ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตรักราชามังกร

    ลำดับตอนที่ #38 : หนี

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 65


    หลังจากที่เย่วซินออกจากหมู่บ้านมา เขาก็เดินทางไปเรื่อยๆ และไม่ได้มีคนรู้จักพอที่จะไปพึ่งพิงตามที่ได้บอกกับมารดาเอาไว้หรอก เพราะกลัวว่ามารดาจะเป็นห่วงเลยจำเป็นต้องพูดโกหกไป ร่างบางตัดสินใจเดินทางไปซ่อนตัวที่หมู่บ้านเล็กๆ ที่ไหนสักแห่ง ยิ่งห่างไกลความเจริญก็ยิ่งดี เพราะจะได้ไม่เป็นที่สังเกตของใครคนนั้น ที่เขาคิดว่าคงจะออกติดตามเขาทันที ที่รับรู้ว่าเขาหนีไป และด้วยรูปร่างหน้าตาที่งามล่มเมืองของชาวเผ่าหงส์ไฟ โดยเฉพาะร่างบางของเย่วซิน ที่พาให้ใครหลงใหลได้อย่างง่ายดายหากได้พบเห็น เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากและไม่สะดวกเวลาเดินทาง เย่วซินจึงรวบผมยาวสลวยขึ้นมามัดไว้กลางศีรษะ และใช้ผ้าปิดบังใบหน้างามเอาไว้

    ก่อนจะเดินทางลัดเลาะไปตามแนวป่าทึบมาได้ครึ่งวัน ก็สามารถออกจากป่าที่ชาวเผ่าหงส์ไฟอาศัยอยู่ เขามุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านแถวชานเมืองอะไรสักแห่งเพื่อหาอาหาร

    เพราะตอนนี้ท้องไส้เริ่มจะร้องประท้วงขึ้นมา เดินมาได้สักพักก็เข้าเขตหมู่บ้านที่มีทั้งอาหารการกินและที่พัก

    ขาเรียวก้าวเข้าไปในร้านอาหารร้านหนึ่ง ซึ่งไม่ใหญ่มากแต่ก็มีลูกค้าเต็มร้าน แสดงว่าอาหารคงจะอร่อยใช้ได้ เย่วซินเลือกหาที่นั่งมุมหนึ่ง ไม่นานหนุ่มน้อยหน้าหล่อคนหนึ่งก็เข้ามาต้อนรับเขา

    "คุณชาย ท่านจะรับอะไรดีขอรับ"

    "นี่น้องชาย พอดีข้าเป็นคนต่างถิ่น เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ข้าอยากทราบว่า หากข้าเดินทางต่อไปข้างหน้านั้น มันจะไปโผล่ที่ไหน"เย่วซินเริ่มถามทาง เพื่อตัดสินใจว่าเขาจะเดินทางไปทางไหนต่อ

    "อ๋อ... คุณชายถ้าท่านเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะไปออกหมู่บ้านเล็กๆ และถ้าผ่านหมู่บ้านนั้นไปอีกหน่อย ก็จะเป็นอาณาจักรจิ้งจอกเงินขอรับ"

    "จิ้งจอกเงินรึ"

    "ขอรับ องค์ราชาของเผ่าจิ้งจอกเงิน คือท่านหยางฟาน ที่เป็นผู้นำเผ่าในขณะนี้"

    "ท่านหยางฟานเองรึ"

    "คุณชาย ท่านรู้จักท่านหยางฟานด้วยหรือขอรับ"

    "อ๋อ เปล่าหรอก แค่เคยได้ยินชื่อเสียงมาก็เท่านั้น แล้วทางนี้ล่ะจะไปสิ้นสุดที่ใดกัน"

    นิ้วเรียวสวยชี้ไปอีกทาง ทำให้หนุ่มน้อยมองตามและตอบคำถามเขา

    "หากไปทางซ้ายก็จะไปยังอาณาจักรมาร หากไปทางขวาก็จะเป็นเผ่าวิหคเหมันต์ขอรับ แต่ที่นั่นหนาวเย็นเกินไป คนธรรมดาอย่างพวกเราไปไม่ถึงหรอก และถ้าเดินตรงไปทางนั้น ก็จะไปยังอาณาจักรมังกร ที่นั่นเขาว่ากันว่าสวยงามน่าอยู่มาก สักวันข้าจะต้องไปเยือนให้ได้"

    ร่างบางมองตามมือหนุ่มน้อยที่ชี้ไปอีกทาง ที่นั่นจะเป็นที่สุดท้ายที่เขาคิดจะไป

    "พูดมาตั้งนานแล้ว ท่านจะสั่งอะไรดีขอรับ ที่นี่บะหมี่เนื้อตุ๋นอร่อยขึ้นชื่อเชียวนะขอรับคุณชาย"

    "ถ้าเช่นนั้นก็เอามาให้ข้าชามหนึ่ง และก็ขอชาดีๆ มาหนึ่งกาด้วย"

    "ได้ขอรับคุณชาย ท่านรอสักครู่นะขอรับ"

    เย่วซินลงมือทานมื้อเที่ยงไป พลางคิดว่าตนจะไปทางไหนดี แต่พอคิดไปคิดมาเผ่ามังกรตัดไปแล้วหนึ่ง วิหคเหมันต์คงไม่ไหวกับอากาศหนาว เพราะฉะนั้นตัดออกเหลือแค่เผ่ามารและเผ่าจิ้งจอก

    ขอตัดเผ่ามารไปอีกหนึ่ง เขาไม่อยากไปเหยียบที่นั่นอีกแล้ว เหลือแค่เผ่าจิ้งจอกเงินที่ไม่มีพิษภัยอะไรกับเขา ไปหาที่อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ของอาณาจักรที่หยางฟานดูแลอยู่ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้

    คิดได้เช่นนี้เลยเรียกเด็กหนุ่มมาเก็บเงินค่าอาหาร เตรียมตัวมุ่งหน้าไปยังที่ที่ตนต้องการทันที ถึงร่าบางจะอยู่ในหมู่บ้านชาวเผ่าหงส์ไฟไม่จำเป็นต้องใช้เงิน เพราะทุกอย่างหาเอาได้จากการเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์กันทุกบ้านก็จริง แต่ทุกคนก็รู้ว่าข้างนอกเขาใช้ชีวิตกันเช่นไร และเงินก็สำคัญมากกับการใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก

    เย่วซินเลยได้มารดาที่ตระเตรียมมาให้เขาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือของมีค่าที่พอจะเอาไปแลกเป็นเงินมาให้พร้อมสรรพ ถือว่ามารดาของเขารอบคอบมากทีเดียว คงกลัวว่าเขาจะลำบากกระมัง หลังจากทานอาหารเสร็จ เขาก็กระชับผ้าปิดหน้าให้มิดชิดขึ้น ก่อนออกเดินทางต่อ

