เรื่องรักของหนุ่นนานักแร็พ - เรื่องรักของหนุ่นนานักแร็พ นิยาย เรื่องรักของหนุ่นนานักแร็พ : Dek-D.com - Writer

    เรื่องรักของหนุ่นนานักแร็พ

    เด็กหน่มจากท้องทุ่งนาค้นพบตัวเองว่ารักเสียงเพลงแร็พในขณะเดียวกันก็พบรักกับเด็กสาวของตระกูลคู่อริที่บาดหมางมายาวนาน เรื่องราวความรักครั้งนี้จะลงเอยเช่นไรต้องติดตาม

    ผู้เข้าชมรวม

    269

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    269

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 มิ.ย. 48 / 00:59 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ในท้องทุ่งกว้างของต้นข้าวสีทองอร่ามที่นอบน้อมโน้มเอียง เรียงสลวยด้วยสายลมลงพัดเล่นให้เย็นตาและเย็นใจ
      “ พี่ทิน  พี่สัญญากับแก้วนะว่าพี่จะรักแก้วตลอดไป ”
      “ จ๊ะ พี่สัญญาไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนพี่ทินคนนี้ก็จะรักและมั่นคงต่อแก้วไม่เสื่อมคลาย”
              บนหลังคว_ายในนาข้าว  หนุ่มน้อยและเด็กสาวนั่งสัญญาถึงความรักที่ไม่มีวันจางหาย
      ทินเด็กหนุ่มอายุสิบหกและแก้วสาวน้อยอายุสิบห้าที่ต่างก็แอบมาพรอดรักกันในนาข้าวในขณะที่ทินต้องออกมาเลี้ยงคว_าย   ทั้งสองมีชาตะชีวิตที่รันทด เหมือนดั่งโรมิโอและจูเลียตแห่งทุ่งกุลาร้องไห้    ตระกูลนาดินของทินและตระกูลนาแห้งของแก้วต่างไม่ถูกกันมาตั้งแต่บรรพชนด้วยข้อพิพาทของการแย่งที่ดินทำกินคือนาไร่   ที่เหลื่อมล้ำกันมาตั้งแต่สมัยก่อนแต่แล้วตระกูลนาแห้งของแก้วก็ได้ยึดครองที่ดินส่วนนั้นเมื่อสมัยของพ่อแก้ว
      เพราะความฉ้อฉลของทางราชการที่ออกโฉนดที่ดินส่วนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของตระกูลนาแห้ง จึงยิ่งทำให้ความขัดแย้งยิ่งรุนแรงขึ้นพร้อมทั้งเมื่อวันนึงที่ทั้งสองตระกูลมีทายาท
      และทายาทของทั้งสองตระกูล ต่างก็ออกมาเลี้ยงควายที่ทุ่งนา แล้วมาพบกันจนเกิดเป็นความรักในวัยสิบห้าสิบหก    ความรักครั้งนี้จึงต้องปิดบังไม่ให้ผู้ใหญ่รู้แต่แล้วเมื่อถึงเวลาความลับก็ไม่มีในโลกอีกต่อไป
      โฮ่ง  โฮ่ง  โฮ่ง!!!!
