คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : เเมวขโมย
หลิงซานนั่งมองสร้อยคอที่ตนสวมอยู่อย่างเหม่อลอย มือเล็กจับเอาจี้รูปมังกรขึ้นมาดูอย่างเบื่อหน่ายพร้อมถอนหายใจเสียเฮือกใหญ่ เย่วซินเดินผ่านมาเห็นเข้าเลยหยุดทักทายน้องชายทันที
"เจ้ากำลังมีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าหลิงซานบอกข้าได้นะ ข้ายินดีรับฟังทุกเรื่อง"
หลิงซานเเหงนหน้ามองพี่ชายก่อนจะขยับเเละชวนอีกคนนั่งลงข้างตน
"ท่านพี่นั่งก่อนเถิด ข้ายังเหลือเวาลาที่จะอยู่ที่นี่อีกกี่วัน"
"คงประมาณห้าวันเห็นจะได้"
"แค่ห้าวันหรอกหรือท่านพี่ ทำไมมันเร็วนักนะข้ายังทำใจไม่ได้เลย ฮึก ๆ ๆ ฮือๆ ๆ"
เย่วซินเห็นเเบบนี้เเล้วพูดอะไรไม่ออกได้เเต่ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดเเละปลอบใจ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เเต่ก็ดีกว่ายืนมองเฉยๆโดยไม่คิดที่จะทำอะไรเลย
"หลิงซานข้าไม่ได้อยากไห้เจ้าจากที่นี่จากครอบครัวข้าไปเลย เเต่ข้าขัดมิได้หวังว่าเจ้า จะเข้าใจข้าอย่าได้โกรธเคืองข้าเลยนะหลิงซาน"
"ข้าไม่ได้โกรธท่านพี่เลยแม้แต่น้อย ข้าอยากกลับบ้านอยากกลับไปหาครอบครัวของข้าข้าคิดถึงพวกเขา"
หลิงซานพูดจบก็หยิบสร้อยคอขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ ก่อนจะหันไปพูดกับพี่ชายตน
"คงเป็นสร้อยเส้นนี้ที่พาข้ามาที่นี่ แล้วมันจะพาข้ากลับบ้านหรือเปล่าท่านพี่ ข้าอยากกลับบ้าน"
"มันก็เเล้วเเต่ชะตาของเจ้า หากบุญวาสนาของเจ้ามากพอ เจ้าก็อาจสมหวังก็เป็นได้"
"คงยาก เกิดมาข้าเคยเข้าวัดทำบุญกับเขาหรือเปล่าข้ายังจำไม่ได้ เเล้วจะเอาบุญมาจากที่ไหนกันนะ รู้งี้น่าจะทำบุญไว้เยอะๆก็จะดี"
หลิงซานพูดกับเย่วซินออกไปเเบบนี้ เย่วซินเลยตัดบทโดยการชวนอีกฝ่ายไปพบคนรักของตน ไม่นานทั้งคู่เลยมายืนอยู่ที่บ้านท่านผู้นำ หลิงซานเลยรับรู้อะไรๆเกี่ยวกับพี่ชายตนมากขึ้นหลายอย่าง เช่นพี่ชายตนมีคนรักซึ่งเป็นบุตรสาวของท่านผู้นำหมู่บ้าน เเละเขาก็จะขึ้นเป็นผู้นำหมู่บ้านคนต่อไป
"เจ๋งเหมือนกันนะพี่ชายเรา เล่นจีบลูกสาวผู้นำหมู่บ้านเลย เจ๋งสุดๆ"
"เจ้าว่าอย่างไรนะข้าฟังไม่ถนัด"
"ช่างมันเถิด ท่านพี่อย่าได้สนใจคำพูดของข้าเลย"
"อ้าวเย่วซิน หลิงซานด้วย พวกเจ้ามาหาข้ารึ"
หนิงอันถามออกมา หากเเต่สายตากลับจ้องมายังเย่วซินอย่างหวานหยด เล่นเอาเย่วซินถึงกับยิ้มออกมาอย่างเขินอายเสียอย่างนั้น
"พี่หนิงอัน ท่านจ้องพี่ชายข้าอย่างจะจับพี่ข้ากลืนลงท้องเสียอย่างนั้น ดูซิพี่ชายข้าเขินท่านใหญ่เเล้ว"
เย่วซินได้ยินน้องชายตนพูดเเบบนี้ ก็กลัวว่าหนิงอันจะอับอายเลยพูดเเก้ตัวเเทน
