เพียงธูปหนึ่งดอก - เพียงธูปหนึ่งดอก นิยาย เพียงธูปหนึ่งดอก : Dek-D.com - Writer

    เพียงธูปหนึ่งดอก

    มาอีกแล้วเรื่องสั้นระทึกขวัญ อันน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง ไม่อ่านไม่ได้แล้ว...คำเตือนอย่าอ่านตอนกลางคืน เชือกผูกลมภูมิใจสยอง...

    ผู้เข้าชมรวม

    707

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    707

    ความคิดเห็น


    15

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 พ.ย. 48 / 19:14 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      นพนั่งอยู่หลังกระบะรถที่วิ่งไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด เพื่อที่เขาจะไปถ่ายทำรายการสารคดีรายการหนึ่งซึ่งนำเสนอเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ  นพเป็นตากล้องมือดีของรายการเขาขอเลือกที่จะนั่งอยู่หลังกระบะของรถทีมงาน เพื่อชมวิวทิวทัศน์ของชนบทและก็คอยถ่ายรูปภาพวิวข้างทางอย่างเพลิดเพลินอารมณ์  
           จุดหมายปลายทางที่จะไปคือหมู่บ้านดอนแดงที่มีข่าวทางหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ไม่นานนี้ว่าเกิดเหตุการณ์ชาวบ้านตายติดกันหลายคนและตายเฉพาะหญิงสาววัยรุ่น  ซึ่งพวกชาวบ้านก็บอกว่าเป็นเพราะผีมาเอาไป บางคนก็บอกว่าผีปอบ   ทางทีมงานจึงต้องมาถ่ายทำที่หมู่บ้านนี้ในขณะที่กระแสกำลังดัง
            รถทีมงานทั้งสองคันทั้งรถตู้และรถกระบะขับไปอย่างไม่เร็วนักเพราะไม่ชินเส้นทาง จึงต้องใช่เวลาในการเดินทางพอสมควร  
            สองข้างทางเป็นท้องทุ่งนาสุดล้าฟ้าเขียว เห็นแต่รวงข้าวอยู่ขนาบถนนลูกรังเป็นหลุมเป็นบ่อ รถจึงโยกไปโยกมา    จนพระอาทิตย์เริ่มจะตกลงรถทีมงานของเขาก็ถึงหมู่บ้านดอนแดง โดยมีผู้ใหญ่บ้านมาต้อนรับ

             ฟ้าสลัวของต่างจังหวัดช่างเงียบเหงาไม่ครึกครื้นเหมือนเมืองหลวง ชาวบ้านต่างก็กลับเข้าบ้านอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวเข้านอนแต่หัวค่ำ หมู่บ้านแห่งนี้เรียกได้ว่าห่างไกลความเจริญจนนพแทบจะรู้สึกสงสัยว่ายังมีหมู่บ้านแบบนี้อีกหรือในเมืองไทย  เพราะหลังจากที่เขาและเพื่อนทีมงานอีกสามคนซึ่งรวมถึงคนที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรภาคสนามซึ่งคุ้นหน้าคร่าตากันในโทรทัศน์ได้กินข้าวเย็นกันที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน  เมียของแกเป็นคนหุงหาอาหารมาให้กิน ทั้งต้มยำไก่ซึ่งถือว่าเป็นอาหารชั้นดีของคนที่นี่เพราะต้องฆ่าไก่ที่แกเลี้ยงเอามาทำอาหารเลี้ยงแขก  และก็ไข่เจียว   นพกับทีมงานก็เกรงใจลุงผู้ใหญ่ เพราะแกต้องฆ่าไก่มาเลี้ยงพวกเขาทั้งที่ดูแล้วไก่ตัวหนึ่งมีค่ามากสำหรับคนที่นี่  แล้วพวกเขายังจะต้องขออาศัยที่บ้านนี้อีกต่างหาก  
            
