ห้องคอนกรีตสี่เหลี่ยมตกแต่งด้วยสไตล์ฝรั่งเศสในเนื้อที่ห้าสิบตารางวาบนชั้นสี่สิบของโรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพ  สุจิตราออกมานั่งบนโซฟาภายนอกระเบียงด้วยอาภรณ์ที่เลิศหรูราคาแพง  เสื้อสีขาวบางๆมองผ่านทะลุถึงเนื้อหนังดีไซน์นอก กางเกงเข้าชุดที่สั้นกุดและบางพริ้วมันเป็นชุดนอนที่ป้ายราคาก่อนจะถูกฉีกออกมีตัวเลขอยู่ห้าหลักนำหน้าด้วยเลขสอง  จริงอยู่ถึงมันจะเป็นเพียงแค่ชุดนอนที่ไม่อาจจะใส่ออกไปเดินเหิน ให้ใครยลบนห้างหรูหรือแม้แต่ล็อบบี้ของโรงแรม  แต่เธอก็พึงพอใจกับสายตาของเธอเองที่ได้มองผ่านกระจกในห้องนอน แล้วเอ่ยคำพูดในใจชมตัวเอง
    เธอเอนกายช้าๆให้แผ่นหลังแนบนาบกับโซฟาที่ออกแบบรับพอดีกับร่างกาย  นิ้วอันเรียวยาวส่องแสงประกายสะท้อนแดดอ่อนเพราะมีแหวนเพชรหลายกะรัตเรียงกันทุกนิ้วเป็นตับกระสุน  เธอจีบนิ้วที่น่าหนักนั้นไว้กับก้านแก้วไวน์ชั้นเลิศกว่าร้อยปี  เอาขึ้นดมด้วยปลายจมูกอย่างแผ่วเบาเหมือนประดั่งว่าไวน์ในแก้วนี้วิเศษจิบแล้วจะอมตะ  กิริยาการเคลื่อนไหวเธอเนิบช้าไม่เร่งรีบเพราะไม่มีภาระเหมือนคนทั่วไปที่เรียกว่าชนชั้นกลางหรือชั้นล่างตามแต่จะเรียก  ในเช้าวันธรรมดาอย่างนี้เวลาของเธอจึงมีเหลือเฟือไม่ต้องแก่งแย่งโอกาส เวลาหรืออะไรก็ตามแต่ที่คนชั้นกลางถึงชั้นล่างต้องนำมาซึ่งให้ได้เงิน เงินที่จะต่อชีวิตไปอีกเดือน อีกอาทิตย์ หรือแค่อีกวันสำหรับบางคน 
      ริมฝีปากขมิบจิบเข้าที่ปลายขอบแก้ว ให้ไวน์ไหลผ่านเข้าปากอย่างช้าๆ เพื่อไปออกันอยู่ในลิ้น  เธอห่อลิ้นอมไว้อย่างนั้นให้ได้รสก่อนที่จะปล่อยให้มันผ่านลงสู่ลำคอที่ร้อยไว้ด้วยเครื่องเพชรชุดใหญ่ ที่แต่ละเม็ดต่างแข่งกันอวดประกายวาวเมื่อทบแสง    ขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาวางพาดทับกับอีกขาไว้อย่างกับหนังสโลว์  ให้ชายกางเกงผ้าบางของเธอไหลย่นมาจนเกือบจะแก้มก้น    ปล่อยสายตาให้ทอดมองไปอย่างไร้จุดหมายจะควานหาบนท้องฟ้าที่มีแต่เมฆขาวเคลื่อนคล้อยเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างช้าๆแล้วแต่สายลมจะพัดพา    ลมอ่อนๆกระทบหน้าของเธอเบาๆพอรู้สึก เธอค่อยๆเอื้อมแขนเอาแก้วไวน์วางไว้ข้างพื้นแล้วยกแขนทั้งสองมากอดอกไว้    เมื่อแสงแดดอ่อนเริ่มแยงตา จึงใช้สมองสั่งเปลือกตาให้ปกป้องดวงตาไว้จากแสงแดด  ก่อนที่เธอจะคล้อยหลับกับบรรยากาศสดชื่นซึ่งหาได้ยากในกรุงเทพที่ต้องซื้อด้วยเงิน   