      “ ไอ้โจอี้ มึงเห่าอะไรว่ะ โย่โย่ ”  ทินตะโกนด่าโจอี้หมาพันธุ์ทางตัวเตี้ยที่เลี้ยงอยู่ด้วยจังหวะฮิบฮอป   และต้นตอของชื่อหมา ก็มาจากวันนึงที่ทินอายุครบสิบสองพ่อแม่ก็เลยซื้อทรานซิสเตอร์ให้หนึ่งเครื่อง ฟังเป็นเพื่อนแก้เหงาในเวลาที่ต้องออกมาเลี้ยงควาย   และหลังจากนั้นเองทินก็ได้ค้นพบตัวเองเมื่อสถานีวิทยุคลื่นหนึ่งแหวกกระแสเอเอ็ม เปิดเฉพาะเพลง ฮิบฮอปและฮาร์ดคอร์    ในขณะที่ทินกำลังนั่งอยู่บนหลังคว_ายพร้อมทั้งทรานซิสเตอร์เครื่องใหม่เอี่ยมซึ่งดูได้จากพลาสติกที่หุ้มเครื่องยังไม่โดนแกะ  เพียงจังหวะเดียวเท่านั้นเองที่ทินหมุนปุ่มหาคลื่น ผ่านเพลงลูกทุ่งจนมาสะดุดหูกับสถานีแห่งเด็กฮาร์ดฮอปเสียงเพลงและจังหวะจึงสะกดให้ทินเป็นสาวก  ทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมาทินเอากาวตราช้างหยอดลงตรงปุ่มไม่ให้มันเคลื่อนเปลี่ยนสถานีได้อีกเลย   และแล้วมันจึงทำให้ทินเป็นตัวตนจริงของทินไม่อยู่ในกรอบในกะลา    จนซวยมาถึงโจอี้หมาพันธุ์ทางที่หลงเดินเข้ามาในชีวิตทินจึงโดนซึมซับวัฒนธรรมเข้าเต็มๆ ไม่ว่าจะชื่อที่ถูกตั้ง หรือการที่จะต้องได้ฟังเสียงแร็พของทินเพียงผู้เดียวในทุกๆวัน  
      “ อีนางแก้ว!!! ไอ้ลูกไม่รักดีมึงกล้าเข้าไปนั่งกอดกับมันบนหลังคว_ายเลยรึ ”   เสียงนายเกิบพ่อของแก้วที่ออกมาเห็นลูกสาวตนเองข้ามเขตนาไปนั่งอยู่บนหลังคว_ายกับลูกของศัตรู
      “  พ่อ!!!  พี่ทินพ่อมาเห็นเราแล้วทำไงดีแก้วกลัว ”   แก้วอุทานขึ้นด้วยความตกใจและกลัวเพราะว่าไม่มีใครรู้เรื่องของทั้งสองมาก่อนเลย  และถ้ารู้ก็อาจจะเกิดความรุนแรงของทั้งสองตระกูลขึ้นมาอีก
      ปัง !!!!!
      “ ว้าย พ่อยิงปืนขึ้นฟ้าด้วยล่ะพี่ เอายังไงกันดี ”  
      “ ไม่ต้องกลัวนะแก้วเดี๋ยวพี่ จะไปคุยกับลุงเกิบเอง ”  ทินพูดปลอบใจแก้ว
      “ ระวังนะพี่ทิน พ่อเอาปืนมาด้วย ”
      “ ไอ้ทินมึงทำอย่างนี้กับกูได้ยังไงมึงก็รู้ว่ากูกับพ่อมึงไม่ถูกกัน  แล้วมึงยังจะเอาลูกกูไปนั่งกอดในนามึงอีกเหรอ ทำอย่างนี้มันไม่ไว้หน้ากูเลยนี่หว่ามันหยามกันชัดๆ   ส่วนอีลูกตัวดีก็เหมือนกัน  อีแก้วมึงข้ามมาเดี๋ยวนี้ไม่อย่างนั้นมึงไม่ต้องกลับบ้านอีกต่อไป ”    นายเกิบตะโกน
      “ ลุงเกิบครับ  ผมกับแก้วรักกันจริงๆนะครับ ผมไม่ได้คิดแก้แค้นหรือเอาเรื่องของพ่อแม่มาคิดเกี่ยวข้องกันเลยจริงๆ ”   ทินอ้อนวอนต่อนายเกิบ
      “ กูจะรู้ได้ยังไงว่ามึงรักลูกกูจริง  แล้วหน้าอย่างมึงจะมีปัญญามาเลี้ยงดูลูกกูให้อยู่สุขสบายได้ยังไงกัน ”  นายเกิบพูดถกอยู่กับทิน
      “ ผมสัญญาครับลุงเกิบว่าผมจะเลี้ยงดูแก้วอย่างดี     เพียงแต่ผมขอเวลาพิสูจน์ตนเองเท่านั้น ”  ทินพูดอยู่กับนายเกิบอยู่ดีๆ   นายเทียมก็เดินมา
