คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : ป่วนครัวหลวง
เฮือก!!
ร่างบางขององค์ชายน้อยเซียวหลานสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ผวาเข้าสู่อ้อมกอดพี่ชายคนโตที่ไม่หลับไม่นอน หลังจากที่รับรู้ว่าน้องเล็กป่วยจึงมาเฝ้าไข้ด้วยตัวเอง เพราะความซุกซนไม่ระวังตัวแท้ๆ เลยทำให้มีสภาพแบบนี้
"ฮึก ฮือ... ท่านพี่ข้ากลัว"
"ไม่ต้องกลัวพี่อยู่นี่แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น"
ร่างสูงลูบหลังน้องเล็กอย่างปลอบโยน จนอีกคนสงบลงและหลับไปอีกครั้ง เขาจึงค่อยๆ วางศีรษะลงบนหมอนนุ่ม ตาคมจ้องใบหน้างามที่ซีดเซียวยามหลับใหล ทำไมนะทำไมเขารู้สึกว่าตอนนี้ร่างบางตรงหน้าเขา ยามนี้มันช่างงดงามเหลือเกิน แม้อาการป่วยก็ไม่สามารถปกปิดความงดงามของคนตรงหน้าได้ ไม่รู้ว่าเพราะร่างเล็กเปลี่ยนแปลง หรือเพราะสายตาเขาเองที่มองอีกคนเปลี่ยนไป ความคิดสับสนในใจมันตีกันให้วุ่นจนหาคำตอบไม่ได้ ทำได้ดีที่สุดแค่เพียงถอนหายใจออกมาแค่นั้น
ข่าวอาการป่วยของร่างเล็กเข้าไปถึงหูหยางฟาน ราชาจิ้งจอกจอมกะล่อนที่หาโอกาสใกล้ชิดองค์ชายรูปงามสองพี่น้องเผ่ามารอยู่แล้ว เลยได้โอกาสอ้างว่ามาขอเยี่ยมคนป่วย จึงได้เข้ามานั่งเสนอหน้าหล่อๆ ในห้องนอนคนป่วย ที่ตอนนี้คนเฝ้าไข้อีกคนจ้องจะกินหัวแขกที่มาเยือนอาณาจักรของตนเอง
"ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก รบกวนท่านจริงๆ ท่านหยางฟาน"
"ไม่ได้รบกวนอะไรเลย ข้าเต็มใจ"พูดไปก็อึดอัดกับบรรยากาศชวนกดดันขององค์ชายใหญ่ ที่นั่งจ้องเขาเหมือนกับอยากจะส่งเขาไปอยู่นอกโลกเสียอย่างนั้น ก็รู้อยู่หรอกว่ารักและหวงน้องชายทั้งสองคน แต่ไม่น่าจะมากมายขนาดนี้ นี่เขาใกล้จะเป็นหินเข้าไปทุกทีแล้วเพราะสายตาที่มองมาเหมือนอยากจะสาปเขาให้หายไปจากตรงนี้
เหมือนน้องเล็กจะรับรู้ความกดดันที่พี่ชายส่งไปให้อีกคน จึงเอ่ยทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด
"ท่านหยางฟาน ท่านเดินทางมาคงจะเหนื่อยข้าว่าท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะให้นางกำนัลนำท่านไปยังที่พักรับรอง"
"ข้าว่าก็ดีเหมือนกัน"ร่างสูงรีบเผ่นทันทีที่มีโอกาส
"ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรรึเปล่า ข้าเห็นว่าท่านมีสีหน้าแปลกๆ "
"ไม่มีอะไรหรอก เจ้าพักผ่อนเถิด"
"อื้ม... ข้าจะนอนแต่ท่านพี่ก็กลับไปพักผ่อนบ้างเถิด เฝ้าข้ามาก็หลายวันแล้ว"
"ไม่เป็นไรเจ้านอนเถิดพี่สบายดี"
ร่างเล็กล้มตัวลงนอน ชักจะไม่เข้าใจกับบรรยากาศและกลิ่นอายแปลกๆ ในห้องนี้ ที่มันหมุนรอบตัวพี่ชายตั้งแต่ที่ตนเริ่มจะฟื้นจากอาการป่วยแล้ว แต่ที่รู้ๆ คือพี่ชายตนเปลี่ยนไปหรือเพราะเกิดเรื่องกับเขาวันนั้นกันนะ จึงทำให้อีกคนเป็นห่วงจนไม่อาจปล่อยปละละเลยให้อยู่คนเดียวตามลำพัง
วังมังกร
อี้เฟยและเฟยหลง ราชามังกรสองพี่น้องก็ถึงเวลาที่ต้องทุ่มเททำงานหนักที่รอพวกเขาอยู่มากมาย จนไม่มีเวลากลับไปทานมื้อเที่ยงกับเมียรัก ราชินีสองพี่น้องเลยว่างเว้นจากงานที่ตนมีหน้าที่รับผิดชอบในฐานะแม่แห่งอาณาจักรนี้ก็มานั่งคุยปรึกษากับน้องชาย โดยข้างกายมักจะมีเหยียนจื่อกับหนิงเฟิ่งอยู่ด้วยเสมอ
"หลิงเอ๋อร์ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าทำขนมเป็นด้วยรึ" ร่างบางของพี่ชายเอ่ยถามคนตรงหน้า