    ลมวูบหนึ่งก็พัดมาให้เธอรู้สึกตัว  ลืมตา เธอเอนกายขึ้นจากโซฟาด้วยเวลาที่มากกว่าคนทั่วไปเหมือนโลกทั้งโลกอยู่ในความเชื่องช้าและหนักอึ้ง    สองขาถูกบังคับให้ก้าวเดินเข้าไปในห้อง    เธอหยิบกระเป๋าหนังราคาเป็นแสนที่สั่งตรงจากอิตาลี    เปิดออกมาแล้วบางอย่างก็ล่วงลงสู่พื้นอย่างทันทีด้วยกฏแรงโน้มถ่วงของโลก  เธอก้มลงเก็บอย่างระวังเพราะเป็นสิ่งสำคัญรูปขาวดำของเธอกับสามีสุดที่รัก  รูปใบนั้นถึงแม้จะขาวดำแต่ก็เหลืองเก่าเป็นคราบเต็มไปหมด ขอบรูปก็ยุ่ยฉีกออกเป็นขลุย    ทั้งที่ภาพเธอในรูปนั้นยังสาวและสามีของเธอก็ยังหนุ่ม  มีภาพฉากหลังของเธอกับสามีเป็นทุ่งนาที่สุดขอบเป็นท้องฟ้า  มือของเธอถือเคียวเกี่ยวหญ้าสามีเธอใส่งอบ ผ้าขาวม้าพาดคอ  โดยทั้งสองประทับรอยยิ้มไว้บนหน้าของวันวาน     
      น้ำหนึ่งหยดตกลงมาใส่รูป  เป็นน้ำตาของเธอที่เอ่อล้นจนเปื้อนใบหน้าขณะมองดูรูปภาพ  เมื่อเธอยกมือปาดน้ำตาความรู้สึกสากผิวก็สั่งเข้าเส้นประสาทให้รับรู้เมื่อผิวหนังหลังฝ่ามืออันเหี่ยวย่นรูดผ่านผิวเพื่อปาดน้ำตาบนใบหน้าที่พื้นผิวไม่ต่างอะไรกับหลังมือ    ดวงตาที่ฝ้าฟางมองผ่านแอ่งน้ำตาที่เอ่อยิ่งพร่ามัว    ถึงแม้ร่างกายเธอจะมีน้ำหนักไม่ต่างกับสาววัยรุ่นหุ่นผอม  แต่เธอกลับรู้สึกว่ามันขยับได้ยากเย็นด้วยวัยกว่าแปดสิบปีที่มีชิวิตอยู่บนโลกใบนี้    ผ่านความทุกข์ระทมแห่งชีวิตมานานัปการ  จากชาวนาสาวบ้านนอกเข้าสู่กรุงกับชายหนุ่มผู้ที่เธอได้ให้สัญญาต่อกันไว้ว่าจะรักกันและกันไปคนเดียวตลอดชีวิต  แต่เมื่อยี่สิบปีก่อนชายในรูปกลับมาด่วนลาจากเธอไป    ทิ้งให้เธอต้องเผชิญชีวิตที่ลำบากอย่างโดดเดี่ยว ทั้งที่ยังไม่สามารถสร้างฐานะให้กับตนเองได้      ด้วยวัยห้าสิบกว่าในตอนนั้นเมื่อสามีเธอจากไปทำให้หมดกำลังใจจะควานหาเป้าหมายแห่งความสำเร็จขอเพียงอยู่ไปวันๆ  เธอก็ต้องอดมื้อกินมื้อในเมืองกรุง ไม่มีญาติพี่น้องไม่มีคนอยากรู้จัก  เห็นเธอเป็นภาระ  เธอต้องเก็บขยะเข็นรถหาของเก่าตามบ้านและที่ทิ้งขยะต่างๆเพื่อเลี้ยงตนเองทั้งที่แก่ชราอยู่เพียงลำพัง 
        ชีวิตในวัยสาวของสุจิตรา เธอไม่เคยได้สัมผัสความสวยงามหรือสิ่งฟุ่มเฟือยอย่างที่คนกรุงเขานิยม  แรกทีที่เธอตัดสินใจเข้าเมืองกรุงกับชายที่รัก  ชีวิตและหัวจิตหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ ที่จะต่อสู้อุปสรรค ไม่ว่าภายหน้าจะลำบากเพียงใดขอเพียงมีเขาอยู่ร่วมแรงใจเธอก็พร้อมจะผจญ   