      “ กูว่าแล้วเสียงปืนมันดังมาจากไหน    ไอ้เกิบ มึงให้ลูกมึงมายุ่มย่ามอะไรกับลูกกูแถมยังในนากูด้วย ”   นายเทียมด่าว่านายเกิบ
      “ ลูกมึงนั่นแหละที่ แอบลักพาลูกกูเข้าไปในนามึง ”  นายเกิบตอบกลับอย่างเสียงดัง
      “ จริงเหรอไอ้ทิน มึงเอาอีแก้วเข้ามาในนาทำไม ”  นายเทียมหันไปถามทิน
      “ คือว่า   ผมกับแก้วรักกันนะพ่อ ”  ทินตอบอย่างกลัวๆ
      “ มึงกับอีแก้วรักกันเหรอ   ตายห่ามึงคิดยังไงถึงรักกับลูกศัตรู ” นายเทียมอุทานขึ้น
      “ ไอ้เทียม!!!   มึงส่งลูกสาวกูมาเดี๋ยวนี้นะไม่อย่างนั้นกูจะถือว่ามึงลักพาตัวลูกสาวกูไป แล้วกูก็จะไม่เกรงใจมึงแน่ มึงเห็นมั้ยนี่อะไร ”   นายเกิบตะโกนขู่นายเทียมพร้อมทั้งชูปืนไรเฟิลที่อยู่ในมือให้นายเทียมดู
      “ มึงคิดว่ากูกลัวปืนของมึงเหรอ  เก่งจริงมึงกับกูมาตัวๆกันเลยดีกว่าให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลยไอ้เกิบไอ้หน้าหมา ”  นายเทียมเถียงด่าตอบ
        ในขณะที่ทั้งนายเกิบกับนายเทียมเถียงกันอยู่ ทินกับแก้วก็
      “ พี่ทินแก้วว่าแก้วกลับข้ามไปฝั่งนาแก้วก่อนดีกว่าไม่อย่างนั้นพ่อเราทั้งสองต้องยิงกันแน่”   แก้วพูดขึ้น
      “ พี่ก็ว่าอย่างนั้นแหละแก้ว   แก้วกลับไปก่อนนะแล้วพี่สัญญาพี่จะเข้าไปขอแก้วต่อหน้าพ่อแม่ของแก้วเอง ”  ทินตอบกลับแก้ว
      “ สัญญานะพี่ ”
      “ จ๊ะพี่สัญญา ”
                 และแล้วแก้วก็เดินข้ามฝั่งนาไปจึงทำให้นายเกิบและนายเทียมหยุดทะเลาะตรงนั้นได้แต่ก็ได้ห้ามลูกของตัวเองทั้งสองแอบคบหากันอีก    ทำให้ทินและแก้วร้อนใจคิดถึงกันเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่มีหนทางเลยที่จะได้พบกัน     แต่ทินก็ไม่ทิ้งคำสัญญาที่เคยพูดกับพ่อของแก้วไว้ว่าจะเลี้ยงดูแก้วให้ได้  ทินจึงพยายามเขียนเนื้อร้องเพลงแร็พ  และคิดท่าเต้นทำนองต่างๆขึ้นในทุกวันที่ออกไปเลี้ยงควาย โดยมีเจ้าโจอี้เป็นผู้ฟังอย่างเดียวดาย  ด้วยความหวังจะเอาเพลงไปเสนอให้บริษัทเพลงยักษ์ใหญ่ในกรุงเทพ     จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านมาหนึ่งปี วันนั้นทินต้องออกไปที่ตลาดเพื่อซื้อปุ๋ยใส่ในนาข้าวโดยขับรถอีแต๋นโหลดแป๊กคันงามไป   ในขณะที่กำลังเดินแบกถุงปุ๋ยเพื่อเอาใส่รถอีแต๋น   ทินก็หันไปเจอแก้วสาวน้อยที่ตนรักกำลังยืนเลือกซื้อหมูย่างโดยมีหมอกควันแห่งมวลหมูที่ถูกรนไฟโชยฟุ้งเหมือนเมฆหมอกแห่งขุนเขาที่หนาวเย็น   ใบหน้าที่จางๆเพราะถูกควันปกคลุมของแก้วนั้นเธอกำลังเคี้ยวตุ้ยข้าวเหนียวอยู่ตุงแก้มอย่างช้าๆพร้อมหมูหนึ่งไม้ในมือที่เธอได้เลือกสรร    