ในขณะที่พวกคุณได้อ่านจดหมายฉบับนี้อยู่  ผมคงจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว จดหมายฉบับนี้มันจึงเป็นจดหมายฉบับแรกและฉบับเดียวของผมที่จะทิ้งไว้ให้โลกได้รู้ว่าชีวิตของผมเคยทำผิดอย่างไรก่อนที่ผมจะลาจากโลกนี้ไป  
      ในช่วงชีวิตของคนคนหนึ่งมันก็มีทั้งสุข ทั้งทุกข์ และเลวดี ปะปนกันไป  เมื่อผมมองย้อนกลับไปในอดีตก็พบว่าตนเองต้องลำบาก เกิดมาจากครอบครัวที่ยากจน  บางวันครอบครัวของผมแทบจะไม่มีแม้กระทั่งข้าวสาร ที่จะนำมาหุงกิน กับกับข้าวที่วิเศษที่สุดของครอบครัวของผมก็คือปลาทูนึ่งหนึ่งตัวซึ่งถูกแขวนไว้กับเพดาน เพราะไม่สามารถที่จะกินเนื้อหนังของมันได้เพื่อเก็บไว้ในมื้อต่อๆไป  ขอเพียงแค่ได้ดมกลิ่นที่หอมและเค็มของปลาทูมันก็อร่อยเสียเหลือเกินแล้ว  พ่อและแม่ของผมต้องคอยออกหาเก็บขยะตามบ้านคนอื่น คุ้ยหาเศษกระดาษ หาขวดพลาสติก  เพื่อเอามาขายแลกกับค่าใช้จ่ายในบ้าน  แต่บางวันการลงทุนลงแรงตากแดด เดินคุ้ยถังขยะทั้งวันมันก็แลกกลับมาได้เพียงซึ่งความว่างเปล่า ครอบครัวของผมจึงต้องมีอาชีพอีกอาชีพคือขอทาน  ความอายผมไม่เคยรู้จักมันเลยตั้งแต่เกิด  เพราะถ้าอายผมคงไม่มีวันได้มีชีวิตอยู่ถึงขนาดนี้  ช่วงเวลาของการเป็นเด็กของผมจึงมีแต่ความเหนื่อยและลำบาก ในทุกๆวันที่ผมนั่งขอทานอยู่หน้าตลาด  ผมต้องทนเห็นเด็กคนอื่นๆถือของเล่นของกิน  เดินผ่านหน้าไปคนแล้วคนเล่า  บางทีก็เห็นเด็กร้องงอแงเพื่อจะซื้อขนมที่มีของแถมเพื่อจะเอาแค่ของเล่น  เมื่อได้มาแล้วก็โยนขนมทิ้งซะอย่างนั้น  ผมเลยต้องรีบวิ่งไปหยิบขนมที่เด็กคนนั้นทิ้งลงพื้น  ถึงคนอื่นจะไม่เห็นค่าก็ตามแต่มันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดสำหรับผมแล้วในตอนนั้นที่ได้กินขนมที่เห็นโฆษณาอยู่ในโทรทัศน์ ซึ่งผมเคยแอบดูจากร้านอาแป๊ะขายของในตลาด      ส่วนของเล่นที่แถมผมไม่มีทางที่จะได้เล่นเหมือนอย่างคนอื่น  ก็ได้แต่เพียงตามเก็บเอากล่องขนมที่ถูกทิ้งขว้างมาเก็บไว้แล้วตัดเอารูปของเล่นที่อยู่บนกล่องมาเล่น  เท่านี้ผมก็มีความสุขแล้ว 
