ในท้องทุ่งกว้างของต้นข้าวสีทองอร่ามที่นอบน้อมโน้มเอียง เรียงสลวยด้วยสายลมลงพัดเล่นให้เย็นตาและเย็นใจ
“ พี่ทิน  พี่สัญญากับแก้วนะว่าพี่จะรักแก้วตลอดไป ”
“ จ๊ะ พี่สัญญาไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนพี่ทินคนนี้ก็จะรักและมั่นคงต่อแก้วไม่เสื่อมคลาย”
        บนหลังคว_ายในนาข้าว  หนุ่มน้อยและเด็กสาวนั่งสัญญาถึงความรักที่ไม่มีวันจางหาย
ทินเด็กหนุ่มอายุสิบหกและแก้วสาวน้อยอายุสิบห้าที่ต่างก็แอบมาพรอดรักกันในนาข้าวในขณะที่ทินต้องออกมาเลี้ยงคว_าย  ทั้งสองมีชาตะชีวิตที่รันทด เหมือนดั่งโรมิโอและจูเลียตแห่งทุ่งกุลาร้องไห้    ตระกูลนาดินของทินและตระกูลนาแห้งของแก้วต่างไม่ถูกกันมาตั้งแต่บรรพชนด้วยข้อพิพาทของการแย่งที่ดินทำกินคือนาไร่  ที่เหลื่อมล้ำกันมาตั้งแต่สมัยก่อนแต่แล้วตระกูลนาแห้งของแก้วก็ได้ยึดครองที่ดินส่วนนั้นเมื่อสมัยของพ่อแก้ว
เพราะความฉ้อฉลของทางราชการที่ออกโฉนดที่ดินส่วนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของตระกูลนาแห้ง จึงยิ่งทำให้ความขัดแย้งยิ่งรุนแรงขึ้นพร้อมทั้งเมื่อวันนึงที่ทั้งสองตระกูลมีทายาท
และทายาทของทั้งสองตระกูล ต่างก็ออกมาเลี้ยงควายที่ทุ่งนา แล้วมาพบกันจนเกิดเป็นความรักในวัยสิบห้าสิบหก    ความรักครั้งนี้จึงต้องปิดบังไม่ให้ผู้ใหญ่รู้แต่แล้วเมื่อถึงเวลาความลับก็ไม่มีในโลกอีกต่อไป
โฮ่ง  โฮ่ง  โฮ่ง!!!!
“ ไอ้โจอี้ มึงเห่าอะไรว่ะ โย่โย่ ”  ทินตะโกนด่าโจอี้หมาพันธุ์ทางตัวเตี้ยที่เลี้ยงอยู่ด้วยจังหวะฮิบฮอป  และต้นตอของชื่อหมา ก็มาจากวันนึงที่ทินอายุครบสิบสองพ่อแม่ก็เลยซื้อทรานซิสเตอร์ให้หนึ่งเครื่อง ฟังเป็นเพื่อนแก้เหงาในเวลาที่ต้องออกมาเลี้ยงควาย  และหลังจากนั้นเองทินก็ได้ค้นพบตัวเองเมื่อสถานีวิทยุคลื่นหนึ่งแหวกกระแสเอเอ็ม เปิดเฉพาะเพลง ฮิบฮอปและฮาร์ดคอร์    ในขณะที่ทินกำลังนั่งอยู่บนหลังคว_ายพร้อมทั้งทรานซิสเตอร์เครื่องใหม่เอี่ยมซึ่งดูได้จากพลาสติกที่หุ้มเครื่องยังไม่โดนแกะ  เพียงจังหวะเดียวเท่านั้นเองที่ทินหมุนปุ่มหาคลื่น ผ่านเพลงลูกทุ่งจนมาสะดุดหูกับสถานีแห่งเด็กฮาร์ดฮอปเสียงเพลงและจังหวะจึงสะกดให้ทินเป็นสาวก  ทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมาทินเอากาวตราช้างหยอดลงตรงปุ่มไม่ให้มันเคลื่อนเปลี่ยนสถานีได้อีกเลย  และแล้วมันจึงทำให้ทินเป็นตัวตนจริงของทินไม่อยู่ในกรอบในกะลา    จนซวยมาถึงโจอี้หมาพันธุ์ทางที่หลงเดินเข้ามาในชีวิตทินจึงโดนซึมซับวัฒนธรรมเข้าเต็มๆ ไม่ว่าจะชื่อที่ถูกตั้ง หรือการที่จะต้องได้ฟังเสียงแร็พของทินเพียงผู้เดียวในทุกๆวัน 
“ อีนางแก้ว!!! ไอ้ลูกไม่รักดีมึงกล้าเข้าไปนั่งกอดกับมันบนหลังคว_ายเลยรึ ”  เสียงนายเกิบพ่อของแก้วที่ออกมาเห็นลูกสาวตนเองข้ามเขตนาไปนั่งอยู่บนหลังคว_ายกับลูกของศัตรู
“  พ่อ!!!  พี่ทินพ่อมาเห็นเราแล้วทำไงดีแก้วกลัว ”  แก้วอุทานขึ้นด้วยความตกใจและกลัวเพราะว่าไม่มีใครรู้เรื่องของทั้งสองมาก่อนเลย  และถ้ารู้ก็อาจจะเกิดความรุนแรงของทั้งสองตระกูลขึ้นมาอีก
ปัง !!!!!
