ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    JOQ Online คนจริงลวงโลก <มี E-Book>

    ลำดับตอนที่ #178 : บทที่172: ห้าวันหลังจากนั้น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.88K
      118
      21 เม.ย. 55

    บทที่172 ห้าวันหลังจากนั้น

    ฟืด! ฟืด! ฟืด!

    เสียงขัดพื้นในห้องท้องเรือดังอยู่เกือบตลอดเวลา มีบางช่วงเวลาเท่านั้นที่จะไม่ได้ยินเสียงขัดพื้น เช่นเวลาพักกินข้าวและเวลานอน และมันเป็นอย่างนี้ตลอดระยะเวลาสี่วันหลังจากที่พวกอิจิโกะบุกเข้ามา

    และในเช้าวันที่ห้าหลังจากคืนที่ห้องท้องเรือโดนบุก

    ฟืด! ฟืด! ฟืด! ...

     “เอาล่ะ เรียบร้อยแล้วมั้ง” ชายหนุ่มหัวฟูพูดขึ้นมาหลังจากที่เขาขัดพื้นส่วนสุดท้ายจนสะอาดเอี่ยมพร้อมกับเปิดหน้าต่างภารกิจขึ้นมาดู

    ภารกิจ ทำความสะอาดท้องเรือ

    ระดับ O

    ท้องเรือสะอาดเรียบร้อยแล้ว ไปรับรางวัลได้ที่บาร์ประจำเมืองแอตแลนติส

     

    “ไชโย! สำเร็จแล้วจริงๆด้วย” ชายหนุ่มหัวฟูเอ่ยออกมาอย่างดีใจหลังจากที่อ่านหน้าต่างภารกิจแล้วพบว่าเขาสามารถไปรับรางวัลได้แล้ว

    “สำเร็จแล้วเหรอแอฟโร!” เด็กหญิงผมแดงก็เอ่ยออกมาอย่างดีใจเหมือนกันเมื่อได้ยินคำพูดของเจ้านายของเธอ

    ช่วงเวลาสี่วัน การขัดพื้นทำให้ค่าสถานะของเลดี้ขึ้นไปอีกเยอะมาก เพราะนอกจากประสิทธิภาพของห้องท้องเรือที่ช่วยเพิ่มค่าสถานะได้เร็วกว่าปกติแล้ว วิธีการขัดพื้นหลังจากคืนที่โดนบุกของเด็กหญิงเปลี่ยนไปทั้งหมด เมื่อเธอใช้ทั้งเคล็ดแอนทิกและเคลื่อนสัมพัทธ์ช่วยในการขัดพื้น ซึ่งนอกจากจะทำให้ขัดพื้นเร็วขึ้นแล้ว ค่าสถานะยังขึ้นเร็วกว่าเดิม และได้ฝึกการใช้งานเคล็ดวิชาใหม่ที่เธอเพิ่งเรียนรู้ด้วย

    ตอนนี้แอนทิกของเลดี้สามารถใช้แบบช่วงเล็กๆโดยใช้มือข้างเดียวได้ ไม่จำเป็นต้องใช้สถานะพลังกายจนหมดเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เป็นการประยุกต์การเคลื่อนไหวให้คล่องตัวขึ้น

    และทักษะมือเปล่าของแม่เต่าทองน้อยขึ้นไปถึงระดับ 30 และยังได้ทักษะมาสเตอร์มือเปล่าหนึ่งดาวมาแล้วด้วย

    เลดี้

    ระดับ 164

    ประสบการณ์ 462/1000

    พลังชีวิต 417/417

    พลังวิญญาณ 8179/8179

    โจมตี 30894

    ป้องกัน 35441

    สะท้อน 22494

    ความภักดี 1210/1210

    ความอิ่ม 99/100

    พลังกาย

    42140/6020+36120

    สมาธิ

    9163/1309+7854

    ความคล่องตัว

    19649/2807+16842

    จิตใจ

    16247/2321+13926

    ความอึด

    28742/4106+24636

    โชค

                 1988/284+1704

    ปราณ

    2550/2550

    พลังจิต

    2109/2106

    ทักษะอาวุธ
    มือเปล่า ระดับ30

    เมื่อไม่ติดอาวุธ สถานะพื้นฐานทั้งหก +600%

    ทักษะติดตัว
    มาสเตอร์มือเปล่าหนึ่งดาว

    ทักษะอาวุธมือเปล่า จะแสดงผล 20% เมื่อใช้อาวุธที่ไม่อยู่ในวงศ์มือเปล่า

     

    ส่วนมาตาร์นั้นแม้ค่าสถานะพื้นฐานจะไม่กระดิกขึ้นเลยเพราะเข็มขัดไรเดอร์ แต่ทักษะอาวุธมือเปล่าของเขาขึ้นมาอีกสี่สิบขั้น ทำให้กลายเป็นขั้นหกสิบ และทักษะมาสเตอร์มือเปล่าเลื่อนขึ้นเป็นสามดาวเรียบร้อย