ทินยืนนิ่งมองแก้วอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้สึกอะไรเลยในบรรยากาศที่ผู้คนในตลาดที่เดินผ่านมาก็หยุดนิ่งเหมือนกันเพียงแต่คนเหล่านั้นกำลังมองมาที่ทิน    เด็กหนุ่มร่างกายกำยำและดำล่ำสันนั้นยืนแบกถุงปุ๋ยร้อยกิโล อย่างเดียวดายและนิ่งสงบ  มันจึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับคนทั่วไปความนิ่งของทินสามารถสยบความเคลื่อนไหวของคนรอบข้างแต่ไม่สามารถ สยบแก้วให้หยุดเคี้ยวได้เลย   เวลาผ่านไปห้านาทีน้ำหนักร้อยกิโลของถุงปุ๋ยนั้นเริ่มส่งผลต่อกล้ามเนื้อของทินบ้างนิดเดียว   ทุกคนเริ่มขวักไขว่เป็นปกติทินแบกถุงปุ๋ยไปไว้ที่รถอีแต๋น แล้วเดินเข้าไปหาแก้วที่กำลังสนุกอยู่กับหมูย่างและควันไฟ  
      “ แก้ว แก้ว ”  ทินพูดทักขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ทันใดนั้นแก้วก็หันมา  ภาพตรงหน้าที่แก้วเห็นคือชายหนุ่มล่ำสัน สวมใส่เสื้อยืดตัวหลวมโครกสีแดงแป้ด    และกางเกงสามส่วนตัวใหญ่เอวต่ำ….ต่ำถึงที่สุดและร้อยมัดด้วยเชือกฟางลอดรูเข็มขัดของกางเกง พร้อมทั้งขอบกางเกงในแพลมออกมาแบบจงใจด้วยกางเกงในลายสก็อต หรือที่เรียกว่าบ๊อกเซอร์แต่ความจริงแล้วมันคือผ้าขาวม้าที่ทินใส่อยู่ข้างในกางเกงสามส่วน  
      “ พี่ทิน ”  แก้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นคลอนจะร้องไห้เมื่อเห็นหน้าทินคนรักของเธอจนข้าวเหนียวหมูย่างในปากที่เคี้ยวอยู่ถึงกับหลุดออกมาอย่างน่าเกลียด
      “ แก้ว แก้วพี่คิดถึงแก้วเหลือเกิน ”  ทินพูดพร้อมเอามือเอื้อมมือไปกุมมือแก้วที่มีเม็ดข้าวและความมันของหมูติดอยู่ไว้
      “ แก้วก็คิดถึงพี่ทินมากเลย  พี่ทินทำอะไรมากับสีผมหรือเปล่า พี่ทินย้อมผมเหรอเท่ห์จังเลยอ่ะ ”  แก้วพูดชมทินด้วยน้ำเสียงออดอ้อน อย่างมาก
      “ เปล่าหรอกมันเป็นเพราะแดดน่ะ พี่ตากแดดมากไปหน่อยผมเลยเป็นอยางนี้ ”   ทินตอบ
      “  เหรอ  เท่ห์จังพี่ทินเนี่ย หุ่นก็ล่ำขึ้นแม้นแมนนะพี่ทิน ”   แก้วยังคงชมด้วยเสียงออดอ้อนอยู่
      “ ที่พี่ล่ำก็เพราะว่าพี่นะ  ฝึกเต้นแบบบีทบอกซ์   แดนช์นะแดนช์รู้จักใช่มั้ยแก้ว  ที่พี่ฝึกทำก็เพื่อเราสองคนนะแก้ว   พี่บอกกับพ่อแก้วไว้ตอนนั้นว่าพี่จะเลี้ยงดูแก้วให้ได้ อีกอย่างตอนนี้พี่อายุสิบเจ็ดก็โตแล้ว ควรที่จะสร้างตัวอย่างจริงจังเสียทีเพื่อแก้วอันเป็นที่รักของพี่ไงล่ะ ” ทินพูดอย่างอ่อนโยน
      “ พี่ทิน ต่อไปแก้วจะมาพบพี่ที่นี่อีกนะ เพราะตอนนี้แก้วมีหน้าที่ต้องมาซื้อกับข้าวให้ที่บ้าน แต่ตอนนี้แก้วต้องกลับแล้วล่ะเดี๋ยวพ่อสงสัยทำไมมานานแก้วมัวแต่เสียเวลากินหมูย่างอยู่ ”  แก้วพูดขึ้นอย่างรีบร้อน