      เมื่อทุกอย่างสลายหายไปจากชีวิตของเธอทั้งคนรัก ความหวังความตั้งใจและเวลาที่เธอใช้มันมาถึงห้าสิบกว่าปีเพื่อความร่ำรวยและชีวิตที่ดีขึ้นของเขามลายไปสิ้นทิ้งไว้เพียงร่างที่จะแห้งเหี่ยวไปเรื่อยๆ    แต่แล้วชะตากรรมก็ยื่นมือมาฉุดกระชากลากดึงตัวเธอให้ขึ้นพ้นจากบ่อหลุมแห่งความลำบากยากจน ที่ต้องทุกข์ทนอยู่นานวัน   
   
“ความสุขแลกกับความสุข  เธอสนใจมั้ยล่ะ”  คำพูดเปรยของชายชราวัยร้อยกว่าปี ที่นอนจมอยู่กับกองขยะขณะที่เธอกำลังค้นหาของเก่ามาเพื่อแลกเศษเงิน ประทังชีวิต    เธอมองชายชราคนนี้เหมือนคนอื่นๆตามรายทางที่นอนแผ่ร่างนาบพื้นโลกให้กาลเวลาเผาผลาญชีวิต  เป็นส่วนเกินของสังคมที่ผู้คนปกติต้องเดินหนีหรือยืนห่างเมื่อคนเหล่านี้เข้าใกล้  พร้อมแสดงทีท่ารังเกียจ 
        เมื่อชีวิตของเธอก็ไม่มีเหลือจุดมุ่งหมายอะไรให้เดินตาม  เธอก็เลยลองรับคำพูดของชายชรา  แล้วความสุขที่ว่าก็เข้ามาหาเธอ  ชายชราใช้มือเล็กลีบแบบหนังหุ้มกระดูกดันกระเป๋าผ้าใบโตที่คลุกฝุ่นดูเขอะขระเป็นอุปกรณ์หนุนหัวนอนของเขา   
“นี่คืออะไร” เธอเอ่ยถามอย่างสงสัยเพราะมันหนักพอดู
“ความสุขของเธอ”  ชายชราเอ่ยตอบ พร้อมกับลุกขึ้นช้าๆจากกองขยะ แสยะยิ้มโชว์เหงือกที่ไร้ซี่ฟัน  กิริยาของเขาเงอะงะตามประสาคนชราวัยร้อยกว่าปี  ที่แค่ลุกได้พูดได้เกือบคล่องแบบนี้ก็ถือว่าแข็งแรงอย่างวิเศษแล้ว   
        ซิปกระเป๋าผ้าถูกเปิดออก  เธอถึงกับชะงักและขาอ่อนเพราะข้างในกระเป๋าใบโตนั้นเต็มไปด้วยธนบัตรที่แออัดยัดเยียด  บ้างก็ยังคงเป็นสภาพดีมัดเป็นปึก บ้างก็ยับยู่ยี่จนมองดูไร้ค่า      เธอประหลาดใจกับเงินจำนวนมากมันอยู่กับชายชราคนนี้ได้อย่างไรแล้วทำไมเขาถึงได้มา  เงินมากขนาดนี้ทำไม ...เขาเก็บมันได้หรือ?  ทำไม....หรือว่าเขาขโมยมันมาแต่ก็ไม่น่าจะใช่เพราะอายุปูนนี้แค่เรี่ยวแรงจะเดินยังจะไม่มีแล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปแย่งยื้อฉุดขโมย 
“ได้มันมายังไงเนี่ย ตาแก่”  เธอยิงคำถาม
“ไม่ต้องถามหรอกน่า  เอาเป็นว่าฉันให้ทั้งหมดกระเป๋านั่นแหละ”  ชายชราตอบพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากอันเหี่ยวย่น