"ก็ข้ากับหนิงอันเป็นคนรักกันนี่ มันจะเเปลกอะไร ก็ข้ากับนางก็จะมีพิธีมงคลขึ้นในไม่ช้า เจ้าอย่าได้พูดเเบบนี้ไห้ใครได้ยินเชียวหลิงซาน"
"ก็ข้าไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยนี่หน่า"
หลิงซานบ่นออกมาเบาๆ รู้ว่าเย่วซินดุเขากลายๆที่ทำไห้หนิงอันอับอาย หนิงอันเลยตัดบท
"เอาล่ะว่าเเต่เจ้าเถิด ไกล้จะถึงวันเข้าพิธีผูกพันธะเเล้ว เตรียมตัวให้พร้อมเถิดอย่าเอาเเต่เที่ยวเล่นซุกซนล่ะ"
"พี่หนิงอัน ข้าโตเเล้วนะไม่ใช่เด็กสามขวบซักหน่อย"
"อ้าวโตแล้วรึนี่ข้าคงจะมองเจ้าผิดไปจริงด้วยอีกไม่นานก็จะออกเรือนไปอยู่กับสามีเเล้วสินะ ข้าลืมเสียสนิทเลย"
หลิงซานถึงกับหน้าม้าน เถียงไม่ออกทำหน้าเหรอหรา รู้สึกเหมือนอยากจะมุดดินเสียเดียวนี้เพราะความอับอาย เขาเป็นผู้ชาย จะเเต่งไปเป็ยเมียเขาได้ไง ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด
"พี่หนิงอันถ้าท่านยังจะพูดเเบบนี้อีกล่ะก็ ข้าจะไม่ยกท่านพี่ให้ท่านนะ ข้าจะยึดท่านพี่ไว้คนเดียวไม่ยกไห้ใครทั้งนั้น"
"ไม่ได้เย่วซินเป็นของข้าคนเดียว ใครก็ไม่มีสิทธิ์"
สงครามเเย่งชิงเล็กที่ไม่จริงจังนัก เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะของทั้งสามคนดังไปทั่วบริเวรนั้นบ่งบอกถึงความสุขของเจ้าของเสียงเป็นอย่างดี
"
"
"
"
"
"ใครบอกว่าพวกเจ้ามีสิทธ์ในตัวเขากันล่ะ ข้าต่างหากละที่เป็นเจ้าของเขาโดยเเท้จริงเเต่เพียงผู้เดียวอย่างสมบูรณ์ในอีกไม่ช้า ไม่ว่ามันผู้ไดก็ไม่มีสิทธ์ทั้งนั้น"
เฟยหลงซึ่งตอนนี้ใช้ดวงจิตรมังกรเเอบมองคู่ของตนด้วยหัวใจที่ไม่ค่อยจะเป็นสุขสักเท่าไร เขาเพิ่งจะรับรู้ว่าคู่ของตนมีคนรักอยู่ก่อนเเล้ว เเละกำลังจะมีพิธีมงคลเกิดขึ้นในไม่ช้า เเต่เขาไม่ยอมไห้มันเป็นอย่างนั้นเเน่นอน แล้วร่างบางไม่รู้ตัวหรอกหรือว่า ตนคือใครเเล้วท่านผู้นำยังจะยอมให้คนทั้งคู่คบกันได้อีกหรือ
ตกดึก
ที่บ้านของเย่วซินซึ่งตอนนี้เย่วซินกำลังหลับสนิทอยู่บนฟูกนอนหนานุ่มอย่างสบาย ส่วนหลิงซานก็อยู่อีกห้องนึง ในขณะเดียวกัน ได้มีเงาดำไหววูบอยู่ในห้องของเย่วซิน เเมวขโมยตัวเขื่องตรงไปยังร่างบางที่หลับไหลอย่างเงียบกริบ ก่อนจะก้มหน้าลงขโมยหอมเเก้มคนที่นอนหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ปล่อยไห้เจ้าเเมวหัวขโมยเเอบลวนลามอย่างย่ามใจหากเเต่ไม่ทันไร ความรู้สึกเย็นวาบที่ลำคอของตน ทำให้ต้องชะงักเเละหยุดการกระทำทุกอย่างลงทันที มีดสั้นเล่มเล็กได้จ่อลงบนลำคอเเกร่งอย่างเตรียมพร้อมหากคนตรงหน้ามีลูกเล่นอะไร มันก็พร้อมที่จะปักลงไปทันทีอย่างไม่ลังเล เล่นเอาคนที่โดนมีดจ่อลำคอเอาไว้หยุดนิ่งไปอึดใจใหญ่ ร่างบางเลยเอ่ยถามขึ้น