    แอฟโร

    ระดับ 174

    ประสบการณ์ 25/1000

    พลังชีวิต 200/200

    พลังวิญญาณ 200/200

    โจมตี 2600

    ป้องกัน 2600

    สะท้อน 2600

    พลังกาย

    2600/200+2400

    สมาธิ

    2600/200+2400

    ความคล่องตัว

    2600/200+2400

    จิตใจ

    2600/200+2400

    ความอึด

    2600/200+2400

    โชค

    2600/200+2400

    ปราณ

    200/200

    พลังจิต

    200/200

    ทักษะอาวุธ
    มือเปล่า ระดับ60

    เมื่อไม่ติดอาวุธ สถานะพื้นฐานทั้งหก +1200%

    ทักษะติดตัว
    มาสเตอร์มือเปล่าสามดาว

    ทักษะอาวุธมือเปล่า จะแสดงผล 60% เมื่อใช้อาวุธที่ไม่อยู่ในวงศ์มือเปล่า

     

    “ฮึๆๆ” มาตาร์หัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเปิดหน้าต่างดูค่าสถานะของเขาและแม่เต่าทองน้อย แบบนี้ถึงจะเปลี่ยนมาถือปืนแต่ค่าสถานะก็ยังเยอะพอสมควรล่ะ

    ถ้ามาตาร์เปลี่ยนมาถือปืนตอนนี้ ทักษะมาสเตอร์มือเปล่าสามดาวจะแสดงผล ทำให้ค่าสถานะของเขาเพิ่มขึ้น 60% ของ 1200% (จากทักษะอาวุธมือเปล่าระดับ 60) หรือก็คือ 720% จากค่าพื้นฐาน (200) นั่นเอง ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนจะมีทักษะมาสเตอร์ ค่าสถานะของเขาจะลดฮวบลงเหลือแค่สองร้อยเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ถ้าถือปืนค่าสถานะของเขาจะยังมีเหลือถึง 1640 (นำ 200 มาคูณ 720% แล้วบวกค่าพื้นฐานเพิ่มเข้าไปอีก 200) แม้จะไม่เท่ากับมือเปล่าตามปกติ แต่ก็ถือว่าเยอะพอสมควร

    “ถึงจะไม่ไปรับรางวัล แต่แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มสุดๆแล้วล่ะนะ ภารกิจทำความสะอาดท้องเรือนี่มันเจ๋งจริงๆเลยเนอะ” มาตาร์เอ่ยขึ้นมาอย่างยินดีหลังจากคิดถึงค่าสถานะที่เปลี่ยนไปมหาศาล เพียงแค่ขัดพื้นท้องเรือห้าวันเท่านั้นเอง

    ถ้าเทียบกับช่วงชีวิตที่ผ่านมาของมาตาร์แล้ว ช่วงที่ได้ขัดท้องเรือถือว่าเป็นการฝึกสถานะแบบจริงๆจังๆครั้งแรกของเขาเลยทีเดียว เพราะที่ผ่านมาชายหนุ่มมักจะฝึกเทคนิคการต่อสู้เสียมากกว่า และถ้าไม่ได้ทำภารกิจทำความสะอาดนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ฝึกค่าสถานะหรือเปล่า เพราะคนอย่างมาตาร์คงไม่ลุกขึ้นมาฟิตกล้ามแน่ๆแม้จะอยู่ว่างๆ

    “แล้วจะออกไปรับรางวัลยังไงล่ะแอฟโร” เลดี้ทักขึ้นมาเมื่อเธอนึกถึงการกลับไปในเมือง เนื่องจากทางออกจากห้องท้องเรือนี่มีใยแมงมุมอันแหลมคมของสปีน่าขึงอยู่ ซึ่งใยแมงมุมอันนี้ของสปีน่าร้ายกาจจริงๆ แม้จะโดนใยส่วนหนึ่งพันเอาไว้ก็ไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งมันตัดเข้าไปในเนื้อแล้วนั่นแหละถึงได้รู้ว่าสายไปแล้ว เหมือนที่อิจิโกะเคยโดนเมื่อคืนวันก่อน เพราะแค่สัมผัสเข้าไปก็ยังไม่รู้ตัว ไม่อย่างนั้นคงไม่พุ่งเข้าไปจนกระทั่งมันตัดร่างออกเป็นชิ้นๆอย่างนั้นได้หรอกถ้ารู้สึกเจ็บตั้งแต่แรก

    “เอ่ ...รอสปีน่ามารับ ...นี่มันกี่วันมาแล้วเนี่ยเลดี้” ชายหนุ่มถามขึ้นมา เขาไม่ได้นับวันนับคืนที่อยู่ที่ห้องท้องเรือด้วยซ้ำ เหนื่อยก็พัก หิวก็กิน ง่วงก็นอน นอกนั้นก็ขัดพื้น

    “ก๋า~ว ก๋า~ว” เจ้าเสือเขี้ยวดาบส่งเสียงขึ้นมาเหมือนกับจะตอบคำถามของชายหนุ่ม

    “เซเบอร์บอกว่าห้าวันแล้วล่ะ ตั้งแต่วันที่เริ่มขัดพื้น” เลดี้ช่วยแปลภาษาสัตว์ให้เจ้านายของเธอฟัง

