สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏขึ้นในโลกแห่งนี้  ถ้ามันผิดแผกแปลกปลอมไปจากปกติหรือจากพวก    สิ่งนั้นก็จะถูกมองว่าน่ากลัว มนุษย์เราจึงกลัวสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมาอย่างกระทันหัน หรือไม่ตั้งใจคาดไม่ถึง  แต่บางครั้งความกลัวก็สร้างสิ่งล้ำค่าที่สุดให้กับมนุษยชาติ ซึ่งมันอลังการน่าดู.....   
   
เดือนมกราคม2544
    ในคืนหนึ่งผมต้องตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างตกใจ  เพราะมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นภายในห้องนอนของผม  มีแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นบนเพดานห้อง ซึ่งหลอดไฟบนเพดานไม่มีทางที่จะส่องสว่างได้เท่านี้  และขณะเดียวกันภายในห้องก็เกิดมีลมแรงจนข้าวของภายในห้องของผมกระจัดกระจาย    ในตอนนั้นคิดว่าตนเองต้องโดนแน่แล้ว “ผี”  ต้องโดนผีหลอกแน่นอน  อาศัยอยู่ที่นี่มาห้าปียัง
ไม่เคยโดนหลอกซักครั้งแต่คืนนี้คงไม่รอดซะแล้วท่าทางผีใหญ่ซะด้วยซิเล่นแสดงอิทธิฤทธิ์เปิดตัวขนาดนี้  หลังจากที่ตื่นผมก็ได้แต่คลุมโปงหลับตาท่องนะโม ขอขมาเจ้าที่เจ้าทางถ้าอยากได้อะไรพรุ่งนี้จะถวายสังฆทานไปให้  หรือว่าเคยไปลบหลู่อะไรโดยไม่ตั้งใจก็ขอขมาอย่าได้หลอกได้หลอนกันแบบนี้เลย 
      ผีใหญ่แสดงอิทธิฤทธิ์อยู่นานเลยทีเดียว ทั้งที่ผมก็สวดมนต์ไปไม่รู้ตั้งกี่จบ  ครั้นจะลุกขึ้นกระโดดหนีออกไปจากห้องก็กลัวว่าผีจะโกรธเข้าไปใหญ่ นึกไปถึงถ้าเกิดมันออกไปไล่ตามเหมือนในหนังมันจะน่ากลัวกว่าเก่าตอนที่ผีมันออกไปอาละวาดไล่ตามฆ่ากระชากวิญญาณ  อย่างสยดสยองผมคงต้องตายอย่างอนาถโดนจับขึงแขนขาตายคาลวดหนามให้เลือดไหลซิบๆศพไม่สวย    และที่สำคัญที่สุดคือตอนนั้นผมไม่เหลือเรี่ยวแรงอยู่ที่ขาแล้ว ขามันแข็งทำอะไรไม่ถูกแม้แต่จะบังคับเส้นประสาทให้กระดิกนิ้วตีน
      แต่ไม่นานนักทุกอย่างก็สงบลง เมื่อผมรู้สึกว่าแสงสว่างได้หายไปแล้วสายลมก็หยุดลง ผมค่อยๆลืมตาเปิดผ้าห่มอย่างแง้มๆมองไปรอบๆห้องในความมืด  พอจะเห็นเพียงแต่ข้าวของที่กระจายทั่ว  ผมเปิดผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นข้างๆเตียงนอนอย่างกลัวๆ  กลัวว่าผีมันยังอยู่มันอาจจะลองเชิงกลั่นแกล้งให้เรากลัว  ทั้งที่ความจริงแล้วอยากจะบอกมันว่าถ้าจะหลอกแค่มันโผล่มาให้เห็นเฉยๆก็กลัวขี้หดตดหาย ไม่ต้องแสดงอิทธิฤทธิ์กันถึงขนาดนั้นหรอก 
        ผมเดินวนรอบห้องอย่างช้าๆกลัวๆในมือกำพระเครื่องที่วางไว้ใกล้หัวเตียง ซึ่งเป็นของชำร่วยเพิ่งได้มาจากงานเผาศพของเพื่อนแม่  ไม่รู้ว่าอาคงอาคมจะมีหรือเปล่าขอกำเอาไว้ให้อุ่นใจไว้ก่อนยังไงก็ได้ขึ้นชื่อว่าพระล่ะ  ปรากฎว่าปลอดภัยผีคงไปหลอกหลอนคนอื่นแล้วขณะที่เดินไปจะเปิดสวิตซ์ไฟห้อง จู่ๆก็มีแสงสว่างโผล่ขึ้นมาอีก มันยังไม่จบง่ายๆ
