คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #39 : แสนพยศ
ค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ทุกคนต่างพากันหลับใหลอย่างสุขใจ มีเพียงร่างบางของเย่วซินที่นอนกระสับกระส่ายไปมาอยู่บนที่นอนหนานุ่มเพราะฝันร้าย จะว่าฝันร้ายก็ไม่ผิด
"ลูกแม่เจ้าจะทิ้งแม่ไปไหน กลับมา กลับมา! "
เขาเห็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ที่ยังคงติดตาจำได้ขึ้นใจว่าเด็กน้อยคนนี้เรียกตนว่าแม่ ร่างเล็กเดินผ่านหน้าเขาไป พอได้ยินเย่วซินเรียกก็หันมาส่งยิ้ม มันทำให้หัวใจที่เคยห่อเหี่ยวของผู้เป็นมารดาชุ่มชื่นขึ้นมาทันตา
"ท่านแม่ สักวันข้าจะกลับมาหาท่าน"
พูดจบร่างน้อยก็เดินหายไปในความมืด เย่วซินเรียกเท่าไรร่างน้อยก็ไม่ยอมหันกลับมา
"ฮึก อย่าไป อย่าทิ้งแม่ไปไหนอีกเลย อย่าไป ฮือ... "
ร่างบางร้องเรียกลูกน้อย ที่ค่อยๆ เดินหายไปจากสายตา เท้าเรียวพยายามวิ่งตามเท่าไรก็ไม่ทัน
จนตอนนี้เบื้องหน้าเขาเหลือแค่เพียงความว่างเปล่า ร่างบางทรุดกายลงอย่างหมดแรง ก้มหน้าสะอึกสะอื้นตัวโยน
"เย่วเอ๋อร์"เสียงเรียกที่แสนคุ้นเคยเอ่ยเรียกคนตรงหน้า ดวงตาสวยค่อยๆ มองตั้งแต่ปลายเท้า สายตาหวานเลื่อนขึ้นเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าคมของคนที่คุ้นเคย ก็พบว่าสายตาคมจ้องมองมาที่ตนอยู่ก่อนแล้ว สองสายตาประสานกันเพียงครู่เดียว เย่วซินเป็นฝ่ายที่หลบไป
"กลับบ้านกับข้า ข้ามารับเจ้าเย่วเอ๋อร์"
"ไม่ ไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะรอเขาอยู่ตรงนี้ ข้าจะรอลูกของข้า"เย่วซินปฏิเสธออกไป ทำให้เฟยหลงถอนใจออกมา ก่อนจะออกแรงใช้มือรั้งตัวร่างบางให้ยืนขึ้น มือหนาสวมกอดคนตรงหน้าเอาไว้แน่น
"กลับไปรอเขาที่บ้าน ข้าสัญญาจะพาเขากลับมาหาเจ้าให้ได้ เรากลับบ้านกันนะเย่วเอ๋อร์"
เฮือก!!
ร่างบางสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะเด้งตัวจากที่นอนนุ่มลุกขึ้นมานั่ง มือบางยกขึ้นลูบใบหน้าที่ชื้นเหงื่อไปหลายครั้ง เพื่อเรียกสติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกลับมา ดวงตากลมเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม เขาฝันร้าย ฝันถึงลูกน้อยและร่างสูงอีกครั้ง ตั้งแต่ที่ตนมาอยู่อาณาจักรจิ้งจอกก็นาน ไม่เคยฝันเช่นนี้อีกเลย
แต่ทำไมคราวนี้กลับฝันเห็นเด็กน้อยขึ้นมาอีกครั้ง แถมดูเหมือนตนจะยอมกลับไปกับร่างสูงง่ายๆ เสียด้วย คงเป็นเพราะลึกๆ ในใจ เขายังคงไม่ลืมชายผู้นี้กระมัง
แต่มันก็แค่ความฝัน อย่างไรเขาไม่มีวันกลับไป และเฟยหลงก็คงจะตามเขาไม่เจอ เพราะเวลาก็ผ่านมานานมากแล้ว เขายังอยู่ได้สบายดีโดยที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกฝ่าย แสดงว่าเขายังคงปลอดภัยจากคนใจร้ายผู้นั้น
ร่างบางเดินไปเรื่อยๆ ในอุทยานหลวง ในใจก็หวนคิดไปถึงความฝันเมื่อคืน จนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง
"เย่วซิน"
"_"
"เย่วซิน"
เป็นเสียงของหยางฟานที่เอ่ยเรียก แต่ดูเหมือนเย่วซินจะไม่รู้สึกตัว มือบางเลยโบกไปมาตรงหน้าคนเหม่อ
"เย่วซิน..."
"อ๊ะ หยางฟานนี่เจ้าเป็นบ้าหรือไร ตะโกนอยู่ได้หูข้าจะแตกอยู่แล้ว"
"ก็ข้าเรียกเจ้าแล้ว ใจลอยไปถึงไหนจึงไม่ได้ยินที่ข้าเรียก"
"ข้า ก็แค่... คิดถึงความฝันเมื่อคืนเท่านั้น"
"ความฝันรึ เจ้าฝันเช่นไร ทำไมใจลอยเหลือเกิน"
และเรื่องราวที่ร่างบางฝันได้ถูกถ่ายทอดให้หยางฟานฟัง ซึ่งตอนนี้หยางฟาน เย่วซินและเป่ยฟงสนิทกันมาก อาจเป็นเพราะเวลาสองปีกว่าที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน มันนานมากพอที่ต่างคนต่างรู้จักนิสัยใจคอของแต่ละคน ซึ่งทั้งสามคนต่างก็เต็มใจเปลี่ยนสถานะ จากคนรู้จักมาเป็นสหายที่เข้าใจกันมากขึ้น
ความสนิทสนมที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละนิด จนถึงตอนนี้ทุกคนต่างก็สามารถเรียกชื่ออีกฝ่ายได้อย่างสนิทปากสนิทใจ มีเพียงเป่ยฟงเท่านั้นที่คิดเกินเลยกับหยางฟาน ซึ่งตอนนี้เย่วซินก็รับรู้ว่าเป่ยฟงคิดเช่นไรกับหยางฟาน
คงเป็นเพราะเหตุนี้ ที่ทำให้เป่ยฟงมาวนเวียนอยู่ที่อาณาจักรจิ้งจอกเงิน จนได้ช่วยเหลือเขาไว้ในคืนนั้น และคงเป็นโอกาสที่เป่ยฟงจะได้พบหยางฟาน โดยใช้เขาเป็นสะพาน ถึงอย่างไรมันก็ดีที่อย่างน้อยเขาก็ได้เพื่อนดีๆ เพิ่มมาถึงสองคนด้วยกัน
"เป่ยฟงล่ะหยางฟาน เขาไปไหน ข้าไม่เห็นเขาเลย ปกติก็ทำตัวติดกับเจ้าไม่ใช่รึ"
"จะไปไหนก็ช่างเขาสิ ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับข้าเลยนี่"
"แน่ใจรึว่าไม่เกี่ยว กลับอาณาจักรตนไปหลายวันเช่นนี้ คงได้เพลิดเพลินกับเหล่าสนมคนงาม จนอิ่มอกอิ่มใจไปหลายวันเลยล่ะ เจ้าคิดเห็นเช่นไร"
"ไปก็ไปซิใครสนกัน เจ้านี่อย่างไรจ้องจับผิดอะไรข้านักนะ หรือเป็นคำสั่งเจ้านกบ้านั่น"
"เปล่าสักหน่อย ใครจะสั่งข้าได้"