    เจ้าเสือเขี้ยวดาบนั้น ช่วยขัดพื้นไม่ได้เพราะไม่มีมือจะถือแปรงขัดพื้น ดังนั้นมาตาร์จึงสั่งให้มันวิ่งออกกำลังกายในห้องท้องเรือนี่แทนเพื่อฝึกค่าสถานะ โดยทั้งมาตาร์และเลดี้ช่วยกันขัดตัวและอาบน้ำให้เจ้าเซเบอร์นี่ทุกวัน จะได้ไม่ทำให้ท้องเรือที่ขัดแล้วสกปรกขึ้นมาอีก ซึ่งในช่วงเวลาที่เบื่อจากการขัดพื้น เลดี้ก็มาเล่นกับเจ้าเสือเขี้ยวดาบ แล้วฝึกการต่อสู้กันด้วย ทำให้เจ้าเสือเขี้ยวดาบนี่มีลีลามากขึ้นกว่าเดิมนิดหนึ่ง รู้จักการตีลังกาหรือใช้เท้าหลังดีดศัตรูด้วย นอกจากการตะปบแบบตรงๆเฉยๆ

    “ห้าวันเหรอ ...หรือว่าบางทีแม่นั่นอาจจะคิดว่าเรายังทำภารกิจไม่เสร็จก็ได้นะ เพราะตอนแรกพี่ยังคิดเลย ว่าอาจจะต้องใช้เวลาเป็นสิบวันถึงจะขัดพื้นเสร็จ” มาตาร์สันนิษฐาน

    ชายหนุ่มหัวฟูไม่คิดเลยว่าอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นในแอตแลนติสนี้ แม้จะสู้กับผู้บุกรุกไปแล้วเมื่อวันก่อนก็ตาม ถึงจะสงสัยว่ามีคนบุกเข้ามาได้อย่างไร แต่ก็อาจจะเหมือนกับเจ้าคู่หูอ้วนผอมที่เขาเคยเจอในโมบี้ดิ๊กตัวก่อนก็ได้ เกมนี้ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่รู้อีกมากมาย อุปกรณ์แปลกๆที่ช่วยให้เจาะเข้ามาในแอตแลนติสนี่อาจจะเป็นของปกติที่ผู้เล่นที่ไหนๆก็มี

    “ถ้างั้นเราก็ต้องรอต่อไปเรื่อยๆเหรอ เลดี้เบื่อท้องเรืออ้ะ อยากไปดูที่อื่นแล้ว” เด็กหญิงโอดครวญ

    ครืด~!

    ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูห้องท้องเรือก็ดังขึ้น แล้วก็มีแมงมุมสีดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งลอดเข้ามาจากช่องประตู แล้วก็ไต่ไปไต่มาตามใยแมงมุมที่มองไม่เห็นที่อยู่ที่หน้าประตูนั่น ก่อนจะกระโดดหายขึ้นไปด้านบน

     

    แล้วสักครู่หนึ่ง หญิงสาวเซ็กซี่ชุดดำก็เดินลงมาที่ห้องท้องเรือ พร้อมกับแบกร่างของหญิงสาวที่ไร้สติคนหนึ่งไว้บนหลังอย่างทุลักทุเล

    “นี่! มาช่วยกันหน่อยสิ ก็เห็นอยู่ว่าชั้นเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ยังจะทำเฉยอีก” หญิงสาวชุดดำกล่าวเมื่อเห็นท่าทางนิ่งเฉยของผู้ที่อยู่ในห้องท้องเรือนี่

    “เอ้อ ...ก็ได้” มาตาร์ตอบพร้อมกับรีบวิ่งไปที่ร่างของหญิงสาวชุดดำ แล้วช่วยพยุงร่างของหญิงสาวอีกคนเอาไว้ ตอนแรกที่ชายหนุ่มลังเลเพราะเกรงว่าใยแมงมุมกับดักอาจจะฆ่าเขาได้ แต่คิดไปคิดมา แม่แมงมุมชุดดำนี่คงปลดใยกับดักออกไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงมาในร่างแมงมุมแล้ว ตัวเล็กๆแต่กำลังดั่งช้างสารอย่างเธอเนี่ยนะ ต้องช่วยด้วยเหรอ

    แวบ

    แล้วหญิงสาวชุดดำก็คืนร่างเป็นแมงมุมตัวใหญ่ ก่อนจะพุ่งร่างไปที่ประตูที่เข้ามาอีกครั้งแล้วก็กระโดดไปมาตรงบริเวณหน้าประตูอยู่นานสองนาน ก่อนที่จะพุ่งกลับมาในห้องท้องเรือที่ชายหนุ่มหัวฟูกำลังพยุงหญิงสาวที่ไร้สติเอาไว้ แล้วเจ้าแมงมุมก็กลายร่างเป็นหญิงสาวสุดเซ็กซี่เหมือนเดิม

    “เธอทำอะไรน่ะสปีน่า” มาตาร์อดสงสัยไม่ได้ เพราะดูท่าทางของแม่แมงมุมดูร้อนรนอย่างไรชอบกล