"ข้านะทำไม่เป็นหรอกท่านพี่ อาศัยแม่ครัวสอนทั้งนั้น กว่าจะกินได้ก็จะเลิกล้มไปแล้ว"
"ถ้าเช่นนั้นเจ้าช่วยสอนข้าบ้างซิ"
"เอ๋... ท่านพี่นึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรถึงได้อยากทำขนมขึ้นมา รึจะทำให้ใครกันนะ"
"สู่รู้ จะสอนรึไม่สอน! "
"อ๊ะๆ สอนก็ได้แค่นี้ก็ต้องโกรธด้วย แต่ข้าไม่เก่งเรื่องทำขนมหรอก ถ้าหากว่ามันกินไม่ได้ขึ้นมา ท่านพี่ก็อย่ามาโทษข้านะ"เมื่อครั้งที่แล้วไม่รู้ว่าฟลุ๊คหรือเปล่า
"อื้ม... ไม่หรอก"
ตอนนี้เวลาบ่ายคล้อยเต็มที่ ในครัวหลวงก็ได้ต้อนรับองค์ราชินีอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มากันทั้งคู่จุดประสงค์ก็ไม่ต่างจากครั้งที่แล้ว ตอนนี้ครัวหลวงเลยชุลมุนยิ่งกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก
ดวงตากลมหลายคู่จ้องมองขนมหน้าตาพิลึกพิลั่น ที่อยู่ในถาดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่มีผู้ได้กล้าหยิบมันขึ้นมาชิม จนได้รับสายตากดดันกึ่งบังคับจากราชินีองค์พี่ จึงต้องหยิบขนมขึ้นมากัดชิมรสชาติอย่างจำใจ เป็นเช่นนี้จนตกเย็นเหล่านางกำนัลที่มาคอยรับใช้ ต่างก็ถูกเย่วซินบังคับให้ชิมขนมที่มีรสชาติสามารถฆ่าคนได้แต่ละคนยื่นมือสั่นๆ ไปหยิบขนมในถาดล่าสุดที่เพิ่งจะทำเสร็จ ขึ้นมาเอาเข้าปากด้วยสีหน้าเหมือนถูกบังคับให้กินยาพิษอย่างไรอย่างนั้น
ร่างสูงของแฝดพี่น้องที่กลับตำหนักแล้วไม่พบร่างบางของเมียรัก เลยหลับตาลงใช้ดวงจิตรเพ่งมองเพียงครู่เดียวก็รู้ว่าเมียรักอยู่ที่ใดก็รีบมุ่งหน้าไปหาทันที แต่ยังไม่ทันจะถึงก็ได้ยินเสียงเอะอะเอ็ดตะโรขึ้นมาทางด้านหน้าเสียก่อน จึงรีบสาวเท้าให้เร็วขึ้น
ครัวหลวง
บึ้ม... บึ้ม!!
"ท่านพี่ หยุด ข้าบอกให้หยุด! "
"อ๊าก... ตาย ตายซะตาย!! ตาย อ๊าก... "
ร่างบางของพี่ชายตกใจสุดขีดจนสติหลุดเผลอใช้พลังของตน ไล่เผาเจ้าแมลงสาบที่โผล่มาไม่รู้จักเวล่ำเวลา จนไฟลุกพรึบไปทั่วครัว หลิงซานเห็นท่าไม่ดีเลยจับพี่ชายเอาไว้แต่แรงก็น้อยนิด จะสู้แรงอีกคนได้หรือหนิงเฟิ่งเลยเข้ามารวบร่างบางเอาไว้ให้หยุดแผลงฤทธิ์ ส่วนคนที่เหลือก็ช่วยกันดับไฟกันจ้าละหวั่น
"มันเกิดอะไรขึ้น!! เสียงดังปานฟ้าผ่าพร้อมใบหน้ามืดครึ้มราวเมฆฝนเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นเหตุการณ์ในครัวหลวง ร่างสูงกวาดตาหาร่างบางเพราะเป็นห่วง
"ท่านพี่"เอ่ยเรียกสวามีทันทีที่ได้ยินเสียง
เพียงได้ยินเสียงเท่านั้น เย่วซินก็รีบกระโจนใส่ร่างสูงทันที เฟยหลงรับร่างเล็กเอาไว้อย่างรวดเร็ว สงสัยกับอาการตกใจหน้าซีดเหงื่อซึมบนใบหน้างามของเมียรัก อี้เฟยที่ตามมาติดๆ ก็รีบใช้ปราณตนช่วยเหยียนจื่อดับไฟอีกแรง เพราะไฟที่เกิดจากปราณเวทจึงต้องใช้ปราณเวทดับมันลง
ในตอนนี้ร่างบางของเย่วซินกระโดดเกาะเฟยหลงอย่างเหนียวแน่นเหมือนลิงก็ว่าได้ เท้าบางไม่ยอมแตะลงบนพื้นเลยสักนิด ตอนนี้ทุกคนเลยได้เห็นท่าอุ้มแปลกๆ ที่ชวนขัดเขินชอบกล แต่เจ้าตัวต้นเหตุไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าตนเองกำลังทำให้ใครหลายคนในที่นี้ เกิดอาการร้อนๆ หนาวๆ ต่างคนก็ต่างพากันก้มหน้าสายตาจ้องพื้นไม่กะพริบ แก้มแดงปลั่งเขินอายกับการกระทำของจ้าวชีวิต ที่ตอนนี้คงลืมไปแล้วกระมังว่าไม่ได้อยู่กันสองคนตามลำพัง