"ไม่ใช่ก็ดี เจ้านกบ้านั่นคิดว่าตนใหญ่มาจากไหนกัน ชิ"
หยางฟานพูดจบก็ก้าวไปอีกทางทันที จนเย่วซินต้องถามขึ้นอีกครั้ง
"แล้วนั่นเจ้าจะไปไหนรึหยางฟาน"
เย่วซินเอ่ยถามออกไป เมื่อหยางฟานก้าวไปอีกทาง อย่างคนอารมณ์ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร
"ข้าก็จะไปหาเหล่าสนมคนงามของข้าบ้างนะสิ"
"เฮ้ย... ไม่ได้ๆ เจ้าไม่กลัวเป่ยฟงหรือไร"
"กลัวทำไม เขาไม่ใช่พ่อข้าสักหน่อย และอีกอย่าง กว่าเจ้านกบ้านั่นจะกลับมา ก็อีกเจ็ดวันโน่น ถึงตอนนั้นข้าก็สบายตัวไปหลายรอบแล้ว เจ้าไม่ต้องมาขู่เลยข้าไม่กลัวหรอก"
"อ้าวเป่ยฟง นั่นเจ้ากลับมาทำไม หรือลืมอะไรไว้"
ร่างบางของเย่วซินเอ่ยทักใครคนนั้น สายตาหวานมองเลยไปด้านหลังของหยางฟาน เล่นเอาคนปากดีถึงกับเสียอาการ
"เฮ้ย... ปะ-เปล่านะ ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้นเลยจริงๆ ข้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก เจ้าอย่าดุข้านะ"
ร่างโปร่งของหยางฟานหลับหูหลับตาพูดโดยไม่หันไปมอง แต่ก็ไร้เสียงตอบรับหรือดุว่า ตาคมเลยลืมขึ้นมาช้าๆ ก็เห็นเย่วซินยืนหัวเราะงอหงาย
มือบางจับหน้าท้องตนเองเอาไว้ เพราะรู้สึกปวดขึ้นมาจากความเกร็ง ที่ตนพยายามกลั้นมันเอาไว้ เห็นแค่นี้หยางฟานก็รู้ได้ทันทีว่า อะไรเป็นอะไร ใบหน้าคมหงิกงอขึ้นมาทันที เขารู้สึกว่าตนเองโดนอีกฝ่ายแกล้ง เขารู้ว่าเย่วซินฉลาดมาก และก็รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายพอจะมองเขาออก
"นี่เจ้า แกล้งข้ารึ! "
"เปล่านะ ข้าไม่ได้ทำ เจ้าใส่ความข้า"
"เย่วซิน ทำไมข้ารู้สึกว่า ยิ่งนับวันเจ้ายิ่งร้ายกาจขึ้น"
เย่วซินชะงักทันที พลางคิดถึงใครคนหนึ่ง ใบหน้างามเศร้าหมองลงทันที จนหยางฟานรู้สึกได้และรู้สึกร้อนใจขึ้นมา
"หลิงเอ๋อร์ก็เคยพูดกับข้าเช่นนั้น ป่านนี้เจ้ากับลูกจะเป็นเช่นไรบ้างนะ ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน"
"พวกเขาสุขสบายดี หลานสาวของเจ้าน่ารักมาก ทุกคนหลงจนไม่รู้จะหลงอย่างไรแล้ว"
"นั่นสินะ ถ้าลูกข้ายังอยู่ ป่านนี้ก็... ก็"
"ไม่เอาไม่พูดแล้ว ไปทานมื้อเช้ากันดีกว่า"
หยางฟานรีบเปลี่ยนเรื่องทันที เพราะเขาเผลอไปสะกิดแผลใจของอีกฝ่ายเข้าเสียแล้ว เขารู้ว่าเย่วซินพยายามเข้มแข็งมาตลอด แต่ลึกๆ ในใจ สหายคนนี้ไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่พยายามแสดงมันออกมา
เรื่องราวเลวร้ายแต่หนหลัง มันฝังลึกเสียจนยากที่จะลืมเลือนไปได้ง่ายๆ ถึงแม้จะเก็บและกดมันลงเพียงใด แต่เย่วซินคงไม่รู้ตัวหรอกว่า เผลอแสดงความอ่อนแอออกมาบ่อยแค่ไหน ในเวลาที่เผลอไผล
"อื้ม... แล้วเจ้าไม่ไปหาสนมคนงามแล้วรึ"
"ถ้าเจ้ายังพูดเช่นนี้อีก ข้าจะไม่พูดกับเจ้าแล้วนะเย่วซิน"
พูดจบก็เดินนำร่างเย่วซินไปด้วยอาการหน้างอ เย่วซินอารมณ์ดีขึ้นแต่หยางฟานกลับกัน เย่วซินเพียงแค่ยกยิ้มบางๆ เขารู้ว่าหยางฟานเป็นคนปากแข็งไม่น้อย
ปากบอกว่าไม่ชอบเป่ยฟง แต่เขาคิดว่าลึกๆ ในใจของหยางฟาน รู้สึกดีกับเจ้านกจอมกวนอยู่ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นเป่ยฟง จะเอาคนกะล่อนอย่างหยางฟานอยู่หรือ เขาคิดว่าตนโชคดีที่เวลาเศร้า อย่างน้อยก็มีสองคนนี้ อยู่เคียงข้างคอยให้กำลังใจ
โต๊ะอาหาร
"ข้าได้ข่าวมาว่า วังมังกรเรียกร้องให้เฟยหลง ทำการผูกพันธะแต่งตั้งราชินีองค์ใหม่ เจ้าคิดเช่นไร"
หยางฟานบอกเล่าข่าวสำคัญที่ตนได้รับรู้มา
"ข้าว่าก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้เลิกหลบซ่อนสักที ข้าคิดถึงบ้านจะแย่อยู่แล้ว"ปากบอกว่าดีแต่ใจนี่ซิ ทำไมหยางฟานรู้สึกว่า เย่วซินไม่ได้รู้สึกอย่างเช่นที่ปากพูดเลยสักนิด
"เจ้าไม่ได้รู้สึกอะไรแล้วจริงๆ หรือเย่วซิน"
"จะว่าไปไม่รู้สึกก็คงไม่ใช่ หัวใจข้ายังคงรู้สึกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่หากมันจะดีกว่าถ้าข้าจะพยายามลืมมันไปให้ได้ และสักวันมันจะต้องเป็นเช่นนั้น"
หากเขากับเฟยหลงต่างคนต่างใช้ชีวิต ทางใครทางมันไม่ยุ่งเกี่ยวกัน สักวันเวลาจะทำให้เขาลืมคนผู้นั้นไปเอง แต่ก็อดใจหายไม่ได้เมื่อรับรู้ว่า อีกคนกำลังจะเริ่มต้นใหม่ กับใครคนอื่นที่ไม่ใช่ตน ก็แอบหวั่นไหว ในใจของเขาตอนนี้มันรู้สึกโหวงๆ แปลกๆ ที่คิดว่าครั้งนี้ตนกับเขาจบลงแล้วจริงๆ จะอย่างไรเขาก็น่าจะดีใจและพอใจ ที่เรื่องราวเป็นไปตามความต้องการ แต่ทำไมใจเขากลับรู้สึกเจ็บเช่นนี้
สามวันผ่านไปหลังจากที่เฟยหลงได้รับปากว่า จะส่งดวงจิตรมังกรเฟ้นหาคู่ชะตาอีกครั้ง นี่ก็ถึงเวลาที่เหล่าเสนาอำมาตทุกๆ คน รวมทั้งบิดามารดาของเขาต่างก็รอคอยคำตอบ ซึ่งร่างสูงเองก็รู้ว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่เขาจะให้ความกระจ่างแก่ประชาชนทุกคน
"ข้าส่งนิมิตมังกรออกไปแล้ว และอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า จะมีพิธีผูกพันธะขึ้นมาอีกครั้ง ขอให้ทุกคนวางใจได้ ว่าบัลลังก์มังกรจะมีราชินีเคียงข้างอีกครั้ง"