“ ว้าย พ่อยิงปืนขึ้นฟ้าด้วยล่ะพี่ เอายังไงกันดี ” 
“ ไม่ต้องกลัวนะแก้วเดี๋ยวพี่ จะไปคุยกับลุงเกิบเอง ”  ทินพูดปลอบใจแก้ว
“ ระวังนะพี่ทิน พ่อเอาปืนมาด้วย ”
“ ไอ้ทินมึงทำอย่างนี้กับกูได้ยังไงมึงก็รู้ว่ากูกับพ่อมึงไม่ถูกกัน  แล้วมึงยังจะเอาลูกกูไปนั่งกอดในนามึงอีกเหรอ ทำอย่างนี้มันไม่ไว้หน้ากูเลยนี่หว่ามันหยามกันชัดๆ  ส่วนอีลูกตัวดีก็เหมือนกัน  อีแก้วมึงข้ามมาเดี๋ยวนี้ไม่อย่างนั้นมึงไม่ต้องกลับบ้านอีกต่อไป ”    นายเกิบตะโกน
“ ลุงเกิบครับ  ผมกับแก้วรักกันจริงๆนะครับ ผมไม่ได้คิดแก้แค้นหรือเอาเรื่องของพ่อแม่มาคิดเกี่ยวข้องกันเลยจริงๆ ”  ทินอ้อนวอนต่อนายเกิบ
“ กูจะรู้ได้ยังไงว่ามึงรักลูกกูจริง  แล้วหน้าอย่างมึงจะมีปัญญามาเลี้ยงดูลูกกูให้อยู่สุขสบายได้ยังไงกัน ”  นายเกิบพูดถกอยู่กับทิน
“ ผมสัญญาครับลุงเกิบว่าผมจะเลี้ยงดูแก้วอย่างดี    เพียงแต่ผมขอเวลาพิสูจน์ตนเองเท่านั้น ”  ทินพูดอยู่กับนายเกิบอยู่ดีๆ  นายเทียมก็เดินมา
“ กูว่าแล้วเสียงปืนมันดังมาจากไหน    ไอ้เกิบ มึงให้ลูกมึงมายุ่มย่ามอะไรกับลูกกูแถมยังในนากูด้วย ”  นายเทียมด่าว่านายเกิบ
“ ลูกมึงนั่นแหละที่ แอบลักพาลูกกูเข้าไปในนามึง ”  นายเกิบตอบกลับอย่างเสียงดัง
“ จริงเหรอไอ้ทิน มึงเอาอีแก้วเข้ามาในนาทำไม ”  นายเทียมหันไปถามทิน
“ คือว่า  ผมกับแก้วรักกันนะพ่อ ”  ทินตอบอย่างกลัวๆ
“ มึงกับอีแก้วรักกันเหรอ  ตายห่ามึงคิดยังไงถึงรักกับลูกศัตรู ” นายเทียมอุทานขึ้น
“ ไอ้เทียม!!!  มึงส่งลูกสาวกูมาเดี๋ยวนี้นะไม่อย่างนั้นกูจะถือว่ามึงลักพาตัวลูกสาวกูไป แล้วกูก็จะไม่เกรงใจมึงแน่ มึงเห็นมั้ยนี่อะไร ”  นายเกิบตะโกนขู่นายเทียมพร้อมทั้งชูปืนไรเฟิลที่อยู่ในมือให้นายเทียมดู
“ มึงคิดว่ากูกลัวปืนของมึงเหรอ  เก่งจริงมึงกับกูมาตัวๆกันเลยดีกว่าให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลยไอ้เกิบไอ้หน้าหมา ”  นายเทียมเถียงด่าตอบ
  ในขณะที่ทั้งนายเกิบกับนายเทียมเถียงกันอยู่ ทินกับแก้วก็
“ พี่ทินแก้วว่าแก้วกลับข้ามไปฝั่งนาแก้วก่อนดีกว่าไม่อย่างนั้นพ่อเราทั้งสองต้องยิงกันแน่”  แก้วพูดขึ้น
“ พี่ก็ว่าอย่างนั้นแหละแก้ว  แก้วกลับไปก่อนนะแล้วพี่สัญญาพี่จะเข้าไปขอแก้วต่อหน้าพ่อแม่ของแก้วเอง ”  ทินตอบกลับแก้ว
“ สัญญานะพี่ ”
“ จ๊ะพี่สัญญา ”