    เย่วซินรีบเดินทางทันทีหลังจากกินอิ่ม ท้าวเล็กรีบมุ่งหน้าไปยังเผ่าจิ้งจอกเงิน เขาอยากจะไปให้ถึงหมู่บ้านก่อนที่จะมืดค่ำ แต่ทุกย่างก้าวที่เขาย่ำเท้า ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า เขาก็รู้สึกได้ว่ามีคนสะกดรอยตามเขาอยู่ทุกฝีก้าว

    เย่วซินเลยเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก ฝ่ายติดตามก็เร่งตามมาเหมือนกัน หนักๆ เข้าร่างบางเลยใช้พลังเวท ตอนแรกเขาคิดเอาไว้ว่าจะไม่ใช้หากไม่จำเป็น แต่ตอนนี้มันจำเป็นขึ้นมาเสียแล้ว ร่างบางใช้เวทเร่งฝีเท้าเพื่อย่นระยะทาง

    แต่อีกฝ่ายก็ใช้เวทติดตามเขามาติดๆ สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด เย่วซินดีดตัวหนีชายชุดดำ ที่พรางใบหน้าเช่นเดียวกันกับเขา ก่อนจะใช้เวทพรางกายหายไปต่อหน้าต่อตาของมัน จึงทำให้มันโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง

    ก่อจะกลับไปรายงานเจ้านายทันที ส่วนร่างบางรีบดีดตัวไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด หวังแค่ให้ถึงหมู่บ้าน ก่อนที่เขาจะหมดกำลังลงเพราะเวทพรางกาย และเพียงไม่นานเขาก็ไปถึงหมู่บ้านดั่งใจหวัง จึงคลายเวทลง

    ดีที่เสียพลังไปไม่มากนัก เพราะถึงที่หมายเร็วกว่าที่คิด ร่างบางจึงหาโรงเตี๊ยมเข้าพักทันที ในหัวก็คิดไม่ตกว่า ตนถูกฝ่ายไหนติดตาม และมันต้องการอะไรจากเขากันแน่

    "นายท่าน เขาไม่ใช่คนธรรมดาแต่เขามีพลังเวทเช่นเดียวกับข้า ข้าไม่สามารถติดตามบุรุษผู้นั้นไปได้"

    ชายผู้ที่ถูกมอบหน้าที่ให้ติดตามเย่วซิน กลับมารายงานนายของมัน

    "โถ่โว้ย!! เจ้ามันไม่ได้เรื่องจริงๆ คนตัวเล็กนิดเดียวเจ้ายังสู้เขาไม่ได้ โถ่คนงามของข้าหนีหายไปแบบนี้ แล้วเมื่อไรข้าจะได้กอดเจ้าให้สมใจข้าสักที ไม่ว่าต้องใช้วิธีไหนเจ้าต้องตามตัวเขาให้พบ"

    "ขอรับ นายท่านไม่ต้องห่วงข้าได้ซัดเวทติดตาม ใส่เขาก่อนที่เขาจะหนีไปได้ เดี๋ยวข้าจะพาท่านตามเขาไปเอง ข้าคิดว่าเขาน่าจะพักอยู่ที่หมู่บ้านข้างหน้านี้"

    "อื้ม... ดีมาก หากข้าได้คนงามมาครอง ข้าจะให้รางวัลเจ้าอย่างงาม"

    ชายหนุ่มมีอาการหงุดหงิดที่คนของเขาทำงานไม่สำเร็จ ก็แค่ติดตามชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งเท่านั้นก็ยังพลาดได้ ไม่คิดว่าตัวเล็กๆ บางๆ เช่นนี้ จะมีพิษสงพอตัว

    คิดถึงใบหน้างามหยด ที่เขาเห็นในร้านอาหาร ตอนที่ร่างบางเปิดผ้าที่ปิดใบหน้าออก เผยให้เห็นความงดงามหวานหยดจนเขาตะลึง หลังจากนั้นเขาก็เอาแต่แอบมองคนงามอย่างหลงไหล จนกินอาหารจนเสร็จคนงามของเขาก็ออกเดินทาง

    เขาจึงให้คนของเขาตามไปทันที ส่วนตนเองก็ตามไปห่างๆ กะจะจับตัวอีกคนกลับไปยังบ้านตน งามขนาดนี้ถ้าปล่อยไปก็โง่เต็มทนแล้ว

    กลางดึกในโรงเตี๊ยม

    เย่วซินนอนหลับอย่างเหนื่อยล้า จึงไม่ได้รับรู้ถึงภัยร้าย ที่กำลังย่างกรายเข้ามาหาตน ดวงตากลมหลับพริ้ม เผยให้เห็นแพขนตายาวงอนงามเรียงกันอย่างลงตัว

    ใบหน้างามผุดผ่องอมชมพูด้วยเลือดฝาด ริมฝีปากบางแต่อวบอิ่มน่าสัมผัส เส้นผมยาวสลวยราวแพรไหมที่แผ่สยายอยู่เต็มหมอน โดยรวมแล้วร่างบางตรงหน้าของชายหนุ่มงามอย่างไร้ที่ติ

    ดวงตาคมจ้องอย่างหลงใหล มือหนาเอื้อมไปสำรวจกายงามอย่างเบามือ เป็นเหตุให้เย่วซินสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที เพราะถูกรบกวนการพักผ่อน

    ดวงตาสวยเบิกโพลง เมื่อเห็นบุรุษคนหนึ่งกำลังคร่อมกายตน และลูบไล้บีบเคล้นไปตามร่างกายตนเอง อาการหวาดกลัวเกิดขึ้นมาทันที

    "ชู่ว์ อย่าตกใจกลัวข้าเลยคนงาม ถ้าเจ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ยอมเป็นเมียข้าดีๆ แล้วข้าจะเลี้ยงดูเจ้าอย่างดีเลย"

    "เมียบ้านมารดาแกนะซิไอ้คนบ้าตัณหา ออกไปจากตัวข้าเดี๋ยวนี้ ถ้าแกยังอยากหายใจอยู่!! "

    "โถ๋ โถ๋ คนงามโกรธแล้วน่ากลัวจัง"

    มันลอยหน้าลอยตาพูดล้อเลียน ทำให้คนงามของมัน ประเคนฝ่าเท้าลงไปบนใบหน้าหล่อจนกระเด็นตกเตียง เย่วซินรีบลุกลงมาจากเตียง ก่อนที่จะซ้ำลงไปอีกหลายครั้ง

    ..ตุ๊บ!! ตับ!! ตุ๊บ!!