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็พากันดีใจกันทั่ว ข่าวได้แพร่สะพัดออกไปโดยเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง และมันก็ไม่รอดพ้นที่ร่างบางจะรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ไปด้วย
อาณาจักรจิ้งจอกเงิน
ร่างบอบบางของเย่วซิน ยืนมองแสงจันทร์นวลผ่องที่กระจ่างอยู่บนท้องฟ้า ใบหน้างามหมดจด ยามต้องแสงจันทร์ยิ่งงามจับตา อย่างกับอยู่ในนิมิตอันแสนหวานก็ไม่ปาน
สายตาคมจับจ้องคนตรงหน้าอย่างแสนคิดถึง รูปร่างบอบบางชวนถนอม ใบหน้างามหยด ยามต้องแสงจันทร์เช่นนี้ พาให้ใครที่พบเจอ ต่างก็ไม่อาจถอนสายตาจากภาพที่เห็นไปได้ มันช่างเหมือนเทพธิดามาจุติก็ไม่ปาน แต่คนตรงหน้ากลับเป็นเทพบุตรที่งามล้ำ ไม่ใช่เทพธิดาแต่อย่างใด
หากแต่ในขณะนี้ ใบหน้างามกลับหมองเศร้ายิ่งนัก เหม่อมองออกไปเบื้องหน้า ไม่เจาะจงที่จะวางสายตาไว้ที่ใดที่หนึ่ง กวาดมองไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็หยุดลงที่ดวงจันทร์ ที่ตอนนี้ส่องแสงสว่างอวดความงดงามของมันเองเสียเต็มดวง
ในตอนนี้ร่างงามหวนคิดไปถึงสิ่งที่ตนได้ยินมาเมื่อกลางวัน ข่าวใหญ่ที่มันแพร่สะพัดไปทั่ว ว่าราชามังกรได้ประกาศออกมาแล้ว ว่าอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าจะมีพิธีผูกพันธะขึ้นอีกครั้ง เขาคงเจอคู่ชะตาแล้วสินะ แต่ทำไมใจเขามันเจ็บถึงเพียงนี้
แสงจันทร์ที่ส่องสกาวอยู่บนท้องฟ้า สาดส่องลงมากระทบร่างงาม ที่ยืนเด่นอยู่ภายใต้ลำแสงสีนวลลออในยามนี้ มันงดงามนัก ช่างตรึงตาตรึงใจคนที่แอบมองร่างบางอยู่นาน ด้วยความรู้สึกหลากหลายจริงๆ
"เจ็บจัง ฮึก ทำไมไม่ลืมเขาสักที ทำไม ฮึก"
เย่วซินพูดกับตนเองเบาๆ พลางสะอื้นออกมาอย่างหนัก น้ำตามันไหลลงมาอาบแก้มอย่างห้ามไม่อยู่ ไหล่บางสั่นสะท้านเพราะพยายามควบคุมแรงสะอื้นของตนเอง จนคนที่แอบมองถึงกับมือไม้สั่นไปหมด อยากเข้าไปปลอบเหลือเกิน แต่ก็ต้องตัดใจ เย่วซินยืนปล่อยใจไปกับความเศร้าหมองเสียให้พอ คิดว่าวันนี้จะเศร้าจะร้องไห้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วเขาจะกลับมาเข้มแข็งดังเดิม และอีกไม่นานคงได้เวลาที่เขาจะต้องกลับบ้านเสียที
ท้าวเรียวย่างก้าวเข้ามาในห้องพักส่วนตัว หลังจากพยายามทำใจ และตัดใจจากคนผู้นั้น ร่างบางตรงไปยังห้องอาบน้ำ จัดการอาบน้ำชำระกายให้สะอาด ก่อนจะสวมชุดนอนออกมา ความอ่อนล้าทั้งกายและใจ ทำให้ตนอยากพักผ่อนเหลือเกิน
"เจ้าเก่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มาก ที่หนีข้ามาแอบหลบซ่อนอยู่ที่นี่ถึงสองปีกว่า"
เสียงทรงอำนาจดังขึ้น ร่างบางตัวชาวาบขึ้นมาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าก็ว่าได้ เสียงนี้เขาจำได้ขึ้นใจ ดวงตาหวานหันไปมองหาที่มาของเสียง ก็พบว่าร่างสูงนั่งอยู่บนเตียงนอนของเขา
"ทะ-ท่าน เฟยหลง"
"เจ้ากล้ามากเย่วเอ๋อร์ ที่หนีข้ามาเช่นนี้"
ร่างสูงกล่าวขึ้น พร้อมเดินตรงมายังร่างบางของเย่วซิน ที่ตอนนี้เริ่มจะถอยหนีจากการคุกคามของคนตรงหน้า
"ท่านจะตามข้ามาทำไม ในเมื่ออีกไม่นานท่านก็ต้องผูกพันธะแล้ว"
"ข้าก็มารับ เจ้าสาว กลับบ้านน่ะสิ"
"หมายความว่าอะไร แล้วท่านรู้ได้เช่นไรว่าข้าอยู่ที่นี่"
"เจ้ามานี่"ร่างสูงกระชากร่างบางให้ตามเขามา ก่อนที่จับเย่วซินนั่งลงตรงหน้ากระจกบานใหญ่ จากนั้นมือหนาก็จัดการแหวกคอเสื้อของเย่วซินออกจากกัน ดึงลงมาจนพ้นไหล่บางและกดมันลงเล็กน้อย อีกมือจับใบหน้าอีกฝ่ายให้เอียงมาทางที่ตนต้องการ
"เจ้าก็ดูเอาเองสิ ว่าข้าหาเจ้าเจอได้เช่นไร คงไม่เคยสังเกตเลยสินะ ว่ามีอะไรบนกายเจ้าที่เปลี่ยนไปบ้าง"
เย่วซินมองตามที่เฟยหลงบอก และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำให้ร่างบางสติแตกยิ่งขึ้น
"มะ-ไม่ ไม่จริง อ๊าก...!! "
พยายามหลีกหนีเท่าไรก็หนีไม่พ้น เพราะสัญลักษณ์ได้ปรากฏขึ้นมาบนกายเขาอีกครั้ง สัญลักษณ์ที่มันผูกมัดตัวเขากับร่างสูงเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น
"ไม่เอา เอามันออกไป ฮึก เอามันออกไปข้าเกลียดมัน ฮือ...! "เย่วซินดิ้นรนอย่างทรมาน ถึงจะไม่เจ็บกาย แต่มันกลับเจ็บในใจเหลือเกิน
"ปะ-ปล่อยข้าไปเถิด ฮึก ปล่อยข้าไป ฮือ... "
ปากบางร้องขอจากคนตรงหน้าอย่างหมดแรง เหงื่อเม็ดเล็กๆ ไหลออกมาจนใบหน้างามเปียกชื้น น้ำตาที่แห้งไปแล้วไหลลงมาอีกครั้ง ดวงตาสวยเริ่มบวมและแดงก่ำ เฟยหลงมองอาการทุรนทุรายของเย่วซินอย่างสงสาร เขาเข้าใจว่าร่างบางคงทำใจรับไม่ได้ อุตส่าห์หนีมาได้ตั้งนานแต่ก็หนีไม่พ้น
"ปล่อยเจ้าไปรึ เห็นทีจะไม่ได้ ข้าตามหาเจ้าเสียทั่วคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาแอบอยู่ที่นี่ได้"
"ปล่อยข้าไป ฮึก ฮือ... ปล่อยข้า!”