"เจ้ากลัวอะไรรึเย่วเอ๋อร์"
"ท่านพี่แมลงสาบไล่มันไป ข้าเกลียดมัน"
ร่างบางหลับตาปี๋ละล่ำละลักบอกออกไป มือบางก็กอดคออีกคนไว้แน่น ใบหน้างามซบลงบนอกแกร่งของสวามี ขาเรียวเกี่ยวรอบเอวสอบเอาไว้มั่น ร่างสูงกอดรัดคนในอ้อมแขนไว้มั่น
และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ร่างสูงเพิ่งรับรู้ ว่าร่างบางเกลียดกลัวแมลงตัวเล็กๆ เข้าไส้ เลยสอบสวนคนครัวว่าปล่อยให้มันเข้ามาได้อย่างไรเรื่องเช่นนี้ไม่น่าปล่อยให้มันเกิดขึ้น ครั้งนี้ละเว้นโทษเพราะร่างบางขอไว้ แต่หากมีครั้งหน้าคงได้หลังลายกันบ้าง และการเก็บกวาดและซ่อมแซมจึงเกิดขึ้นอย่างเร่งรีบ นี่ดีนะที่ร่างสูงเข้ามาทันไม่เช่นนั้นครัวหลวงคงได้เหลือแต่เถ้าถ่าน เพราะเจ้าแมลงสาบตัวเดียวแท้ๆ ทำให้เกือบซวยยกครัว ต่างคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องรับโทษ หลังจากองค์ราชาทรงพา (แบก) ราชินีของตนกลับตำหนัก ถึงตอนนี้เย่วซินก็ยังขนลุกไม่หาย กับเจ้าตัวหลายขาเขากลัวแมลงสาบมาตั้งแต่จำความได้ รูปร่างน่าเกลียดขาก็มีหลายขา และที่สำคัญเขาเคยโดนมันกระโดดมุดเข้าไปในเสื้อผ้า วิ่งไปเสียทั่วทั้งตัวตอนนั้นเขาถึงกับแก้ผ้าเพื่อไล่มันไปยังดีที่ตอนนั้นยังเป็นเด็ก ไม่เช่นนั้นคงได้ขายหน้าจนลืมไม่ลงเป็นแน่
"ข้าไม่คิดว่า เจ้าจะกลัวแมลงตัวเล็กๆ แค่นี้"
"ข้าเกลียดมัน เมื่อตอนที่ข้ายังเด็กเคยถูกมันมุดเข้าไปในเสื้อผ้าข้า ตอนนั้นข้าตกใจเลย... แก้ผ้าล่อนจ้อนเพื่อจะไล่มันไป"
"ตอนนั้นเจ้ากี่ขวบ" ถามด้วยเสียงราบเรียบแต่ใบหน้าไม่เรียบตาม
"น่าจะสิบสามได้กระมัง" ตอบออกไปอย่างใสซื่อไม่มองหน้าสวามีเลยว่าเหมือนทศกัณฐ์เข้าไปทุกที
"ตอนนั้นใครอยู่กับเจ้าบ้าง" ร่างสูงพยายามข่มเสียงให้ปกติ
"ก็หลายคนอยู่นะ" (แหนะยังไม่รู้ตัวอีก)
"พวกมันเป็นใครข้า จะไปฆ่ามัน! " พูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว จนร่างบางต้องรั้งแขนเอาไว้
"ทะ-ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรไป"
"เย่วเอ๋อร์นี่เจ้าไม่รู้อะไรเลยรึ สิบสามขวบมันไม่ใช่เด็กแล้ว ตอนนั้นเจ้าโตแล้ว ไม่ได้ใครเห็นร่างกายเจ้าในตอนนั้นข้าต้องฆ่ามัน มันไม่มีสิทธิ์มองราชินีของข้า แม้แต่เพียงน้อยนิดข้าก็ไม่อนุญาต"
"อะ-เอ่อ... ท่านพี่นี่มันก็ผ่านมานานแล้ว เลิกใส่ใจกับมันเถิด ถือว่าข้าขอ"
ร่างสูงพยักหน้ารับอย่างจำยอมด้วยความหงุดหงิด เพราะเมียรักขอเอาไว้ร่างบางถอนหายใจกับความมุทะลุเอาแต่ใจของสวามี อย่างหนักใจกับคนเจ้าอารมณ์
กว่าเรื่องวุ่นๆ จะจบลงก็ปาเอาเกือบเลยเวลาอาหารเย็นไปมากโข หลังจากจบอาหารมื้อเย็นเฟยหลงพาร่างบางของเมียรัก ไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอนตามปกติ ตอนนี้คนทั้งคู่เลยนั่งอยู่บนเตียงนุ่ม
"เย่วเอ๋อร์... วันนี้เจ้าเข้าไปทำอะไรในครัวรึ"ร่างสูงเอ่ยถามเพราะว่าสงสัย
"ข้าเบื่อ เลยเข้าไปหัดทำขนมตั้งใจจะทำให้ท่าน แต่ไฟไหม้เสียก่อน เฮ้อ... มันพังไม่เป็นท่าเลย"
"ต่อจากนี้ไปเจ้าไม่ต้องเข้าครัวอีก มันอัตราย ข้ารู้มาว่าตอนเจ้าเป็นเด็ก เจ้าก็เผาครัวจนถูกแม่เจ้าจับฟาดเจ็บไปหลายวัน และสั่งห้ามเข้าครัวเด็ดขาด มาคราวนี้ข้าก็ขอห้ามเจ้าด้วยอีกคน"
"ท่านพี่ ท่านรู้ได้อย่างไร"