      โตขึ้นมาหน่อยพอที่ผมจะหยิบจับอะไรได้มากขึ้น  พ่อก็ให้ผมไปรับจ้างเข็นผักในตลาด  ซึ่งตอนนั้นผมก็ได้มาวันละ 30 บาท  ทุกวันที่ได้เงินผมจะต้องเอามาให้พ่อกับแม่ 25บาท อีก 5บาทผมขอเก็บเอาไว้ใช้เอง ผมก็เริ่มเก็บเงินตั้งแต่ตอนนั้น วันละ5 บาทหลายวันเข้าผมก็ได้เงินเก็บพอที่จะซื้อ ขนมที่แถมของเล่นเสียที  ผมกำเงินไว้ในมือซึ่งเป็นเศษเหรียญห้าทั้งหมด สิบหกเหรียญ ก็แปดสิบบาทตามราคาของขนมที่ผมจะไปซื้อ จัดได้ว่าเป็นขนมที่แพงที่สุดในตอนนั้น  ผมเดินเข้าไปในร้านอาแป๊ะ เป็นร้านขายของชำซึ่งมีของขายทุกอย่างตามที่ต้องการ  ผมยื่นเงินเหรียญทั้งหมดให้อาแป๊ะพร้อมทั้งชี้ไปที่กล่องขนมกล่องใหญ่ยาวซึ่งมีเครื่องบินพลาสติกลำใหญ่จอดอยู่ในกล่อง    อาแป๊ะหยิบขนมกล่องนั้นมาให้พร้อมเอาเงินแปดสิบบาทจากผมไป  วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมเดินออกมาจากร้านขายของและจากตลาดในฐานะผู้ซื้อไม่ใช่ผู้ขอ    ขนมกล่องแรกที่ผมซื้อด้วยนำพักน้ำแรงของตนเองมันช่างอร่อยที่สุดผมค่อยๆกินมันอย่างช้าๆเหมือนกลัวว่ามันจะหมดไปก่อน ก่อนที่ผมจะได้ลิ้มรสความอร่อยอย่างเต็มที่กับมัน    เครื่องบินลำใหญ่ที่ติดมากับขนม มันทำให้ใจของผมโลดแล่นอยากจะบินขึ้นสู่ฟ้าไปกับมัน ถึงแม้ว่ามันจะบินไม่ได้ก็ตามที  เมื่อขนมหมดผมหันมาสนใจกับเครื่องบินทันที แต่ทำไมมันไม่มีแสงสีแดงกะพริบออกมาตรงปีกและมีเสียงเครื่องบิน เหมือนที่โฆษณาในโทรทัศน์ ผมจึงเครียดแค้นอาแป๊ะเป็นอย่างยิ่งที่หลอกขายของที่ไม่ดีให้แก่ผม  มันทำให้ผมเสียใจและโกรธอาแป๊ะเป็นอย่างมาก  เพราะอุตสาห์เก็บเงินซื้อด้วยตนเองอย่างลำบากเพื่อที่จะได้ไม่ต้องอิจฉาลูกคนอื่นที่มีพ่อแม่ซื้อให้    ผมหวังว่าขนมกล่องนี้จะเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดสำหรับผม
.แต่ไม่ใช่เลย  ผมคิดว่าอาแป๊ะคงคิดว่าผมเป็นเด็กโง่อ่านหนังสือไม่ออกเลยหลอกขายขนมโดยหยิบกล่องนี้มาให้ ทั้งๆที่กล่องอื่นก็มีวางอยู่
..และในวันนั้นเอง
        ผมแอบเข้าไปทางหลังตลาดเพื่อไปที่ร้านอาแป๊ะอีกครั้งในตอนกลางคืนพร้อมแอบเอาไฟแช็คกับขวดน้ำมันรถซาเล้งของพ่อไปด้วย      ผมย่องไปโดยที่ไม่มีใครรู้ แล้วก็เอาน้ำมันเทใส่ร้านขายของกะว่าจะเผาเพื่อแก้แค้นอาแป๊ะที่หลอกผม  เพราะตอนกลางคืนจะไม่มีใครเฝ้าร้านขายของมันจึงง่ายที่ผมจะลงมือ    ผมเทน้ำมันเสร็จก็จุดไฟแล้วรีบวิ่งออกทางหลังตลาดกลับมานอนที่บ้านทันที 
.
.
..