"ไม่มีทาง! เจ้าทำข้าช้ำใจเพียงไรที่แอบหนีมาเช่นนี้ ข้าเจ็บ ข้าปวด มันทรมานสมใจเจ้าแล้วเย่วเอ๋อร์.."
“...”
"ตลอดสองปีมานี้ ข้าไม่เคยข่มตาหลับลงเลยสักคืน ไม่มีวันไหนที่ข้าไม่เจ็บไม่คิดถึงเจ้า ตลอดมาข้าไม่เคยเลิกตามหาเจ้าเลยเย่วเอ๋อร์"
"ปล่อยข้าไป ข้าไม่อาจกลับไปกับท่านได้"
"ทำไมล่ะเย่วเอ๋อร์ ทำไมเจ้ากลับไปกับข้าไม่ได้ ได้โปรดเถิดเย่วเอ๋อร์ กลับไปกับข้าอย่าให้ข้าต้องใจร้ายกับเจ้าอีกเลย"
"ข้าไม่อาจกลับไปที่นั่นได้อีก ข้าทำใจไม่ได้ ฮึก ไม่ได้จริงๆ "
"เย่วเอ๋อร์ ข้าก็ไม่อาจขาดเจ้าได้เช่นกัน กลับไปกับข้า ข้าจะแก้ไขทุกอย่างที่ข้าทำผิดต่อเจ้า ข้าจะชดใช้ให้เจ้าเอง"
ร่างสูงคุกเข่าตรงหน้าร่างบาง ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้ากระจก ปากหนาเอ่ยขอร้องคนตรงหน้า ด้วยแววตาเศร้าหมอง ไหล่หนาสั่นสะท้านเพราะกำลังอดกลั้น ไม่ให้สะอื้นออกมาต่อหน้าเย่ซิน แต่ความพยายามทุกอย่างก็พังลงมา เมื่อเขาเห็นสายตาไม่ยินยอมของเย่วซิน ร่างบางมองร่างสูงที่คุกเข่าให้ตน อย่างเจ็บปวดไม่แพ้กัน หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงดีใจไม่น้อย ที่ร่างสูงให้เกียรติเขาเช่นนี้ แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญเลยสักนิด ไม่มีประโยชน์อะไรที่เฟยหลงจะทำเช่นนี้ ในเมื่อเย่วซินไม่ได้เห็นค่าของมันอีกต่อไป
"ปล่อยข้าไปตามทางของข้าเถิด"
"ไม่ ข้าไม่ปล่อยเจ้าให้หลุดหายไปจากชีวิตข้าได้อีกแล้วเย่วเอ๋อร์"
"หากท่านบังคับข้า ข้าจะเกลียดท่านไปจนตาย"
"ข้ายอม ข้ายอมให้เจ้าเกลียดดีกว่าเสียเจ้าไป"
ร่างสูงพูดจบ ก็รวบตัวร่างบางเอาไว้ทันที
"กลับวังมังกรกับข้า"
"ไม่ ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น! ท่านอย่าได้บังคับข้า"
ร่างบางดิ้นรน เมื่อเห็นท่าทีคุกคามของร่างสูง ที่พยายามรวบตัวเขาเอาไว้แน่น
"หากจำเป็น ข้าก็คงต้องบังคับ เย่วเอ๋อร์เจ้าต้องไปกับข้า!