    "โอ๊ย คนงามใจร้าย ข้ายอมแล้ว ยอมแล้ว อูย... คนสวยใจดำ"

    เย่วซินหยุดการกระทำทันที เพราะไม่อยากถูกกล่าวหาว่ารังแกคนที่ไร้ทางสู้ แต่ในขณะที่ตนเองเผลอ ชายหนุ่มผู้นั้นก็เล่นทีเผลอ เขาไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกจับกดลงกับพื้นทันที และตะโกนเรียกอีกคนเข้ามา เย่วซินดิ้นรนอีกครั้ง แต่ดูครั้งนี้จะยาก เพราะคนผู้นั้นใช้เชือกอาคม มัดร่างเขาเอาไว้ดิ้นเท่าไรก็ดิ้นไม่หลุด มันจับเย่วซินขึ้นมาอุ้ม และพาไปวางลงบนเตียงนอนอีกครั้ง

    "คราวนี้หนีข้าให้ได้สิคนงาม เพราะถ้าเจ้าไม่หนีเจ้าต้องเป็นเมียข้านะ"

    "ไอ้คนบัดซบ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! "

    เย่วซินตวาดออกไปอย่าโกรธแค้น ที่รับมือเจ้าคนวิปริตผู้นี้ได้ยากนัก

    "จุ๊ จุ๊ จุ๊ ไม่เอาคนงาม ไม่พูดจาหยาบคายเช่นนี้ มันไม่เหมาะกับเจ้าเลย เก็บปากสวยๆ ของเจ้า มาทำให้ข้ามีความสุขไม่ดีกว่าหรือ"

    "ไอ้สวะ ข้าจะฆ่าเจ้า!! "

    "ไม่เอาไม่เล่นแล้ว ปากดีแบบนี้มาร้องครางให้ข้าฟังดีกว่า เวลาที่ข้าสอดใส่เข้าไปในตัวเจ้า เสียงหวานๆ ของเจ้าคงทำให้ข้าคึกคักน่าดู"

    "ไอ้ชั่วปล่อยข้านะ ปล่อยข้า!! "

    "อย่าดิ้นมันไม่มีประโยชน์หรอก ดิ้นไปเจ้าจะเจ็บตัวเปล่าๆ เชื่อข้านะ ยอมเป็นเมียข้าซะดีๆ แล้วข้าจะพาเจ้าขึ้นสวรรค์"

    "สวรรค์บ้านมารดาแกเถอะ ช่วยด้วย!! "

    "อุ๊ย ด่าแม่ผัวตัวเองแบบนี้นิสัยไม่ดี ต้องอบรมกันหน่อยแล้ว"

    "เจ้าคนวิปริต ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย! "

    "อื้อ... อ่อยอ้านะ!! " (ปล่อยข้านะ)

    ร่างบางหวีดร้องออกมาสุดเสียง แต่ก็ถูกมือหนาอุดปากเอาไว้ เลยดิ้นพล่านเพื่อเอาตัวรอด พยายามดิ้นให้หลุดจากเชือกอาคมของอีกฝ่าย แต่มันยากเหลือเกิน

    ร่างสูงที่ขึ้นคร่อมเขาเริ่มจะปลุกปล้ำคนใต้ร่างตน อกเสื้อของร่างบางถูกแหวกออก เผยผิวขาวใสเกลี้ยงเกลานวลเนียนน่าสัมผัส เม็ดทับทิมสีสวยสองเม็ด ที่อยู่บนยอดอกคนงาม มันชวนให้มือหนา เอื้อมมาลูบไล้เคล้นคลึงเม็ดทับทิมทั้งสองสลับกันไปมา

    ก่อนจะเลื่อนลงมาฟอนเฟ้นร่างกายหอมกรุ่นนุ่มนิ่มอย่างเพลิดเพลิน เย่วซินขยะแขยงสัมผัสนี้นัก กายบางต่อต้านสุดกำลัง ทั้งหวาดกลัวทั้งเกลียดชัง และหลายความรู้สึกที่ประดังเข้ามา ทำให้เย่วซินเริ่มจะควบคุมตนเองไม่ได้

    "อ๊าก!! "

    ปากบางกรีดร้องออกมาสุดเสียง ก่อนที่สัญลักษณ์บนหน้าผากจะสว่างจ้าขึ้นมา พร้อมกับในตาที่แดงก่ำ จนคนที่พยายามจะขืนใจคนใต้ร่างชะงักกึก ตกใจกับสิ่งที่เห็น ร่างบางสะบัดตัวอีกครั้ง เชือกอาคมก็ขาดกระเด็นออกไปอย่างง่ายดาย และก่อนที่คนตัวโตจะได้คิดและทำอะไรต่อไป

    โครม!!!

    อั๊ก!!

    ร่างทั้งร่างก็กระเด็นตกลงจากเตียงทันที เย่วซินรีบลุกตามมาติดๆ ไม่ปล่อยโอกาสให้หนีไปไหนได้ทัน มือบางที่ดูไม่มีพิษมีภัย กลับจับคนตัวโตเหวี่ยงกระเด็นไปติดฝาผนังอย่างง่ายดาย

    โครม!!!

    เสียงโครมครามที่ดังมาจากในห้อง ที่นายตนหายเข้าไป ทำให้ร่างสูงที่รออยู่ด้านนอก รีบเข้าไปเพราะเป็นห่วงนาย แต่ภาพที่เห็นทำเอาเขาอึ้ง ก่อนจะรีบเข้าไปช่วยชายหนุ่มที่ตอนนี้

    ถูกร่างบางอัดเข้าไปติดผนัง ดวงตาแดงก่ำหันขวับมาหาเขาทันที ถึงจะน่ากลัวแค่ไหน แต่ก็ต้องเข้าไปพานายตนออกมาเสียก่อน

    ..โครม!!

    ..ตุ๊บ!!

    อั๊ก!!

    ทันทีที่เขาไปถึง ร่างบางก็ยกเท้าขึ้นมาถีบ จนกระเด็นไปอัดกับฝาผนังอีกคน จนกระอักเลือดออกมา ตอนนี้ร่างบางขาดสติยั้งคิด เปลี่ยนไปเป็นคนละคน และต้องการเอาชีวิตของสองคนตรงหน้า

    "หยุด!! ท่านจะฆ่าเขาไม่ได้นะ!! "

    ร่างสูงของใครอีกคน รีบกระโจนเข้ามาคว้าเย่วซินเอาไว้ก่อนที่จะมีใครตาย มือหนาจับไหล่บางให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา เพื่อเรียกสติของเย่วซิน ที่ตอนนี้เสียการควบคุมตนเองไปอย่างสิ้นเชิง

    "ตั้งสติและมองหน้าข้า ท่านบอกมาสิว่าข้าคือใคร ท่านจำข้าได้หรือไม่"ดวงตากลมโตสีแดงจ้า จ้องมองคนตรงหน้าอยู่สักครู่จึงเอ่ย

    "ท่าน ยะ-เหยียนเป่ยฟง"

    พูดได้เพียงแค่นั้น ดวงตากลมโตก็ค่อยๆ ปิดลง ก่อนที่จะหมดสติไปทันที มือหนารีบช้อนกายงามขึ้นมาอุ้ม และพาออกจากห้อง แต่ก่อนจะไป ก็ได้หันกลับมาหาสองคน ที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้นอย่างน่าเวทนา