"เรื่องของเจ้า ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าย่อมต้องรู้"
"น่าเสียดายจริงๆ ..ท่านพี่เลยไม่ได้กินขนมที่ข้าตั้งใจทำให้ท่าน"
"ไม่เป็นไร..ข้าไม่อยากกินขนม..แต่อยากกินเจ้ามากกว่า"
"ดะ-เดี๋ยวก่อน อือ... "
เสียงประท้วงก็ขาดหายไปในลำคอ เพราะร่างสูงบดจูบลงมาอย่างนุ่มนวลเรียกร้อง จนอีกฝ่ายคล้อยตามและตอบสนองอย่างง่ายดาย มันปลุกอารมณ์ดิบในตัวร่างสูงให้ลุกพรึบขึ้นมาอย่างเสน่ห์หา บทรักเร่าร้อนจึงเริ่มขึ้นด้วยความยินยอมและเต็มใจจากร่างบาง
ตำหนักอี้เฟย
"เสี่ยวไป๋ พี่ชายเจ้ากลัวแมลงสาบตัวเล็กๆ ขนาดนี้เลยหรือ" ร่างสูงของสวามีถาม
"ข้าก็เพิ่งจะรู้พร้อมท่านนี่แหละ ข้าลืมไปได้ยังไงนี่ท่านแม่เคยเล่าให้ข้าฟัง ว่าท่านพี่เข้าครัวทีไรเป็นได้เกิดเรื่องทุกที เมื่อก่อนก็เผาครัวเสียมอดเลยมาคราวนี้ก็อีก พี่เขยคงสั่งห้ามขาดไม่ให้ท่านพี่เข้าไปก่อเรื่องในครัวอีกแล้วแน่ๆ "
"คงจะเป็นจริงอย่างที่เจ้าว่า ท่านพี่รักและห่วงใยพี่สะใภ้มากขนาดไหนใครก็ย่อมรู้ดี คงสั่งขาดห้ามเฉียดใกล้ครัวหลวงอีก แล้วพวกเจ้าเข้าไปทำอะไรที่ครัวรึ"
"ท่านพี่รบเร้าให้ข้าช่วยสอนทำขนม..คงอยากจะทำให้พี่ชายท่านมั้ง"
"ข้าดีใจนะที่พี่ชายเจ้ายอมปล่อยวาง และยอมรับความจริงได้ ทั้งคู่ดูจะเข้าใจกันมากขึ้นแล้วข้าก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความสุขที่กระจายอยู่รอบๆ ตัวพวกเขา"
"ข้าก็มองออกว่าช่วงนี้ท่านพี่มีความสุข เฮ้อ... แค่นี้ข้าก็เบาใจแล้ว"
"พวกเขารักและเข้าใจกันมากขึ้นแล้ว เมื่อไรเจ้าจะรักและเข้าใจข้าบ้าง เสี่ยวไป๋ข้ารอเจ้าอยู่นะ"
สุดท้ายก็วกกลับมายังตัวเขาอีกจนได้ หลิงซานมองหน้าอีกฝ่าย เขารู้ว่าอี้เฟยรักและต้องการตัวเขา แต่เขากลัวนี่ ยอมรับว่าใจอ่อนไปนานแล้ว แต่ที่รั้งรอไม่ยอมตามใจอีกฝ่ายเพราะกลัวเจ็บตัวเช่นครั้งก่อน ไม่มีเหตุผลอื่นกรอก สงสัยจังว่าพี่ชายตนทนเจ็บได้อย่างไร หรือว่าต้องทำกันบ่อยๆ อย่างที่ร่างสูงว่า เขารู้ว่าตัวเองบกพร่องต่อหน้าที่ของภรรยาที่พึงมีกับสามีมานานแล้ว ร่างเล็กคิดหนักตามองร่างสูงของสวามีสงสารคนตรงหน้าเหมือนกัน
ร่างสูงนอนกอดเขาทุกคืน ต้องเก็บกลั้นอารมณ์มากขนาดไหนทำไมเขาจะไม่รู้ มีความต้องการมากแต่ก็ไม่กล้าหักหาญน้ำใจ และที่สำคัญไม่เคยไปปลดปล่อยที่อื่นเลยสักครั้ง ขนาดนี้แล้วเขายังจะต้องการอะไรอีก อยู่ที่นี่ในฐานะนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร
เมื่อก่อนเขาเป็นฝ่ายดูแลเอาใจใส่คนรักแต่ตอนนี้กลับเป็นคนได้รับความรักความเอาใจใส่จากคนตรงหน้า ตอนแรกก็ไม่ชินเอาเสียเลย แต่มาตอนนี้เขากลับถูกอีกคนให้ความรักและตามใจเสียจนเคยตัว ยอมรับว่า การเป็นผู้รับมันมีความสุขกว่าการเป็นผู้ให้มากกว่า ทิฐิในใจที่ว่าจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายเข้าใกล้เลยพังลงเร็วกว่าที่คิด
เช้านี้ร่างเล็กของน้องชายจึงรีบรุดไปยังตำหนักพี่ชายทันที จะน่าอายเกินไปไหมถ้าเขาจะขอคำปรึกษาเรื่องอย่างนี้ ก็พี่ชายเขาผ่านมันมาโชกโชนมากกว่าเขานี่ จะให้ไปปรึกษากับคนอื่นไม่เอาหรอก เขาไม่ได้หน้าหนาอย่างอี้เฟยนี่
"หลิงเอ๋อร์ มาหาข้าแต่เช้าเช่นนี้มีอะไรรึเปล่า"
"ท่านพี่ข้าสงสารเขา"