"ไม่ ข้าไม่ไป หยางฟานช่วยข้าด้วย!! "
ร่างบางตะโกนให้สหายตนช่วย โดยไม่รู้เลยว่า อีกฝ่ายก็ตกที่นั่งลำบากเช่นเดียวกับตน ไม่สามารถปลีกกายออกมาช่วยใครได้ เพราะในตอนนี้ร่างโปร่งของหยางฟาน กำลังจะถูกพายุลูกใหญ่กลืนกินอยู่เช่นกัน
เย่วซินพยายามดิ้นหนีเอาตัวรอดจากร่างสูง ที่พยายามพาตัวเขากลับไปยังอาณาจักรมังกร แต่ก็อย่างที่คิด เย่วซินไม่ได้อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อน ร่างบางไม่ยอมอีกฝ่ายง่ายๆ การพยายามเอาชนะกันจึงเกิดขึ้น เฟยหลงชักเหลืออดกับคนในอ้อมแขน ที่เอาแต่ดิ้นหนีเขา
"จะไม่ยอมกลับไปกับข้าดีๆ ใช่หรือไม่"
"ไม่กลับ! และท่านก็เลิกวุ่นวายกับข้าสักที! "
"ถ้าเช่นนั้น ก็เอามันตรงนี้นี่แหละ เจ้าหมดแรงเมื่อไร ข้าจะอุ้มเจ้ากลับไปเอง"
ร่างสูงพูดจบก็จับร่างบางกดลงบนเตียงนอนทันที เย่วซินตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ร่างกายกลับต่อต้านอีกฝ่ายด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด มือบางเหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้าคมเต็มแรง แต่ร่างสูงกลับไม่สะทกสะท้าน เขาชักจะชินเสียแล้ว เพราะโดนมาหลายครั้ง
"ปล่อยข้านะ ไอ้คนหน้าด้าน ข้าเกลียดท่าน คนชั่วจะตามราวีข้าไปถึงเมื่อไร! "
ผลัวะ!!! หมัดที่สองซ้ำไปบนใบหน้าหล่ออีกครั้ง โดยที่ร่างสูงไม่คิดจะหลบ คราวนี้เฟยหลงจัดการปลดเปลื้องอาภรณ์ของเย่วซินออกทีละชิ้นอย่างใจเย็น ด้วยความที่ร่างบางพยศใส่เขาจนเขาอยากเอาชนะขึ้นมา เย่วซินทั้งกลัวทั้งโกรธแค้นจนควบคุมสติตนเองไม่ได้อีกต่อไป เหตุการณ์เหมือนสองปีก่อนหน้านี้ จึงเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
เฟยหลงชะงักงันไปอึดใจใหญ่ เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้า ดวงตาแดงก่ำจ้องมองเขาอย่างอาฆาตแค้น หน้าผากมลเกิดลำแสงสีแดงจ้าตรงปานแดงรูปปีกหงส์ เย่วซินเปลี่ยนไปเขาเพิ่งจะรู้ แต่มือหนายังคงกดร่างบางเอาไว้แน่น
เย่วซินสะบัดตัวแค่ครั้งเดียวก็หลุดจากการเกาะกุม ก่อนจะจับร่างสูงเหวี่ยงลงจากเตียงไปอัดเข้ากับฝาผนังอย่างไม่ทันตั้งตัว เฟยหลงลุกขึ้นได้ก็ปรี่เข้าไปรวบตัวเอาไว้ แต่ก็ถูกผลักกระเด็นออกไปเสียไกลด้วยมือคู่นี้ที่เล็กกว่าเขามาก เขาแปลกใจไม่น้อยกับอาการของคนตรงหน้า และเรี่ยวแรงที่เพิ่มมากขึ้นเป็นทวี
"เพราะดวงจิตรของหนิงเฟิ่งเช่นนั้นหรือ ร้ายกาจใช่เล่น"
ถึงจะร้ายแต่เขาก็พอรับมือไหว มือหนาเหวี่ยงบ่วงมังกรประจำกายของตนใส่เย่วซิวทันที บ่วงมังกรเส้นนั้นเข้าไปรัดร่างบางเอาไว้อย่างแน่นหนา ดิ้นเท่าไรก็ดิ้นไม่หลุดจนหมดแรงไปเอง
"ปล่อยข้าไอ้คนชั่ว! "ดวงตาแดงก่ำที่จ้องมองเขาเมื่อครู่ค่อยๆ กลับคืนมาเป็นปกติ แต่ปานแดงบนหน้าผากมันยังไม่กลับมาเหมือนเดิม ยังคงมีลำแสงสีแดงจ้าเปล่งออกมา ร่างสูงตรงเข้าไปหาคนตรงหน้า ก่อนจะจับร่างบางกดลงบนที่นอนนุ่มอีกครั้ง ปากหนาประกบตามลงมาทันที ใบหน้างามสะบัดหนี แต่ถูกมือแกร่งยึดเอาไว้อย่างแน่นหนา
"ปล่อยข้า! "
"เก่งจริงก็ดิ้นให้หลุด ถ้าไม่หลุดเจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า"
"ข้าจะฆ่าเจ้า ไอ้คนป่าเถื่อน! "
"ก็เอาสิ ถ้าเจ้าทำได้"
ร่างบางพยายามดิ้นเท่าไรก็ไม่เป็นผล จากบ่วงที่มันมัดเขาจนแทบหายใจไม่ออก ร่างสูงของเฟยหลงขึ้นคร่อมร่างบางเอาไว้ เขาไม่ได้ขู่ให้กลัว แต่เขาคิดจะทำจริงๆ
คิดจะปราบม้าพยศ ผู้ที่ควบขี่ต้องเก่งพอตัว อย่างเช่นร่างบางตรงหน้าเขา ที่พยศยิ่งกว่าม้าเสียอีก เขาเลยต้องกำหราบเสียบ้าง เมื่อก่อนก็ว่าพยศมากพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้ยิ่งกว่าพยศเสียอีก
"ม้าพยศเช่นเจ้าต้องเจอกับข้า ข้าจะควบขี่ให้วิ่งไม่ไหวเลยคอยดู"
"เจ้าคนหน้าหนา คิดว่าข้าจะยอมง่ายๆ รึ"
"มาลองดูกันสักยกเป็นไร ในเมื่อข้ายอมเจ้าทุกอย่างเจ้ายังจะดื้อดึงอีก คราวนี้จะคิดว่าข้าใจร้ายก็คงไม่ผิด"
"ไอ้คนชั่ว ที่ผ่านมาเจ้ายังใจร้ายใจดำกับข้าไม่พออีกรึ"
"ข้ายอมรับว่าที่ผ่านมาข้าชั่ว แต่คราวนี้ข้าอาจจะเลวเพิ่มขึ้นมาอีกข้อ ในความคิดของเจ้าก็ได้"
มือหนาจับเรียวขางามแยกออกจากกัน หลังจากปล้ำจับคนพยศที่กำลังดิ้นพล่านถอดเสื้อผ้าออกจนหมด ตอนนี้ร่างบางนอนอวดกายงามบนที่นอนหนานุ่ม โดยมีร่างสูงคร่อมเอาไว้ ทั้งๆ ที่บ่วงมังกรเส้นนั้นยังคงผูกมัดคนใต้ร่างอยู่