    “วางกับดักเอาไว้ที่หน้าประตูไง” หญิงสาวชุดดำตอบ

    “หา? วางกับดักทำไม แล้วชั้นจะออกไปได้ยังไงล่ะ” มาตาร์ไม่เข้าใจ นี่แม่แมงมุมชุดดำไม่ได้กลับมาปล่อยเขาออกไปหรอกหรือ

    “เรื่องทั้งหมดกระจ่างแล้ว อาร์แซนขโมยโมบี้ดิ๊กไปแล้วท่ามกลางความวุ่นวายของสงคราม ชั้นมาแจ้งข่าวนี้ให้นายรู้ตามคำสั่งของทาเนีย” สปีน่าพูดขึ้นมาเรียบๆพร้อมกับเข้ามาพยุงร่างของหญิงสาวที่ไม่ได้สติ เธอไม่ได้สนใจจะตอบคำถามของมาตาร์เลยสักนิด

    “เข้าใจแล้วใช่มั้ยล่ะ ว่าชั้นไม่ได้โกหก ...แต่ว่ามันเกี่ยวอะไรกับการวางกับดักเอาไว้ด้วยล่ะเนี่ย” มาตาร์ยังข้องใจ ในเมื่อคำพูดของเขาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าจริง ทำไมยังต้องขังเขาเอาไว้ด้วย

    “นายนี่มัน!! ...ไม่น่าเลย ทาเนียคิดอะไรอยู่ถึงได้ยอมเสี่ยงชีวิตให้ไอ้ผู้ชายโง่ๆพรรค์นี้” สปีน่าพูดออกมาอย่างไม่พอใจหลังจากเห็นท่าทางชองชายหนุ่มหัวฟูพร้อมกับวางร่างของหญิงสาวที่ไม่ได้สตินั้นนอนลงกับพื้น

    “เอ่อ ...ชั้นพลาดอะไรไปรึเปล่าเนี่ย ช่วยขยายความหน่อยเถอะ อยู่ที่ท้องเรือมาห้าวัน ไม่ได้รับข่าวสารอะไรเลย อยู่ๆจะมาโกรธกันแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ แล้วทาเนีย ...หัวหน้าทำไมเหรอ?” มาตาร์สับสนอยู่ เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูก สปีน่าก็ลงมาที่ท้องเรือพร้อมกับแบกร่างของใครมาก็ไม่รู้ แล้วจู่ๆก็มาโกรธเขาเรื่องอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน

    “สงคราม! แอตแลนติสถูกบุก! แล้วก็โดนยึดไปแล้วด้วย!” สปีน่าขึ้นเสียงใส่ชายหนุ่มหัวฟู

    “หา!? แอตแลนติสโดนยึด! แล้วภารกิจของชั้นล่ะ ยังทำได้อยู่มั้ยเนี่ย” มาตาร์ร้อนใจขึ้นมาเพราะยังมีภารกิจที่เขายังไม่ได้ไปส่ง และยังมีการหาวัตถุดิบเพื่อแลกแขนเทียมของเขาคืนมาอีก ซึ่งยังไม่ได้ทำเลย

    ตุบ พลัก!!

     “แก!! ยังจะห่วงเรื่องของตัวเองอีกเหรอ!” หญิงสาวชุดดำแผดเสียงขึ้นมาพร้อมกับกระโดดเข้าใส่ร่างของชายหนุ่มหัวฟูอย่างแรงจนล้มลงไปทั้งคู่ทันทีแล้วก็ใช้มือของเธอทุบใส่ร่างของเขาไม่ยั้ง

    ตุบ! ตุบ! ตุบ!

    “เฮ่ๆๆ เธอทำอะไรเนี่ย!!” มาตาร์ตะโกนขึ้นมาพร้อมกับปัดป้องกำปั้นของหญิงสาวที่ทุบใส่เขาไม่หยุด

    “หยุดนะสปีน่า!! อย่าต่อยแอฟโรนะ!” เด็กหญิงผมแดงตะโกนพร้อมกับพุ่งร่างเข้าใส่หญิงสาวชุดดำที่กำลังนั่งคร่อมชายหนุ่มหัวฟูอยู่ทันที

    ตึง!! ตุบ! ตับ! ตุบ! ตับ!

    แล้วร่างของเด็กหญิงผมแดงกับหญิงสาวชุดดำก็ลงไปฟัดกันนัวเนียบนพื้น

    “สปีน่า ...หยุดนะ” เสียงหญิงสาวพูดขึ้นมาอย่างอ่อนแรง เธอคือหญิงสาวที่นอนไม่ได้สติจนถึงเมื่อสักครู่นี่เอง

    “เลดี้เข้ามา” มาตาร์ก็สั่งแม่เต่าทองน้อยของเขาเหมือนกัน โดยเรียกเธอกลับเข้ามาที่ผนึก เพราะดูเหมือนว่าการฟัดกับสปีน่าจะทำให้พลังชีวิตลดลงไปเยอะพอสมควร ถึงจะอัดกันไม่ถึงนาทีก็ตาม