          และแล้วแก้วก็เดินข้ามฝั่งนาไปจึงทำให้นายเกิบและนายเทียมหยุดทะเลาะตรงนั้นได้แต่ก็ได้ห้ามลูกของตัวเองทั้งสองแอบคบหากันอีก    ทำให้ทินและแก้วร้อนใจคิดถึงกันเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่มีหนทางเลยที่จะได้พบกัน    แต่ทินก็ไม่ทิ้งคำสัญญาที่เคยพูดกับพ่อของแก้วไว้ว่าจะเลี้ยงดูแก้วให้ได้  ทินจึงพยายามเขียนเนื้อร้องเพลงแร็พ  และคิดท่าเต้นทำนองต่างๆขึ้นในทุกวันที่ออกไปเลี้ยงควาย โดยมีเจ้าโจอี้เป็นผู้ฟังอย่างเดียวดาย  ด้วยความหวังจะเอาเพลงไปเสนอให้บริษัทเพลงยักษ์ใหญ่ในกรุงเทพ    จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านมาหนึ่งปี วันนั้นทินต้องออกไปที่ตลาดเพื่อซื้อปุ๋ยใส่ในนาข้าวโดยขับรถอีแต๋นโหลดแป๊กคันงามไป  ในขณะที่กำลังเดินแบกถุงปุ๋ยเพื่อเอาใส่รถอีแต๋น  ทินก็หันไปเจอแก้วสาวน้อยที่ตนรักกำลังยืนเลือกซื้อหมูย่างโดยมีหมอกควันแห่งมวลหมูที่ถูกรนไฟโชยฟุ้งเหมือนเมฆหมอกแห่งขุนเขาที่หนาวเย็น  ใบหน้าที่จางๆเพราะถูกควันปกคลุมของแก้วนั้นเธอกำลังเคี้ยวตุ้ยข้าวเหนียวอยู่ตุงแก้มอย่างช้าๆพร้อมหมูหนึ่งไม้ในมือที่เธอได้เลือกสรร    ทินยืนนิ่งมองแก้วอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้สึกอะไรเลยในบรรยากาศที่ผู้คนในตลาดที่เดินผ่านมาก็หยุดนิ่งเหมือนกันเพียงแต่คนเหล่านั้นกำลังมองมาที่ทิน    เด็กหนุ่มร่างกายกำยำและดำล่ำสันนั้นยืนแบกถุงปุ๋ยร้อยกิโล อย่างเดียวดายและนิ่งสงบ  มันจึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับคนทั่วไปความนิ่งของทินสามารถสยบความเคลื่อนไหวของคนรอบข้างแต่ไม่สามารถ สยบแก้วให้หยุดเคี้ยวได้เลย  เวลาผ่านไปห้านาทีน้ำหนักร้อยกิโลของถุงปุ๋ยนั้นเริ่มส่งผลต่อกล้ามเนื้อของทินบ้างนิดเดียว  ทุกคนเริ่มขวักไขว่เป็นปกติทินแบกถุงปุ๋ยไปไว้ที่รถอีแต๋น แล้วเดินเข้าไปหาแก้วที่กำลังสนุกอยู่กับหมูย่างและควันไฟ 
“ แก้ว แก้ว ”  ทินพูดทักขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ทันใดนั้นแก้วก็หันมา  ภาพตรงหน้าที่แก้วเห็นคือชายหนุ่มล่ำสัน สวมใส่เสื้อยืดตัวหลวมโครกสีแดงแป้ด    และกางเกงสามส่วนตัวใหญ่เอวต่ำ