    "พวกเจ้าสองคนรู้หรือไม่ว่าเล่นอยู่กับใคร เขามีสามีแล้วและสามีเขา ดุกว่าเขาหลายเท่านัก ถ้าพวกเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ ก็รีบไสหัวไปซะ!! "

    "โถ่ช้ำใจคนงามมีผัวเสียแล้ว ขอบคุณท่านมากที่ช่วยพวกข้า ข้าขอลาข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ จะรีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้"

    พูดจาล่ำลาพลางขอบคุณคนตรงหน้าเสร็จ ก็รีบพากันหอบสังขารที่ยับเยินจนดูไม่ได้กันกลับไป แต่ก่อนจะไปก็ไม่วาย เหลือบมองร่างบางอีกครั้งอย่างแสนเสียดาย

    "น่าเสียดายจริงๆ แต่ข้าก็ไม่ขอเสี่ยง เมียยังดุขนาดนี้แล้วผัวที่ว่าดุกว่า จะขนาดไหน โอ้ย... คิดแล้วเสียวสันหลังวุ้ย"

    มือหนาค่อยๆ วางร่างบางที่ยังคงหมดสติลงบนที่นอนนุ่มในห้องตน ซึ่งอยู่ถัดมาจากห้องของเย่วซิน เขานอนหลับอยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงต่อสู้กันโครมคราม เลยตัดสินใจออกไปดู แต่พอเหยียบเท้าเข้ามาในห้องเท่านั้น ก็พบกับความย่อยยับของคนและสิ่งของ ในขณะนั้นเย่วซินกำลังขาดสติ และกำลังจะลงมือฆ่าคน เขาจึงรีบเข้าไปขวางเอาไว้

    ตาคมมองปานสีแดงบนหน้าผากมล เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนมันไม่เคยมี แล้วมันเกิดอะไรขึ้นแต่ยังไม่ทันจะคลายข้อข้องใจ ร่างบางก็เริ่มได้สติ

    "ท่านเป็นเช่นไรบ้าง องค์ราชินี"

    ร่างบางหันไปมองหน้าร่างสูง ก่อนจะหันไปมองรอบๆ ก็รู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ห้องที่ตนเคยนอน แต่เหมือนร่างสูงจะรับรู้จึงเอ่ยออกมา

    "ห้องของข้าเอง ห้องท่านคงนอนไม่ได้แล้วกระมัง ท่านนอนพักที่นี่ไปก่อน รับรองว่าท่านปลอดภัยแน่นอน"

    "ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้า"

    ร่างบางเอ่ยกับบุรุษตรงหน้า เขาจำได้ว่าบุรุษผู้นี้คือ ราชาเผ่าวิหคเหมันต์

    "เห็นคนเดือดร้อน จะไม่ช่วยก็ไม่ใช่ข้าแล้วล่ะองค์ราชินี"

    "เรียกข้าเย่วซินเฉยๆ ตอนนี้ข้าเป็นแค่คนธรรมดา"

    "แล้วเหตุใด ท่านถึงได้มาอยู่ที่นี่"

    "ท่านคงได้ยินเรื่องราวของข้ามาบ้างแล้ว"

    "ใช่ข้าพอจะรู้มาบ้าง ข้าเสียใจกับท่านด้วย เรื่อง... ลูกของท่าน"

    "ช่างมันเถิด มันผ่านไปแล้วล่ะ"

    "แล้วท่านจะไปที่ไหนต่อ"

    "ข้ายังไม่รู้ ข้าหนีเขามาเพราะเขาตามข้าไม่เลิก แต่ข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกแล้ว พันธะระหว่างเขากับข้า ก็ตัดขาดกันตั้งแต่ที่ข้าสูญเสียลูกไป"

    "ข้าเห็นใจท่านนะ ถ้ามีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้ ก็บอกข้าได้เลยไม่ต้องเกรงใจ แต่ข้าขอถามอะไรท่านสักหน่อย ถ้าท่านไม่สะดวกไม่ต้องตอบข้าก็ได้"

    "ท่านจะถามอะไรข้าก็ถามมาเถิด"

    "ปานแดงที่หน้าผากท่าน เมื่อก่อนข้าไม่เคยเห็น"

    "ท่านคงจะรู้มาบ้างว่าข้าถูกพิษร้ายของเฟยหลง จนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ที่รอดมาได้เพราะดวงจิตของหนิงเฟิ่ง สัตว์เทพประจำกายข้า ที่ยอมเสียสละมอบดวงจิตของตนเองให้ข้า ตอนนี้ดวงจิตของเขาอยู่ในกายข้า"

    "แล้วเขาเป็นเช่นไร"

    "ไม่มีดวงจิตร่างกายก็อยู่ไม่ได้ สลายหายไปตั้งแต่ที่ดวงจิตรออกจากร่าง"

    "มิน่า ท่านถึงได้โกรธเกลียดเฟยหลงมาก ข้าเสียใจด้วยจริงๆ แต่ท่านโชคดีนัก ที่มีสัตว์เทพประจำกายที่ซื่อสัจขนาดนี้ "

    "เขาไม่ใช่แค่สัตว์เทพประจำกายข้า แต่เขาเป็นดั่งครอบครัวของข้า ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้าไว้ แล้วท่านมาทำอะไรถึงที่นี่ บ้านท่านกับที่นี่ มันไกลกันมากมิใช่รึ"

    "ข้ามาทำธุระ ผ่านมาทางนี้เลยหยุดพักที่นี่ ไม่คิดว่าจะได้มาเจอท่าน"

    "พรุ่งนี้ข้าก็จะไปแล้ว ข้าลาท่านเลยแล้วกัน"

    ร่างบางพูดกับร่างสูงตรงหน้า

    "กลับไปยังเผ่าวิหคปักษากับข้าหรือไม่ แต่ที่นั่นหนาวเย็นมาก ท่านจะรับมือได้หรือเปล่าก็ไม่รู้"

    "ไม่เป็นไร ข้าขอไปตามทางของข้าดีกว่า อย่างไรก็ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้าไว้ ไม่เช่นนั้นข้าคงได้ฆ่าเจ้าคนวิปริตนั่นตายคามือเป็นแน่"

    "เอาแบบนี้ดีกว่า ข้าจะพาท่านไปฝากท่านหยางฟานที่เผ่าจิ้งจอกเงิน พักอยู่ที่นั่นไปก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ที่นั่นปลอดภัยที่สุดสำหรับท่านแล้ว"

    "จะดีรึ ข้าเกรงใจเขา"

    "ไม่เป็นไรหรอกข้ามีวิธีของข้า รับรองว่าเขาจะต้อนรับท่านด้วยความเต็มใจ นอนเสียเถิด อยู่กับข้าท่านจะปลอดภัยนอนซะ"