"เจ้าต้องการสิ่งใดบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ ไม่
เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าซะตอบมา"
เย่วซินข่มขู่อีกฝ่ายพร้อมกดคมมีดให้ลึกลงไปอีก เรียกเลือดไห้ไหลซึมออกมาเล็กน้อย สร้องความเจ็บๆ เเสบๆ คันๆให้อีกฝ่าย จนเขายอมเอ่ยปากขึ้นมาเบาๆเเละเเน่นอนว่าหากมีครั้งหนึ่งเเล้วครั้งที่สองย่อมเกิดขึ้นได้ไม่อยาก สำหรับคนที่เเอปแหกกฎหนีออกมาเป็นครั้งที่สอง
"ข้าก็แค่คิดถึงเจ้าเท่านั้น เลยมาเยี่ยมเสียหน่อย"
เฟยหลงพูดออกมาได้เพียงเเค่นี้ เย่วซินก็จำเสียงเขาได้เป็นอย่างดี เพราะคราที่เเล้วอีกคนได้ฝากอะไรไว้กับเขาบ้าง จนถึงตอนนี้เขายังจำมันได้ดี
"เจ้า ไอ้แมวหัวขโมย ข้าจะฆ่าเจ้า"
เย่วซินพูดออกมาด้วยความเดือดดาลเฟยหลงเลยรีบรวบข้อมือที่กำมีดอยู่ไว้อย่างมั่นคง ก่อนจะใช้เเรงตนเองเพียงนิดเดียว บิดข้อมืออีกฝ่ายจนมีดกระเด็นหลุดออกไปเพราะความเจ็บปวด
"อ๊ากๆๆๆเจ้าบ้าปล่อยข้านะข้าเจ็บ"
"เเล้วข้าไม่เจ็บหรอกหรือ ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ จงตัดใจจากนางซะ ถ้าเจ้าไม่อยากเจ็บเจียนตาย เพราะอย่างไรเสียเจ้ากับนางก็ไม่มีทางสมหวังหรอก จำไว้เลิกกับนางซะ"
"ข้ามีสิทธิ์ในตัวเจ้ามากกว่าที่เจ้าคิด"
"นี่เจ้าเป็นหมาหรืออย่างไร ถึงชอบกัดเช่นนี้"
เย่วซินไม่พูดไม่จากัดไม่ยอมปล่อยเฟยหลงมัวเเต่หาวิธีให้คนตัวเล็กยอมปล่อยเเขนเขาเสียที ถ้าเป็นผูอื่นคงได้เลือดกลบปากไปบ้างแล้ว เเต่สำหรับร่างบางเขาไม่อยากใช้ความรุนเเรงเลยสักนิดความที่เขาไม่ทันระวังตัวเย่วซินเลยใช้จังหวะนี้ตีเข่าเข้าเป้าหมายตรงกลางระหว่างขาอย่างพอดิบพอดี เฟยหลงพลิกตัวกลับทันที เขากอบกุมของรักเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด เย่วซินลุกพรวดกระโจนลงจากฟูกนอนโดยไม่หันกลับไปมอง เฟยหลงเห็นดังนั้นก็กระโจนตามเพื่อสกัดอีกคนไม่ให้หนีออกไปได้ ร่างเล็กล้มลงกระแทกกับพื้นห้องเสียโครมใหญ่ พร้อมกับร่างหนาที่ตอนนี้ได้ขึ้นคร่อมอยู่เหนือร่างบางเรียบร้อยเสียเเล้ว ร่างหนาจับรวบข้อมือของร่างเล็กเอาไว้ด้วยมือข้างเดียวอย่างแน่นหนา เย่วซินตกใจทำอะไรไม่ถูกเเละไม่เข้าใจกับการกระทำของอีกฝ่ายว่าทำไปเพื่ออะไร
"เจ้าต้องการอะไรปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ไม่เช่นนั้นเเล้ว ข้าจะถือว่าเจ้าหมดบุญคุณที่ได้ช่วยข้าในคืนนั้นเสียสิ้น เเล้วเราอย่าได้พบเจอกันอีกเลย"
เฟยหลงได้ยินเช่นนั้นเเล้วก็พาให้โกรธอีกคนยิ่งนัก
"ไม่มีทาง อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องเป็นของข้าเเต่เพียงผู้เดียว ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปอย่างเด็ดขาด"