"เอ๋... เขาที่ว่านะใช่สวามีของเจ้ารึเปล่านะ"พูดพลางยิ้มๆ วันนี้น้องชายเขามาแปลก ไปกินอะไรผิดมาล่ะ หรือโดนใครกระตุ้นต่อมเห็นใจใครเข้าให้ วันนี้ถึงได้มีอาการแปลกๆ พิกล
"ก็จะใครเสียอีกล่ะท่านพี่ ก็มีคนเดียวนั่นแหละ"
"ถ้าสงสารเขา เจ้าก็ใจอ่อนได้แล้วกระมังหลิงเอ๋อร์"
"ข้าน่ะใจอ่อนไปนานแล้ว ตะ-แต่ว่า... "
"แต่ว่า ไม่ยอมให้เขาแตะต้อง ทำเช่นนั้นเหมือนกับเจ้าทรมานเขาอย่างเลือดเย็นเชียวนะ ข้าว่าเลิกทรมานเขาได้แล้ว"
"แต่ข้ากลัวนี่ คืนนั้นมันยังฝังอยู่ในหัวข้าเลยนะ"
"มันไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอก คืนนั้นเจ้ายังผ่านมันมาได้ ครั้งต่อไปมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเชื่อข้า"
ไม่อยากจะเชื่อใครแล้ว กลัวถูกหลอก แต่ก็ช่างเถิด
เป็นอย่างไรเป็นกัน คงถึงเวลาที่เขาต้องทำหน้าที่ตนเองสักที
ตำหนักอี้เฟย
คืนนี้คนทั้งคู่ก็ช่วยกันอาบน้ำเตรียมเข้านอนตามปกติ ร่างเล็กนอนแอบอิงอยู่ในวงแขนของร่างสูงที่รวบตัวเขาเข้าไปกอดเสียจนจมอก จนได้ยินเสียงหัวใจของร่างสูงเต้นอย่างชัดเจน ร่างสูงสูดเอากลิ่นหอมกรุ่นประจำกายของคนในอ้อมแขนเข้าปอดอย่างที่ชอบทำทุกครั้งก่อนนอน เพราะห้ามใจไม่อยู่แม้มันจะต้องทรมานกับอารมณ์ความต้องการมากเพียงใด และวันนี้ก็เช่นกัน สิ่งที่นอนหลับใหลในร่มผ้ามันตื่นขึ้นมาเหมือนทุกครั้งที่เขากอดคนตัวเล็ก จนร่างเล็กรู้สึกได้จึงตัดสินใจแล้วจริงๆ
(เอาวะ คงไม่ถึงตายหรอก ครั้งที่แล้วยังรอดมาได้)
มือเรียวดันแผ่นอกคนตรงหน้าออกเล็กน้อย ก่อนแหงนหน้ามองสวามีข่มความอายให้มันจมลึกลงไป เรียกความกล้าออกมาแทนที่
"ท่านพี่"
ปากอิ่มเอ่ยคำที่ไม่คิดไม่ฝัน ว่าตนจะหยิบมันขึ้นมาเอ่ยเรียกคนตรงหน้าได้ แต่มันก็ไม่เต็มปากนักเพราะความอายที่ตนพยายามกดลงไปให้ลึกที่สุด มันดันเสนอหน้าขึ้นมาประจานตัวเองเสียนี่ เอ่ยคำที่อีกคนคาดไม่ถึงเสร็จก็มุดหน้าลงที่แผ่นอกอุ่นเช่นเดิม
"หืม... เมื่อกี้เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะเสี่ยวไป๋ ข้าคิดว่าหูข้าคงจะผิดปกติไปแล้วกระมัง ที่ได้ยิน... คำ คำนั้น" คำที่เขาอยากได้ยินมาตลอด
"ท่านได้ยินไม่ผิดหรอก ท่านพี่" ปากพูดกับเขาแต่ไม่ยอมมองหน้า มัวแต่มุดท่าเดียวจนร่างสูงจับปลายคางดันขึ้นมาให้เผชิญหน้ากับตน ร่างเล็กดันตัวลุกออกจากอ้อมแขนลุกขึ้นมานั่งแทน ร่างสูงตามมารวบร่างเล็กเข้ามากอดจากด้านหลัง คางแกร่งวางไว้บนไหล่บางพลางเอ่ย
"ข้าได้ยินเจ้าเรียกข้าเช่นนี้แล้ว มันทำให้ข้าสุขใจนักเสี่ยวไป๋"
"ข้าคิดว่า... มันถึงเวลาแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะไม่หนี ไม่ปฏิเสธท่านอีกแล้ว"
"เจ้าพูดจริงๆ ใช่ไหมเสี่ยวไป๋"
อี้เฟยไม่คิดว่าวันนี้ร่างบางจะยอมใจอ่อนให้เขา ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่าคนตัวเล็กไม่กลัวเขาแล้วเช่นนั้นหรือ ยอมรับเขาแล้วใช่หรือไม่มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดในวันนี้
"ข้าจะโกหกท่านไปทำไม"พูดออกไปไม่ยอมมองหน้าอีกฝ่าย จนต้องบังคับให้หันมามองหน้ากัน แต่ร่างบางขืนตัวไว้สุดท้ายก็แพ้กำลังคนตัวโต