“อะไรอีกว่ะเนี่ย!!!” ผมถึงกับต้องร้องอุทานขึ้นเมื่อบางอย่างมันกำลังลอยอยู่เหนือเพดานส่องแสงแวบๆ  แล้วมันก็ลอยละล่องลงมาอย่างช้าขนาดของมันเกือบจะเท่าเตียงแต่เล็กกว่า ผมตกใจผงะถลาถอยจนล้มลงตรงมุมห้องพอดีเหมือนคนจนตรอกแขนขดขาขดก้มหน้าอย่างเดียว
“ผมกลัวแล้วอย่าหลอกหลอนผมอีกเลย”  ผมพนมมือขึ้นเหนือหัวในมือก็มีพระแล้วพูดขอร้อง
“เฮ้ย!”  เสียงใครดังขึ้น  ทำผมถึงกับสะดุ้งกลัวเข้าไปใหญ่ มันเริ่มแล้วผีใหญ่เริ่มจะลงมือแล้วทำไมต้องเป็นเราด้วย   
“เฮ้ย!!!” เสียงผีดังขึ้นอีก “เอาแล้วมันเริ่มเรียกเราแล้ว”ผมคิดในใจ
“เฮ้ย!!! จะก้มไปถึงไหนเงยหน้าขึ้นมาพูดกันหน่อยซิ”  ด้วยความกลัวจึงต้องทำตามคำสั่งของมัน ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้น 
      สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาในความมืด คือตัวตนที่ไม่ใช่มนุษย์    ร่างที่สูงผอมหัวกลม ดวงตาโตและปูดโปนจนแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าและแขนขาที่ลีบยาว 
“เอเลี่ยน!!!!”  ผมร้องตะโกนขึ้นอย่างดัง มันจึงผงะรีบเอามือที่ลื่นมันมาปิดปากของผม  อาการกลัวจนขี้ขึ้นสมองเป็นยังไงถ้าได้เห็นผมในตอนนั้นก็จะรู้  สายตาผมเหลือบไปมองตรงกลางห้องก็เห็นว่าวัตถุที่มันลอยอยู่บนเพดานที่แท้มันคือยานอวกาศของมันซี่งจอดแน่นิ่งอยู่กลางห้อง  ความคิดของผมที่กลัวผีตอนนี้กลับตาลปัตรไปหมดสิ้นแต่ก็ยังกลัว คราวนี้กลายเป็นกลัวว่ามันจะจับตัวไปทดลองผ่าท้อง เอาลำไส้เล็กลำไส้ใหญ่ออก  ผ่าสมองเอาไปทดลองอะไรของมันผมคิดไปถึงขั้นมันอาจจะผ่าเอาสมองมนุษย์ไปกิน  คิดไปว่านี่มันจะเริ่มยึดโลกของเราแล้วหรือ  ที่แท้มันก็มีอยู่จริงๆพวกต่างดาวไม่ใช่เรื่องโกหก  แต่ก็คงจะไม่มีใครรู้ว่ามันมีอยู่จริงๆในโลกเราที่พวกต่างดาวมันแอบเข้ามาเพราะเมื่อผมถูกจับตัวไปเรื่องราวของมันก็จะเงียบหายไปด้วย 
“ข้าจะปล่อยแกแต่แกต้องรับปากก่อนว่า จะไม่ตะโกน”  เอเลี่ยนยื่นหน้ามาใกล้ๆแล้วพูด  ตอนนี้มันบอกให้ผมทำอะไรผมทำหมดทั้งนั้นแหล่ะเพื่อจะได้ยืดเวลาตาย ขืนไปขัดใจมันอาจจะโดนมันโกรธเข้าให้  ผมจึงพยักหน้าตกลงแล้วมันก็เอามือของมันออกไปจากปากของผม
“นี่พ.ศ.ที่เท่าไร” มันเอ่ยถาม
“พ.ศ.2544 หรือค.ศ.2001” ผมตอบออกไปอย่างรวดเร็ว
“มาไกลขนาดนี้เลยเหรอว่ะเนี่ย”  มันพูดกับตัวเอง พอมันพูดเสร็จก็หันมาหาผม มันก้มลงมามองหน้า ขนผมลุกไปทั้งตัวไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรกับผมอีก  แล้วมันก็เอามือทั้งสองข้างมาจับที่แก้มของผม
“บรรพบุรษ
.”