"นี่ท่านวิปลาศไปเเล้วหรือไร พูดอะไรออกไปรู้ตัวหรือไม่"
"ข้ามีสติดีทุกอย่าง เเละข้าก็หมายความเช่นนั้นจริงๆ"
"แต่ข้าไม่ อื้อ อ่อย อ้า(ปล่อยข้า)"
ความดื้อดึงของคนตรงหน้าทำไห้เฟยหลงขาดสติยั้งคิด เขาเผลอใช้ความรุนเเรงจับร่างบางเหวี่ยงไปบนฟูกหนา ตามด้วยร่างกายอันสูงใหญ่ทีปรี่เข้าไปจับร่างบางเอาไว้อย่างเเน่นหนา ใช้กำลังของตนกดไว้ไม่ไห้อีกตนหนีไปไหนได้ ก่อนจะใช้กำลังที่มีมากกว่า บังคับจุมพิตอีกฝ่ายดูดดึงลมหายใจของรางเล็กจนเกือบสิ้นลม จึงยอมถอนริมฝีปากออกอย่างช้าๆตอนนี้ร่างเล็กเม้มปากเเน่น จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง ถึงจะมืดมองไม่เห็นใบหน้าคนผู้นี้ เเค่เงาเลือนลางก็บ่งบอกได้ว่าเขารูปร่างดีมาก เเละหน้าตาคงไม่เล็วร้ายเเต่อย่างใด
"ท่านมันบ้าไปเเล้วข้ามีคนรักเเล้ว โปรดเข้าใจเสียด้วยเลิกยุ่งกับข้าซะ"
เฟยหลงไม่พูดอะไร เอามือหนาสอดเข้าตรงท้ายทอยตรึงร่างบางเอาไว้เเน่น ก่อนจะประกบริมฝีปากลงมายังปากบางอีกครั้ง เเต่ครั้งนี้มันไม่ได้นุ่มนวลเหมือนที่ผ่านมา มันทั้งดุดัน เรียกร้อง เเละบังคับไห้อีกฝ่าย เปิดรับลิ้นร้อนชื้นที่ตอนนี้หาทางเข้าไปเพื่อจะดูดซับเอาความหวานจากปากบาง เเต่ร่างเล็กไม่ยินยอม กัดปากตนเอาไว้เเน่น ร่างสูงโมโหเลยเเกล้งกัดปากอีกฝ่ายเข้า จนรับรู้สึกได้ถึงรสเฝื่อนๆเเละกลิ่นคาวของเลือดตนเอง เย่วซินตกใจเลยเผลออ้าปากจะประท้วง เป็นเห็ตุให้อีกฝ่ายเเซกปลายลิ้นเข้าไป ดูดซับเอาความหวานจากปากบางได้สำเหร็จ เฟยหลงบดจูบอย่างหลงไหล มือหนาก็บีบเค้นตามร่างกายนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายอย่างย่ามใจ ตอนนี้บอกได้เพียงเเค่ว่าหลงไหลเอามากๆร่างบางที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆกระจายออกมามันทำไห้เขาเตลิด เเละกำลังจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ถ้าหากว่าร่างเล็กไม่หยุดเขาไว้เสียก่อน
"โอ๊ยเจ้ากัดข้าทำไมกัน"
"แล้วท่านทำสิ่งไดไว้กับข้า คนเลวท่านมันเลว"
"ข้าขออภัยเจ้าด้วย ไม่ได้คิดที่จะหยามเกียตรเจ้าเลยแม้เเต่น้อย"
เย่วซินพูดพลางจ้องมองผ่านความมืด ดวงตาโตตอนนี้คลอไปด้วยน้ำตา เขาอัดอั้นเต็มทีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าคนตรงหน้าจะมายุ่มย่ามอะไรกับเขานักหนา เฟยหลงมองด้วยความรู้สึกผิด นี่เขาบังคับคนตรงหน้ามากเกินไป ร่างบางยังคงสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน้ำตาที่คิดว่าห้ามมันอยู่ ถึงตอนนี้กลับไหลลงมาไม่หยุด เฟยหลงรั้งร่างบางเข้ามากอดอย่างอ่อนโยน ก่อนเอามือลูบหลังเบาอย่างปลอบใจ ความอบอุ่นที่ได้รับจากอีกฝ่าย มันทำไห้ร่างบางสับสนไปหมดน้ำตาที่ไหลอยู่เเล้ว ยิ่งไหลไม่ยอมหยุดลงง่ายๆ
"ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ท่านไปเสียเถิดเเล้วไม่ต้องมาเจอข้าอีก ถือว่าข้าขอร้องท่านจะได้หรือไม่"
"ข้าคงไห้เจ้าอย่างที่ขอไม่ได้หรอก อีกไม่นาน เราก็จะพบเจอกันอย่างเป็นทางการ ครานั้นข้าจะไม่ปิดบังอะไรเจ้าอีกเลย นอนเสียเถิดข้าไม่กวนใจเจ้าเเล้วเย่วเอ๋อร์"
"นี่ท่านอย่าเรียกข้าเช่นนี้นะ ท่านพ่อกับท่านเเม่เท่านั้นที่จะมีสิทธ์เรียกข้าได้"
"ตอนนี้ก็เพิ่มข้าเข้าไปอีกคนสิ เจ้าจะได้ชิน หึ หึ"
เขาพูดจบก็หัวเราะ เเววตาสีนิลส่องประกายความเจ้าเล่ห์ออกมา ร่าหนาจับร่างเล็กให้นอนลงเเละห่มผ้าให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะไปก็ไม่เเคล้วก้มลงไปสูดเอาความหอมจากเเก้มนวลอีกครั้ง เย่วซินถลึงตาใส่ทันทีที่อีกฝ่ายจะเร้นกายหายไปกับความมืด ร่างบางเอามือจับเเก้มที่อีกฝ่ายทิ้งร่องรอยสเน่ห์หาเอาไว้ เขาไม่เข้าใจอะไรเลย มันสับสนไปหมดว่าอะไรเป็นอะไร
"
"
"
"
"
ตื่นเช้ามาเย่วซินก็มานั่งทานข้าวกับครอบครัวตามปกติ หลิงซานนั่งรออยู่ก่อนเเล้วพอเห็นพี่ชายเลยทักขึ้น
"อ้าวท่านพี่ตื่นเเล้วรึ มานั่งทานเมื้อเช้าเถิดท่านเเม่ท่านพ่อรออยู่"
มารดามองเห็นอาการอิดโรยของบุตรชายเลยเอ่ยขึ้น
"เย่วเอ๋อร์เจ้าไม่สบายรึเปล่า ข้าเห็นเจ้าอิดโรยอย่างไรก็ไม่รู้"
"เปล่าหรอกท่านเเม่ ข้าคงนอนดึกกระมังเลยเป็นเเบบนี้"
"มีเหตุอันใดไห้ไม่สบายใจรึเปล่าเย่วเอ๋อร์บอกเเม่ได้นะ"
มารดาเอ่ยอย่างเป็นห่วง เขาเลยตอบไปเพื่อให้มารดาคลายกังวล
"ไม่มีอะไรหรอกท่านแม่ ท่านอย่าห่วงข้ามากไปเลยข้าสบายดี"
"เช่นนี้ก็ดีเเล้วมาทานมื้อเช้ากันเถิด"
มารดาเลยชวนทุกคนทานอาหารเมื้อเช้ากัน เเต่หลิงซานเกิดตาดีขึ้นมาเลยถามพี่ชายด้วยความสงสัย
"ท่านพี่ปากท่านไปโดนอะไรมารึ ข้าเห็นมัน ช้ำๆ บวมๆ อย่าไรก็ไม่รู้"
เย่วซินสะดุ้งรีบเอามือจับปากตนเองทันที มันรู้สึกเจ็บนิดหน่อยคงเป็นเพราะตอนนั้น
"เอ่อคือคงเป็นมื่อคืนข้าเผลอเรอไม่ทันระวังตัว มันมืดมากเลยเดินไปชนอะไรเข้าน่า อย่าไปสนใจมันเลยกินข้าวกัน"
เขารีบหาเหตุผลมาแก้ตัว ก่อนจะหาทางเปลี่ยนเรื่องทันที หลิงซานก็ไม่ได้ติดใจอะไรเขาจึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
"เฮ้ ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเชียว"
หย่างหลิวเอ่ยทักออกมาอย่างอารมณ์ดี เขาจะมาชวนเย่วซินกับน้องชายไปล่าสัตว์เสียหน่อย เพื่อเก็บไว้เป็นเสบียงนี่ก็ไกล้จะถึงหน้าหนาวเต็มทีแล้า ต้องตระเตรียมเสบียงเอาไว้จะได้ไม่ลำบากเรื่องอาหารการกิน