    "แล้วท่านล่ะ ข้านอนที่นี่แล้วท่านจะนอนที่ไหนกัน"

    "ไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้านอนแถวนี้แหละ พรุ่งนี้เราจะไปหาหยางฟานกัน"

    เย่วซินยิ้้มออกมาพร้อมพยักหน้ารับ เหยียนเป่ยฟงจึงยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งเย่วซินก็ไม่ได้สังเกต คราวนี้ร่างสูงก็หาเหตุผล ที่จะได้พบเจ้าหมาน้อยจอมกะล่อนของเขาได้แล้วล่ะซิ

    หลังจากพยายามวนเวียนหาทางอยู่หลายเดือน แต่ก็ไม่มีโอกาสเข้าถึงตัว ร่างสูงยิ้มอย่างพอใจ เดือดร้อนไปยังคนที่ถูกกล่าวถึง เพราะจู่ๆ ก็รู้สึกเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก และคงจะยังไม่รู้ว่าหลังจากวันนี้ ชีวิตที่แสนสงบสุขจะหายไป เพราะใครคนนั้น คนที่เขาชังน้ำหน้านัก

    เช้าวันใหม่ เย่วซินและเหยียนเป่ยฟงรีบตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนจะคืนห้องให้ทางโรงเตี๊ยมพร้อมกับมอบเงินค่าเสียหาย ที่ตนพังห้องนอนเสียเละ ก่อนจะรีบออกเดินทางมุ่งหน้าสู่อาณาจักรของจิ้งจอกเงินทันที เดินทางอยู่หนึ่งวันเต็มๆ พวกเขาใช้พลังเวทช่วยย่นระยะทางให้เร็วขึ้นได้หลายส่วนทีเดียว แต่ก็ถึงที่หมายเอามืดค่ำเหมือนกัน

    "ฝ่าบาท มีคนมาขอพบพระองค์ เขาบอกว่าเป็นสหายกับพระองค์พ่ะย่ะค่ะ"

    ทหารเข้ามารายงานหยางฟาน ที่กำลังสำราญอยู่กับเหล่าสนมคนงาม พวกนางนั่งบีบนวดเอาอกเอาใจเขาอยู่อย่างเพลิดเพลิน พอถูกขัดจังหวะก็ชักจะฉุนเฉียวขึ้นมา

    "ใครกัน สหายข้าก็มีตั้งมากมาย แล้วเขาบอกชื่อแซ่หรือไม่"

    "เขาไม่ได้บอกอะไร เพียงแต่ขอพบพระองค์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ"

    "ใครกันมามืดๆ ค่ำๆ เช่นนี้ ช่างไม่เกรงใจเสียบ้างเลย"

    "ข้าเอง เจ้าลืมข้าเสียแล้วรึ เจ้าหมาน้อย"

    ร่างสูงเดินเข้ามาเองโดยไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต เพียงแค่ได้เห็นหน้าผู้มาเยือนเท่านั้น หยางฟานถึงกับลุกขึ้นมายืนชี้หน้าผู้มาเยือน มือไม้สั่นด้วยความโมโหทันที ร่างสูงเพียงแค่ยกยิ้มจ้องมองใบหน้างามที่ตนคิดถึง

    "อะ-ไอ้นกเจ้าเล่ห์ จะ-เจ้า"

    พูดได้แค่นั้นก็ต้องหุบปากลงทันที เพราะสายตาคมที่จ้องมองมาทางตน ลุกวาวอย่างน่ากลัว จ้องมองเขาเป็นเชิงเตือนว่าให้เขาหุบปากลงเดี๋ยวนี้ ไอ้เจ้านกบ้ามันบังอาจมาข่มขู่เขา ในที่ของเขาได้อย่างไร ฝากไว้ก่อนเถิด เย่วซินคอยมองสังเกตอยู่ตลอดเวลา เลยเอ่ยขึ้น

    "ท่านแน่ใจรึ ว่าท่านกับท่านหยางฟาน สนิทกันอย่างที่ท่านบอก ข้าชักจะไม่แน่ใจเสียแล้ว"

    "สนิทสิ ถ้าไม่สนิทกันจริงๆ เขาจะกล้าลุกขึ้นมาชี้หน้าข้า ท่านดูสิว่าเขาดีใจแค่ไหนที่ได้เจอข้า

    ถึงขนาดนั่งไม่ติด รีบลุกมาต้อนรับข้าเลย เชื่อข้าท่านจะอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัย"เย่วซินก็อยากจะเชื่อ แต่ก็ทำใจเชื่อยากนัก ก็สิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้ ดูเหมือนหยางฟานอยากจะฆ่าเหยียนเป่ยฟงมากกว่า

    "นั่นมัน... องค์ราชินีของวังมังกรนี่ ข้าต้องขออภัย ที่ไม่ได้ต้อนรับท่านให้ดีกว่านี้"

    หยางฟานมัวแต่โมโหอีกคน จนไม่ทันได้สังเกตว่า คนที่มากับราชาเผ่าวิหคคือใคร ก็เพิ่งจะมาสังเกตเห็นเอาตอนนี้ เลยขออภัยที่ตนเสียมารยาท

    "ท่านหยางฟานอย่าเรียกข้าเช่นนี้อีก ตอนนี้ข้าเป็นแค่คนธรรมดาเรียกชื่อข้าเฉยๆ ก็พอ"

    "ข้าก็พอจะรู้เรื่องราวของท่านมาบ้างแล้ว ข้าเสียใจเรื่องลูกของท่านด้วย"

    หยางฟานแสดงความเสียใจต่อเย่วซินอย่างจริงใจ เขารับรู้ถึงความร้ายกาจของราชามังกรมาบ้าง ร่างบางตรงหน้าเขาช่างน่าเห็นใจเหลือเกิน

    "ก็เพราะเป็นเช่นนี้ ข้าเลยอยากฝากท่าน เอ่อ... เย่วซินกับเจ้าด้วยหยางฟาน"เหยียนเป่ยฟงจำใจเรียกเย่วซินเพียงชื่อ เพราะถูกสายตากดดันจากเจ้าตัว หยางฟานรับปากทันที เพราะเห็นใจอีกคน หลังจากได้รับฟังเรื่องราวอีกมากมายจากเย่วซิน

    และรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหนีใครมา และกำลังต้องการที่พึ่งพิง จะให้เขานิ่งดูดายก็คงไม่ได้

    "ข้ายินดีต้อนรับท่านเสมอ เดี๋ยวข้าจะให้พวกนางพาท่านไปพักผ่อน เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว เอ่อข้าจะสั่งกำชับทุกคน ว่าไม่ให้แพร่งพรายเรื่องของท่านออกไปอย่างเด็ดขาด เพราะฉะนั้นท่านไว้ใจได้"

    "ขอบคุณน้ำใจท่านมากจริงๆ ท่านหยางฟาน"