.ต่ำถึงที่สุดและร้อยมัดด้วยเชือกฟางลอดรูเข็มขัดของกางเกง พร้อมทั้งขอบกางเกงในแพลมออกมาแบบจงใจด้วยกางเกงในลายสก็อต หรือที่เรียกว่าบ๊อกเซอร์แต่ความจริงแล้วมันคือผ้าขาวม้าที่ทินใส่อยู่ข้างในกางเกงสามส่วน 
“ พี่ทิน ”  แก้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นคลอนจะร้องไห้เมื่อเห็นหน้าทินคนรักของเธอจนข้าวเหนียวหมูย่างในปากที่เคี้ยวอยู่ถึงกับหลุดออกมาอย่างน่าเกลียด
“ แก้ว แก้วพี่คิดถึงแก้วเหลือเกิน ”  ทินพูดพร้อมเอามือเอื้อมมือไปกุมมือแก้วที่มีเม็ดข้าวและความมันของหมูติดอยู่ไว้
“ แก้วก็คิดถึงพี่ทินมากเลย  พี่ทินทำอะไรมากับสีผมหรือเปล่า พี่ทินย้อมผมเหรอเท่ห์จังเลยอ่ะ ”  แก้วพูดชมทินด้วยน้ำเสียงออดอ้อน อย่างมาก
“ เปล่าหรอกมันเป็นเพราะแดดน่ะ พี่ตากแดดมากไปหน่อยผมเลยเป็นอยางนี้ ”  ทินตอบ
“  เหรอ  เท่ห์จังพี่ทินเนี่ย หุ่นก็ล่ำขึ้นแม้นแมนนะพี่ทิน ”  แก้วยังคงชมด้วยเสียงออดอ้อนอยู่
“ ที่พี่ล่ำก็เพราะว่าพี่นะ  ฝึกเต้นแบบบีทบอกซ์  แดนช์นะแดนช์รู้จักใช่มั้ยแก้ว  ที่พี่ฝึกทำก็เพื่อเราสองคนนะแก้ว  พี่บอกกับพ่อแก้วไว้ตอนนั้นว่าพี่จะเลี้ยงดูแก้วให้ได้ อีกอย่างตอนนี้พี่อายุสิบเจ็ดก็โตแล้ว ควรที่จะสร้างตัวอย่างจริงจังเสียทีเพื่อแก้วอันเป็นที่รักของพี่ไงล่ะ ” ทินพูดอย่างอ่อนโยน
“ พี่ทิน ต่อไปแก้วจะมาพบพี่ที่นี่อีกนะ เพราะตอนนี้แก้วมีหน้าที่ต้องมาซื้อกับข้าวให้ที่บ้าน แต่ตอนนี้แก้วต้องกลับแล้วล่ะเดี๋ยวพ่อสงสัยทำไมมานานแก้วมัวแต่เสียเวลากินหมูย่างอยู่ ”  แก้วพูดขึ้นอย่างรีบร้อน
“ ตกลงจ๊ะแก้วเราจะมาพบกันที่นี่เป็นประจำ  เอาอย่างนี้นะ”  เมื่อทินพูดเสร็จก็ถอดเสื้อสีแดงตัวโปรดของตนเองให้แก่แก้ว
“ แก้ว พี่ให้เสื้อตัวนี้กับแก้วไว้แทนคำสัญญานะ  สีแดงของเสื้อคือความรักที่พี่มีให้แก้วเหมือนสีของเลือดที่ไม่จืดจางอย่างไรรักก็จะยังไม่จืดจางเช่นนั้น ” ทินพูดอย่างจริงจังด้วยสายตาของลูกผู้ชาย
“ จ๊ะพี่  แก้วก็รักพี่ทิน แก้วไปล่ะนะ ”  แก้วก็เดินจากทินไปด้วยสายตาอาวรณ์ต่อคนรักอย่างยิ่ง
      ทินหันหลังกลับเดินไปที่รถอีแต๋นโหลดแป๊กคันงามของตน  ขณะที่เดินนั้นบรรยากาศบริเวณนั้นก็เงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ    ผู้คนที่เดินขวักไขว่ต่างหยุดนิ่งมีเพียงทินที่ยังคงเดินอย่างช้าๆ  สายตานับสิบๆคู่ในตลาดบริเวณนั้นต่างจับจ้องมองมาที่ทินชายหนุ่มล่ำสันกำยำใส่กางเกงหลุดตูดเกือบถึงหัวเข่าพร้อมถอดเสื้อเดินอย่างไม่อายใคร  