"อ้าวอาหยางมาๆ มากินข้าวกัน"
มารดาของเย่วซินเอ่ยทักขึ้นพร้อมชวนอีกฝ่ายมาร่วมวงกินมื้อเช้ากันอย่างสนุกสนาน พร้อมเสียงหัวเราะของทุกๆคน รอบๆเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นยิ่งนัก
"มีอะรึเปล่าหยางหลิวเห็นมาหาข้าเเต่เช้าเชียว"
เย่วซินถามสหายตนทันทีหลังจากกินอาหารเช้ากันจนอิ่มหนำ
"ใครบอกว่าข้ามาหาเจ้าล่ะ ข้ามาหาหลิงซานต่างหาก"
พูดพลางหันไปมองอีกฝ่ายส่งสายตาหวานเเบบล้นๆไปให้ หลิงซานเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมากับการกระทำของอีกฝ่ายเขารู้ว่าหยางหลิวเเกล้งทำไปอย่างนั้นเองเพราะอยู่กันมาก็นาน พอที่จะรู้นิสัยใจคอของอีกฝ่ายได้ดี
"พอๆเจ้ามีอะไรก็ว่ามาหยางหลิว"
เย่วซินตัดบท
"ก็เเค่จะชวนพวกเจ้าสองคนออกไปล่าสัตว์เสียหน่อย นี่ก็ไกล้หน้าหนาวเเล้วควรกักตุนเสบียงไว้"
"ล่าสัตว์หรือท่านพี่ ข้าอยากไปเกิดมาข้ายังไม่เคยล่าสัตว์เลยสักครั้ง ไห้ข้าไปด้วยนะ"
หลิงซานร้องขออย่างตื่นเต้น เพราะไม่เคยเลยสักครั้ง อยากจะลองอยู่เหมือนกัน
"ได้ๆ" เป็นหยางหลิวเองที่รับปากเขา
"จริงๆนะพี่หยางหลิว อย่าหลอกข้านะ"
"จริงสิข้าจะหลอกเจ้าทำไมกัน"
"พี่นี่น่ารักจริงๆเลย"
หลิงซานพูดพร้อมเอื้อมมือไปจับเเก้มหยางหลิวส่ายไปมา
"แต่มันจะดีหรือหยางหลิวอีกสี่วันก็จะถึงวันพิธีเเล้วนะ หากเกิดอะไรขึ้นจะทำเช่นไร ท่านผู้นำไม่เล่นงานพวกเราหรอกรึ"
"ข้าจะระวังตัวให้มาก จะไม่ประมาทเด็ดขาดสาบาณเลยเอ้า ให้ข้าไปด้วยนะท่านพี่ นะ ๆ นี่ก็ไกล้จะถึงวันนั้นเเล้วข้าต้องจากพวกท่านไป พวกท่านไม่รักไม่เอ็นดูข้าเเล้วรึ"
จบกันกับลูกอ้อนนี้ใครเห็นก็ต้องยอมใจอ่อนให้ทันทีเย่วซินก็เช่นกัน
อี้เฟยเห็นทุกอย่างที่คนตัวเล็กออดอ้อนพี่ชายตน หากเป็นเขาคงยอมหมดทุกอย่างไม่ต่างไปจากสองคนนั้นเลย ทำไมเจ้ามันช่างน่ารักน่าชังเช่นนี้ (หลงเขาหัวปักหัวปำ)
"เจ้าจะเเก่นกะโหลกไปถึงไหนกัน เสี่ยวไป๋ของข้า"
สุดท้ายไป๋หลิงซานก็ได้ออกมาล่าสัตย์สมใจ เพราะลูกอ้อนที่ใช้กับพี่ชายตนกี่ครั้งก็มักจะได้ผลเสมอไป พวกเขาช่วยกันล่าได้กวางป่าตัวโตๆมาหลายตัว หลิงซานสนุกกับการขี่ม้าใช้ธนูไล่ยิงสัตว์ป่า ผีมือของเขาถือว่าดีทีเดียว เขาฝึกยิงมาหลายปี ตอนที่ยังเรียนมหาลัยอยู่ ก่อนที่จะหลุดมาที่นี่ ฝีมือก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย ไม่นึกว่าจะได้เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ที่นี่ ทั้งสามเพลิดเพลินกันเสียจนลืมเวลารู้ตัวอีกทีมันก็มืดค่ำเสียเเล้ว
"ท่าพี่ท่านอยูที่ไดได้ยินข้ารึไม่"