“แน่ใจนะว่า  ฉันเอาไปแล้วจะไม่ถูกตำรวจจับหรือมีคนมาทวง  ถ้าอย่างนั้นฉันไม่เอานะ”
“เอาน่า  ไม่มีใครมาทวงได้หรอกมันเป็นเงินของฉันเองเอาไปใช้เถอะตามสบาย  แต่ฉันขออย่างเดียว ช่วยหาหมอนให้ฉันซักใบเถอะเพราะถ้าเธอเอากระเป๋าไป  ฉันก็จะไม่มีที่หนุนหัวนอน” 
“ขอถามอะไรหน่อยซิตาแก่  นี่แกไม่เสียดายเลยเหรอเงินตั้งเยอะขนาดนี้ “ 
“จะเสียดายทำไม  อย่างมากมันก็เป็นได้แค่กระดาษที่ยัดไว้ในกระเป๋าให้มันหนาเพื่อเป็นหมอนก็เท่านั้น  นี่แหละความสุขที่ฉันได้จากมัน”
    เธอกำลังคิดว่าชายชราคนนี้  คงจะบ้าหรือก็คงสติไม่ดีไม่เต็มบาทเต็มเต็ง    เงินออกจะมากมายขนาดนี้ดันเอามาหนุนหัวนอนเฉยๆซะได้  “ดีแล้วล่ะที่มันมาอยู่กับเรา”    เธอพูดในใจ
      หลังจากที่ต่างคนต่างก็แลกในสิ่งที่ต้องการซึ่งกันและกัน  ชายชราได้หมอนสีแดงใบใหม่เอามาหนุน แต่จะเรียกว่าใบใหม่เสียทีเดียวก็ไม่เต็มปากเพราะมันก็เป็นหมอนใบเก่าของสุจิตราที่เธอใช้นอนอยู่ประจำ      ส่วนเธอนั้นก็ได้กระเป๋าผ้าที่มีเงินยัดอยู่ข้างใน  จากวันนั้นเป็นต้นมาชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป 
    ถึงแม้ว่าวัยของเธอจะล่วงเข้าสู่ห้าสิบกว่า  และกาลเวลาก็กำลังเดินหน้าจูงมือพาเธอเข้าสู่วัยเกษียณช่วงวันวัยที่คนรุ่นนั้นจะต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยุติการทำงานต่างๆที่ดำเนินมาหลายสิบปี  เพื่อผลัดเปลี่ยนความคิดความสามารถของคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาแทนที่  แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ เธอไม่เคยข้องเกี่ยวสังคมของคนทำงาน
    เงินมากมายที่อยู่ในการครอบครองกำลังเรียกร้อง  เร่งเร้าในหัวสมองและห้วงความคิด  “ใช้ฉันซิ เธอเคยอยากได้อะไร ก็ใช้ฉันซื้อมันซิ”  เธอได้ยินเสียงนี้ในหัวตลอดเวลาตั้งแต่กระเป๋าผ้าเป็นของเธอ     
      ทุกสิ่งทุกอย่างถูกบันดาลขึ้นมากองตรงหน้า เสริมสร้างชีวิตเธอให้พร้อมทุกสิ่งสรรพ  จากเพิงพักอันคับแคบริมคลองน้ำเน่า ก็ได้อยู่พำนักบนโรงแรมห้าดาวชนิดที่เรียกว่าขอเหมาจองเป็นรายปีระดับวีไอพี
      โรงแรมห้าดาวหลายแห่งตามสถานที่ต่างๆทั่วประเทศถูกเธอสั่งจองเป็นรายปีล่วงหน้าหมดทุกที่ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ไปพักก็ตาม    เธอไม่ยอมเอาเงินซื้อบ้านทั้งๆที่มันมีมากมายจนสามารถจะซื้อคฤหาสน์ได้อย่างสบายหลายหลังด้วยเหตุผลว่าไม่อยากจมปรักอยู่กับที่ ไม่อยาก มีหลักแหล่งที่แน่นอน อยากให้ชีวิตนี้ที่เหลือเป็นอิสระที่สุดบนความร่ำรวย   