ดวงตาคมมองสำรวจร่างงามไปทั่วทั้งตัวอย่างพลุ่งพล่าน ผิวกายขาวสะอาดนวลเนียนน่าสัมผัส ไม่ผิดไปจากเมื่อสามปีก่อนเลย ผ่านมาถึงตอนนี้ คนตรงหน้ายังคงงดงามไม่เปลี่ยน แต่กลับอวบอิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
ส่วนเว้าส่วนโค้งก็เห็นชัดเจน แถมสะโพกกลมกลึงตึงแต่งอวบอัดเต็มไม้เต็มมือไปหมด โดยเฉพาะช่องทางสีสวย ที่ครั้งในอดีต เขาเคยส่งเจ้ามังกรของเขา เข้าไปตักตวงความหวานความสุขสมไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
มาถึงตอนนี้ มันก็ยังคงปิดสนิทไร้คนรุกราน คนตรงหน้าเขาไม่มีส่วนไหนที่เขาไม่อยากสัมผัส เขาอยากฝังกายของตนลงไปเสียเดี๋ยวนี้ ถ้าหากว่าคนตรงหน้าจะให้ความร่วมมือบ้าง
"ปล่อยข้า ข้าเจ็บไปหมดทั้งตัวแล้ว เพราะไอ้บ่วงบ้านี่ เอามันออกไปจากตัวข้าเสียที"
ร่างบางเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับสายตาร้อนแรง ที่เอาแต่จ้องตนเหมือนจะกลืนกินเสียให้ได้ ถึงคนตรงหน้าจะเคยครอบครองเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่มันก็ไม่เคยชินสักทีกับสายตาเช่นนี้
ดวงตาหวานจ้องมองคนที่คร่อมกายตน พลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา ก็ไอ้เจ้ามังกรยักษ์ที่มันผงาดขึ้นมาอย่างเหิมเกริม
และเอาแต่ทิ่มแทงหน้าขาของตนอย่างกราดเกรี้ยว ดูท่าแล้วร่างสูงคงจะไม่ยอมปล่อยตนไปง่ายๆ แน่
"ไม่ได้ เดี๋ยวเจ้าก็หาเรื่องหนีข้าอีก"
ว่าพลางก้มลงจุมพิตริมฝีปากบาง กวาดเอาความหวานจนพอใจ ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนลงมาซุกไซร้ขบเม้มที่ซอกคอหอมกรุ่นอย่างเพลิดเพลิน เวลานี้อารมณ์ของร่างสูงกำลังต้องการคนใต้ร่างอย่างถึงที่สุด เพราะแก่นกายเขาปวดหนึบจนแทบจะระเบิดอยู่รอมร่อ ในเมื่อไม้แข็งใช้ไม่ได้ผล ก็คงต้องใช้ไม้อ่อนก็กันบ้างแล้ว ร่างบางคิดว่าปล่อยให้นานกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะร่างสูงกำลังจะหมดความอดทนในไม่ช้า ตัวเขาก็เช่นกันถูกรุกหนักขนาดนี้ เขาไม่ใช่พระอิฐพระปูนเสียหน่อย นานเข้าเดียวได้เผลอเป็นคนขึ้นคร่อมอีกฝ่ายแทน
"ข้าถูกท่านกักตัวไว้ขนาดนี้ จะหนีไปไหนได้ ปล่อยข้าเถิด"เย่วซินพูดออกไปเหมือนจะออดอ้อนในที ซึ่งก็แน่นอนว่าย่อมเห็นผล ร่างสูงแพ้ทางร่างบางอย่างราบคาบ
"ก็ได้ ข้าจะปล่อย ถ้าหากเจ้าสัญญาว่าจะไม่หนี"
"ข้าสัญญา" (ว่ามีโอกาสเมื่อไรจะรีบหนีให้เร็วที่สุด) ร่างบางคิดในใจ
บ่วงมังกรถูกเรียกกลับคืนมา ร่างบางเลยได้รับอิสระ และกำลังครุ่นคิดว่าตนจะเอาตัวรอดได้เช่นไร
เฟยหลงกำลังมัวเมากับความหอมหวานของกายงามตรงหน้า ที่นอนนิ่งให้เขาเชยชม เลยลดความระมัดระวังตัวลงไปมาก ทำให้เย่วซินได้โอกาสตอนที่เขาเผลอไผล เพราะมัวเมากับกลิ่นกายคนตรงหน้า ร่างกายนี้ขาวผ่องอวบอัดขึ้นกว่าเก่า จนเขาลุ่มหลงอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่ยังไปไม่ถึงไหน
ผลัวะ!!
โครม!!
"โอ๊ย!! นี่เจ้าผิดสัญญากับข้ารึ"
"ทีท่านยังเคยผิดสัญญากับข้าได้เลย ถ้าข้าผิดบ้างจะเป็นไรไป"เย่วซินไม่รอให้เฟยหลงลุกขึ้นมาเล่นงานตน มือบางรีบคว้าเอาเสื้อผ้ามาถือไว้ ตากลมหลับลงท่องคาถาพรางกายขึ้นมา เพียงไม่ถึงอึดใจ ร่างบางของเย่วซินก็หายแว๊ปไปต่อหน้าต่อตาเขา
เฟยหลงสติดีรีบพุ่งตัวไปยังประตูห้องทันที หวังขัดขวางไม่ให้คนที่ใช้วิชาพรางกายหลุดรอดออกไปได้ แต่ตนหารู้ไม่ว่า เย่วซินไม่ได้เคี้ยวง่ายอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว
บานหน้าต่างถูกขาเรียวถีบจนหลุดกระเด็นออกไปจนพ้นทาง ก่อนที่จะกระโจนออกไปโดยที่ร่างสูงไม่ทันได้ตั้งตัว
เฟยหลงยืนมองหน้าต่างที่พังยับตรงหน้าด้วยอารมณ์คุกรุ่น เพราะตนเองเสียรู้เย่วซินจนได้ ดวงตาคมแข็งกร้าวอย่างน่ากลัว โกรธจนอยากอาละวาดเสียให้ราบ
เพราะร่างบางทิ้งให้อารมณ์เขาค้างเติ่ง แก่นกายเขายังคงตั้งโด่แข็งขึงอย่างทรมานกับอาการปวดหนึบ แล้วนี่เขาจะทำให้มันสงบลงได้เช่นไร ยิ่งคิดก็ยิ่งกราดเกรี้ยว
"นี่เจ้าจะทรมานข้าให้อกแตกตายหรืออย่างไรเย่วเอ๋อร์ หนีได้หนีไป อย่าให้ข้าจับได้ก็แล้วกัน คอยดูข้าจะเอาคืนให้สาสม! "กล่าวออกมาเช่นนั้นเพราะคิดไม่ถึง ว่าเวลาที่ผ่านมาจะทำให้ร่างบางเปลี่ยนไปขนาดนี้ ร้ายกาจจนเขารับมือยากขึ้นทุกที ดวงจิตหนิงเฟิ่งที่อยู่ในกายงามก็มีส่วนอยู่มาก
ตำหนักใหญ่
เย่วซินรีบพาตนเองมุ่งหน้าไปหาหยางฟาน เพื่อขอความช่วยเหลือ อย่างน้อยมีหยางฟานอยู่ด้วย น่าจะดีกว่าอยู่เพียงลำพัง ขาเล็กค่อยๆ ก้าวเดินไปอย่างระมัดระวังจนถึงที่หมาย มือบางยกขึ้นเตรียมเคาะประตู แต่เสียงที่ดังเล็ดลอดออกมาจากด้านใน ทำให้ต้องชะงักมือค้างเอาไว้อย่างนั้น