    "ไม่เป็นไรหรอก ท่านอย่าได้คิดมากเลย เอาล่ะพวกเจ้าพาสหายข้าผู้นี้ไปพักผ่อน แล้วดูแลความเรียบร้อยด้วย ขาดเหลืออะไรท่านใช้พวกนางได้เลย"

    "ขอบคุณท่านอีกครั้ง แล้วท่านเป่ยฟงล่ะจะพักที่ใด"

    ร่างบางหันไปถามหยางฟานเรื่องที่พักของเป่ยฟงอย่างเป็นห่วง เพราะอย่างไรร่างสูงก็ช่วยเขาไว้เเละพาเขามาที่นี่อีก

    "เจ้านกบ้านั่น จะนอนที่ไหนก็หาที่นอนเอาเอง ไม่ใช่ธุระอะไรของข้าสักหน่อย"

    หยางฟานพูดจบก็กลับตำหนักตนทันที ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกนางกำนัลพาเย่วซินไปพัก เพราะไม่อยากอยู่มองหน้าเจ้านกจอมเจ้าเล่ห์นานนัก ขาเรียวก้าวไปข้างหน้าโดยไม่สนใจ คนที่กำลังมองตามหลังตนอยู่ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

    เย่วซินหันไปมองหน้าหยางเป่ยฟงแบบว่างงมาก นี่พวกเขาเป็นสหายกันจริงๆ รึ ดูจากท่าทางแล้ว ถ้าบอกว่าเป็นศัตรูกันยังน่าเชื่อถือกว่าอีก แล้วทำไมเขารู้สึกว่า สองคนนี้มีอาการแปลกๆ เป่ยฟงยักไหล่ให้เย่วซินอย่างไม่แยแส

    "ท่านอย่าใส่ใจเลยข้านอนที่ไหนก็ได้ เดี๋ยวข้าจะหาที่นอนเอาเองท่านไปพักเถิด"

    "ท่านแน่ใจรึ ความจริงท่านพักกับข้าก็ได้"

    "ไม่ดีกว่า ข้ามีที่ที่ดีกว่านี้อีก"

    รอยยิ้มร้ายยกขึ้นที่มุมปากหนา หากแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น

    ร่างโปร่งสมส่วนค่อยๆ ก้าวลงอ่างอาบน้ำเพื่อชำระกายให้สะอาด แผ่นหลังเอนพิงขอบอ่าง ดวงตาคมหลับลงเพื่อพักสายตา ความเหนื่อยล้าที่มีถูกชำระล้างด้วยน้ำอุ่นๆ ดวงตาคมหลับพริ้มอย่างผ่อนคลาย

    เวลาผ่านมานานเท่าไรไม่รู้ได้ เพราะตอนนี้ร่างโปร่งหลับลงไปจริงๆ เขามักจะหลับคาอ่างอาบน้ำบ่อยๆ เพราะความสบายตัวหลังจากเหนื่อยล้ากับงานที่กองท่วมหัว การเป็นผู้นำใครว่ามันสบาย หากเลือกได้เขาอยากเป็นแค่คนธรรมดา ที่ไม่ต้องรับภาระอะไร อยู่ย่างคนธรรมดาคงไม่ปวดหัวอย่างเช่นทุกวันนี้

    ขาแกร่งก้าวเข้ามาในห้องอาบน้ำส่วนตัวของร่างโปร่ง หลังจากที่เขาเข้ามานั่งรออีกคนในห้องนอน แต่มันนานจนผิดสังเกต เลยตัดสินใจก้าวเข้ามาในห้องที่ร่างโปร่งหายเข้าไป แต่ภาพที่เห็นเล่นเอาคนมองถึงกับหายใจติดขัด

    ก็เจ้าหมาน้อยของเขากำลังนอนหลับอย่างสบายใจ โดยไม่รู้ว่าตนไม่ได้อยู่ในนี้เพียงลำพัง แถมร่างกายที่ซ่อนอยู่ในน้ำมันไม่ได้ช่วยปกปิดอะไรได้เลย ก็น้ำใสแจ๋วขนาดนี้ เขาเลยเห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

    ร่างกายขาวผ่องนวลเนียนเสียจนคนมอง ต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย สมกับเป็นเชื้อสายจิ้งจอกเงินที่รักความสวยความงาม ความเหนื่อยล้าที่ฉายชัดบนใบหน้า ทำให้ร่างสูงรู้ว่าร่างโปร่งคงอ่อนล้ามาก จนไม่รับรู้ถึงการมาของเขา มือหนาคว้าเอาผ้าผืนใหญ่มาพาดไหล่เอาไว้ กายแกร่งก้มตัวลงไปช้อนร่างที่กำลังหลับอย่างสบายขึ้นมา ก่อนจะตวัดผ้าที่ไหล่ปกปิดร่างกายนุ่มนิ่มของหยางฟาน ร่างโปร่งเพียงขยับตัวยุกยิกไปมาก่อนจะหลับต่อ

    มือหนาค่อยๆ วางร่างของคนขี้เซาลงบนที่นอนนุ่ม ร่างสูงค่อยๆ เช็ดเนื้อตัวให้ร่างโปร่งจนแห้งและหาชุดนอนมาสวมให้ ในขณะที่อีกคนไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย ทั้งดิ้นทั้งส่งเสียงครางในลำคอเวลาโดนขัดใจ ตาหลับแต่ปากก็ครางงึมงำไปเรื่อย จนร่างสูงกัดฟันกรอด ข่มอารมณ์ด้านมืดของตนเต็มกำลัง กว่าจะจับสวมชุดนอนเสร็จ ก็เล่นเอาเหนื่อยไปเหมือนกัน

    "เจ้าหมาน้อย อะไรจะขี้เซาขนาดนี้ มันน่าลักหลับให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีไหม"

    ร่างสูงบ่นงึมงำคนเดียว เพิ่งจะเคยเห็นอีกมุมของร่างโปร่ง ที่ผ่านมาเห็นแต่ความเย่อหยิ่งยโส แต่ตอนนี้คนตรงหน้าเขาเหมือนเด็กน้อยเสียอย่างนั้น

    นี่คงจะเป็นอีกมุม ที่ร่างโปร่งพยายามปกปิดเอาไว้กระมัง ร่างสูงเอนตัวลงนอนข้างกัน รวบร่างคนตรงหน้าเข้ามากอดเอาไว้ และข่มตาให้หลับตามอีกคนไป แต่มันยากยิ่งนัก ก็เพราะร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นที่เขากอดอยู่ มันเอาแต่รบกวนจิตใจเขาจนนอนไม่หลับ เลยแอบรังแกคนนอนหลับไปบ้างเล็กน้อย