      เช้ามืด ตีสี่กว่าๆ ผมก็ตื่นเดินมาที่ตลาดเหมือนเดิมเพื่อจะมารับจ้างขนผัก  และเพื่อจะมาสมน้ำหน้าอาแป๊ะที่ร้านตัวเองถูกเผา ผมคิดว่าผนังร้านจะต้องไหม้ไปแถบนึงแน่ๆ สมแล้วที่อยากหลอกเด็กดีนัก  แต่เมื่อมาถึงเรื่องราวมันร้ายแรงกว่าเก่าเกินที่ผมคิดนัก  เพราะร้านค้าอีกเกือบครึ่งค่อนตลาดต้องถูกไฟเผาเสียหายเป็นตอตะโกไปหมด  แม่ค้าเจ้าของร้านต่างๆก็ร้องไห้เสียใจเป็นลมไปตามๆกัน  ผมเห็นภาพตรงหน้าที่เป็นอยู่นั้นก็ไม่สามารถที่คิดอะไรได้เลย หัวสมองของผมมันว่างเปล่า เข่าผมอ่อนจนนั่งทรุดลงกับพื้น แล้วเมื่อผมหันไปมองที่ร้านของอาแป๊ะผลงานของผมมันก็สำเร็จลุล่วงอย่างที่ตั้งใจแต่ว่า สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกช็อกจนเหมือนโลกหยุดหมุนอยู่กับที่คือ ภาพผู้ชายสองคนในเครื่องแบบของหน่วยกู้ภัยกำลังลากศพของชายสูงอายุผู้หนึ่งออกมาจากร้านของอาแป๊ะด้วยสภาพเป็นตอโกถูกไฟเผาจนไม่รู้ว่าเป็นใคร  ซักพักป้าขายผลไม้ที่ร้านของแกรอดจากเปลวเพลิงก็พูดขึ้นมากับชายสองคนนั้นที่พูดกันอยู่
“ ไหม้จนจำไม่ได้เลยว่ะใครเป็นใคร”  ผู้ชายในเครื่องแบบหน่วยกู้ภัย
“ สงสัยจะเป็นอาแป๊ะเจ้าของร้านแหละพ่อหนุ่ม”  ป้าขายผลไม้พูด
“ รู้ได้ไงล่ะป้า”
“ ก็เมื่อคืนนี้  อาแป๊ะแกมานอนที่ร้าน  ปกติแล้วแกไม่มานอนหรอกแต่ว่าเมื่อคืนเห็นแกบอกกับป้าว่าจะมีคนมาส่งของให้ตอนตีสี่ กลัวตื่นมารอไม่ทันก็เลยนอนที่ร้านซะเลย”
“สงสัยตอนไฟไหม้แกคงไม่รู้เรื่อง คงจะหลับลึกรู้ตัวอีกทีก็หนีไฟไม่ได้แล้ว”
   
      ผมได้ยินเสียงที่คุยกันทั้งหมดและก็เข้าใจแล้วว่าเป็นใคร ตอนนั้นผมคิดว่าทำไม มันจะต้องออกมาเป็นแบบนี้ ทั้งที่ผมตั้งใจจะแค่เผาร้านอาแป๊ะให้เสียหายเท่านั้น    ผมรู้สึกเหมือนมีใครเอาอะไรที่หนักหน่วงมาวางทับไว้บนหัวให้หัวผมหนัก   
..
    พระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวงส่องแสงแดดจ้า  ผู้คนในตลาดต่างเดินขนของ บ้างก็กวาดน้ำที่ชาวบ้านเอามารดดับไฟ  จนเปียกไปทั้งตลาด  แม่ค้าร้านต่างๆที่ไม่โดนไฟไหม้ก็พากันช่วยแม่ค้าที่ซวยด้วยกันขนของคนละไม้คนละมือ  เรียกได้ว่าวันนั้นตลาดคงต้องหยุดขายหนึ่งวันเพราะไม่มีใครมีอารมณ์จะมาขายของ  แต่กับผมถึงแม้พระอาทิตย์จะส่องแสงแดดลงมาเต็มพื้นที่ให้เห็นผลการกระทำแล้วก็ตาม ผมก็ยังไม่สามารถลุกขึ้นจากตรงนั้นได้เลย ผมยังคงมองไปที่ร้านของอาแป๊ะ  ภาพของอาแป๊ะที่ยื่นกล่องขนมกล่องนั้นมันยังติดตาผมอยู่เลย  ร้านนี้ที่ผมเคยมาแอบดูโทรทัศน์ถึงได้เห็นโฆษณาขนมกล่องนั้น  ร้านนี้ที่ผมเดินเข้ามาในฐานะผู้ซื้อเป็นครั้งแรก ตอนนี้มันกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