            พวกเขานั่งล้อมวงกินข้าวพร้อมพูดคุยกับลุงผู้ใหญ่และเมียของแก อยู่ที่กลางบ้านยกสูงที่มีลักษณะเป็นเพิงไม้ตรงส่วนที่พวกเขานั่งกินข้าวกันอยู่นั้นถ้าจะเรียกให้เหมาะก็คงเรียกได้ว่าเป็นห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น และห้องครัวรวมกันในที่เดียว เพราะถัดไปออกไปไม่กี่ก้าวก็เป็นห้องนอนและห้องว่างอีกห้องที่พวกเขาจะได้นอนกันในคืนนี้     ส่วนห้องน้ำอยู่นอกบ้านทำด้วยสังกะสีเอามาปิดทับเป็นผนังกั้นเป็นห้องหลังคาก็ทำด้วยสังกะสีเช่นกัน ข้างๆเป็นที่เลี้ยงไก่ของลุงผู้ใหญ่ มีสุ่มไก่เรียงกันหลายสุ่ม    
           ขณะที่นั่งกินข้าว นพมองสำรวจภายในบ้านก็เห็นโทรทัศน์เครื่องหนึ่งตั้งอยู่  เป็นเครื่องรุ่นเก่าที่ตอนนี้คงหาซื้อตามร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ได้แล้ว เพราะเป็นรุ่นที่ยังไม่มีรีโมทจะดูก็ต้องเดินไปกดปุ่มที่เครื่อง   มีตู้เย็นเครื่องไม่ใหญ่นักแต่ก็เก่าพอดูได้จากสนิมที่ขึ้นอยู่ริมขอบล่างของตู้เย็น