เพราะเขาได้ยินเสียงครวญครางของทั้งคู่ สลับกับเสียงดังอย่างหยาบโลน แค่ได้ยินก็รู้ทันทีว่า ในห้องนี้มันเกิดอะไรขึ้น คิดได้เช่นนั้นใบหน้างามก็ขึ้นสีแดงระเรื่ออีกครั้ง
ในที่สุดเจ้าหมาตัวแสบก็เสร็จเจ้านกเถื่อนจนได้ซินะ ถ้าเต็มใจก็ดีไป แต่ถ้าถูกบังคับล่ะก็ พรุ่งนี้วังจิ้งจอกได้พังแน่ๆ เย่วซินรู้จักหยางฟานดี แต่ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก คืนนี้หยางฟานอาจจะถูกเป่ยฟงกำหราบเสียอยู่หมัดเลยก็ได้
ช่วงนี้หยางฟานดูเหมือนจะเชื่อฟังและเกรงอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย เจ้านกเถื่อนถ้าจะมีดีมากกว่าที่คิดเอาไว้เสียแล้ว เจ้าหมาแสบถึงกับหงอยทันทีที่โดนอีกฝ่ายดุเอา คนหนึ่งก็แสบใด้ใจ อีกคนก็เถื่อนได้โล่ สมน้ำสมเนื้อกันดีแท้
แล้วนี่เขาจะไปไหนดี เข้าไปหาหยางฟานก็ไม่ได้ กลับห้องยิ่งไม่ได้ใหญ่
"เอาอย่างไรดีนะเรา จะไปหลบที่ไหนได้อีก"
ร่างบางเดินไปแอบซ่อนตัวที่ศาลาริมน้ำ และตั้งจิตรเรียกใครคนหนึ่ง
"เหยียนจื่อเจ้าอยู่ไหน ช่วยข้าด้วย"
เพราะมีดวงจิตของหนิงเฟิ่ง ตนจึงสามารถติดต่อกับเหยียนจื่อได้ ร่างเล็กของเหยียนจื่อเบิกตาโพลงขึ้นมา ทันทีที่ได้รับกระแสจิตขอความช่วยเหลือ
"ท่านพี่เย่วซินเรียกข้า"
ร่างเล็กไม่รอช้ารีบไปหาร่างบางตามเสียงเรียกทันที เพียงไม่นานก็ถึงที่หมาย ดวงตากลมมองหาร่างบางของพี่ชายบุญธรรมแต่ก็ไม่เห็นอะไร นอกจากความว่างเปล่าปากบางเลยเอ่ยเรียก
"ท่านพี่ ท่านอยู่ที่ไหน ข้ามองไม่เห็นท่านเลย"
"เหยียนจื่อข้าอยู่นี่ ข้าใช้วิชาพรางกายอยู่ แต่มันใกล้จะหมดกำลังเต็มทีแล้ว"
"ท่านอยากให้ข้าช่วยอะไร"
เอ่ยถามความต้องการของอีกฝ่ายโดยไม่ถามเหตุผลอะไร เพราะรู้ว่าพี่ชายคงไม่มานั่งพรางตัว เพื่อเล่นซ่อนแอบกับสหายสองคนนั้นหรอก มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่
"บุปผาเร้นกายของเจ้า ช่วยข้าหน่อย"
"ได้ๆ ข้าจะช่วยท่านเดี๋ยวนี้"
การพรางกายของเย่วซินเกิดขึ้นอีกครั้งด้วยวิชาของเหยียนจื่อ ต่อให้เก่งแค่ไหนหากใช้บุปผาเร้นกายของเหยียนจื่อ แม้แต่ดวงจิตรมังกรก็ไม่สามารถหาเจอ
"พอจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับท่าน"
"เฟยหลงตามหาข้าเจอแล้ว ข้าเลยต้องใช้วิชาพรางกายประจำเผ่าของข้า แต่มันไม่สามารถอยู่ได้นานนักข้าเลยต้องพึ่งเจ้า"
"เขาตามหาท่านเจอได้เช่นไรกัน"
ร่างบางไม่ตอบอะไร แต่ค่อยๆ ดึงเสื้อให้หลุดจากไหล่ลงมา เผยให้เหยียนจือเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นมา จ้องมองสัญลักษณ์ และหันมามองหน้าพี่ชายอีกครั้ง
"มันกลับมาอีกครั้งบนตัวข้า ข้าไม่ต้องการมันอีกแล้วเหยียนจื่อ ข้าเกลียดมันนักไอ้สัญลักษณ์บ้านี่"
"แล้วท่านจะทำเช่นไรต่อไป เขาคงไม่รามือง่ายๆ แน่ หากรู้ว่าท่านอยู่ที่นี่"
"ข้าคงต้องหาที่อยู่ใหม่เสียแล้ว"
รอให้เจ้าบ้าสองคนนั้นฟื้นขึ้นมาเสียก่อน ค่อยปรึกษากันอีกที บางทีมันอาจจะมีหนทางแก้ไข ว่าแต่หยางฟานจะฟื้นขึ้นมาตอนไหนนี่สิปัญหา ก็เจ้านกเถื่อนเล่นสูบเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายจนหมดแบบนี้ เขาฟังเสียงที่เปล่งออกมาจากปากของหยางฟานก็รู้แล้ว ว่าอีกฝ่ายต้องรับศึกหนักแค่ไหน เรี่ยวแรงจะเปล่งเสียงครวญครางออกมานี้แทบไม่มีเหลือ
ด้านคนทั้งคู่ที่ถูกกล่าวถึง
เหยียนเป่ยฟงกำลังจ้องมองใบหน้างาม ที่กำลังหลับพริ้มอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ของคนที่เพิ่งจะตกเป็นเมียเขาเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่แล้ว พลางหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ร่างสูงกลับไปยังอาณาจักรตนเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย ถึงจะฝากฝังคนที่ไว้ใจได้แต่ก็ไม่วางใจเสียทีเดียว เลยต้องคอยวนกลับไปดูอยู่เสมอ แต่โชคดีที่ตนรีบเคลียร์งานจนเสร็จเร็วกว่ากำหนด เขาเลยรีบมุ่งหน้ากลับอาณาจักรจิ้งจอกเงิน เพราะคิดถึงเจ้าหมาน้อยแสนดื้อของเขา แต่พอกลับมาถึง ภาพที่เห็นทำเอาตัวเขาถึงกับลุกเป็นไฟ
เจ้าจิ้งจอกน้อยของเขา กำลังเริงร่าอยู่กับสนมคนงามอย่างถึงอกถึงใจ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า เขากำลังยืนมองคนทั้งคู่เริงรักกัน ทั้งๆ ที่เคยขอและเคยห้ามเอาไว้แล้ว และอีกฝ่ายก็รับปากกับเขาแล้วเช่นกัน แต่เจ้าหมาจอมหื่นของเขาก็แอบทำลับหลังเขาจนได้
เหตุการณ์ก่อนหน้า
พรึบ!!