ไป๋หลิงซานตะโกนเรียกหาพี่ชายเพราะพลัดหลงกันตอนออกล่ากวางตัวใหญ่ เขาหลงเข้ามาในป่าลึก ถึงตอนนี้ก็มืดจนมองไม่เห็นอะไรเเล้ว หลิงซานมองหน้ามองหลังหย่างหวาดกลัว เขากลัวทั้งสัตว์ร้ายเเละสิ่งที่มองไม่เห็น หนีออกมาในคืนนั้นเขายังเข็ดขยาดไม่หายเลย มาตอนนี้กลับหลงอีกเเล้ว
"ทำไงดีวะกู ขืนอยู่อย่างนี้มีหวังได้ถูกเสือคาบไปเเดกเเน่ๆ เอาวะเป็นงัยเป็นกัน"
สุดท้ายพ่อคนเก่งก็ขึ้นมานั่งติดเเหงกอยู่บนต้นไม้ใหญ่ขนาดพอโอบรอบ เขาคิดว่ายังไงบนต้นไม้มันน่าปลอดภัยกว่าด้านล่างอย่างไม่ต้องสงสัย พอนั่งนานเข้าๆก็ชักจะง่วง เเถมเมี่อยอีกต่างหากพลันหูก็เเว่วได้ยินเสียงหนึ่งขึ้นมา
"นั่นเจ้าขึ้นไปทำอะไรบนนั้น"
"ทะ ท่าน ท่านเองรึ"
แค่ได้ยินเสียงเขาก็จำได้ในทันที จะลืมได้ไงเล่า ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนตัดหัวคนกระเด็นมาที่เท้าเขายังกับลูกโบลิ่งนี่ จำไม่ได้ก็สมองเสื่อมแล้ว
"ลงมา" เขาเรียกคนตัวเล็กให้ลงมา
"ไม่. . ยังไงข้าก็ไม่ลงเด็ดขาด คนหรือผีก็ไม่รู้ ชอบออกมาตอนค่ำๆมืดๆเเบบนี้หน้าตาก็มองไม่เห็น ท่านเป็นคน หรือว่าจะเป็น ไอ้เสือผีที่เเม่เคยเล่าให้ฟัง"
"ข้าไม่ใช่คนเเละก็ไม่ใช่ผีอย่างทีเจ้าคิด"
ไอ้เสือผีที่เขาพูดถึงคือเสือสมิงที่คนไทยใช้เรียกกัน เเม่เขาเป็นคนไทยเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับความลึกลับที่ประเทศไทยให้เขาฟังบ่อยๆ ตอนนี้เลยเอามามโนไปเอง อี้เฟยได้เเต่ปลงตกกับการคิดเพ้อเจ้อไปเอง เดี๋ยวก็คิดว่าเขาเป็นผีบ้างล่ะ บ้างก็เสือผีอะไรนั่นอีกจะเอาอะไรกันแน่
"ข้าบอกว่าให้เจ้า ลงมา เดี๋ยว นี้ ได้ยินหรือไม่เสี่ยวไป๋!!
เขาเรียกอีกฝ่ายพร้อมเน้นเเต่ละประโยคอย่างช้าๆให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาชักจะโมโหเข้าเสียแล้ว เเต่คนตัวเล็กที่เกาะอยู่บนต้นไม้เหมือนลิงก็ไม่ปาน กลับดื้อเพ่งไม่ยองลงมาเสียอย่างนั้น
"ท่านเรียกใครกัน"
"ข้าบอกให้เจ้าลงมา ไม่อย่างนั้นข้าจะขึ้นไปรับเจ้าลงมาเอง"
"ไม่โว้ยยย บอกไม่ลงก็ไม่ลง หูหนวกหรือไงวะฮะ ไอ้ผีบ้า"
"ในเมื่อพูดกันดีดีไม่รู้เรื่อง อย่ามาว่าข้าใจร้ายก็เเล้วกัน"
เขาพูดจบก็ใช้พลังเวทย์ดีดตัวแว๊บเดียวก็ถึงตัวร่างเล็กทันที เล่นเอาหลิงซานตกใจจนเผลอปล่อยมือจากการเกาะกุมต้นไม้ เป็นเหตุให้ร่างบางร่วงทันทีดีที่คนตัวโตคว้าเอาไว้ทันท เเละพาลงมาอย่างปลอดภัย
"ว้ากกกช่วยข้าด้วยยยจะตกเเล้ว"
หลิงซานเเหกปากร้องออกมา ทั้งๆทียังหลับตาอยู่ในอ้อมกอดของอี้เฟยอย่างฝันเสีย อี้เฟยกอดคนตัวเล็กไว้เเน่น
"เจ้าจะเเหกปากอีกนานหรือไม่ เสี่ยวไป๋ลืมตาเดี๋ยวนี้"