    ร่างบางของเย่วซินพลิกกายไปมาตลอดทั้งคืน ข่มตาอย่างไรก็ไม่หลับ เพราะใจเจ้ากรรมมันไม่รักดี เอาแต่ร้องเรียกคนใจร้ายไม่หยุดหย่อน สมองสั่งให้ลืมแต่ใจมันกลับเรียกหา เป็นแบบนี้มาตลอด แม้พยายามบอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเกลียดคนผู้นั้น แค้นแสนแค้น บอกตัวเองว่าสักวันเขาจะสามารถลืมอดีตไปได้ พร้อมๆ กับคนที่ทำให้ตนเจ็บ ตอนนี้ก็ผ่านมาสองวันแล้ว หลังจากที่พาเย่วซินไปส่ง

    เฟยหลงก็ติดธุระสำคัญจนไม่มีเวลาไปหาอีกคน จนถึงวันนี้ร่างสูงรีบไปยังเผ่าหงส์ไฟตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะคิดถึงใบหน้างามนัก แต่ก็ต้องผิดหวังเป็นอย่างมาก เมื่อมารดาของเย่วซินบอกว่า คนที่ตนต้องการพบไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว มือหนากำเข้าหากันแน่นอย่างข่มอารมณ์โกรธ เขารู้ว่าเย่วซินจงใจหนีเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาจะตามหาให้พบ ต่อให้นานเท่าไรก็ต้องตามให้เจอ ไม่ว่าร่างบางจะไปหลบอยู่ที่ไหนก็ตาม

    "ไม่ว่าเจ้าจะหนีข้าไปอยู่ที่ไหน ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินตามหา ข้าก็จะตามไปลากตัวเจ้ากลับมาให้ได้ ในเมื่อพูดกันดีๆ ไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด แล้วเราจะได้เห็นดีกัน เย่วเอ๋อร์"

    ในเมื่อเขาตามมาง้อและทำทุกวิถีทางให้เย่วซินยอมยกโทษให้ เขายอมทุกอย่างแต่ร่างบางกลับหนีเขาไปเช่นนี้ จะให้เขาทำเช่นไรดี ตอนนี้เขาสับสนไปหมดแล้ว รักก็แสนรักโกรธก็แสนโกรธ แต่เพราะตนเป็นคนผิดข้อนี้เขาย่อมรู้ดี จึงไม่สามารถทำอะไรมากเกินไป นอกจากกลับอาณาจักรตนไปอย่างเงียบๆ ไม่อาละวาดให้อะไรๆ แย่ไปกว่านี้

    อาณาจักรจิ้งจอกเงิน

    "ว๊าก...ไอ้นกบ้าเข้ามาทำอะไรในห้องข้า!! "

    โครม!!

    เสียงเอะอะดังออกมาจากห้องนอนของหยางฟานตั้งแต่ตอนเช้า เรียกความสงสัยให้เหล่าพวกนางกำนัล ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนนัก ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในห้องนั้น

    "โอ๊ย... ทำอะไรของเจ้านี่! "

    เป็นเสียงของคนที่กำลังหลับอยู่ดีๆ ก็กระเด็นตกเตียงเสียอย่างนั้น ร่างสูงถึงกับโมโหที่ร่างโปร่งกล้าถีบเขาตกเตียงเช่นนี้

    "เจ้าเข้ามาในห้องข้าได้อย่างไร ใครอนุญาต"

    "เจ้าอนุญาตเองนะ ข้าแค่มาหาที่นอน ก็เจ้าบอกเองไม่ใช่รึ ว่าจะนอนตรงไหนก็หาเอาเอง"

    "เจ้านกบ้า หน้าไม่อาย อย่ามาทำตัวซื่อบื้อแถวนี้นะ คิดว่าข้าไม่รู้ทันเจ้าหรือ เจ้านกหน้าด้าน!! "

    "ด้านได้ อายอด ข้าถือคตินี้"

    "ออกไปจากห้องข้าเดี๋ยวนี้"

    ดวงตากลมโตของหยางฟานจ้องมองผู้บุกรุกด้วยสายตาวาวโรจน์ อย่างเอาเรื่อง จนเหยียนเป่ยฟงยอมถอยออกไปดีๆ ร่างสูงเดินเล่นไปเรื่อยๆ สำรวจความหรูหราของวังจิ้งจอก ที่สร้างขึ้นมาจากหินเนื้อดี ตกแต่งสวยงามหรูหรา ต่างจากอาณาจักรตน ที่ส่วนมากสร้างขึ้นด้วยไม้ แต่เป็นไม้เนื้อดีหายาก ที่สืบทอดกันมานมนาน

    เพราะอาณาจักรเขาอยู่ในเขตหนาวเย็น ทุกอย่างในอาณาจักรส่วนมากจะถูกสร้างขึ้นมาด้วยไม้ เพื่อความอบอุ่น ผิดกับที่นี่ซึ่งเป็นเขตร้อน จิ้งจอกไม่ชอบอากาศร้อน ทุกอย่างจึงถูกสร้างขึ้นมาด้วยหิน เพื่อให้ความเย็นสบาย และจิ้งจอกน้อยของเขาไม่ชอบอากาศร้อน จึงชอบแช่น้ำจนหลับคาอ่างอาบน้ำแทบทุกครั้ง พอย้อนไปคิดถึงตอนนั้น ร่างสูงก็ยกยิ้มขึ้น ป่านนี้เจ้าจิ้งจอกน้อยคงสงสัยเต็มกำลังแล้วกระมัง ว่าใครพาตนเข้ามานอน และใครเป็นคนใส่เสื้อผ้าให้ ก็คงจะเดาได้ไม่ยาก เพราะในห้องนอนมีแค่ตนเอง และเขาที่นอนอยู่ด้วยกัน ป่านนี้คงได้อาละวาดน่าดู

    "เจ้านกบ้า เจ้านกหน้าด้าน เจ้าทำอะไรกับร่างกายของข้า! "เป็นอย่างที่ร่างสูงคิด ร่างโปร่งกำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เมื่อพบว่าบนร่างกายตนเองมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น มันมีจ้ำแดงๆ อยู่หลายจุด มองก็รู้ได้ในทันทีว่า ร่องรอยเหล่านี้มันเกิดจากอะไรและใครเป็นคนสร้าง ในเมื่อมีแค่ตนกับเจ้านกผีนั่น ที่เมื่อคืนนอนด้วยกันในห้องนี้ จะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่

    อุทยานหลวง

    "อ๊าก... ข้าจะฆ่าเจ้า ไอ้นกบ้ากาม! "

    เย่วซินเดินผ่านมาพอดี เลยได้ยินด้วยความบังเอิญ แอบสงสัยว่าหยางฟานไปโกรธใครมาแต่เช้าเช่นนี้ ขาเรียวก้าวเข้าไปหาหยางฟานที่ยืนอยู่ข้างสระน้ำในอุทยานหลวง