..............................................       
...........................
....................
        ตอนนี้ก็มิถุนายน พ.ศ.2548  สี่ปีแล้วซินะหลังจากคืนนั้น..... ผมยังคงมีชิวิตอยู่อย่างดีในทุกวัน และก็เป็นชีวิตที่เข้าใจอะไรๆดีขึ้นกว่าเก่ามากเหลือเกิน  เรื่องอะไรต่างๆที่ผ่านเข้ามาหลังจากคืนนั้นได้ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆไม่กลัวอะไรง่ายดายเช่นก่อน  เพราะจากคำที่ลูกหลานของผมบอกว่ามนุษย์เรานั้นขี้กลัว กลัวอะไรต่างๆนาๆ  อ้อ! เกือบลืมบอกไปว่าผมเป็นคนโสดไม่มีลูกไม่มีเมียในตอนนี้  แต่ผมรู้ว่าผมมีหลานเหลน ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอย่างไรได้ถูกถ้าคนนั้นเป็นลูกของลูกของลูกๆๆๆๆๆๆๆหลายล้านชั่วอายุคนรู้แต่ว่าเขาสืบตระกูลของผม    เขาก็คือเอเลี่ยนตัวนั้นนั่นแหล่ะที่มาหาผมเมื่อสี่ปีก่อน ความจริงแล้วก็คือคนหรือเรียกว่ามนุษย์แต่เป็นยุคอนาคต    ทีแรกผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรในคืนนั้นเพราะมัวแต่กลัว  แต่พอคิดไปคิดมา”เอเลี่ยนอะไรทำไมมันพูดภาษาไทยซะคล่อง”  จนกระทั่งมันด่าผมว่า”บรรพบุรุษของเราปอดแหกอย่างนี้เองเหรอว่ะเนี่ย” 
      หลังจากนั้นมันก็นั่งลงข้างหน้าผมและบอกเรื่องทุกๆอย่างว่า  เอเลี่ยนไอ้ที่ตากลมๆอย่างที่ตัวมันเป็นที่แท้ก็คือมนุษย์เหมือนเราๆแต่ว่าอีกร้อยปีข้างหน้าจะมีอุกกาบาตลูกใหญ่ตกลงมาที่โลก ทำให้เกิดการล้างระบบนิเวศต่างๆของโลกเหมือนกับเราฟอร์แมตคอมพิวเตอร์ดั่งคำทำนายที่นักพยากรณ์ชื่อก้องโลกเคยบอกไว้ว่าปี2000โลกจะแตกแต่ทว่ามันคลาดเคลื่อนไปอีกเป็นร้อยปีแต่ผลทำนายก็ได้เกิด  ซึ่งหลังจากนั้นธรรมชาติก็ได้เปลี่ยนไปไม่เอื้ออำนวยต่อร่างกายของมนุษย์ปัจจุบันอย่างเราๆ  มนุษย์ที่เหลือรอดอย่างเราเมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป ร่างกายของเราก็เริ่มพัฒนาต่อไปอีกจนเกิดเป็นวิวัฒนาการไปเรื่อยๆตามระยะเวลาหลังจากนั้นเป็นล้านๆปี  มนุษย์ฉลาดขึ้นเรื่อยๆพร้อมด้วยร่างกายที่เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมของโลก    ซึ่งมันก็เหมือนกับวิวัฒนาการของมนุษย์ในยุคแรกเริ่ม  เหมือนลิงที่กว่าจะกลายมาเป็นมนุษย์ต้องผ่านกาลเวลาและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปเป็นล้านๆปีตามวิวัฒนาการ  พวกที่เราเรียกว่าเอเลี่ยนก็เช่นกันแท้จริงนั่นคือวิวัฒนาการทางร่างกายขั้นต่อๆไปของมนุษย์เรา 