ใบหน้างามแดงก่ำเพราะอายและไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน มือนี่ก็อีก ไม่รู้ว่ามันควรจะอยู่ที่ใด สายตาหลุกหลิกไม่กล้ามองอีกฝ่ายตรงๆ กิริยาเช่นนี้ไม่อาจทำให้สายตาคมละจากใบหน้างามได้เลย ปากหนายกยิ้มส่งมาให้ก่อนจะก้มลงมอบจุมพิตดูดดื่มให้ ร่างเล็กแหงนหน้ารับอย่างเต็มใจ ร่างบางค่อยๆ เอนลงบนที่นอนนุ่ม โดยที่มีร่างใหญ่ตามลงไปติดๆ คนตัวเล็กปล่อยตัวปล่อยใจให้ร่างสูงชักนำไป ทุกอย่างราบรื่นจนมาถึงตอนสำคัญ กายบางสั่นเทาทันทีที่ดวงตาหวานคลอไปด้วยหยาดน้ำที่เอ่อออกมาปริ่มๆ จะไหลลงมาได้ทุกเมื่อ
"ถ้าเจ้าไม่พร้อม ข้าก็ไม่บังคับ"ร่างสูงเอ่ยขึ้น
"ข้าพร้อม ตะ-แต่ข้า... "
"เจ้ากลัว" ร่างสูงพูดเพราะเขาเดาความคิดร่างเล็กออกว่า ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากความหวาดกลัวที่มันยังคงฝังในใจคนตรงหน้า
"ข้าไม่รับปากกับเจ้าหรอกนะเสี่ยวไป๋ ว่าครั้งนี้เจ้าจะไม่เจ็บ แต่ข้าจะเบามือที่สุด"
ร่างบางเพียงพยักหน้ารับแทนคำพูด ทุกอย่างจึงเริ่มขึ้นใหม่อีกครั้งอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยๆ ไปไม่มีความรุนแรงเหมือนครั้งก่อนอีกเพราะร่างสูงได้รับบทเรียนจากครั้งที่แล้ว ครั้งนี้ที่ได้รับโอกาสอีกครั้งจึงไม่กล้าวู่วาม
อี้เฟยนั่งมองร่างงามที่บัดนี้หลับใหลอย่างอ่อนเพลียหลังจากได้รับความสุขสม อี้เฟยรู้ว่าร่างเล็กยังคงเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ถอยหนียอมตามใจเขาจนทุกอย่างจบลงอย่างสุขสมด้วยกันทั้งคู่ ร่างเล็กจึงชิงหลับหนีเขาไปเสียก่อน มือหนาขยับผ้าห่มผืนหนาคลุมให้ก่อนจะก้มลงจุมพิตที่หน้าผาก
"ครั้งนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ฝันร้ายอีกนะเสี่ยวไป๋"
ล้มตัวลงนอนเคียงข้างร่างเล็กโอบกอดไว้อย่างรักใคร่หวงแหน เพียงเท่านี้เขาก็สุขใจจนไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้ว
เช้าวันใหม่ร่างเล็กลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว ขาล้าจนเกือบจะได้คลานลงจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ ยังดีที่ร่างสูงตื่นขึ้นมาเห็นเข้าเสียก่อนจึงรีบปรี่เข้ามาอุ้ม ร่างเล็กก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะรู้ว่าร่างกายมันไม่ไหวจริงๆ
"หากเจ้าไม่ไหวจะทำอะไรก็เรียกข้าเถิดเสี่ยวไป๋"
"อืม... ข้าปวดไปหมดทั้งตัวแล้ว ไม่ไหวจริงๆ ข้าอยากอาบน้ำเหนียวตัวจะแย่"
ร่างเล็กบอกออกไปพร้อมนิ่วหน้ากับอาการขัดยอกไปทั้งตัว สาเหตุคงไม่ต้องพูดถึงหรอกเพราะต่างก็รู้ดี
วันนี้ร่างสูงเลยดูแลเอาใจใส่ร่างเล็กเป็นอย่างดี ไม่ปล่อยให้ห่างสายตาเลย อารมณ์ก็ดีเสียจนคนที่พบเห็นอดสงสัยไม่ได้
"อี้เฟย วันนี้เจ้าดูจะมีความสุขเหลือเกินมีอะไรน่ายินดีรึ"
เฟยหลงถามอย่างสงสัยเมื่ออยู่กันเพียงลำพัง หลังจากเมียรักหลับไปอีกรอบอี้เฟยก็ตรงไปยังห้องอักษรทันที ไปสะสางงานที่ยังล้นมือเขาสองคนพี่น้อง ทั้งคู่ช่วยกันเคลียร์จนเบาบางลงมาก
"จะไม่ให้ข้ามีความสุขได้อย่างไรล่ะท่านพี่ ก็เมื่อคืนเสี่ยวไป๋น่ารักน่าชังเหลือเกิน ยอมเรียกข้าว่าท่านพี่ และที่สำคัญ เมื่อคืนยอมให้ข้ากอด ทั้งๆ ที่ตัวสั่นราวกับลูกนกยามที่ถูกข้าสัมผัส สุดท้ายเขาก็ทำให้ข้ามีความสุขที่สุด"
"ในที่สุดเจ้าก็มีความสุขเสียที ข้าดีใจกับเจ้าด้วย"
"ขอบคุณท่านพี่ เมื่อก่อนข้าล่ะอิจฉาท่านมาก ที่พี่สะใภ้ยอมรับท่านได้เร็วกว่าที่คิด ข้าก็ยินดีกับท่านด้วยจริงๆ "