           หลังจากกินข้าวกันเสร็จพวกเขาก็ขอให้ลุงผู้ใหญ่พาเดินสำรวจรอบหมู่บ้าน  ซึ่งลุงผู้ใหญ่เองก็ไม่ขัดข้องอะไร  นพจึงแบกกล้องไปด้วยเพื่อเริ่มถ่ายทำกันตั้งแต่คืนนี้เลย  นพเดินเก็บบรรยากาศของหมู่บ้านท่ามกลางความมืดทั้งที่เวลาเพียงแค่สองทุ่มครึ่งแต่ก็มืดมิด เงียบเชียบ เขาเดินไปตามทางและก็ถ่ายพิธีกรซึ่งคุยกับลุงผู้ใหญ่ไปด้วยตามสคริปท์     ระหว่างทางลุงผู้ใหญ่ก็ชี้ให้ดูว่าบ้านไหนบ้างที่มีคนตายไปแล้ว  ซึ่งก็เป็นบรรยากาศที่น่ากลัวเพราะตามที่ลุงผู้ใหญ่บอกบ้านเหล่านั้นล้วนอยู่ติดๆกัน    
           เสียงหมาหอนดังขึ้นระงมตามทางที่พวกเขาเดิน  โดยที่วิสัยทัศน์ในการมองเห็นก็จำกัดเพียงแค่ที่ไฟฉายส่องไปเท่านั้น  นอกจากนั้นก็มองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงไฟเล็กๆจากบางบ้านที่ยังไม่หลับนอน     หนึ่งในทีมงานถามลุงผู้ใหญ่ขึ้นในขณะที่เดินกันอยู่ว่า”คนที่หมู่บ้านนี้เขาไม่ดูละครไม่ดูโทรทัศน์ตอนหัวค่ำกันบ้างเหรอ”  ลุงผู้ใหญ่ก็บอกว่า”ที่นี่เขาไม่ดูกันหรอกโทรทัศน์ เขาฟังแต่วิทยุตอนไปไร่ไปนากันนั่นแหละ   อีกอย่างโทรทัศน์ก็มีกันไม่กี่บ้านเองรู้สึกว่าจะมีไม่ถึงห้าหลังล่ะมั้งในหมู่บ้านนี้ที่มี  พวกพ่อหนุ่มเห็นเครื่องที่อยู่ในบ้านของลุงหรือเปล่าล่ะ นั่นน่ะถือว่าทันสมัยแล้วนะ”  
             แล้วคำถามสำคัญก็เริ่มขึ้นจากปากพิธีกร นพก็ถ่ายไปยังใบหน้าของพิธีกรและลุง
      “เรื่องสาเหตุที่มีคนตายในหมู่บ้านแล้วเป็นข่าวว่าเพราะผีมาเอาไป ละครับมันจริงหรือเปล่า”  พิธีกรถาม
      “ข่าวเขาก็ลงไปตามที่ชาวบ้านพากันพูดนั่นแหละ ลุงน่ะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอกแต่ก็ห้ามไม่ให้ชาวบ้านเขาเชื่อได้  ส่วนตัวลุงเชื่อหมอมากกว่า หมออนามัยน่ะไม่ใช่หมอผี”ลุงมีเล่นคำพอให้สนุกกัน  
      “แล้วเรื่องผีปอบล่ะครับ  ในข่าวหนังสือพิมพ์ลงว่าชาวบ้านที่นี่บอกเมื่อก่อนที่หมู่บ้านนี้มีปอบเต็มไปหมดแต่ก็ถูกไล่ออกไปจากหมู่บ้านทำให้มันโกรธจึงกลับมาแก้แค้นเอาไปหลายศพ”  พิธีกรเอ่ยถามต่อ
      “มันก็ไม่พ้นเรื่องที่หมอผีแต่งแล้วพากันเชื่อแล้วลือกันอีกนั่นแหละพวกนี้ชอบหากินกับความเชื่อของคน    ลุงก็เห็นว่าใครไม่สบายก็ไปหาหมออนามัยเชื่อหมอกันหมด  แต่พอเรื่องคนตายกลับดันไปเชื่อหมอผี  เฮ้อ..” ลุงผู้ใหญ่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเล็กน้อย  
      “โอ้ย!!”  นพร้องขึ้นเมื่อเขาเดินไปสะดุดเตะเอาเข้ากับก้อนหินใหญ่ ทำให้เกือบล้มกล้องที่ใช้ถ่ายเกือบหลุดออกจากมือยังดีที่ทีมงานอีกสองคนที่เดินตามหลังมาพยุงไว้ทันทำให้การถ่ายทำสะดุดลง    หนึ่งในสองคนนั้นเป็นโปรดิวเซอร์ก็เลยบอกให้พักกันก่อนดีกว่าเอาไว้ถ่ายคืนพรุ่งนี้ต่อ  