    แวบ

    แล้วร่างของเด็กหญิงผมแดงก็เป็นแสงแล้วหายเข้าไปที่ผนึกตรงเข็มขัดของชายหนุ่มหัวฟู ทิ้งร่างของหญิงสาวชุดดำสุดเซ็กซี่ที่ตอนนี้ผมเผ้าดูกระเซอะกระเซิงอยู่บนพื้นเพียงผู้เดียว

    “ทาเนีย! ฟื้นแล้วเหรอ” สปีน่าไม่สนใจว่าตอนนี้เธอจะมีสภาพเป็นอย่างไร เมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวอีกคนหนึ่งเธอก็ดีใจจนไม่สนอะไรอีกแล้ว แล้วก็รีบเข้ามาประชิดร่างหญิงสาวที่อ่อนแรงนั้น

    “ทาเนีย? หัวหน้าหรอกเหรอเนี่ย” มาตาร์ไม่เคยเห็นหน้าของทาเนียมาก่อนเลยจึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วเธอก็คือหญิงสาวที่นอนไม่ได้สติมาจนถึงเมื่อสักครู่นี่เอง

    ทาเนียเป็นหญิงสาวผิวขาวรูปร่างสมส่วน สวมกางเกงรัดรูปสีขาวกับบู๊ทสีทองมีลวดลายสวยงามที่ยาวขึ้นมาจนถึงหัวเข่า ใส่เสื้อกล้ามสีขาวดูเข้ารูปมีแจ๊คเก็ตสีทองที่มีลวดลายเข้ากับบู๊ทคลุมทับอีกที ผมสีทองยาวถึงแค่ต้นคอ ดวงตาดูอ่อนโยน นัยน์เป็นสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้าเกลี้ยงเกลาดูแล้วให้ความรู้สึกสง่า และที่สำคัญคือเธอก็สวยไม่เบาเสียด้วย

    “คุณแอฟโรเพิ่งเคยเห็นหน้าดิชั้นสินะ ตอนนั้นแสงคงจะแยงตาจนมองเห็นไม่ชัด” หญิงสาวผมทองพูดออกมาด้วยสำเนียงที่แตกต่างจากที่เจอเขาในครั้งแรก คือฟังดูสุภาพกว่าเดิมเยอะเลยนั่นเอง

    “แล้วคุณหัวหน้าเป็นไงมาไงถึงต้องลงมาที่ท้องเรือนี่ล่ะ สปีน่ามาคนเดียวก็ได้นี่นา” มาตาร์ถามเรื่องที่เขาสงสัยทันที

    “แกมันซื่อบื้อที่สุด!” สปีน่าแค่นเสียงออกมาด้วยความไม่พอใจอีกครั้ง แต่เธอก็ต้องหยุดเพียงเท่านั้นเมื่อหญิงสาวผมทองยกมือขึ้นมาห้ามเอาไว้

    “ดิชั้นลงมาเพื่อส่งคุณแอฟโรออกจากแอตแลนติสนี่ ก่อนที่จะโดนพวกกิลด์แก้วมังกรรุมสังหารน่ะสิ” ทาเนียเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง

    “เอ๋? ส่งออกไปจากแอตแลนติส?” มาตาร์ยังคงไม่เข้าใจ ทำไมถึงต้องส่งเขาออกไปจากแอตแลนติสด้วย แล้วคำว่า ส่งออกไป หมายความว่าทาเนียมีความสามารถในการเคลื่อนย้ายอย่างนั้นหรือ

    “เมื่อห้าวันที่แล้วเกิดสงครามขึ้น พวกกิลด์แก้วมังกรยกกำลังพลบุกเข้ามาในแอตแลนติส ทั้งจากภายนอกและภายใน ตอนนี้พวกกิลด์แก้วมังกรสามารถยึดแอตแลนติสนี้ได้แล้ว แล้วพวกแก้วมังกรก็ไม่คิดจะให้ผู้เล่นที่ไม่ใช่พวกของตนอยู่บนแอตแลนติสนี้อีก พวกคนเก่าๆที่อาศัยอยู่ที่นี่โดนล่าทุกคน ซึ่งคนที่ตายก็ฟื้นกลับขึ้นมาใหม่บนแอตแลนติสนี้ ทำให้หนีไปไหนไม่ได้ สุดท้ายก็โดนล่าอีก ทางสุดท้ายที่ดิชั้นพอจะช่วยเหลือได้ก็คือส่งทุกคนออกจากแอตแลนติสนี้ไป” ทาเนียเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้มาตาร์ฟังคร่าวๆ

    “ส่งทุกคนออกไปเหรอ? ...คนเก่าๆที่อาศัยอยู่ที่นี่มันมีกี่คนกันเนี่ย?” มาตาร์จำได้ว่าแอตแลนติสนี่มันก็ใหญ่ไม่น้อยไปกว่าเมืองเริ่มต้นที่เขาเคยอยู่ ซึ่งผู้คนที่อยู่มีไม่ต่ำกว่าหมื่นแน่ๆ ถ้าคิดจะส่งผู้คนเป็นหมื่นออกจากเมือง ต้องสิ้นเปลืองพลังขนาดไหนกัน