"เย่วเอ๋อร์เป็นผู้ใหญ่มากกว่าหลิงซาน ครั้งนี้ที่หลิงซานยอมใจอ่อนให้เจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าส่วนหนึ่งก็มาจากเย่วเอ๋อร์"
"ท่านหมายความว่าเช่นไรท่านพี่"
"ให้คำปรึกษาอย่างไรเล่า เย่วเอ๋อร์เล่าให้ข้าฟังว่า หลิงซานมาขอคำปรึกษาเขาเรื่องเจ้าน่ะ บอกว่าสงสารเจ้าที่ต้องอดทนยามอยู่กับเขา เย่วเอ๋อร์เลยให้ข้อคิดกลับไป"
"มิน่าล่ะ ข้าก็นึกสงสัยว่าทำไมถึงยอมใจอ่อนได้ เช่นนี้ข้าต้องขอบคุณพี่สะใภ้แล้ว"
"ไม่ต้องหรอก แค่เจ้ารักและดูแลน้องเขาให้ดีแค่นี้ เย่วเอ๋อร์ก็พอใจแล้ว"
"ท่านไม่ต้องห่วงหรอก ข้ารักและเอาใจใส่เขาอยู่แล้ว ก็ดวงใจข้าทั้งดวง จะละเลยได้อย่างไรเล่า
ตำหนักใหญ่ที่สร้างขึ้นมาใหม่สองหลังเพื่อองค์ราชาทั้งสอง ที่ครองบัลลังก์ คู่กันตามความต้องการของราชาองค์ก่อนเพียงแต่องค์รัชทายาทองค์ต่อไปจะเกิดจากใครคนใดคนหนึ่งที่สามารถ ให้กำเนิดโอรสองค์แรกได้ก่อน เด็กคนนั้นจะได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็นรัชทายาทของเผ่ามังกรคนต่อไป
ร่างงามของเย่วซินและน้องชายนั่งพักผ่อนอยู่ใต้ต้นท้อ ที่ตอนนี้ออกดอกบานสะพรั่งเต็มต้นส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ พาให้รู้สึกผ่อนคลายนักยามที่สูดกลิ่นเข้าไป ร่างบางของสองพี่น้องนั่งรับลมในอุทยานหลวงแห่งนี้มาได้สักพักหนึ่งพวกนางกำนัลก็รีบยกขนมพร้อมน้ำชามาให้ หลิงซานหยิบขึ้นมากัดกินด้วยความเบื่อหน่าย
"ท่านพี่ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ววันๆ เอาแต่นั่งๆ นอนๆ และก็กินจนข้าจะกลายร่างเป็นหมูอยู่แล้ว"โอดครวญกับพี่ชาย
"ข้าไม่คิดว่าอี้เฟยจะปล่อยให้เจ้าเบื่อหน่ายได้เช่นนี้"เย่วซินเหลือบมองน้องชาย
"เกี่ยวอะไรกับเขาด้วยล่ะ" ร่างเล็กพูดเสียงเบาทำปากยู่แก้มป่องอย่างเอาแต่ใจเย่วซินมองท่าทางน้องชายอย่างเอ็นดู
"ก็ข้าเห็นช่วงนี้เจ้าตัวติดกับเขาไม่ห่างนี่ แถมเจ้านั่นอารมณ์ดี เจอทีไรยิ้มจนปากจะฉีกถึงใบหูแล้ว เป็นอย่างไรเล่า เจ้ายอมใจอ่อนให้เขาแล้วใช่หรือไม่หลิงเอ๋อร์"
"เอ่อ... คือ... "
"เจ้าไม่ต้องตอบหรอก แค่นี้ข้าก็รู้แล้วล่ะ"ร่างบางพูดก่อนจะเอ่ยถามอีกประโยค
"แล้วมันราบรื่นดีหรือไม่"
"อื้ม... "
"สุดท้ายเจ้าก็สามารถผ่านมันมาได้อีกครั้ง หึ คราวนี้เจ้าก็เตรียมตัวรับมือสวามีของเจ้าให้ดีเถิด"
"รับมือเรื่องอะไร ทำไมข้าต้องรับมือเขาด้วย"ถามออกไปอย่าง งงงวย
"จะมีอะไรอีกเล่า ลองได้เชยชมเจ้าอีกครั้งเช่นนี้ ต่อไปคงจะรุกหนักไม่เบา ดีไม่ดีเจ้าอาจไม่ได้หลับไม่ได้นอนก็ได้ หึ หึ หึ "
"ท่านพี่ ท่านน่ะร้ายนัก"
"ข้าไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ เหตุใดเจ้าต้องกล่าวหาข้าเช่นนี้ รึว่าข้าพูดอะไรผิดไป"
ทำไมนะ ร่างเล็กของหลิงซานจึงรู้สึกว่าพี่ชายของตน นับวันยิ่งร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เขาในบางครั้งยังไม่ละเว้น
"ตอนอยู่ที่หมู่บ้าน ข้าไม่เคยว่างงานเช่นนี้มาก่อน ออกป่าล่าสัตว์หรือไม่ก็ชวนหยางหลิวฝึกกำลัง แต่ตอนนี้แม้แต่ลานฝึกของที่นี่ ข้าก็ถูกสั่งห้ามเข้าใกล้"