            ขณะที่พวกเขาพากันเดินกลับ หมาก็หอนเห่าตามทางตลอดแต่ก็ไม่มีบ้านซักหลังที่จะตื่นมาดูว่าใครพากันเดินผ่านหน้าบ้านตัวเอง   จนเดินผ่านไปซักพักมีบ้านอยู่หลังหนึ่งที่ยังเปิดไฟสลัวๆอยู่  นพที่เดินมองข้างทางเพื่อซึมซับบรรยากาศอยู่นั้น จึงเปิดกล้องขึ้นแล้วก็ถ่ายไปที่สภาพบ้านหลังที่ยังเปิดไฟเผื่อว่าจะเอาไปใช้ได้เพราะดูน่ากลัวดี  
      “นพเอ็งจะทำอะไรว่ะ”  โปรดิวเซอร์ถามเพราะเดินตามอยู่ข้างหลังนพ
      “ถ่ายเอาไว้พี่เผื่อเอาไปใช้สร้างบรรยากาศได้”  ว่าแล้วนพก็ถ่ายบ้านหลังที่เปิดไฟอยู่เขาแพนกล้องไปเรื่อยๆจนมาสะดุดกับบานหน้าต่างที่เปิดอยู่  เพราะตรงนั้นมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนมองมาที่พวกเขา นพจึงพยายามซูมกล้องเข้าไปใกล้เพื่อให้เห็นหน้าได้ชัดแต่ก็ลำบากเพราะแสงภายในบ้านนั้นสลัวเกินไป แต่แล้วเขาก็ตกใจเมื่ออยู่ดีๆมีผู้ชายแก่เดินมาโผล่ขึ้นข้างหลังเอามือมาปิดตาเด็กผู้หญิงคนนั้นไว้แล้วรีบปิดหน้าต่างแล้วปิดไฟ   “เป็นอะไรของเขา” นพอุทานขึ้นกับตัวเองทั้งที่ขนแขนก็ลุกชัน
           ค่ำคืนที่แปลกที่  แต่ก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่แปลกใหม่ของนพเท่าไร เพราะเขาเองก็ต้องนอนแปลกที่เช่นนี้อยู่เสมอเวลาที่ต้องออกไปถ่ายทำภาคสนามอยู่เกือบทุกอาทิตย์    ภายในห้องไม้ที่เล็กแคบต้องนอนบนเสื่อและหมอนที่มีกลิ่น  เจ้าของบ้านคงไม่มีแขกมาพักที่นี่บ่อยนักพวกเขาอาจจะเป็นแขกมาพักในรอบปีหรืออาจจะหลายปีเมื่อดมจากกลิ่นของหมอนที่คงไม่ได้เอาออกมาใช้นาน  
           ขณะที่ทุกคนหลับกันหมด นพกลับนอนไม่หลับเพราะเสียงกรนของแต่ละคนที่กรอกหูเขาอยู่อย่างแนบชิด  เขาจึงลุกขึ้นเดินข้ามทุกคนไปยังหน้าต่างที่เปิดอยู่  นพยืนมองออกไปข้างนอกซึ่งเป็นหลังบ้าน มองแทบไม่เห็นอะไรแต่ท้องฟ้าต่างจังหวัดนั้นสวยกว่าเมืองหลวงมากนักดาวทุกดวงเด่นชัดจนบางดวงที่ไม่เคยเห็นก็มีแสงพอให้เห็นได้  นพกวาดตามองก็เห็นว่าในห้องน้ำมีแสงไฟวูบวาบที่มาจากแสงเทียน  พลันนั้นประตูห้องน้ำก็เปิดเกิดเสียงสังกะสีดังกร๊อบแกร๊บ  นพหลบตัวแอบมอง  ก็เห็นว่าลุงผู้ใหญ่เดินออกมาจากห้องพร้อมเชิงเทียนเพราะในห้องน้ำไม่มีไฟ    นพแอบมองจนลุงผู้ใหญ่เดินลอดบ้านขึ้นมาประตู เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมา
      “ก๊อกๆ”   เสียงเคาะประตูเบาๆเหมือนลองเชิงดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง นพจึงละจากหน้าต่างแล้วไปเปิดประตู
      “นอนไม่หลับหรือพ่อหนุ่ม ลุงเห็นยืนอยู่หน้าต่าง”  
      “ครับ”
      “ออกมานั่งคุยกับลุงมั้ยล่ะ”
      “ก็ดีครับ”  นพเดินออกมาคุยกับลุงอย่างเต็มใจและทันที  ทั้งที่ภายในใจเขาก็แปลกใจอยู่ว่าเมื่อครู่ลุงผู้ใหญ่เห็นเขาด้วยหรือทั้งที่ห้องออกจะมืดขนาดนั้น แถมที่ลุงยืนอยู่ถ้าจะมองมาที่เขาก็ยังย้อนแสงกับเทียนที่ลุงผู้ใหญ่ถือ