    “สามหมื่นสองพันกว่า พวกที่ไม่ใช่แก้วมังกรทาเนียส่งออกไปหมดแล้ว เหลือแต่นายคนเดียวนี่แหละ” สปีน่าช่วยตอบคำถามแทนทาเนียที่ดูอ่อนแรง

    เมื่อถึงตรงนี้มาตาร์ก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ทำไมทาเนียถึงได้ดูอ่อนแรงและสปีน่าถึงได้โกรธเขาแบบนี้ จริงๆแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเขาอยู่ในพื้นที่จำกัดพลังพิเศษอย่างท้องเรือ บางทีอาจจะถูกส่งออกไปจากแอตแลนติสด้วยพลังของทาเนียไปแล้ว และทาเนียก็อาจจะไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว แต่นี่ต้องเสี่ยงลงมาที่ท้องเรือเพื่อช่วยเหลือเขาที่อยู่คนเดียวท่ามกลางกิลด์แก้วมังกร ทั้งๆที่จริงๆแล้วทาเนียไม่จำเป็นต้องช่วยเขาเลยสักนิด

    “แล้ว ...ทำไมต้องลงมาช่วยผมด้วยล่ะ เราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นนั้นซักหน่อยนี่นา” มาตาร์ถามออกมาตรงๆ เพราะถ้าเขาเป็นทาเนียป่านนี้คงหนีไปไหนต่อไหนแล้ว ไม่คิดจะลงมาช่วยคนที่เพิ่งเคยเจอกันหรอก

    “นั่นน่ะสิ ชั้นก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” สปีน่าซึ่งพยายามค้านการลงมาช่วยชายหนุ่มหัวฟูตลอดก็เอ่ยออกมาด้วยความกังขา

    “เพราะดิชั้นเป็นคนนำคุณแอฟโรขึ้นมาบนแอตแลนติส จะให้ดิชั้นทิ้งคุณเอาไว้เฉยๆได้ยังไงล่ะ” ทาเนียกล่าว

    “...ไม่เข้าใจอยู่ดี ตอนนี้ผมอยู่บนแอตแลนติสด้วยความสมัครใจของตัวเอง แล้วทำไมคุณจะต้องมารับผิดชอบชีวิตของผมด้วยล่ะ อีกอย่าง ผมไม่กลัวที่จะโดนเจ้าพวกกิลด์มังกืออะไรนั่นฆ่าอยู่แล้ว” มาตาร์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจสุดๆ แหม ก็แค่ตายนี่นา

    “แล้วคุณแอฟโรจะยอมให้พวกกิลด์แก้วมังกรฆ่าไปเรื่อยๆทุกครั้งที่ฟื้นขึ้นมาเหรอ ที่นี่มีพื้นที่พิเศษอยู่แค่จุดเดียว หนีไปไหนก็ไม่ได้ คนพวกนั้นก็มากกว่า คุณโดนลากออกมาฆ่าแล้วฆ่าอีกซ้ำๆกัน จนในที่สุดถึงจะเหลือระดับแค่หนึ่ง ค่าสถานะเท่าผู้เล่นหน้าใหม่ พวกมันก็ยังไม่หยุด แล้วคุณแอฟโรจะทำยังไงเหรอ เลิกเล่นเกมนี้ไปเลยรึเปล่า หรือจะต้องไปสร้างตัวละครแล้วเล่นใหม่” ทาเนียอธิบายภาพเหตุการณ์ที่มาตาร์จะต้องเจอถ้าเธอไม่มาช่วยเขา

    “คุณไม่คิดว่าผมจะสู้พวกมันได้เลยเหรอ” มาตาร์กล่าว

    “คุณรู้มั้ยว่าพวกกิลด์แก้วมังกรใช้คนกี่คนในการยึดแอตแลนติสที่มีคนกว่าสามหมื่น” ทาเนียถามเพื่อลองภูมิชายหนุ่มหัวฟู

    “ห้าหมื่น? หนึ่งแสน?” มาตาร์เดาไปเรื่อย

    “แค่ห้าร้อยคน” ทาเนียกล่าวเรียบๆ

    “...” มาตาร์เงียบไป เขายังไม่เข้าใจ ตัวเลขที่เขาเดาก็มั่วส่งๆไปเหมือนกัน เพราะคิดว่าผู้เล่นบนแอตแลนติสสามหมื่นคนคงโดนกำลังคนที่เหนือกว่าเอาชนะได้แบบง่ายๆ

    “ฮึ! อึ้งไปเลยล่ะสิ” สปีน่าส่งเสียงออกมาอย่างดูถูก

    “ปกติกิลด์หนึ่งกิลด์นี่เค้ามีคนเยอะขนาดไหนเหรอ?” มาตาร์ถามขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ

    “คุณแอฟโรเป็นผู้เล่นใหม่จริงๆเหรอเนี่ย” ทาเนียเห็นปฏิกิริยาของชายหนุ่มหัวฟูแล้วก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่เชื่อ เพราะผู้เล่นที่มีฝีมือผิดกับระดับตัวละครแบบนี้มักจะเป็นผู้เล่นเก่าๆมากกว่า