    เงินจำนวนมากถูกใช้จ่ายออกไปอย่างไม่รู้คุณค่า  และที่สำคัญมันไม่ยอมหมดไปจากกระเป๋าผ้าใบนั้นซักที  ไม่ว่าเธอจะหยิบใช้มันออกไปอย่างไรพอเธอปิดแล้วเปิดออก  เงินจำนวนมากก็จะเพิ่มขึ้นมายัดเยียดจนเต็มกระเป๋าเช่นเดิม    แน่นอนมันต้องไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา ที่เงินจะเพิ่มขึ้นมาจากความว่างเปล่า 
    เธอออกตามหาชายชราคนที่ให้กระเป๋าผ้าแก่เธอ  ไปยังที่ที่พบเจอกันครั้งนั้นลานดินกว้างที่มีขยะกองพะเนิน ตลบอบอวลด้วยกลิ่นเน่าเหม็น    จุดที่เธอพบเจอกับชายชราขณะนี้ได้ผลัดเปลี่ยนผู้นอนเฝ้า    ชายชราหายไปแต่มีเด็กผู้ชายเนื้อตัวมอมแมมนอนคดคู้อยู่ที่เดียวกันกับที่ชายชราเคยนอนอยู่   
“หนู หนู”  เธอก้มลงสะกิดเรียกให้เขารู้สึกตัว    เด็กชายตื่นขึ้นด้วยอาการสะดุ้ง ลุกนั่งอย่างพรวดพราดไม่ไว้ใจ  การที่เขาขยับตัวอย่างรวดเร็วทำให้เกิดแรงลมกระพือเล็กๆ พัดเอากลิ่นสาบโชยฟุ้งเข้าจมูก  เธอถึงกับต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูกอย่างไม่เกรงใจเด็ก  ทั้งที่เมื่อก่อนเธอคุ้นเคยกับกลิ่นนี้เหลือเกินแต่คราวนี้มันต่างไป
“มีอะไร” เด็กชายพูดเสียงห้วนไร้หางเสียง  และไร้ความเป็นมิตร
“คือฉันอยากจะถามว่า  หนูเห็นผู้ชายแก่ๆที่เขาเคยนอนอยู่ตรงนี้หรือเปล่า” 
“ไม่เคย  เรานอนอยู่ที่นี่ตั้งหลายปีแล้วไม่เคยเห็นซักกะคน”    เด็กชายตอบโดยแทนตัวเองว่าเรา
    สุจิตราแปลกใจเป็นอย่างยิ่งทั้งที่เหตุการณ์วันนั้นมันเพิ่งจะผ่านไปได้แค่สองเดือน  แต่ทำไมเด็กคนนี้กลับบอกเธอว่าเขาอยู่ที่ตรงนี้มาแล้วสองปียังไม่เห็นใครที่จะมีท่าทางอย่างชายชราคนนั้น 
“แน่ใจนะหนู ว่าไม่เคยเห็น”
“ก็แน่ใจนะซิ”  เขาพูดเสียงดัง
“แต่เมื่อสองเดือนก่อนฉันเพิ่งจะเจอเขานอนอยู่ที่เดียวกันกับที่หนูนอนตรงนี้เลยนะ”  เธอย้ำ
“นี่ป้าจะมาเซ้าซี้ทำไมกันเนี่ย  เราบอกว่าไม่เห็นก็ไม่เห็นซิจบ”  เด็กชายไม่พอใจพร้อมเอนตัวลงนอนต่อ  เขาไม่มีท่าทีที่จะสนใจเธออีกต่อไป  ไม่ว่าเธอจะถามอะไรเขาก็คงจะนิ่งเฉย  เธอรู้ในทันทีว่าคงไม่ได้รับคำตอบในคำถามใดๆที่เธอเอ่ยอีกแน่    มือขวาล้วงหยิบธนบัตรหนึ่งพันบาท สะบัดเบาๆ  “แล้วถ้าคำถามละพันบาท หนูสนใจจะตอบมั้ย” 