      “ ตกลงจ๊ะแก้วเราจะมาพบกันที่นี่เป็นประจำ  เอาอย่างนี้นะ”   เมื่อทินพูดเสร็จก็ถอดเสื้อสีแดงตัวโปรดของตนเองให้แก่แก้ว
      “ แก้ว พี่ให้เสื้อตัวนี้กับแก้วไว้แทนคำสัญญานะ  สีแดงของเสื้อคือความรักที่พี่มีให้แก้วเหมือนสีของเลือดที่ไม่จืดจางอย่างไรรักก็จะยังไม่จืดจางเช่นนั้น ” ทินพูดอย่างจริงจังด้วยสายตาของลูกผู้ชาย
      “ จ๊ะพี่  แก้วก็รักพี่ทิน แก้วไปล่ะนะ ”   แก้วก็เดินจากทินไปด้วยสายตาอาวรณ์ต่อคนรักอย่างยิ่ง
            ทินหันหลังกลับเดินไปที่รถอีแต๋นโหลดแป๊กคันงามของตน  ขณะที่เดินนั้นบรรยากาศบริเวณนั้นก็เงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ    ผู้คนที่เดินขวักไขว่ต่างหยุดนิ่งมีเพียงทินที่ยังคงเดินอย่างช้าๆ   สายตานับสิบๆคู่ในตลาดบริเวณนั้นต่างจับจ้องมองมาที่ทินชายหนุ่มล่ำสันกำยำใส่กางเกงหลุดตูดเกือบถึงหัวเข่าพร้อมถอดเสื้อเดินอย่างไม่อายใคร  โชว์กล้ามเนื้อที่อัดแน่นและลวดลายบนลำตัวที่ไม่ใช่รอยสักแต่มันเป็นจุดด่างพ้อยที่เกิดจากเชื้อรา   ไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดงหรือแม้แต่หมาก็ยังเดินหนีไม่กล้าขวางทาง เพราะทินเดินด้วยสายตาของลูกผู้ชายตัวจริง   กระทั่งทินขับรถอีแต๋นคันงามออกไปจากตลาดอย่างช้าๆ
      แป๊ก แป๊ก แป๊ก…….   จนลับตาบรรยากาศที่พลุกพล่านจึงกลับสู่ปกติ   ทิ้งไว้เพียงเศษไม้แหลมของหมูย่าง ยี่สิบกว่าไม้ให้ตกเกลื่อนกลาดพื้นอยู่อย่างนั้น
      “ โอ้ย….โล่งอกไปทีกูก็นึกว่าคนเมายาบ้า ”  เสียงแม่ค้าขายหมูย่างพูดถอนหายใจ

                หลังจากนั้นทินก็แอบมาพบเจอกับแก้วเป็นประจำที่ตลาด  และทินก็ได้ส่งเนื้อเพลงและคำร้องที่ตนเองอัดไว้ในเทปส่งไปที่ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในกรุงเทพแต่มันก็เงียบหายไปไม่มีการติดต่อกลับมา    สามเดือนผ่านไปทินก็ได้แอบมาพบกับแก้วที่ตลาดอีก  
      “ แก้ว วันอาทิตย์นี้ตอนเย็นแก้วแอบพ่อไปเที่ยวงานวัดลิงโลดกับพี่นะ ”   ทินพูด
      “ วันอาทิตย์เหรอพี่ ดีเลย เพราะว่าอาทิตย์นี้พ่อแก้วไม่อยู่ไปหาญาติที่อังกฤษจะกลับก็วันอังคารหน้านะแหละ ”  แก้วตอบ
      “ วันนี้วันอังคาร ถ้างั้นเอาอย่างนี้ จนกว่าจะถึงวันอาทิตย์นี้เราอย่าเพิ่งมาเจอกันนะ จะได้ไม่ต้องพลาดมีเรื่องให้พ่อแก้วสงสัย แล้วไม่ไป เราทนคิดถึงกันแค่วันอาทิตย์เองนะ ”  ทินพูด
      “ ก็ได้จ๊ะพี่ ”
      “ ว่าแต่ญาติ ที่พ่อแก้วไปเยี่ยมเนี่ยอยู่เมืองไหนเหรอ ”  ทินถาม
      “ รู้สึกว่า จะแมนเชสเตอร์นะ ” แก้วตอบ
      “ อ๋อ   พี่รู้จักเมืองแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดพี่ได้ยินบ่อย ”  
      “ มั้ง???? ”  