“ไอ้หนูกลับบ้านไปก่อนเถอะวันนี้คง ไม่มีผักให้เอ็งขนแล้วล่ะเพราะวันนี้ตลาดคงต้องปิดถึงเปิดวันนี้ก็คงไม่มีใครมาซื้อ ”  ป้าร้านขายผักเดินเข้ามาพูดกับผม
    หลังจากที่ป้าพูดผมก็ลุกขึ้นเดินกลับบ้านซึ่งอยู่ใต้ทางด่วน  แต่ในใจผมอยากจะหันไปตะโกนบอกขอโทษกับทุกคนในตลาดว่าผมผิดไปแล้ว  แต่ผมจะบอกได้อย่างไรล่ะถ้าบอกแล้วชีวิตของผมจะเป็นอย่างไรต่อไป ผมจะต้องถูกจับ ถูกตี  แล้วพ่อแม่ของผมล่ะใครจะเลี้ยงดู ในเมื่อช่วงหลังนี้ที่ผมเริ่มจะทำงานได้เงินบ้าง พ่อก็กลับไปหาขวดเหล้า วันๆเอาแต่เมา ปล่อยให้แม่ ต้องออกไปหาเศษขยะมาขายเพียงคนเดียว    มันอึดอัดเหลือเกิน
...วันนั้นผมเดินกลับบ้านพร้อมน้ำตา
    พอถึงบ้านผมเดินไปหยิบเครื่องบินลำนั้นขึ้นมามอง พร้อมเอามันมากอดไว้แนบอกร้องไห้อยู่คนเดียวในห้องไม้เก่าๆใต้ทางด่วน 
“ แกจะร้องไห้ทำไมว่ะ “  พ่อของผมเดินเข้ามาพูด ด้วยอาการเมาอย่างที่เป็นประจำแล้วในมือแกก็จะถือแต่ขวดเหล้าขาว  ผมกลัวว่าพ่อของผมจะเข้ามาเตะที่เห็นผมร้องไห้เพราะแกเมาทีไรไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมแกก็เตะไปหมด แล้วยิ่งเป็นลูกของแกด้วยแล้วอย่าไปแสดงความอ่อนแอให้แกเห็นเลยเชียวแกจะโกรธขึ้นมาทันที  แต่นาทีนั้นผมยอมรับว่าอ่อนแอเสียเหลือเกินจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ขอร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือดได้ก็จะทำ  ผมอยากบอกพ่อเหลือเกินว่าผมไปทำผิดอะไรมาแต่ก็พูดไม่ได้ จึงพูดออกไปว่า
“ ก็เครื่องบินซิพ่อ มันพังความจริงตรงปีกมันต้องมีไฟสีแดงกะพริบพร้อมกับเสียงเครื่องบินแต่นี่มันพังเลยไม่มี”
พ่อผมหยุดชะงักไปผมก็เลยคิดเลยว่าต้องโดนเตะแน่เลยที่ร้องไห้ให้พ่อเห็นเนี่ย แล้วยิ่งเป็นแค่เรื่องของเล่นพังด้วยแล้วนะ แต่คราวนี้กลับไม่ใช่อย่างที่เคย แกเดินเข้ามาหาผม
“ไหนเอามาให้กูดูซิ” เสียงยานยาวของคนเมาลากดังขึ้นพร้อมกับผมที่ขยับตัวถอย แต่พ่อผมก็หยิบเอาเครื่องบินในมือจากผมไปดูแกหมุนไปหมุนมาซักพัก
“ไอ้ลูกโง่!!! เนี่ยล่ะน้าผลที่กูไม่ได้ส่งเอ็งเรียน” พ่อตะโกนอย่างไม่พอใจขึ้นมา
“กูม่ายยน่ามีลูกโง่ๆอย่างแกเล้ยยย  แกจะให้เครื่องบินมันดังและมีไฟได้ยางงงไง ในเมื่อเอ็งไม่ได้ใส่ถ่านเครื่องบิน เนี่ยเห็นมั๊ยช่องนี้เค้ามีไว้ให้ใส่ถ่าน!!!”  พ่อผมหงายเครื่องบินขึ้นแล้วเปิดช่องใส่ถ่านใต้เครื่องบินให้ผมดูว่ามันเปิดยังไงอยู่ตรงไหนทำเอาผมนิ่งไปทันที
..
      หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมก็เก็บเครื่องบินกับความลับของผมนั้นไว้ตลอด เพราะเหตุการณ์ไฟไหม้ เห็นป้าที่ตลาดบอกว่าตำรวจคิดว่าเป็นการวางเพลิงไล่ที่เพราะมีนายทุนเจ้าของที่อยากจะเอาที่ตรงนั้นไปทำโรงแรมหรือห้างนี่แหละ  แต่ผลสรุปเป็นอย่างไรผมก็ไม่รู้เพราะผมกับครอบครัวได้ย้ายที่อยู่ หลังจากเกิดไฟไหม้ไม่กี่วัน  พอหลังจากที่ผมได้ย้ายออกมาชีวิตของผมก็เปลี่ยนไป  เพราะได้ไปรับจ้างเป็นเด็กขนของร้านขายอะไหล่อิเล็กทรอนิกส์  เจ้าของร้านก็ใจดียอมให้ผมสามารถไปเรียนตอนกลางคืนโดยทำงานเลิกเร็วกว่าปกติ    ส่วนพ่อกับแม่ก็เอาเงินที่เก็บมาเปิดร้านขายลูกชิ้นพอทำให้ครอบครัวมีรายได้ขึ้นมา
.
..
      หลายปีต่อมาผมเรียนจบปริญญาตรีแต่ในความสุขของชีวิตผมนั้นกลับไม่มีพ่อกับแม่มาเคียงข้างร่วมยินดี  เพราะพ่อของผมโดนโรคพิษสุราเรื้อรังพรากชีวิตไป ส่วนแม่สุขภาพไม่ค่อยดีอีกทั้งตรอมใจจากที่พ่อตาย ก็เลยทรุดจนต้องไปตรวจอาการหมอก็บอกว่าเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายเลยยิ่งทำให้แม่ทรุดเข้าไปใหญ่  ไม่นานแม่ก็ตามพ่อไป  ผมจึงมีชีวิตที่ต้องยืนหยัดด้วยตนเอง เมื่อทำงานเก็บเงินเก็บทองได้ก็เรียนต่อไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งสามสิบปีผ่านไป
     
        ผมได้มาเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อระลึกถึงความผิดที่เคยได้ทำครั้งเมื่อยังเด็ก เพราะความคิดสั้นๆ ที่ขาดสติ ผมเฝ้ารอเวลาที่ชดใช้ความผิดนี้เสมอและเมื่อเวลานี้เป็นเวลาที่สมควรผมจึงคิดตัดสินใจจากโลกนี้ไป 
เพราะผมได้เรียนจนจบปริญญาเอก  สมใจอย่างที่ต้องการเพื่อลบล้างความโง่ที่ผมเองเคยเป็นจนก่อให้เกิดเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย  และที่สำคัญตอนนี้ผมเป็นเจ้าของกิจการการบินที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก 
      การจากโลกนี้ไปคงเป็นทางเดียวที่ผมจะชดเชยอาแป๊ะได้  เพราะผมจะไปตั้งศูนย์การศึกษาการบินอวกาศที่ดาวอังคารหลังจากที่ลองผิดลองถูกกันมาหลายปี สุดท้ายแล้วผมก็ทำสำเร็จที่จะให้คนไปพักอาศัยอยู่บนดาวอังคาร  ผมจะเอาเครื่องบินที่ซื้อจากร้านของอาแป๊ะซึ่งผมเก็บมันไว้เสมอ ไปล่อนอยู่ในอวกาศเพราะมันเป็นแรงบันดาลใจของผมที่ทำให้มีวันนี้ วันที่ผมจะขอโทษอาแป๊ะ  และผมหวังว่าวิธีนี้มันคงจะดีกว่าที่ผมจะตายโดยไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์หรือเพื่อระลึกถึงอาแป๊ะเลย 
โครงการที่พักอาศัยและศูนย์วิจัยบนดาวอังคาร  ที่นี่แหละครับที่ผมจะทำเพื่อระลึกถึงอาแป๊ะ
   
    ผมขอลาจากโลกนี้ไปก่อนครับแล้วเจอกันบนดาวอังคาร  หวังว่าพวกคุณที่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้คงได้อ่านจากนิตยสาร หนังสือพิมพ์ หรือข่าวประกาศจากราชการ
............จบ............
สามารถอ่านเรื่องสั้นอื่นๆได้อีกเพียงแค่พิมพ์คำว่า เชือกผูกลม ลงในช่องค้นหานักเขียนเท่านั้นก็จะได้อ่านเรื่องสั้นหลายเรื่องให้เจริญจิต
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น