    เด็กชายเหลือบตามอง ก็ลุกขึ้นมาทันที
“ตกลง ค่อยน่าสนใจ”  น้ำเสียงเขาเปลี่ยนไป ดวงตาดูเป็นมิตรขึ้นแต่เธอคิดว่าเขาคงจะอยากเป็นมิตรกับธนบัตรเสียมากกว่า 
“เอาล่ะนะ ฉันจะถามคำถามแรกว่าหนูอยู่ตรงนี้นานเท่าไรกันแน่และ นอนอยู่ที่ตรงนี้ตลอดเลยหรือเปล่า”
“ครับ นอนอยู่ที่นี่ตลอดสองปีที่ผ่านมา เรานอนอยู่ตรงนี้ทุกวัน”  คราวนี้เขาสุภาพขึ้น
“แล้วเมื่อสองเดือนก่อน หนูไม่เห็นชายชราแบบที่เรียกว่าหงำเหงือกบ้างเลยเหรอ”
“ไม่ครับ ไม่เคยเห็นซักคน”
“มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน”  เธอรู้ว่าคราวนี้เขาพูดความจริงแน่นอน   
      เธอต้องจ่ายเงินให้เด็กชายไปสามพันบาทกับคำถามที่ได้คำตอบซึ่งไม่ช่วยอะไรเลยมิหนำซ้ำยังก่อให้เกิดความสงสัยเพิ่มขึ้นในใจเสียอีกต่างหาก 
      เด็กชายยิ้มหน้าแป้น เมื่อได้รับเงินจำนวนสามพันบาทจากการพูดตอบไม่กี่คำ เกิดมาเขายังไม่เคยได้สัมผัสเงินมากมายขนาดนี้จึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก  เขาคะยั้นคะยอให้เธอถามคำถามอีกเยอะๆเพื่อรางวัล
        สุจิตรารู้สึกสงสารเขาขึ้นมาเมื่อเห็นกิริยาความตื่นเต้นดีใจ เมื่อได้สัมผัสกับเงินที่เธอให้    แววตาซื่อใสเป็นประกายขับเด่นเห็นได้ชัดบนใบหน้า ความเดียงสาที่ถูกฉาบทั้งหมดด้วยความหยาบกระด้างถูกละลายลงจนเหลือเป็นเพียงรอยเปื้อนบางๆ
        เงินอีกเจ็ดพันถูกหยิบควักยื่นให้โดยไร้เงื่อนไขสิ่งตอบแทน  เพื่อเติมเต็มจำนวนเงินให้ครบหนึ่งหมื่นบาท
“นี่ฉันให้หนูนะอีกเจ็ดพัน  จะเอาไปใช้อะไรก็ใช้ตามสบาย”  เธอยื่นเงินและรอยยิ้มให้เขารับเงินและคืนรอยยิ้มให้กับเธอ
“ขอบคุณครับ” 
      เธอแยกย้ายออกจากที่ตรงนั้นหลังจากที่ไม่ได้อะไรที่เกี่ยวกับชายชราคนนั้น  แต่กลับได้ความรู้สึกชื่นมื่นใจที่ได้มอบเงินหนึ่งหมื่นที่ไร้ค่าเมื่ออยู่กับเธอให้กับเด็กผู้ชายคนนั้นจนเขาดีใจและมีความสุขอย่างออกหน้าออกตา  เงินมีค่าอยู่ในตัวของมันเองตามจำนวนอัตราแลกเปลี่ยนที่ระบุ  แต่คุณค่าของเงินเมื่ออยู่กับคนที่ต่างกันมันก็มีค่าและความสำคัญแตกต่างกัน 
      นับจากวันนั้นเป็นต้นมาสุจิตราใช้ชีวิตอยู่บนกองเงินที่สูง เมื่อยิ่งสูงก็ยิ่งหนาวไร้คนเคียง  เธอใช้ชีวิตกับการใช้จ่ายเงินที่ไม่มีวันหมด จนปัจจุบัน
.............................