            ทั้งคู่นั่งอยู่บนบันไดไม้หน้าประตูบ้านมองไปเป็นต้นไม้สูงใหญ่หลายต้นลดหลั่นกันไปเห็นเป็นแต่สีดำ  แสงเทียนหนึ่งเล่มส่องแค่พอมองเห็นใกล้ๆ
      “เอามั้ยพ่อหนุ่ม” ลุงผู้ใหญ่ยื่นยาสูบมาให้เขา
      “ผมไม่สูบครับ”  นพปฏิเสธ  แล้วลุงผู้ใหญ่ก็คาบยาสูบมวนนั้นไว้ในปาก ก้มหน้าลงใกล้เชิงเทียนแล้วจุดยาสูบ ส่งกลิ่นและควันฟุ้ง
      “หอมดีนะครับ” นพพูด
      “อืม ลุงขาดมันไม่ได้แล้วล่ะ”  ลุงพูดพร้อมกับสูบมันเข้าปอด  
      “ลุงผู้ใหญ่ครับ   ลุงไม่มีลูกบ้างเลยเหรอ” นพเอ่ย
      “มี ลุงเคยมีลูกสาวแต่ป่านนี้มันคงลืมพ่อแม่ไปแล้วล่ะพ่อหนุ่มเอ้ย”  ลุงพูดพร้อมถอนหายใจ  
      “ทำไมล่ะครับ”   นพถามอย่างระคนใจเมื่อลุงใช้คำว่าเคยมี
      “ก็มันดิ้นรนจนตัวเองได้ไปอยู่กรุงเทพ  มันหาว่าลุงไม่รักมันที่อยากจะให้มันอยู่ที่นี่แต่งงานกับคนที่นี่”  น้ำเสียงลุงเศร้า  “เนี่ยมันก็ไม่ได้ติดต่อมาเป็นสิบปีแล้ว”
      “ลุงไม่คิดตามหาบ้างเหรอ”
      “ถ้ามันอยากจะมามันก็คงจะมาหาพ่อกับแม่ของมันเอง ลุงไม่ไปตามมันหรอกกรุงเทพมันไม่ใช่ที่ของลุง”    
           นพรับฟังลุงและรู้สึกได้ถึงความเสียใจของลุง จากสีหน้าและแววตาที่เศร้าๆของลุงผู้ใหญ่ผ่านแสงเทียน  
           มวนยาสูบมวนที่สองกำลังถูกม้วน  ก่อนที่ลุงจะคีบมันเข้าปาก นพเห็นว่าลุงผู้ใหญ่จัดว่าเป็นคนที่สูบจัดคนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะตลอดเวลาที่นพได้มาที่นี่เห็นลุงแกจุดสูบไม่ว่างเว้น    
      “ลุงเป็นคนที่พื้นที่นี้ตั้งแต่เกิดเลยหรือเปล่าครับ”  
      “ใช่แล้วล่ะ  ที่ตรงนี้มันเป็นของปู่ย่าตายายของลุง  ลุงเกิดมาก็อยู่ที่บ้านหลังนี้จนมีลูกมีเมียก็ยังไม่ได้ย้ายไปไหน”
      “อย่างนั้นเรื่องผีที่ชาวบ้านลือกันนั้น มันมีมาตั้งแต่ตอนไหนล่ะครับลุง”  
      “โอ้ย พ่อหนุ่มอย่าถามเรื่องนี้กับลุงเลย งมงายกันทั้งนั้น  ที่ลุงให้พวกพ่อหนุ่มมาถ่ายทำที่หมู่บ้านก็เพราะอยากจะให้เห็นถึงความเป็นจริงว่าที่นี่เป็นยังไงมันไม่ได้มีอะไรอย่างที่เขาลือกันหรอก  เขาจะได้รู้ความจริง ไม่อย่างนั้นคนเขาก็จะมองว่าพวกเราเป็นคนล้าหลัง เป็นคนโง่ที่ยังเชื่อเรื่องพวกนี้  ลุงไม่อยากให้พวกคนเมืองมองคนที่นี่ว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน   ถึงแม้ว่าข้าวของเครื่องใช้ที่นี่มันจะไม่ทันสมัยเหมือนในเมืองแต่ใจคนมันก็ไม่ได้ว่าจะล้าหลังนะ”
           นพฟังลุงผู้ใหญ่อย่างทึ่งในความคิดที่สวยงามของแก  ขณะที่ในใจก็รู้สึกละอายที่ตัวเองมาที่นี่โดยมีจุดประสงค์เพื่อจะหาภาพเหตุการณ์หรืออะไรก็แล้วแต่ที่พอจะทำให้รายการมีคนดูและเชื่อว่าที่หมู่บ้านนี้มีผีจริงๆโดยไม่ได้คิดถึงใจคนอยู่ในพื้นที่อย่างลุงผู้ใหญ่เลย  
            ยาสูบมวนที่สองหมดลงลุงผู้ใหญ่ก็บอกให้นพเข้านอน เขาเองก็ไปนอนอย่างไม่สบายใจหลังจากที่ได้คุยกับลุง