โชว์กล้ามเนื้อที่อัดแน่นและลวดลายบนลำตัวที่ไม่ใช่รอยสักแต่มันเป็นจุดด่างพ้อยที่เกิดจากเชื้อรา  ไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดงหรือแม้แต่หมาก็ยังเดินหนีไม่กล้าขวางทาง เพราะทินเดินด้วยสายตาของลูกผู้ชายตัวจริง  กระทั่งทินขับรถอีแต๋นคันงามออกไปจากตลาดอย่างช้าๆ
แป๊ก แป๊ก แป๊ก
.  จนลับตาบรรยากาศที่พลุกพล่านจึงกลับสู่ปกติ  ทิ้งไว้เพียงเศษไม้แหลมของหมูย่าง ยี่สิบกว่าไม้ให้ตกเกลื่อนกลาดพื้นอยู่อย่างนั้น
“ โอ้ย
.โล่งอกไปทีกูก็นึกว่าคนเมายาบ้า ”  เสียงแม่ค้าขายหมูย่างพูดถอนหายใจ
          หลังจากนั้นทินก็แอบมาพบเจอกับแก้วเป็นประจำที่ตลาด  และทินก็ได้ส่งเนื้อเพลงและคำร้องที่ตนเองอัดไว้ในเทปส่งไปที่ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในกรุงเทพแต่มันก็เงียบหายไปไม่มีการติดต่อกลับมา    สามเดือนผ่านไปทินก็ได้แอบมาพบกับแก้วที่ตลาดอีก 
“ แก้ว วันอาทิตย์นี้ตอนเย็นแก้วแอบพ่อไปเที่ยวงานวัดลิงโลดกับพี่นะ ”  ทินพูด
“ วันอาทิตย์เหรอพี่ ดีเลย เพราะว่าอาทิตย์นี้พ่อแก้วไม่อยู่ไปหาญาติที่อังกฤษจะกลับก็วันอังคารหน้านะแหละ ”  แก้วตอบ
“ วันนี้วันอังคาร ถ้างั้นเอาอย่างนี้ จนกว่าจะถึงวันอาทิตย์นี้เราอย่าเพิ่งมาเจอกันนะ จะได้ไม่ต้องพลาดมีเรื่องให้พ่อแก้วสงสัย แล้วไม่ไป เราทนคิดถึงกันแค่วันอาทิตย์เองนะ ”  ทินพูด
“ ก็ได้จ๊ะพี่ ”
“ ว่าแต่ญาติ ที่พ่อแก้วไปเยี่ยมเนี่ยอยู่เมืองไหนเหรอ ”  ทินถาม
“ รู้สึกว่า จะแมนเชสเตอร์นะ ” แก้วตอบ
“ อ๋อ  พี่รู้จักเมืองแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดพี่ได้ยินบ่อย ” 
“ มั้ง???? ” 
        ทั้งคู่ต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านทินก็ได้รับจดหมายลงทะเบียนจากกรุงเทพ
“ ไอ้ทิน มีจดหมายลงทะเบียนมาหาเอ็งจากกรุงเทพน่ะ ”  นายเทียมบอกขึ้นเมื่อเห็นทินเข้ามาในบ้าน
“  จริงเหรอพ่ออยู่ไหน ”  ทินตื่นเต้นเมื่อรู้ว่ามีจดหมายจากกรุงเทพ
“  ตรงโต๊ะน่ะ ”  นายเทียมตอบกลับ