              ทั้งคู่ต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านทินก็ได้รับจดหมายลงทะเบียนจากกรุงเทพ
      “ ไอ้ทิน มีจดหมายลงทะเบียนมาหาเอ็งจากกรุงเทพน่ะ ”  นายเทียมบอกขึ้นเมื่อเห็นทินเข้ามาในบ้าน
      “  จริงเหรอพ่ออยู่ไหน ”  ทินตื่นเต้นเมื่อรู้ว่ามีจดหมายจากกรุงเทพ
      “  ตรงโต๊ะน่ะ ”  นายเทียมตอบกลับ
            ทินรีบวิ่งเข้าไปเปิดจดหมายดูข้อความข้างในเป็น การตอบรับจากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในกรุงเทพให้ทินผู้เป็นเจ้าของ เพลงที่ส่งไปนั้นติดต่อกลับไปโดยด่วน  ทินจึงตัดสินใจขอเงินพ่อแม่ เป็นค่าเดินทางไปที่กรุงเทพภายในคืนนั้นเลย  ทินถึงกรุงเทพในเช้าวันพุธ เข้าไปพูดคุยกับทางบริษัท จนตกลงเซ็นสัญญาเป็นนักร้องในค่าย แต่ต้องเรียนการร้องการเต้นให้ถูกวิธีเสียก่อนถึงจะได้ออกเทปจริงๆ   ทินมัวแต่เพลินและตื่นเต้นอยู่กับการที่ได้เซ็นสัญญา และข้อตกลงเบื้องต้นที่ทินต้องทำเดี๋ยวนั้น จึงไม่สามารถกลับมาบ้านได้เนื่องด้วยระยะเวลาของการเดินทางมันนานจึงไปเช้าเย็นกลับไม่ได้   ต้องเช่าห้องอยู่โดยบริษัทเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย  จนกระทั่งวันอาทิตย์ทินต้องทำธุระตอนเช้าก่อนถึงจะกลับบ้านได้ แต่ธุระมันก็ไม่ได้ราบรื่น จนบ่ายสี่กว่าทินจะได้กลับตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับแก้ว  ทินออกจากกรุงเทพตอนบ่ายสี่ มาถึงบ้านมันก็ เที่ยงคืนกว่าซึ่งมันก็ไม่ทันที่จะมาตามสัญญาคืนนั้นทินไม่รู้จะต้องทำอย่างไรในใจก็คิดถึงแก้ว เป็นห่วงแก้ว   จึงออกไปที่บ้านแก้วตอนเที่ยงคืนเลย  ไปตะโกนที่หน้าบ้านก็ไม่มีใครออกมาแปลว่าแก้วไม่อยู่บ้าน   ทินออกตามหาแก้วไม่ว่าจะบ้านเพื่อนหรือที่งานวัดก็ไม่พบเจอ     สุดท้ายก็เช้าทินกลับไปนอนที่บ้านของตนเอง  จนเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าของวันนั้น
      “ ไอ้ทิน ไอ้ทิน มึงมานี่ ”  เสียงนายเทียมตะโกนเรียกลูกชายตนเองอย่างเร่งด่วน
      “ มีอะไรพ่อผมยังนอนไม่อิ่มเลย ”
      “ อีแก้วลูกไอ้เกิบ มันมาตายอยู่ตรงเส้นนามันกับนาเราเนี่ย มึงรีบไปดูเร็ว ”
      “ อะไรนะพ่อ”  ทินพูดอย่างตกใจด้วยใบหน้าและน้ำเสียง
      “ ไปเร็ว ”   นายเทียมเร่งลูกชาย
            ทั้งคู่ต่างก็วิ่งกันออกไปที่นาของตนเองเมื่อไปถึงชาวบ้านต่างก็ยืนมุงดูกันแน่น จนต้องเบียดเสียด  เมื่อแทรกตัวฝ่าชาวบ้านไปได้ ทินถึงกับเข่าอ่อนเมื่อ ศพที่นอนอยู่ระหว่างทางแบ่งเขตนานั้นเป็น แก้ว หญิงสาวที่ตนรักนอนแน่นิ่งในเสื้อสีแดงที่ทินให้ไว้รอบตัวมีคราบเลือดเป็นลิ่มนองกระจายอยู่   ที่ลำตัวตรงท้องเป็นบาดแผลใหญ่เกิดจากของบางอย่างมาทิ่มตำ    โดยมีเสียงชาวบ้านตรงนั้นบอกกันว่า แก้วถูกคว_ายขวิดเข้าอย่างจังที่ท้องจนลำไส้ทะลักแล้วไม่มีใครมาเห็นเพราะไปงานวัดลิงโลดกันหมด จึงไม่มีใครมาช่วยได้ทัน   และไอ้ที่คว_ายมันขวิดเพราะแก้วใส่เสื้อสีแดงแป้ด มาเดินในนาที่มีคว_ายอยู่เต็มจึงโดนขวิดโดยไม่รู้ตัว