           สามวันผ่านไป หลังจากที่พวกเขาได้ถ่ายทำเก็บรวบรวมภาพของหมู่บ้านและการสัมภาษณ์ชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ เรียบร้อย ทุกคนได้ก็เวลากลับกรุงเทพเพื่อจะเอาเทปที่ถ่ายไว้ไปตัดต่อเตรียมออกรายการให้ทันในอาทิตย์หน้า  โดยที่ต่างก็ร่ำลาขอบคุณลุงผู้ใหญ่และก็เมียของแกที่ดูแลพวกเขาอย่างดี   การจากลาในครั้งนี้เป็นการลำบากใจอย่างยิ่งของนพเพราะคำพูดของลุงผู้ใหญ่ในคืนนั้นยังทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่  ยิ่งเมื่อเขานึกถึงเทปข้อมูลที่จะได้ออกอากาศนั้นมันจะเป็นเทปที่ทำให้ผู้คนทั้งประเทศนั้นเชื่อว่าที่หมู่บ้านแห่งนี้มีผีจริงเนื่องจากคำสั่งของผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้าของรายการกำชับมาอย่างดีว่าให้เขาเก็บภาพบรรยากาศที่แปลกของหมู่บ้านให้ได้ส่วนที่เหลือทีมงานจะเอาไปตัดต่อเสริมเติมแต่งเอง นพจึงลาจากมาอย่างรู้สึกผิด
              รถทีมงานวิ่งออกมาจากหมู่บ้าน รถตู้นำหน้าส่วนรถกระบะตามท้าย นพขอนั่งอยู่ท้ายกระบะเพื่อกินลมและจะถ่ายบรรยากาศขณะที่ออกมาจากหมู่บ้าน  เขามองเห็นลุงผู้ใหญ่กับเมียยืนโบกมือลาไกลๆ จนกระทั่งรถวิ่งออกไปจนลับตา  