      ทินรีบวิ่งเข้าไปเปิดจดหมายดูข้อความข้างในเป็น การตอบรับจากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในกรุงเทพให้ทินผู้เป็นเจ้าของ เพลงที่ส่งไปนั้นติดต่อกลับไปโดยด่วน  ทินจึงตัดสินใจขอเงินพ่อแม่ เป็นค่าเดินทางไปที่กรุงเทพภายในคืนนั้นเลย  ทินถึงกรุงเทพในเช้าวันพุธ เข้าไปพูดคุยกับทางบริษัท จนตกลงเซ็นสัญญาเป็นนักร้องในค่าย แต่ต้องเรียนการร้องการเต้นให้ถูกวิธีเสียก่อนถึงจะได้ออกเทปจริงๆ  ทินมัวแต่เพลินและตื่นเต้นอยู่กับการที่ได้เซ็นสัญญา และข้อตกลงเบื้องต้นที่ทินต้องทำเดี๋ยวนั้น จึงไม่สามารถกลับมาบ้านได้เนื่องด้วยระยะเวลาของการเดินทางมันนานจึงไปเช้าเย็นกลับไม่ได้  ต้องเช่าห้องอยู่โดยบริษัทเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย  จนกระทั่งวันอาทิตย์ทินต้องทำธุระตอนเช้าก่อนถึงจะกลับบ้านได้ แต่ธุระมันก็ไม่ได้ราบรื่น จนบ่ายสี่กว่าทินจะได้กลับตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับแก้ว  ทินออกจากกรุงเทพตอนบ่ายสี่ มาถึงบ้านมันก็ เที่ยงคืนกว่าซึ่งมันก็ไม่ทันที่จะมาตามสัญญาคืนนั้นทินไม่รู้จะต้องทำอย่างไรในใจก็คิดถึงแก้ว เป็นห่วงแก้ว  จึงออกไปที่บ้านแก้วตอนเที่ยงคืนเลย  ไปตะโกนที่หน้าบ้านก็ไม่มีใครออกมาแปลว่าแก้วไม่อยู่บ้าน  ทินออกตามหาแก้วไม่ว่าจะบ้านเพื่อนหรือที่งานวัดก็ไม่พบเจอ    สุดท้ายก็เช้าทินกลับไปนอนที่บ้านของตนเอง  จนเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าของวันนั้น
“ ไอ้ทิน ไอ้ทิน มึงมานี่ ”  เสียงนายเทียมตะโกนเรียกลูกชายตนเองอย่างเร่งด่วน
“ มีอะไรพ่อผมยังนอนไม่อิ่มเลย ”
“ อีแก้วลูกไอ้เกิบ มันมาตายอยู่ตรงเส้นนามันกับนาเราเนี่ย มึงรีบไปดูเร็ว ”
“ อะไรนะพ่อ”  ทินพูดอย่างตกใจด้วยใบหน้าและน้ำเสียง
“ ไปเร็ว ”  นายเทียมเร่งลูกชาย
      ทั้งคู่ต่างก็วิ่งกันออกไปที่นาของตนเองเมื่อไปถึงชาวบ้านต่างก็ยืนมุงดูกันแน่น จนต้องเบียดเสียด  เมื่อแทรกตัวฝ่าชาวบ้านไปได้ ทินถึงกับเข่าอ่อนเมื่อ ศพที่นอนอยู่ระหว่างทางแบ่งเขตนานั้นเป็น แก้ว หญิงสาวที่ตนรักนอนแน่นิ่งในเสื้อสีแดงที่ทินให้ไว้รอบตัวมีคราบเลือดเป็นลิ่มนองกระจายอยู่  ที่ลำตัวตรงท้องเป็นบาดแผลใหญ่เกิดจากของบางอย่างมาทิ่มตำ    โดยมีเสียงชาวบ้านตรงนั้นบอกกันว่า แก้วถูกคว_ายขวิดเข้าอย่างจังที่ท้องจนลำไส้ทะลักแล้วไม่มีใครมาเห็นเพราะไปงานวัดลิงโลดกันหมด จึงไม่มีใครมาช่วยได้ทัน  และไอ้ที่คว_ายมันขวิดเพราะแก้วใส่เสื้อสีแดงแป้ด มาเดินในนาที่มีคว_ายอยู่เต็มจึงโดนขวิดโดยไม่รู้ตัว