สิ้นคำสั่ง ร่างเล็กก็ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆอย่างกล้าๆกลัวๆ อี้เฟยจึงยกยิ้มขึ้นกับความน่าเอ็นดูของร่างเล็กในอ้อมกอด
"ปล่อยข้าได้เเล้ว จะกอดให้ตายไปข้างเลยหรือไรกัน"
เขายอมปล่อยแต่โดยดี อย่างไรเสียอีกไม่นานเขาก็จะได้คนตัวเล็กไปกอดสมใจเเล้ว
"เจ้ามาทำอะไรที่นี่ในเวลาเช่นนี้ รู้หรือไม่มันอันตรายเเค่ไหน"
"รู้" คนตัวเล็กตอบออกมาสั้นๆ
"รู้เเล้วยังจะทำอีก" เขาดุคนตัวเล็ก
"ก็ข้าพลัดหลงจากพี่ชายข้านี่หน่า กลับบ้านไม่ถูก เลยขึ้นมาอยู่บนนี้พรุ่งนี้ค่อยหาทางกลับบ้าน"
อี้เฟยถอนใจกับความซื่อเบื้อของอีกคน เเต่ก็ถือว่า ไหวพริบดีพอควรที่รู้จักเเก้ปัณหา เพราะบนต้นไม้มันอันตรายน้อยกว่าบนพื้นดิน เขาพาคนตัวเล็กมาส่งที่พี่ชายด้วยการที่ไห้อีกฝ่ายเดินไปหา. ส่วนเขาหาที่หลบไม่อยากไห้ใครเห็นมากนัก เย่วซินกับหยางหลิวกำลังตามหาเขากันอย่างเอาเป็นเอาตาย พอเจอก็พาให้โล่งใจ
"เจ้าไปอยู่ที่ไดมาหลิงซานเจ้าเด็กดื้อมันน่าฟาดนัก รู้หรือไม่ว่าพวกข้าเป็นห่วงเจ้าแค่ไหน"
"ข้าขออภัย ก็ข้าหลงทางนี่นานี่ข้าก็กลับมาแล้วนี่งัย ท่านพี่อย่าได้ดุข้าเลยนะ"
"ใช่ๆเย่วซินอย่าดุหลิงซานเลยอย่างไรเขาก็กลับมาอย่างปลอดภัยเเล้ว"
หยางหลิวรีบเเก้ตัวไห้ทันที
"เจ้าก็เช่นกันหยางหลิวให้ท้ายกันเข้าไปเเล้ว เจ้ากลับมาได้เช่นไร"
"ข้าก็เเค่เดินมาเรื่อยๆจนเจอท่านทั้งสองนี่เเหละ"
หลิงซานปดพี่ชายเสียคำโต เพราะคนที่มาส่งเขาไม่อยากเผยตัวซักเท่าไร
"เจ้ารู้หรือไม่ ว่าในป่าเช่นนี้เวลากลางคืนมันอันตรายเช่นไร"
"ข้ารู้ คราหน้าข้าจะไม่ทำอีกเเล้ว"
"มันไม่มีคราหน้าทั้งนั้น ข้าไม่ยอมให้เจ้าตามข้าเข้าป่าอีกเป็นอันขาด"
"โถ่ท่านพี่ก็ข้า"
"หยุดพูดเดี๋ยวนี้ เเล้วตามข้ามากลับบ้าน"
หลิงซานจำต้องเงียบปากเอาไว้ เพราะดูท่าทางแล้วพี่ชายเขาครานี้น่าจะโกรธจริงๆ เลยไม่อยากต่อคำไห้อีกฝ่ายโกรธมากไปกว่านี้ เขาย่อมรักเเละชื่อใจพี่ชายบุธรรมอย่างไม่มีข้อเเม้ใดๆ ตอนนี้เขาก็มีเเต่เย่วซินเเละครอบครัวเท่านั้นที่สามารถพึ่งได้ ทุกคนที่นี่คือคนแปลกหน้าทั้งนั้น ไว้ใจใครไม่ใด้ดูสิมาไม่กี่วันก็เกือบจะโดนผู้ชายด้วยกันข่มขืนเอาแล้ว นี่ก็ยังเหลือเวลาแค่นี้ อีกสี่วันข้างหน้าก็จะต้องเข้าพิธีเเต่งงานกับราชามังกรซึ่งก็เป็นผู้ชายอีก เขาจะทำอย่างไรดีหนีก็ไม่ได้อยู่ก็เสี่ยงเสียตัวเกินไป เขาไม่ยอมเสียประตูหลังหรอก หากต้องไปอยู่ที่โน่นจริงๆคงต้องหาวิธีเอาตัวรอดไห้ได้
++++++++++++++++++++++++++
ตอนหน้าเขาก็จะเจอกันอย่างเป็นทางการเเล้วนะจ๊ะมารอลุ้นกันนะว่าเหตุการต่อไปจะเป็นยังไงต่อไปก่อนอื่นขอกำลังใจจากหรีดหน่อยน้าาา????????????เม้นมาหน่อยจะเป็นพระคุณยิ่งนัก
ความคิดเห็น