                 ทินเมื่อได้ยินเช่นนั้นถึงกับเสียใจสุดขีด  เพราะเสื้อตัวที่แก้วใส่อยู่นั้นเป็นตัวที่ทินเคยให้แก้วไว้ที่ตลาดเพื่อแทนคำสัญญา   และเพราะตนเองมาไม่ทันตามสัญญาที่ให้ไว้ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น
                จากนั้นทินเก็บตัวเงียบ ก่อนที่จะเดินทางไปอยู่กรุงเทพและครอบครัวของแก้วก็ขายที่นาแห่งนั้นให้ผู้อื่นและยุติความบาดหมางกับตระกูลนาดินที่มีมานานโดยการย้ายไปอยู่ที่อังกฤษกับญาติ    ทินเข้าไปเป็นนักร้องในค่ายใหญ่ได้ไม่นานก็หมดสัญญาโดยไม่มีการต่อ เพราะไม่ดังยอดขายก็ไม่ดีเนื่องด้วยทินเองยังคงไม่สนุกกับเพลงเพราะที่แต่งไว้นั้นมันเป็นเพลงในอารมณ์ตอนที่แก้วยังอยู่เป็นเพลงที่แร็พเพื่อแก้วเพื่ออนาคตจะตั้งตัวเป็นเพลงสนุกสนาน มันจึงขัดกับความรู้สึกจริงๆ   จนกระทั่งมีอยู่วันนึงทินนั่งเขียนเพลงแร็พของตนเองอยู่ในเนื้อเพลงพร่ำพรรณาถึงแก้วคนรักที่จากไป  ทินก็ร้องออกมาในที่สาธารณะบังเอิญข้างๆทินมีวงร็อกนั่งเล่นอยู่ได้ยินเข้า จึงชวนทินมาเข้าวงซึ่งร้องทั้งร็อกและแร็พ
      ทั้งหมดจึงรวมตัวกันขึ้น   ที่วงนี้ทินได้ร้องแร็พถึงการจากไปของแก้วสาวน้อยแห่งทุ่งกุลาร้องไห้อย่างเต็มอารมณ์และดนตรีที่หนักหน่วงแต่ดึงอารมณ์ให้เหงาได้อย่าจับใจ  ในค่ายเพลงเล็กๆแต่ผลงานชิ้นนี้กลับใหญ่และโด่งดังเป็นที่ยอมรับในเพลงกระแสใหม่ของหมู่วัยรุ่น   จากแร็พแห่งทุ่งนาที่มีแรงบันดาลใจจากสาวน้อยที่ตายจาก  รวมตัวกับวง ร็อกนักเรียนนอก  จึงโด่งดัง และวงนี้ชื่อ   ลิง กิน ผัก  ( ring kin  pak)
          หลายสิบปีผ่านไปเพลงรักเพลงเกี้ยว ของหนุ่มสาวแห่งที่ราบสูงก็มีเพลงของ
      “ ลิง กิน ผัก ”   กึกก้อง ทั่วทุ่งนา ต้นข้าวสีทองอร่าม ที่น้อมรับและเต้นคล้อยเมื่อลมพัดไปกับเพลงรักของนายทิน
        เพลงนี้สายลมมาบอก    สายลมยัดยอกให้บอกรักเธอ….โย่
      ลมนี้ข้ามนามาเจอ      พัดพาความเพ้อให้เธอ บนหลังควาย…โย่ โย่
      ………….
      “ ไอ้โจอี้ เราไปหาแก้วกันป่ะ   โย่ โย่ ”         ฉันขี่ไอ้-ทุยแร็พทั่วท้องนา….





      ...............จบ....................



      ยังมีเรื่องสั้นให้อ่านอีกหลายเรื่องนะครับ เพียงแค่พิมพ์คำว่า  เชือกผูกลม  ลงในช่องค้นหานักเขียนหรือจะเมล์มาแลกเปลี่ยนความคิดกันก็ได้

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×