    “อ้าว? เห็นระดับของผมแล้วยังไม่รู้อีกเหรอเนี่ย ถ้าเป็นผู้เล่นเก่าๆระดับก็ขึ้นถึงห้าร้อยหกร้อยไปแล้วมั้ง” มาตาร์ปล่อยไก่ออกมาตัวเบ้อเร่อ เพราะเขาไม่รู้ว่าแม้จะเป็นผู้เล่นเก่าๆระดับตัวละครก็แทบจะไม่มีใครเกินห้าร้อยแล้วเพราะการปลดจำกัดระดับห้าร้อยไม่ได้ทำได้ง่ายๆเมื่อสัตว์อสูรระดับห้าร้อยไม่ได้หาเจอกันได้ง่ายๆ เพียงแต่ว่าเขาเคยเจอผู้เล่นที่มีระดับเกินห้าร้อยมาสองคนแล้วนั่นเอง คือบรันโด้กับทาเคโซ จึงนึกว่าระดับเกินห้าร้อยนี่มันเป็นเรื่องธรรมดา

    “...” สปีน่าได้ยินคำพูดของชายหนุ่มหัวฟูก็เงียบไป แล้วเกิดความรู้สึกสมเพชขึ้นมา ตานี่มันโง่งี่เง่าจริงๆแฮะ ระดับมันใช้วัดว่าเป็นผู้เล่นเก่าหรือใหม่ได้ซะที่ไหนล่ะ

    “ปกติการตั้งกิลด์ได้ต้องมีผู้คนเข้าร่วมอย่างน้อยห้าสิบคนก่อน ซึ่งจำนวนสูงสุดระบบไม่ได้จำกัดเอาไว้ โดยกิลด์จะต้องมีสำนักงานใหญ่ประจำอยู่ที่เมืองใดเมืองหนึ่งเสมอ จะมีสำนักย่อยกี่สำนักก็ได้ ที่ผ่านมาเกือบสองร้อยปีในเกมจ็อคออนไลน์ กิลด์ที่มีคนสูงสุดไม่เคยเกินหมื่น จริงๆแค่ห้าพันคนก็หายากแล้ว” ทาเนียบอกข้อมูลกับชายหนุ่มหัวฟู

    มาตาร์ได้ฟังจากคำพูดของหญิงสาวผมทองก็จับประเด็นสำคัญได้สองสามอย่าง หัวหน้าพูดว่าที่ผ่านมาเกือบสองร้อยปีในเกม ...ฟังจากคำพูดแล้วเหมือนกับเป็นประสบการณ์ตรงมากกว่าจะไปฟังใครเล่ามา แปลว่าหัวหน้าต้องเล่นเกมมาตั้งแต่ยุคแรกๆแน่ๆ ฮู้ยย! แก่แรดเชียว ...ก็พอจะเข้าใจได้ล่ะนะว่ามีพลังพอจะส่งคนกว่าสามหมื่นออกจากแอตแลนติสได้ยังไง แล้วก็จำนวนคนในกิลด์ไม่เคยเกินหมื่น ห้าพันคนก็หรู อืม ...ก็จริงแหละนะ รวมผู้เล่นได้ห้าพันก็หรูแล้ว นี่มันไม่ใช่โลกจริงที่แบ่งเป็นโคโลนี่หรือดวงดาวซะหน่อย เอาแค่บริษัทที่มีเงินเดือนจ่ายให้ก็ยังไม่เคยเห็นบริษัทไหนต้องการคนถึงห้าพันมาก่อนเลย แล้วไอ้ความสัมพันธ์ที่เรียกว่ากิลด์นี่มันจะรวมผู้คนได้ซักเท่าไหร่กันเชียว เงินตอบแทนหรือก็ไม่มีให้ ...มั้ง แถมกฎหมายอะไรก็ไม่มี ชีวิตราคาถูกแบบในเกมนี่แค่ทะเลาะกันนิดหน่อยก็ฆ่ากันตายแล้ว ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งวุ่นวาย

    “คนแค่ห้าร้อยของกิลด์แก้วมังกรคือพวกผู้เล่นฝีมือสูงล้วนๆ ดังนั้นจำนวนคนแค่นั้นก็พอจะยึดแอตแลนติสนี้ได้แล้ว เพราะคนบนแอตแลนติสเก่งสู้พวกแก้วมังกรไม่ได้เลย” ทาเนียกล่าวเรียบๆ

    “แม้แต่คุณหัวหน้าก็สู้พวกนั้นไม่ได้เหรอ? ผมดูแล้วเห็นว่าจริงๆแล้วคุณหัวหน้าสู้พวกมันได้ง่ายๆเลยนะ” มาตาร์เปรียบเทียบตัวเขาเองกับทาเนีย เมื่อห้าวันที่แล้วมาตาร์คนเดียวสามารถกำจัดผู้บุกรุกได้สิบกว่าคนทั้งๆที่พวกนั้นมีระดับสูงกว่าเขาทุกคน อย่างทาเนียนี่น่าจะเก่งกว่าเขาเยอะ ขนาดสปีน่าคนเดียวเขายังทำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ และด้วยประสบการณ์การเล่นเป็นร้อยปี ประกอบกับมีสัตว์อสูรที่เลี้ยงจนโตขนาดนี้ ทักษะที่เกิดจากสัตว์เลี้ยงก็คงจะเยอะจนน่าตกใจ