      ในมือของเธอยังกุมภาพถ่ายเมื่อครั้งอดีตนั้นไว้อย่างแนบแน่นมาประทับบนอก  สายน้ำตายังคงไหลออกมาไม่ขาดสาย เสียงสะอื้นดังขึ้นพร้อมกายกระตุกปวดหัวใจ  ความเศร้าโศกที่อัดแน่นอยู่ท่วมอก  มาจากความว้าเหว่  ผู้คนที่เข้ามาในชีวิตก็มาในฐานะของคนรับใช้ต้องการเงิน เงินที่เธอมี เมื่อเธอง่ายต่อการจ่ายผู้คนต่างๆก็ง่ายต่อการพร้อมเข้าหา   
      เธอเดินช้าๆออกมาที่ระเบียงพร้อมภาพถ่ายและกระเป๋าผ้า  มองกวาดสายตาไปทั่วท้องฟ้าสวยงาม  ความงามที่สูงส่งต้องเงียบเหงาเช่นนี้ด้วยหรือไร    พอแล้วความร่ำรวย  เงินไม่สามารถโอบไหล่เธอให้อุ่นเมื่อหนาวกาย  ไม่สามารถก้มจูบและกอดเธอให้คลายเหงา  ไม่สามารถเปล่งเสียงหัวเราะแล้วพูดว่ายังมีเรา 
    แต่เมื่อเธอมองมายังเบื้องล่างภาพถนนวุ่นวาย ผู้คนเดินขวักไขว่เป็นภาพเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ช่างเพลิดเพลินสายตาเมื่อมองดู  เธอหยิบกระเป๋าผ้าขึ้นมาอย่างหอบเหนื่อย พาดบนขอบของระเบียง ในมือก็กำรูปถ่ายใบนั้นไว้  เธอหลับตานึกภาพย้อนไปยังวันวานที่อบอุ่น หลังจากเธอเหนื่อยหอบจากการตรากตรำเกี่ยวข้าวในไร่นาเสร็จชายสุดที่รักก็เดินเข้ามาเอาผ้าขาวม้ามาเช็ดเหงื่อที่ผุดอยู่บนหน้ามน “เหนื่อยมั้ย” เขาถามอย่างอ่อนโยน  แล้วชายคนหนึ่งผู้มาจากกรุงเทพ เป็นนักศึกษาออกค่ายอาสาเดินเข้ามาขอถ่ายรูป  ทั้งคู่ยิ้มเขินเพราะไม่เคยอยู่หน้ากล้อง  ยิ้มซื่อๆแต่แสนสุขของทั้งสองคนก็ตราตรึงอยู่บนรูปถ่ายในทันที 
    สุจิตราลืมตามองกระเป๋าผ้า  แล้วยิ้มแววตาเหงา 
“ขอบใจ  แต่ฉันใช้เธอไม่เป็นจริงๆ”
.
      บนถนนสายธุรกิจหน้าโรงแรมหรู ผู้คนต่างมุงดูและห้อมล้อมอย่างวุ่นวาย  เสียงรถตำรวจดังมาแต่ไกลแต่ก็ช้านานเพราะรถติดอย่างมหันตภัย  ไหนจะผู้คนที่ยืนมุงจนเลยขอบฟุตบาต ไหนจะรถที่วิ่งชะลอดู และอีกมากมายที่วุ่นวายอยู่กับการไปทำงานของตนเองโดยไม่มีเวลาใส่ใจกับอะไรที่เกิดขึ้นรอบทาง  เสียงแตรรถถูกบีบเร่ง ดังขึ้นจากรถหลายๆคันที่ติดแหงกอยู่ในบริเวณนั้นอย่างเร่งเร้า     
      กลางฝูงชนที่มุงดู    มีหญิงชราในชุดนอนบางหวิวผู้หนึ่งนอนนาบกับพื้นโลกในมือกำภาพถ่ายใบหนึ่งไว้แน่น  ศีรษะแตกเลือดไหลนองและหมุนงอผิดรูปทรงทว่ามีหมอนสีแดงหนุนไว้อยู่หนึ่งใบ นั่นคือร่างของสุจิตราและหมอนใบเก่าของเธอ
.....................................................................................................................
     
ถัดไปไกลตรงมุมถนน  ชายชราหงำเหงือกอยู่ในอ้อมแขนพยุงของเด็กชายมอมแมมในมือของเด็กชายมีกระเป๋าผ้าใบโตที่ดูหนักคล้องแขนไว้  ทั้งคู่กำลังเดินห่างออกไปช้าๆจนลับตา
..............จบ.................
ยังมีเรื่องสั้นให้อ่านอีกหลายเรื่องพิมพ์คำว่า
เชือกผูกลม ลงในช่องค้นหานักเขียนเท่านั้น
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น