    เพราะความโกรธเคืองคนหน้าหนา เลยเดินออกมาสงบใจ อากาศดีๆ อาจทำให้หยางฟานใจเย็นลงได้บ้าง ส่วนเย่วซินเห็นว่าอากาศยามเช้าสดชื่นนัก เลยออกมาเดินเล่น แต่กลับต้องมาพบกับเจ้าของพื้นที่ ที่ดูจะอารมณ์ตรงกันข้ามกับบรรยากาศในตอนนี้

    "ท่านหยางฟาน ไม่คิดว่าจะเจอท่านที่นี่ อากาศยามเช้าของที่นี่สดชื่นนัก"

    "เช้าๆ เช่นนี้ข้าชอบออกมาเดินเล่น ข้าดีใจที่ท่านชอบ เมื่อคืนนอนหลับสบายดีหรือไม่"

    "ข้านอนหลับสบายดี ขอบคุณน้ำใจของท่านมาก"

    "แต่ข้านอนไม่สบายเลย มีหมาน้อยคอยกวนจนนอนไม่หลับ” ทั้งสองกำลังคุยกัน ก็มีคนที่หยางฟานไม่อยากเจอโผล่มา แล้วยังจะมาทำลอยหน้าลอยตาพูดพลางจ้องมองมาทางเขา เย่วซินเลยถามขึ้น

    "แล้วเมื่อคืนท่านไปนอนที่ไหน"

    "ก็แถวๆ นี้แหละ แต่ดันฝันร้ายเสียได้ ข้าฝันว่าถูกคนใจดำถีบตกเตียงน่ะ เลยนอนไม่ค่อยหลับ"

    "อย่างนั้นเอง แล้วคืนนี้ท่านจะนอนอย่างไรล่ะ"

    เย่วซินชักสงสัยกับพฤติกรรมของคนทั้งคู่ เพราะในขณะที่เหยียนเป่ยฟงพูด ก็เอาแต่จ้องมองหยางฟาน

    แต่ท่าทางของหยางฟานดูเหมือนอยากจะกินหัวคนตัวสูงเสียมากกว่า เขาจึงคิดว่าสองคนนี้มันชักจะยังไงๆ อยู่นะ

    "ไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก"

    หลังจากที่เป่ยฟงและเย่วซินมาอยู่ที่นี่ หยางฟานก็ไม่เคยพบกับความสงบอีกเลย เย่วซินไม่มีอะไรให้เคืองใจ จะมีก็แต่เหยียนเป่ยฟงที่คอยก่อกวนเขาอยู่เรื่อย ถ้าวันไหนเจ้านกหน้าหนากลับไปยังอาณาจักรตน เขาก็จะสบายหน่อยที่ไม่มีใครคอยกวนใจ

    แต่เพียงไม่กี่วัน เจ้านกหน้าหนาก็จะกลับมาเสนอหน้าให้เขารำคาญใจได้อีก จนกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว หากวันไหนไม่เห็นร่างสูง หยางฟานก็จะเป็นฝ่ายมองหาอีกคนโดยไม่รู้ตัว และห้องนอนของร่างโปร่ง ก็เป็นที่นอนประจำของร่างสูงไปเสียแล้ว แม้ว่าหยางฟานจะไล่อย่างไรร่างสูงก็ไม่ยอมไป

    เย่วซินมาอาศัยอยู่ที่อาณาจักรจิ้งจอกก็นานพอควร ไปๆ มาๆ เวลาก็ผ่านไปสองปีแล้ว แต่เป็นสองปีที่ทรมานมาก เพราะเขาพยายามอย่างหนักที่จะตัดใจ ให้ตนลืมอดีตละทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง จนมาถึงตอนนี้ หัวใจที่บอบช้ำมันเริ่มจะทุเลาลงมาบ้าง เพราะมันค่อยๆ เยียวยาตนเองไปทีละน้อยๆ ไปพร้อมๆ กับเวลาที่หมุนอย่างช้าๆ หลังจากบอบช้ำจนไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะหายใจ หากมาวันนี้เขารู้สึกดีขึ้นมาก ใจเขาไม่ทุรนทุรายอย่างเช่นที่ผ่านมาอีกแล้ว

    เป็นสองปีที่ร่างบางเริ่มจะทำใจ และลืมเรื่องราวเลวร้ายลงได้บ้าง แต่กลับกันกับเฟยหลง มันเป็นสองปีที่แสนทรมานสำหรับเขา ที่มีแต่จะเจ็บช้ำถาโถมเข้ามา ความเจ็บปวดมันมีแต่เพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน เมื่อไม่สามารถหาร่างบางเจอ

    ไม่มีแม้แต่ข่าวคราวว่าร่างบางไปอยู่ที่ไหนเป็นเช่นไรบ้าง เหมือนคนที่ตนรักได้หายไปจากชีวิต มันร้าวรานใจไม่น้อยเมื่อคิดถึง ส่งคนไปสืบหากี่คนก็ไม่ได้อะไรกลับมา มันทำให้อารมณ์โกรธของร่างสูงค่อยๆ สะสมทีละน้อย และเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ วัน เขานิ่งขรึมจนน่ากลัวในสายตาทุกคน

    ส่วนอี้เฟยช่วงนี้เห่อลูกเอามากๆ เพราะธิดาตัวน้อยเริ่มจะหัดพูดจาฉอเลาะน่ารักน่าชังนัก จนผู้เป็นปู่ย่าหลงกันหัวปักหัวปำ โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อหวงยิ่งกว่าจงอางหวงไข่เสียอีก ในขณะที่น้องชายมีครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่ครอบครัวของเขากลับพังลงด้วยน้ำมือตัวเขาเอง มันจึงเป็นความรู้สึกผิดที่ฝังลึกลงไปในใจเขามาตลอด

    และวันนี้ในที่ประชุม ทุกคนต่างเรียกร้องให้ร่างสูงผูกพันธะเลือกราชินีองค์ใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะคิดว่าอย่างไรเสีย เย่วซินคงไม่กลับมาอีกแล้ว บิดาและมารดาของเขาก็เห็นชอบด้วย เฟยหลงไม่ยอมรับคำ เขาขอเวลาอีกหน่อย พยายามยื้อเวลาเพื่อที่จะหาร่างบางให้พบ ก่อนที่เขาจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีก

    แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไร้วี่แวว และหมดหวังลงทันทีที่ถูกกฎดัน ให้เขาส่งดวงจิตมังกรเฟ้นหาคู่ชะตาอีกครั้ง เพราะบัลลังก์มังกรจะขาดราชินีเคียงคู่ไม่ได้ เขาเลยหมดหนทาง จนด้วยเหตุผลจึงรับปากว่า คืนนี้จะส่งดวงจิตรมังกรออกไปเฟ้นหาราชินีองค์ใหม่ แต่ถึงอย่างไรถ้าหากหาเย่วซินพบ เขาก็ไม่ขอแต่งตั้งใครนอกจากร่างบางเพียงผู้เดียวเท่านั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×