดได้นอกจากหมอกควันสีขาวโพรน

    พวกนี้เลยหรือ

        มือทั้งสองข้างของผมปัดป่ายหมอกควันเหล่านี้ เพื่อให้ผมได้เห็นอะไรข้าง

    หน้าได้บ้าง แต่เปล่าประโยชน์ ผมแค่ทำให้มันฟุ้งกระจายไปมากกว่าเดิมเท่านั้น

    เอง
         
          ทันใดนั้น ผมรู้สึกถึงบางอย่างที่ข้อเท้าข้างขวา ผมรู้สึกถึงมือของใครบาง

    คนที่เย็นกว่าพื้นหินที่ผมเหยียบย่างอยู่เป็นสิบเท่ากำลังจับข้อเท้าผมไม่แน่นไม่

    หลวม ผมสะดุ้ง ก่อนจะกระชากเท้าเพื่อให้หลุดออกจากมือนั้น  แต่มือที่จับนั้น

    กลับกำแน่นก่อนจะกระชากผมอย่างแรง

        ผมรู้สึกได้ว่าร่างของผมกำลังหล่นร่วงลงมาอย่างรวดเร็วราวกับพลัดตกลง

    มันจากตึกเจ็ดสิบชั้น ตับไตไส้พุง เครื่องในในร่างผมเหมือนกำลังทะลักมากอง

    กันอยู่ที่ลำคอ เหลือแต่มวลอากาศที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่ในช่องท้อง นั่นทำให้

    ผมปั่นป่วน และ คล้ายจะอาเจียน ผมหายใจไม่ออก
     อาการนั้นเหมือนจะไม่สิ้น

    สุด ผมคงจะตายแน่ๆ ต้องตายแน่ๆ ไม่ตายเพราะหัวใจวายตาย ก็ต้องตายเพราะ

    กระแทกกับพื้นจนร่างแหลกเป็นปลาป่นแน่ๆ

      
    “อ่า” ผมยกตัวเองจากเตียงที่นอนอยู่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายใจเอาอากาศ

    เข้าปอดอย่างโหยหาราวกับคนที่กำลังดำดิ่งลงไปทะเล และกำลังจะตาย ก่อนที่

    จะถูกดึงขึ้นมาได้ทันเวลา ผมหายใจหอบอย่างหนักหน่วง เหงื่อท่วมตัว

       ภายในห้องนอนมืดมิด รู้สึกคุ้นเคยกับห้องนี่ แต่นึกไม่ออกว่าที่นี่คือที่ไหน 

    หรือว่าผมยังคงอยู่ในความฝัน

    บ้าน่า
    ! ไม่ใช่ละครผีน้ำเน่าซะหน่อย  

         นาฬิกาที่ปลายเตียงบอกให้ผมรู้ว่า ตอนนี้เป็นเช้าวันใหม่แล้ว

    “ตี หนึ่งแล้ว นี่หลับไปนานแค่ไหนกัน” ผมค่อยๆก้าวขาลงจากเตียง ทันทีที่ขา

    แตะพื้น ผมรู้สึกได้ทันทีว่าตัวผมเบาวิว เหมือนตัวเองลอยได้ คล้ายๆกับผม

    กำลังยืนในขณะที่เท้าผมไม่แตะพื้น


     “ดีจริง ได้นอนเต็มอิ่มตัวเลยเบาหวิว” ผมเดินไปเปิดน้ำก๊อกดื่ม รู้สึกคอแห้งผาก

    ตั้งแต่ในฝัน น้ำค่อยๆแตะริมฝีปาก ไหลผ่านลิ้น ผ่านลำคอ ผมรู้ถึงความเคลื่อน

    ไหวของน้ำได้ดีขนาดนี้เลยเหรอ

        ด้านนอกมืดมิด พอๆกับในห้องนอน แต่แปลกที่ผมกลับมองเห็นสิ่งต่างๆได้

    ราวกับมีตาวิเศษ

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ผมเปรยกับตัวเอง หรือผมจะกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์

    เหมือนในหนังเรื่องโปรดที่เคยดู

     หรือไม่ก็ผมคงกินวิตามินดีๆอะไรเข้าไปสักอย่างเป็นแน่

    ด้วยความเบื่อหน่ายที่ต้องตื่น มาในห้องที่ตัวเองนึกไม่ออกว่าที่ไหน ผมเปิด

    ประตูห้อง เสียงประตูเปิดดังเอี๊ยด ชวนขนหัวลุก โดยเฉพาะถ้าต้องมาได้ยิน

    ตอนตีหนึ่งแบบนี้  ก่อนจะก้าวออกจากห้องไป ทันทีที่ผมเปิดประตูออกไปนั้น 

    แสงสว่างจ้าส่องตา จนผมแทบทนไม่ได้ ต้องเอามือมาบัง   สงสัยเพราะอยู่ใน

    ห้องมืดๆ พอเจอแสงไฟสายตาเลยปรับไม่ทัน ผมคิด

     ผมเดินสำรวจด้านนอก เสียงฝีเท้าของผมซึ่งแทบจะไม่รู้สึกว่าได้ก้าวย่างเลย 

    ดังแกร๊กๆ แกร๊กๆ

          ที่ที่ผมอยู่เป็นตึกที่มีห้องอยู่มากมายทั้งสองด้าน หน้าประตูห้องแต่ละห้อง

    เขียนนำหน้าด้วยเลข
    4 แสดงว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ชั้น 4 มีกล้องวงจรปิดสอง