"เฮ้ย... เจ้านกบ้าเจ้าทำอะไร!! "
(ซวยแล้ว) เป็นคำแรกที่หยางฟานคิดออกทันทีที่เห็นเหยียนเป่ยฟง
ร่างสูงทนดูไม่ได้อีกต่อไป จึงเดินเข้าไปกระชากร่างโปร่ง ให้ออกมาจากร่างงามของสนมที่กำลังปรนเปรออีกฝ่าย ก่อนจะรวบตัวเอาไว้และไล่สนมนางนั้นให้กลับไป
"เจ้ากำลังทำอะไร หยางฟาน!! "
"กะ-ก็ เอ่อ... "
เป็นใบ้ไปเสียอย่างนั้น เมื่อดวงตากลมหันไปเห็นสายตาคม ที่ลุกเป็นไฟอยู่ในตอนนี้ และจ้องมองเขาอย่างโกรธจัด เหมือนเขาไปฆ่าบรรพบุรุษฝ่ายไหนของร่างสูงมาก็ไม่รู้
"ข้าเคยขอเจ้าแล้ว และก็เคยเตือนเจ้าแล้วเช่นกัน แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรจะทำอย่างไร กับเด็กดื้อเช่นเจ้าดีล่ะหมาน้อย"
เสียงพูดของร่างสูงมันช่างเยือกเย็นนัก ในความรู้สึกของหยางฟาน เล่นเอาร่างโปร่งรู้สึกขนลุกขนชันเย็นวาบไปทั้งตัว ไหนจะน้ำเสียงคุกคามนั่นอีกล่ะ สามารถทำให้ร่างโปร่งร้อนๆ หนาวๆ ได้เลยทีเดียว แต่คนปากดีก็ยังดีไม่เลิก
"ถึงเจ้าจะเคยห้ามเคยขอเอาไว้ แต่นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของข้า เจ้าเป็นใคร อยู่ในสถานะใด และเป็นอะไรกับข้ารึ ถึงมีสิทธิ์มาห้ามข้า ทำไมข้าต้องเชื่อฟังเจ้าด้วย"
"ขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก ไม่เชื่อผัวแล้วจะไปเชื่อใครกัน"
"ผัวบ้าอะไร ข้าไม่เคยมี เจ้านกปากพล่อย! "
"เดี๋ยวก็มี มานี่เลยเด็กดื้อข้าจะสั่งสอนเจ้าว่าภรรยาที่ดี ควรปฏิบัติตัวเช่นไรกับสามี"
ตุ๊บ!! พูดจบร่างสูงก็เหวี่ยงร่างบางลงบนที่นอนด้วยความรุนแรง เพราะอารมณ์โกรธที่ยังมีอยู่มากก่อนจะขึ้นคร่อมกายบางเอาไว้ ที่ผ่านมาเขาพยายามหักห้ามใจมาตลอด คิดว่าให้ทุกอย่างพร้อมกว่านี้ เขาจะขออีกฝ่ายออกเรือน แต่ตอนนี้สิ่งเหล่านั้นมันไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะเจ้าหมาจอมหื่นบังคับเขาเอง
"โอ๊ย... เจ้า จะ จะทำ อะ-อื้อ... "
พูดไม่ทันจบ ปากหนาของคนด้านบน ก็ประกบลงมาทันที หยางฟานดิ้นพล่านจึงถูกร่างสูงกดเอาไว้อย่างแน่นหนา
ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ไม่ปล่อยไปเด็ดขาด เขาแสดงออกขนาดนี้แล้วยังจะไม่รู้ตัวและไม่ยอมรับอีก เขารู้สึกถูกใจอีกฝ่ายตั้งแต่ครั้งนั้น ครั้งที่ตนได้ปล้ำจูบคนใต้ร่างเพราะอยากสั่งสอนคนปากดี แต่เขาเองดันมาติดใจความหอมหวาน ของเจ้าหมาน้อยจอมยโสเสียจนถอนตัวไม่ขึ้น
หลังจากวันนั้นร่างโปร่งก็รีบหนีกลับมาทันที ตั้งแต่นั้นมา เขาก็พยายามเทียวไปเทียวมาระหว่างสองเผ่า เพื่อหาทางเข้าถึงตัวหยางฟาน แต่ก็ไม่มีโอกาส หากสุดท้ายโอกาสก็มาถึง เมื่อเขาพบเจอกับเย่วซิน และรับรู้เรื่องราวของเย่วซิน
แผนการทุกอย่างเลยผุดขึ้นมาในหัวสมองอย่างเร่งด่วน เขารู้ว่าเย่วซินมองเขาออกนานแล้ว เพราะอีกฝ่ายเป็นคนฉลาด แต่เจ้าหมาน้อยของเขานี่ซิ ซื่อบื้อที่สุดไม่เคยรับรู้อะไร เช่นนี้ก็รวบหัวรวบหางเสียเลย แล้วค่อยจัดงานมงคลตามมาทีหลังก็แล้วกัน
"จะทำอะไร ปล่อยข้านะ!! ปากบางเอ่ยออกมาหลังจากอีกฝ่ายถอนจูบ
"เตรียมใจยอมรับเสียเถิด เพราะอย่างไรข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ๆ วันนี้เจ้าต้องเป็นเมียข้า"
"มะ-เมียหรือ มะ-ไม่นะ ข้าไม่เอาด้วยหรอก! "
"แต่ข้า... จะเอา"
จบคำพูดร่างสูงก็บดจูบลงมาอีกครั้งทันที และทุกอย่างก็เป็นไปตามความต้องการของร่างสูง โดยที่ร่างโปร่งไม่ทันได้เตรียมตัว และเตรียมใจอย่างที่คนตรงหน้าบอกเลย
บทรักเริ่มขึ้นด้วยความนุ่มนวล โดยที่หยางฟานถูกอีกฝ่ายปลุกเร้าด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่า จนคนใต้ร่างสูญเสียการเป็นตัวของตัวเองอย่างสิ้นเชิง ยินยอมให้อีกฝ่ายชักนำไปในทางที่มันควรจะเป็น ทุกลีลาทุกท่วงท่า ร่างสูงงัดเอามาปรนเปรอคนตรงหน้าอย่างเอาอกเอาใจ
ตั้งแต่ตอนแรกจนถึงนาทีสุดท้าย หยางฟานรู้สึกราวกับว่าตัวเองล่องลอยอยู่บนสวรรค์ หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน และสลบไปทันทีหลังจากผ่านศึกหนักมาเกือบตลอดทั้งคืน เพราะเหน็ดเหนื่อยและเจ็บร้าวไปทั้งกาย กับบทลงโทษที่แสนจะหอมหวาน
จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว แต่ร่างโปร่งยังคงหลับใหลไร้สติ มือหนาของผู้ที่เป็นสามี รวบตัวร่างโปร่งที่เต็มไปด้วยร่องรอยรัก ที่เขาเป็นคนประทับลงไปบนกายขาว เข้ามาในอ้อมกอด
ปากหนาก้มลงจุมพิตคลอเคลียไม่ยอมห่าง ยอมรับว่าตนทั้งรักทั้งหวงแหนคนในอ้อมกอดมากมายเหลือเกิน เฝ้ารอมาก็นาน อดทนรึก็ทนจนเกือบขาดสติไปก็หลายครา ยามที่ต้องนอนข้างกายได้กลิ่นหอมลอยมาเข้าจมูก
จนเกิดอาการอยากจับคนข้างกายกดก็หลายครั้ง แต่ก็ยังยั้งตนไว้ได้ทันทุกครั้งไป
คราวนี้ก็สมใจเขาแล้วที่ไม่ต้องอดทนอีกต่อไป วันพรุ่งนี้หากตื่นขึ้นมาจะอาลาวาดใส่เขาหรือไม่ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด คนอย่างเขามีวิธีแก้
ก็แค่อาละวาดขึ้นมาก็จับกดซะ ไม่กี่ครั้งก็เข็ดหลาบและเลิกพยศไปเอง ก็เขาเป็นคนเถื่อนๆ แบบนี้ เคยอ่อนโยนกับใครเสียที่ไหน แม้จะพยายามจะอ่อนโยนกับคนตรงหน้ายังไง ก็คงไม่พ้นถูกคนในอ้อมกอดตราหน้าต่อว่าป่าเถื่อนอยู่ดี
ความคิดเห็น