      ในยุคอนาคตที่เปลี่ยนแปลงและอุดมสมบูรณ์พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่สร้างขึ้นจากวิวัฒนาการของมันสมองมุนษย์อนาคตที่ชาญฉลาดจนเกินขีดจำกัดของมนุษย์ปัจจุบันจะคาดถึงหลายหมื่นแสนลำดับชั้นนัก      สมองที่เห็นสมการอันยากยิ่งในยุคปัจจุบันอย่างสมการของจักรวาลและอะตอมทฤษฏีต่างๆที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังคงขบคิดอย่างเอาเป็นเอาตาย ทฤษกีสัมพัทธภาพหรือจะทฤษฎีควอนตั้ม  มันสมองของเด็กในยุคสมัยแห่งอนาคตนั้นเห็นมันง่ายเป็นเพียงแค่สมการหนึ่งบวกหนึ่งของปัจจุบัน    เครื่องไม้เครื่องมืออย่างเช่นที่ผมเห็นไอ้เหลนของผมมันนำพาข้ามการเวลามา มนุษย์อย่างเราๆก็คงคิดไม่ถึงว่านั่นคือสิ่งที่มนุษย์เราสามารถสร้างขึ้นได้แน่นอน  กลจักรอันซับซ้อนกลไกที่ขับเคลื่อนอย่างแน่นิ่งแต่ทรงประสิทธิภาพ  เมื่อเห็นต้องคิดว่าเป็นของพวกต่างดาวแน่ แต่เหลนผมมันบอกว่าที่บ้านมันไอ้คันที่มันพามานั้นก็เหมือนจักรยานบ้านเรายุคนี้ ซื้อหาเองเอามาประกอบเองได้สบายๆ   
        ส่วนสาเหตุที่มันย้อนเวลากลับมาหาผมก็เพราะอยากจะได้เห็นบรรพบุรุษของมันซักครั้งเหมือนกับที่คนอื่นๆทำ  มันเป็นอย่างนี้นี่เองที่จะมีไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เห็นมนุษย์ต่างดาวเพราะบางคนก็เฝ้ารอตลอดชีวิตพยายามพิสูจน์แต่ไม่เคยพบ ผิดกับผมที่ไม่ตั้งใจมีความอยากจะเจอเรื่องนี้ไม่เคยอยู่ในหัวสมองกลับได้เจอตัวเป็นๆ  แต่การได้พบเจอกันนั่นคือสัญญาณที่ดีเป็นการบ่งบอกว่าอีกหลายล้านปีข้างหน้า สายเลือดของผมยังคงสืบอยู่  เพราะภายในอีกร้อยปีก่อนที่อุกกาบาตจะตกมนุษย์โลกก็ต้องต่อสู้กับโลกร้ายที่เกิดขึ้นใหม่อย่างไม่สิ้นสุดเพราะจักรวาลและแรงดึงดูดของดาวบริวารเปลี่ยนไปเรื่อยๆจากการมาของอุกกาบาตซึ่งยังอยู่ไกลเกินที่มนุษย์จะตรวจจับถึงธรรมชาติจึงเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  เชื้อโรคร้ายและไวรัสต่างๆก็แข็งแรงขึ้น  ที่สำคัญที่สุดที่ทำให้มนุษย์โลกเริ่มหมดไปก่อนที่อุกกาบาตจะตกก็คือสงครามที่มนุษย์ฆ่ากันเอง ซึ่งสอดคล้องกับเชื้อไวรัสที่มนุษย์สร้างขึ้นเองเพื่อทำอาวุธชีวะแต่แล้วมันกลับพัฒนาตนเองจนแข็งแรง