ร่างงามทั้งสองพี่น้องนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขาสองคนไม่ได้อยู่ตรงนั้นตามลำพัง เงาสีดำค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ แอบมองคนทั้งคู่อยู่หลังต้นไม้ใหญ่ดวงตาสีแดงก่ำ จ้องมองราชินีองค์พี่ไม่วางตาอยู่เพียงครู่เดียวก็สลายกลายเป็นกลุ่มควันสีดำ มุ่งหน้าสู่อาณาจักรนายของตนทันที และมาปรากฏกายเบื้องหน้านายของตนอีกครั้ง
"นายท่าน"
"ว่าอย่างไรล่ะอาเฉา ได้ความอะไรมาบ้าง"
"ข้าไม่สามารถเข้าใกล้องค์ราชินีได้เลย องค์ราชาไม่ยอมห่างจากกายองค์ราชินีเลย หากยามใดมีงานก็จะมีองครักษ์คอยเฝ้าไม่เคยคลาดสายตา ข้าหาโอกาสแล้วแต่ไม่มีช่องทาง นายท่านจะให้ข้าทำเช่นไรต่อไป"
"ไม่ได้เรื่อง คอยดูต่อไปหากมีโอกาสจงนำเขามาให้ข้า"
"ขอรับนายท่าน"
ทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์ตอบรับนายตนแล้วก็สลายกลายเป็นกลุ่มควันดำทะมึน ก่อนจะหายไปทันที เหลือแต่ร่างสูงของนายตนที่ตอนนี้คิดถึงคนที่ตนตกหลุมรัก ตั้งแต่แรกพบเจอและหวังว่าสักวัน เขาเองจะต้องครอบครองร่างงามเจ้าของดวงใจให้ได้ คิดและคาดหวังเอาไว้มากมายนัก
ตอนนี้องค์ชายน้อยเซียวหลานก็หายเป็นปกติดีแล้ว เที่ยวเล่นซุกซนได้เช่นเดิมหากแต่ถูกพี่ชายคนโตลงโทษ กักบริเวณเพราะเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น ทำให้เขากลัวหากว่าคนตัวเล็กต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้าย เขาไม่รู้ว่าจะทนได้แค่ไหน และร่างบางจะทนได้เช่นไร เพราะอย่างนี้เลยต้องป้องกันเอาไว้ ร่างเล็กยิ่งโตยิ่งงดงามเขารู้สึกหวงแหนมากเหลือเกิน
"ท่านพี่เมื่อไรท่านจะเลิกกักบริเวณข้าเสียทีข้าเบื่อจะแย่"น้องเล็กถามอย่างเบื่อหน่าย
"เจ้าทำผิดก็ต้องรับโทษ ข้าทำเพื่อเจ้านะเซียวเอ๋อร์"พี่ใหญ่ตอบร่างเล็กของน้องชาย
"แต่ข้าเบื่อท่านพี่ข้าสัญญาว่าจะไม่ไปไหนคนเดียวอีกแล้ว ท่านเลิกกักบริเวณข้าเถิดนะ"
"ไม่ได้ ถึงข้าจะเลิกกักบริเวณเจ้าแล้ว เจ้าจะไปเที่ยวเล่นซุกซนเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว เซียวเอ๋อร์เจ้าโตแล้วต่อไปหากเจ้าเปลื้องผ้าเล่นน้ำเช่นนี้อีก ข้าจะตีเจ้าจำไว้"
"ท่านพี่ ข้าโตแล้ว ท่านจะตีข้าไม่ได้นะ"
"รู้ด้วยรึว่าตนเองน่ะโตแล้ว แล้วคนที่โตแล้วเช่นเจ้า ใยยังเปลื้องผ้าเหลือแต่ตัวเปล่า ลงเล่นน้ำด้วยเล่า พอจะบอกข้าได้รึไม่"
สายตาดุจ้องมองน้องชายอย่างคาดคั้น จนคนตัวเล็กอ้ำอึ้งตอบไม่ได้
"คะ-คือข้า... ข้าไม่พูดกับท่านพี่แล้ว"
พูดจบก็งอนตุ๊บป่องกลับเข้าตำหนักตนทันที ร่างสูงของพี่ชายได้แต่ส่ายหน้าไปมาระอากับความดื้อดึงเอาแต่ใจของน้องเล็ก นี่คงเพราะถูกตามใจมากเกินไปกระมัง ถึงได้เป็นเช่นนี้เขาคงต้องกำหราบให้จริงจังสักที หากแต่เอาเข้าจริงๆ เขาก็ทำไม่ได้ดั่งใจ มีครั้งหนึ่งเจ้าตัวเล็กไปซุกซนจนตนเองเกือบจะได้รับบาดเจ็บ เขารู้เรื่องเข้าโมโหมากสั่งนางกำนัลไปเอาไม้มาจะโบยให้หลาบจำ แต่น้องชายคนรองไม่ยอมทีเดียว คุกเข่าขอให้เขายกโทษให้น้องเล็ก เขาไม่ยอมใจอ่อนยกโทษให้ พอหมดหนทางเข้าเรื่องก็ไปถึงหูผู้เป็นพ่อ คำสั่งตรงลงมาอย่างรวดเร็ว
ก็คงไม่พ้นห้ามทำอะไรรุนแรงกับเจ้าตัวยุ่ง เป็นเช่นนี้มาตลอดให้ท้ายกันจนติดนิสัยเอาแต่ใจ แต่ถึงอย่างไรน้องเล็กสุดท้องก็คือแก้วตาดวงใจของคนทั้งสาม และทุกคนในอาณาจักรเผ่ามารแห่งนี้
++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็น