    ตัว 

    มีโคมไฟสีนวลตา และแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรนอกจากนั้น ห้องแต่ละห้องปิดประตู

    เงียบ ไม่มีแม้เสียงทีวี หรือเสียงพูดคุยเล็ดลอดออกมาให้ผมได้อุ่นใจ

     ผมเหงาเหลือเกิน

    ผมเดินไปเดินมาหลายต่อหลายรอบ เพื่อฆ่าเวลารอให้ถึงเช้า จะได้ถามใครสัก

    คนว่าที่นี่ที่ไหน ผมคุ้นเคย แต่นึกไม่ออก ในขณะที่ผมเดินกลับไปกลับมาตาม

    ทางเดินอยู่นั้น มือผมก็ลากไปตามฝาผนังห้องผ่านประตูแต่ละห้องแต่ละ

    ห้อง หวังจะปลุกให้ใครสักคนตื่น

    และแล้วผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนชั้นล่างทั้งที่ไม่ได้ดังมาก แต่ผมกลับได้ยิน

    ชัดเจน เขากำลังก้าวขึ้นบันไดมาทีละขั้น ทีละขั้น อย่างหวาดระแวง ผมรู้สึกได้

     ผมดีใจที่จะได้เจอใครสักคนเสียที ผมเดินตรงไปหาต้นเสียงนั้น แต่ก่อนที่จะ

    เจอเขา

    “แล้วถ้าเกิดเป็นขโมยหล่ะ” ผมคิด กลางดึกขนาดนี้คงไม่มีใครบ้าออกมาเดิน

    เล่นเหมือนผมหรอก คิดได้อย่างนั้นผมจึงเดินไปแอบตรงมุมห้องติดกับบันได 

    เพื่อจะได้แอบดูเขาได้อย่างชัดเจน

     และแล้วเขาก็เดินมายืนใกล้ๆผม เพียงแต่มีมุมห้องกั้นเขาไว้เท่านั้น ผมใจเต้น

    ตึกๆ 

    “ดูท่า หมอนี่คงไม่ใช่ขโมยหรอก” ผมคิด เพราะคงไม่มีขโมยที่ไหนใส่บ๊อกเซอร์

    สีสด แค่ตัวเดียวโดยไม่ใส่เสื้อมาขโมยของหรอก หมอนั่นชะโงกหน้ามามอง

    ทางเดิน ผมเอี้ยวตัวหลบจนเกือบจมลงไปในผนังห้อง เพื่อไม่ให้เขาเห็น แต่ผม

    ก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่เห็นเพราะผมว่าตัวเองก็ไม่ใช่เล็กๆ   หมอนั่นหัน

    ซ้ายหันขวา ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะไม่เห็นผม ผมไม่ใช่จิ้งจกที่จะพลางตัวให้เข้ากับ

    ผนังห้องได้เสียหน่อย

     
    “เฮ้” ผมโบกมือ เมื่อเห็นท่าว่าหมอนั่นคงไม่เห็นผมแน่ๆแล้ว แต่ไม่มีประโยชน์ 

    ไม่มีปฏิกิริยารับรู้เลย

    น่าแปลกใจมาก หมอนี่เพี้ยนๆแน่ ผมว่าก่อนจะเดินไปหาหมอนั่นที่ยืนหันหลัง

    ให้   ผมยืนเกือบชิดหลังเขาคนนั้น

    “วู้” ผมเป่าลมไปที่หูของเขา นึกอยากเล่นสนุก ไหล่ของเขากระตุกสั่นเล็กน้อย 

    เหมือนคนเพิ่งฉี่เสร็จ ไอสีขาวคล้ายควันถูกพ่นออกมาจากจมูก และปากของ

    เขา 

    นี่มันเพิ่งต้นหน้าหนาวเองนี่นา

    “เฮ้ อยู่นี่” ผมพูดในขณะที่หมอนั่น ยืนตัวแข็งทื่อ

    “เป็นบ้าอะไรของนายวะ นายทำให้ฉันกลัวนะ รู้มั๊ย” ผมใจคอไม่ดี ทันใดนั้นจู่ๆ 

    หมอนั่นก็หันหน้ามาเผชิญหน้ากับผม จมูกเราเกือบชนกัน ผมยืนอึ้ง มองตาเขา 

    สายตาหมอนั่นเหมือนจะมองทะลุตัวผมไป

    “ โอเค นายทำให้ฉันกลัว” ผมพูดก่อนจะก้าวถอยหลังออกมา

    “นายพอรู้มั๊ยว่าที่นี่ไหน” เสียงพูดของผมแล่นผ่านทะลุหูของเขาไป

    “เอ่อ นายเป็นอะไรกันแน่ คนหรือผี” น้ำเสียงผมเริ่มส่อแววหวั่นๆ

    “ไม่ว่านายจะเป็นอะไร ช่วยบอกฉันทีได้มั๊ยว่าที่นี่ที่ไหน” ผมเดินวนรอบตัวเขา

    หวังดึงความสนใจเขาจากสิ่งที่เขามองหาอยู่ ควันสีขาวเริ่มพ่นออกมาจากปาก

    และจมูกเขาถี่ขึ้น
     
     จู่ๆ หมอนั่นก็สะดุ้งสุดตัว ก่อนกระโดดลงบันไดสามขั้นแล้ววิ่งพรวดอย่างรวด

    เร็ว 

    ผมตกใจลนลาน รีบสาวเท้าวิ่งกลับไปห้องที่คิดว่าเป็นของตัวเอง ก่อนจะปิด

    ประตูดัง
    “ปัง”
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×