      ..................................

      “เฮ้ย! ไอ้นพ ตื่นๆถึงแล้วเว้ย”   โปรดิวเซอร์เดินมาปลุกนพที่หลับอยู่หลังรถกระบะ  พลันแรกที่เปลือกตาเปิดคือท้องฟ้ายามเย็นที่ใกล้จะมืดค่ำ  เขาคิดว่าถึงกรุงเทพแล้ว
      “กว่าจะมาถึงได้”  เสียงพูดของทีมงานอีกคนที่ขับรถ พูดขึ้นมาให้นพได้ยินเขาจึงรีบลุกขึ้นอย่างพรวดพราดตกใจ  ที่แท้เมื่อครู่เขาก็ฝันไป นพจึงรีบหยิบกล้องวิดีโอข้างตัวขึ้นมาเปิดดูก็พบว่ามีแต่ภาพถนนที่รถวิ่งผ่านขามาเท่านั้น  “ทำไมมันเหมือนจริงอย่างนั้นว่ะ” นพคิดในใจ

            มีผู้ใหญ่บ้านมารอรับพวกเขาอยู่  พอนพเห็นหน้าก็มิได้แปลกใจอะไรเพราะมันไม่ได้เหมือนกับในฝัน และสถานที่ของหมู่บ้านก็แตกต่างจากในฝัน  ความฝันจึงเป็นเพียงความฝันเท่านั้นเอง
            ทีมงานเข้าไปพักกันที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านกินข้าวกินปลา จากการเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดีจากบ้านของผู้ใหญ่ซึ่งดูมีฐานะพอควร  เครื่องใช้ไม้สอยทันสมัยครบครัน  
      “ผู้ใหญ่ครับ ช่วยพาพวกผมไปดูบ้านที่เขาลือกันว่ามีผีหน่อยซิครับ”  โปรดิวเซอร์พูดขึ้นหลังจากที่กินข้าวกันเสร็จแล้ว   ผู้ใหญ่จึงพาทุกคนไปยังบ้านที่ลือกัน
           นพแบกกล้องวิดีโอเพื่อพร้อมจะถ่ายทำเก็บบรรยากาศกันตั้งแต่คืนนี้เลย  แต่ระหว่างทางที่เดินไปในหมู่บ้านนั้นก็มิได้น่ากลัวแต่อย่างใดเพราะตามถนนหนทางในหมู่บ้านต่างก็มีแสงไฟสว่าง อีกทั้งบ้านต่างๆก็ยังไม่หลับไม่นอนกันทั้งที่ก็เกือบจะสามทุ่มเข้าไปแล้ว มิหนำซ้ำยังมีชาวบ้านหลายคนเดินตามออกมาดูเมื่อรู้ว่ามีทีมงานโทรทัศน์จากกรุงเทพจะมาถ่ายบ้านผี  ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งกันให้วุ่นอย่างกับมีงานรื่นเริง เมื่อพวกเขาเห็นนพถือกล้องวิดีโอตามถ่ายพิธีกรกับผู้ใหญ่บ้าน  ชาวบ้านต่างก็พากันเข้ามาเล่นกล้องเดินผ่านไปมาหันหน้ายิ้มใส่กล้อง ทำให้บรรยากาศที่เขาอยากจะได้นั้นไม่มีเลยเพราะมันวุ่นวายไปหมด      แต่ทว่าพลันที่เขาแพนกล้องถ่ายพิธีกรกับผู้ใหญ่ที่สนทนากันอยู่ เลยไปตรงผู้คนที่ยืนมุงดูอยู่ข้างทาง มีบางสิ่งที่ทำให้เขาขนลุกขึ้นทั้งตัว เมื่อเขาจับภาพเด็กผู้หญิงกับชายแก่คนหนึ่งยืนปิดตาอยู่เบื้องหลังชาวบ้านที่มุงแม้จะเป็นภาพที่ไม่ชัดเพราะไม่มีแสงพอแต่ทว่าสัดส่วนและรูปร่างทุกอย่างนั้นเหมือนกับในความฝันของเขาทุกประการ  นพรีบละตาออกมาจากกล้องแล้วมองด้วยตาเปล่าๆ ก็กลับพบว่าไม่มีสองคนนั้นที่เขาเห็นในกล้องมีเพียงแค่ชาวบ้านอื่นๆ  เขาแปลกใจระคนความกลัวขึ้น
      “ได้นพเอ็งทำอะไร ทำไมไม่ถ่ายว่ะ”  โปรดิวเซอร์พูดตามหลัง เมื่อมองเห็นว่าเขาละสายตาจากกล้องที่ถ่าย  เขาจึงต้องรีบถ่ายต่อเพื่อไม่ให้เสียงานทั้งที่ยังค้างคาใจ
          