จนมนุษย์ไม่สามารถยับยั้งได้  พวกคนเหล่านี้ที่สร้างสงครามเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีทางได้เจอตัวของเอเลี่ยนที่เป็นลูกหลานของตน เพราะสกุลของเขาจะหมดสิ้นก่อนอุกกาบาตตก  มนุษย์อนาคตจึงวิจัยและเรียกสิ่งที่อยู่ในมนุษย์ที่เชื้อหายสาบสูญว่า “เชื้อกล้า”  ส่วนกลุ่มคนที่ยังคงมีชีวิตรอดและสามารถสืบสกุลไปอีกเป็นล้านๆปีก็เรียกว่า”เชื้อกลัว”  และผมก็คือมนุษย์ที่มีเชื้อกลัวอยู่เต็มตัวหรือที่เรียกว่าปอดแหก  ใครจะคิดล่ะว่าคุณสมบัติที่ปอดแหกนี้จะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงอยู่ถึงอนาคต  จากสาเหตุที่เหลนผมบอกคือคนปอดแหกเวลามีสงครามจะคอยหลบหลีก หลบหนีไม่สู้รบเอาตัวรอดปลอดภัยเปอร์เซ็นต์การตายจึงน้อยมากเมื่อเทียบกับพวกเชื้อกล้าที่บ้าบิ่น สู้ไม่ถอย  พอถึงยุคที่อุกกาบาตตกพวกเชื้อกลัวจึงมีทักษะการเอาตัวรอดสูงสามารถหลบหลีก และซุกซ่อนตนเองได้อย่างดีจากภัยธรรมชาติ และที่ทำให้มีคนไทยรอดเหลืออยู่มากก็เพราะ อุกกาบาตได้ตกลงฝั่งอเมริกา ประชากรทางฝั่งนั้นจึงเหลือน้อยที่สุดเพราะเราอยู่ตรงข้ามโลกกัน  ทั้งหมดนี้ที่เหลนของผมได้เล่าให้ฝังในคืนนั้น ทำให้ผมภูมิใจที่จะกล้าใช้ชีวิต กล้าในที่นี้หมายถึงกล้าปอดแหก กล้าที่จะหลบหลีกรักษาชีวิตเอาไว้  “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” นี่คือคติประจำใจ ที่ท่องไว้เสมอเพื่อชีวิตของผมและเพื่อชีวิตของลูกหลานอีกหลายล้านปี....
      ก่อนจากกันในคืนนั้นมันพูดบางอย่างกับผมไว้อย่างสะกิดใจเหลือเกินว่า 
“มนุษย์เราชอบนึกคิดถึงแต่เรื่องอำนาจและความกล้าโดยลืมนึกถึงความพอของตนเอง ถ้าก่อนที่อุกกาบาตตก มนุษย์พากันร่วมมือหาวิธีป้องกันหรือหลบหลีกมัน  อนาคตเชื้อพันธุ์ของมนุษย์ที่เหลือคงหลากหลายมากกว่าที่เป็น แต่เพราะมนุษย์มีความกล้ามากเกินไปจึงมองอะไรเกินตัวอยากทำสงครามแย่งดินแดนทั้งที่ตัวเองก็ใช้พื้นที่เหยียบยืนวางขาเพียงไม่กี่คืบเท่านั้นแต่กลับต้องการพื้นที่ทั้งโลก ถ้ามองตัวเองซักหน่อยก็จะรู้ว่าตนเองก็สามารถยืนบนผืนดินที่กว้างแค่คืบเดียวได้ถ้ารู้จักพอ” 
..............จบ............
ยังมีเรื่องสั้นให้อ่านอีกหลายเรื่องเพียงพิมพ์คำว่า เชือกผูกลม ลงในช่องค้นหานักเขียน
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น