          ทินเมื่อได้ยินเช่นนั้นถึงกับเสียใจสุดขีด  เพราะเสื้อตัวที่แก้วใส่อยู่นั้นเป็นตัวที่ทินเคยให้แก้วไว้ที่ตลาดเพื่อแทนคำสัญญา  และเพราะตนเองมาไม่ทันตามสัญญาที่ให้ไว้ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น
          จากนั้นทินเก็บตัวเงียบ ก่อนที่จะเดินทางไปอยู่กรุงเทพและครอบครัวของแก้วก็ขายที่นาแห่งนั้นให้ผู้อื่นและยุติความบาดหมางกับตระกูลนาดินที่มีมานานโดยการย้ายไปอยู่ที่อังกฤษกับญาติ    ทินเข้าไปเป็นนักร้องในค่ายใหญ่ได้ไม่นานก็หมดสัญญาโดยไม่มีการต่อ เพราะไม่ดังยอดขายก็ไม่ดีเนื่องด้วยทินเองยังคงไม่สนุกกับเพลงเพราะที่แต่งไว้นั้นมันเป็นเพลงในอารมณ์ตอนที่แก้วยังอยู่เป็นเพลงที่แร็พเพื่อแก้วเพื่ออนาคตจะตั้งตัวเป็นเพลงสนุกสนาน มันจึงขัดกับความรู้สึกจริงๆ  จนกระทั่งมีอยู่วันนึงทินนั่งเขียนเพลงแร็พของตนเองอยู่ในเนื้อเพลงพร่ำพรรณาถึงแก้วคนรักที่จากไป  ทินก็ร้องออกมาในที่สาธารณะบังเอิญข้างๆทินมีวงร็อกนั่งเล่นอยู่ได้ยินเข้า จึงชวนทินมาเข้าวงซึ่งร้องทั้งร็อกและแร็พ
ทั้งหมดจึงรวมตัวกันขึ้น  ที่วงนี้ทินได้ร้องแร็พถึงการจากไปของแก้วสาวน้อยแห่งทุ่งกุลาร้องไห้อย่างเต็มอารมณ์และดนตรีที่หนักหน่วงแต่ดึงอารมณ์ให้เหงาได้อย่าจับใจ  ในค่ายเพลงเล็กๆแต่ผลงานชิ้นนี้กลับใหญ่และโด่งดังเป็นที่ยอมรับในเพลงกระแสใหม่ของหมู่วัยรุ่น  จากแร็พแห่งทุ่งนาที่มีแรงบันดาลใจจากสาวน้อยที่ตายจาก  รวมตัวกับวง ร็อกนักเรียนนอก  จึงโด่งดัง และวงนี้ชื่อ  ลิง กิน ผัก  ( ring kin  pak)
    หลายสิบปีผ่านไปเพลงรักเพลงเกี้ยว ของหนุ่มสาวแห่งที่ราบสูงก็มีเพลงของ
“ ลิง กิน ผัก ”  กึกก้อง ทั่วทุ่งนา ต้นข้าวสีทองอร่าม ที่น้อมรับและเต้นคล้อยเมื่อลมพัดไปกับเพลงรักของนายทิน
  เพลงนี้สายลมมาบอก    สายลมยัดยอกให้บอกรักเธอ
.โย่
ลมนี้ข้ามนามาเจอ      พัดพาความเพ้อให้เธอ บนหลังควาย
โย่ โย่
.
“ ไอ้โจอี้ เราไปหาแก้วกันป่ะ  โย่ โย่ ”        ฉันขี่ไอ้-ทุยแร็พทั่วท้องนา
.
...............จบ....................
ยังมีเรื่องสั้นให้อ่านอีกหลายเรื่องนะครับ เพียงแค่พิมพ์คำว่า 
เชือกผูกลม  ลงในช่องค้นหานักเขียนหรือจะเมล์มาแลกเปลี่ยนความคิดกันก็ได้
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น