           พอทุกคนเดินมาถึงที่หมายคือบ้านที่ชาวบ้านลือกันว่ามีผีและเป็นบ้านของผีที่มาเอาชีวิตคนในหมู่บ้าน    พลันแรกก้าวที่เดินไปถึงหน้าบ้านซึ่งดูจะพิเศษกว่าทุกหลังเพราะ ทางเข้ารกร้างด้วยต้นไม้ใหญ่  มีศาลเล็กๆตั้งอยู่โดยมีผ้าสามสีผูกตั้งอยู่ข้างหน้า  มีธูปเทียนนับไม่ถ้วนที่ถูกจุดจนมอด   มากมายจนสามารถนำมามัดรวมได้เป็นมัดซุง  
           นพเดินถ่ายไปอย่างที่หัวใจเต้นระรัว และความหวาดกลัวบังเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้  เมื่อสภาพบ้านที่เขากำลังถ่ายอยู่นั้นคุ้นเคยนักเหมือนกับเขาได้พักนอนอยู่ในความฝัน   ทีมงานทุกคนยกเว้นเขาที่ต้องถือกล้องต่างก็จุดธูปไหว้ศาล แล้วพิธีกรกับผู้ใหญ่บ้านเดินนำพาก้าวขึ้นบันไดบ้าน  บันไดที่เขากับลุงผู้ใหญ่บ้านต่างเคยนั่งพูดคุยกันในความฝัน  
           พิธีกรเปิดประตูแง้มเข้าไปภายในตัวบ้าน พร้อมแสงไฟจากไฟฉายดวงโตส่องสว่างให้เห็นรอบๆข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างเหมือนกับในความฝันเพียงแต่มีฝุ่นและใยแมงมุมจับตัวหนา  แตะจับตรงไหนก็เป็นรอยนิ้วมือ  
      “นี่เป็นบ้านของคนที่เคยเป็นผู้ใหญ่เมื่อสิบปีก่อน  แต่แล้วชีวิตก็ลำบากเมื่อชาวบ้านจะพากันไล่ออกจากหมู่บ้านเพราะหาว่าเขากับเมียเป็นปอบ  จนไม่นานนักก็มีคนมาพบว่าทั้งสองคนก็ตายอยู่ภายในบ้านนี้โดยไร้สาเหตุ “   ผู้ใหญ่บ้านพูดอธิบายที่มาของข่าวลือบ้านหลังนี้  ที่ทำให้ชาวบ้านคิดว่าที่มีผู้หญิงสาวหลายๆคนที่กำลังจะไปกรุงเทพนั้นตายเพราะผีเจ้าของบ้านนี้เป็นคนเอาไป
          
           นพขาสั่นและดวงตาเบิกโพรงขึ้นหลังเลนส์กล้องเมื่อผู้ใหญ่บ้านเอามือลูบขี้ฝุ่นที่จับตัวหนาอยู่หน้ารูป  เขาลูบฝุ่นออกจนมองเห็นรูปเจ้าของบ้านทั้งสอง   ใช่เลยเหมือนในความฝัน!!!!!    
          
           หลังจากคืนนั้นผ่านไปนพก็ไม่สบายเป็นไข้จับสั่นอยู่ที่หมู่บ้าน จนต้องรีบส่งตัวไปพักที่โรงพยาบาลในจังหวัดโดยที่ทีมงานยังคงปักหลักถ่ายทำอยู่ที่หมู่บ้านโดยต้องใช้ตากล้องจำเป็นคือทีมงานอีกคน    
            ทุกครั้งที่นพหลับตา ภาพที่หลอกหลอนก็ปรากฏเป็นฉากๆให้เขาเห็น ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เด็กผู้หญิงโดนปิดตาปิดปากโดยชายแก่ขณะที่กำลังจะทำท่าบอกอะไรบางอย่าง  จนเธอก็แหวกมือของชายแก่แล้วตะโกนใส่เขา “กลับไปซะ”   พลันนั้นภาพที่เลือนลางก็ชัดขึ้นเห็นใบหน้าของชายแก่คนนั้นเป็นหน้าของลุงผู้ใหญ่เอง
           จนถึงภาพที่ทีมงานทุกคนยกเว้นเขาจุดธูปขอขมาเพื่อที่จะเข้าไปภายในบ้าน  และภาพที่ลุงผู้ใหญ่มวนใบยาสูบสลับไปมากับภาพถาดเครื่องเซ่นยาสูบที่วางเซ่นอยู่หน้าศาลและสุดท้ายก่อนที่นพจะหลับไปอย่างไม่ตื่นอีกเลยคือลุงผู้ใหญ่กับเมียของแกเดินมาหาเอามือปิดตาปิดปากของเขาแล้วพูดขึ้นมาว่า
      “ไม่อยากให้พ่อหนุ่มเป็นแบบนี้เลยแต่ก็ช่วยไม่ได้  เพราะพ่อหนุ่มไม่ยอมจุดธูปเคารพลุงกับป้า”


      .............จบ...............
      ยังมีเรื่องสั้นอีกหลายเรื่องให้ได้อ่านกันเพียงแต่พิมพ์คำว่า เชือกผูกลม ลงในช่องค้นหานักเขียนแล้วอย่าลืมโพสต์ให้ความคิดเห็นด้วยนะครับ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×