    “ก็ใช่น่ะสิยะ ขนาดเจ้าหัวหน้ากิลด์แก้วมังกรยังตายไปรอบนึงตอนสู้กับทาเนีย แต่พอดีว่าพวกนั้นมันเล่นไม่ซื่อน่ะสิ” สปีน่าเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่พอใจ

    “เล่นไม่ซื่อ?” มาตาร์ถามเพราะอยากจะรู้ว่าไม่ซื่อนี่เล่นกันอย่างไร

    “พวกมันฆ่าผู้เล่นคนอื่นที่อยู่บนแอตแลนติสไงล่ะ ถึงแม้ทาเนียจะสู้ได้ แต่คนอื่นๆสู้ไม่ได้ ก็เลยถูกข่มขู่ว่าจะฆ่าคนอื่นๆให้หมด สุดท้ายทาเนียก็เลยต้องยอมแพ้เอง” หญิงสาวผมดำพูดพร้อมกับส่งสายตาเคียดแค้นออกมา

    “อืม ...หัวหน้านี่เป็นพวกอุดมคตินิยมหรือไงเนี่ย คนอื่นจะตายทำไมต้องสนใจขนาดนั้นด้วยนะ แล้วชั้นก็ไม่เห็นว่าพวกแก้วมังกรจะเล่นไม่ซื่อตรงไหน ออกจะเป็นเรื่องปกติของการสู้กัน ทำยังไงก็ได้ให้ชนะ นั่นแหละเจ๋ง” มาตาร์เอ่ยออกมาเรียบๆ เขาเคยสอนเลดี้ไปแล้วถึงเรื่องการเล่นนอกกติกา ที่ถ้าไม่มีใครกำหนดเงื่อนไขก็ถือว่าทำได้ทุกอย่าง และถ้าไม่มีใครจับได้ว่าเล่นนอกกฎก็ไม่ถือว่าโกงด้วย นั่นเป็นประโยคที่เขาหมายถึงว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำได้ ไม่ได้หมายถึงแค่เขาคนเดียวที่มีสิทธิ์ทำ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกว่ามันเป็นการเล่นไม่ซื่ออะไร กับสิ่งที่พวกกิลด์แก้วมังกรทำ คนที่ยึดติดกับเหล่าผู้คนแบบทาเนียจะแพ้ก็สมควรแล้ว

    “แก! ไอ้เลว!” แม่แมงมุมสาวสุดเซ็กซี่ด่าชายหนุ่มหัวฟูขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินแนวคิดถือเอาเป้าหมายเป็นหลักแบบไม่สนคนอื่น เห็นแก่ตัวสุดๆเลยเจ้าหัวฟูคนนี้

    “สปีน่า!” ทาเนียขึ้นเสียงเมื่อได้ยินแมงมุมของเธอด่าคนอื่น

    “ยังไงก็ตาม ผมต้องไปส่งภารกิจให้ได้ก่อนล่ะ แล้วต้องไปเอาแขนคืนด้วย คงยังไม่ออกจากแอตแลนติสตอนนี้หรอก” มาตาร์ไม่ทุกข์ร้อนอะไรที่โดนด่าว่าเลว เพราะเขาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดีอยู่แล้ว

    “ขนาดนี้แล้วยังจะทำให้ทาเนียเหนื่อยฟรีอีกเหรอ นายมัน!! ...นายมัน!! …ฮึ้ยย!!” สปีน่าคิดจะด่าชายหนุ่มหัวฟูสักคำหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้จะด่าว่าอะไรดี ทั้งทาเนียและเธออุตส่าห์ฝ่ากิลด์แก้วมังกรลงมาถึงท้องเรือนี่เพื่อช่วยมาตาร์ แถมหญิงสาวผมทองยังไม่ฟื้นพลังจากการใช้ความสามารถดีด้วย แต่แล้วคนที่คิดจะมาช่วยกลับไม่เห็นค่ามันซะอย่างนั้น

    “...” มาตาร์เงียบเพื่อรอว่าสปีน่าจะพูดอะไรออกมา จะด่าว่าอะไรอีกล่ะ

     

    แต่แล้วอีกด้านหนึ่งของห้องท้องเรือ ทางเชื่อมสู่ห้องหัวใจของโมบี้ดิ๊ก กลับมีร่างของคนผู้หนึ่งเดินออกมา

    “อ้าว? ยังอยู่ที่นี่กันอีกเหรอเนี่ยนายแอฟโร ...กับหัวหน้า” หญิงสาวที่เพิ่งเข้ามาในห้องท้องเรือเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส

     

    บทนี้เอาแต่คุยกันแฮะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×