[yaoi] fain [Tokyo ghoul fanfic] [Tsukiyama X Kaneki]
ความมืด..รัตติกาล.สีดำสนิทคือสีที่เขาคิดว่าสวยงามที่สุด มันไม่มีวันเปื้อน.ไม่มีวันเลอะ.แต่ทว่า. เส้นผมสีขาวที่พลิ้วไหวยามสายลมพัด.ท่ามกลางความมืดนั้น ความรู้สึก.ที่ไม่มีวันมีสิ่งใดมาแทนที่ได้.
ผู้เข้าชมรวม
3,430
ผู้เข้าชมเดือนนี้
19
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Fain
.
.
ความมืด…..รัตติกาล….สีดำสนิทคือสีที่เขาคิดว่าสวยงามที่สุด
มันไม่มีวันเปื้อน….ไม่มีวันเลอะ….แต่ทว่า….
เส้นผมสีขาวที่พลิ้วไหวยามสายลมพัด….ท่ามกลางความมืดนั้น
ความรู้สึก….ที่ไม่มีวันมีสิ่งใดมาแทนที่ได้….
…เขากำลังทำอะไรอยู่…..
…ไม่เข้าใจตัวเองสักนิด….ตอนนี้เขาทำไปเพื่ออะไร…..ทุกอย่าง…
เด็กชายยืนนิ่งท่ามกลางความมืด นัยน์ตาทอดมองลงไปยังแสงสีของเมืองใหญ่ที่ห่างไกลออกไป สายลมพัดพาทั้งความเย็นและเสียงต่างๆจากโลกที่ไม่เคยหลับใหล เสียงรถที่วิ่งไปมา....เหล่าผู้คน….ความวุ่นวาย….เสียงเอะอะ…..เขาคิดว่ามันช่างน่ารำคาญและหนวกหู แต่สองเท้ากลับยังคงยืนนิ่งราวกับกำลังฟังเสียงเหล่านั้น
…..เพราะอะไรกันนะ….
“กำลังคิดอะไรอยู่หรอ….คาเนกิคุง?”
เสียงที่ดังขึ้นจากข้างหลัง แม้ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร ร่างเล็กยังคงยืนนิ่งไม่แม้แต่จะหันไปมองคนที่เรียกตน
“มาทำอะไรที่นี้ครับ….คุณทสึกิยามะ”
“….” ไร้เสียงตอบรับจากอีกฝ่าย สายลมยังคงพัดอย่างเอื่อยๆเหมือนเช่นทุกวัน เด็กหนุ่มหลับตาลงรับกับความเย็นและเสียงต่างๆที่สายลมพัดพา
กึก!
!!!
เพียงวูบเดียบเดียว เขาก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของอีกฝ่ายที่เข้ามาหาตน เด็กหนุ่มหันหลังกลับมาเพียงพริบตาก่อนจะเบี่ยงตัวหลบร่างสูงที่โถมตัวเขามาเหมือนจะกอดตนเอง
“จะทำอะไรครับ…”ร่างบางขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคือง แต่ทสึกิยามะที่คว้าน้ำเหลวเมื่อกี้เพียงยักไหล่อย่างไม่ยีระ
ร่างสูงไม่ตอบคำถามใดของอีกฝ่าย เขาหันตัวกลับมากลับพลางเอือมมือเข้ามาหาเด็กชายอย่างช้าๆ คาเนกิยกมือของตนขึ้นเตรียมที่จะปัดฝ่ามือที่จะมาแตะตัวเขา แต่คนตรงหน้ากลับหยุดมือเอาไว้เสียแค่นั้น
ชายหนุ่มเพียงเอือมมือไปเหมือนจะแตะที่ใบหน้าเล็กนั้นแต่กลับไม่แตะลงมา นัยน์ตาเรียวจ้องมองไปยังเส้นผมสีขาวที่เรียงตัวอย่างไม่เป็นระเบียบนัก เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ
“ช่างเป็นความงามที่ล้ำเลิศ ไร้ทีติ” ร่างสูงไล่สายตาไปยังใบหน้า ดวงตา จมูก ลำคอเรียวไล่ไปยังกระดูกไหปลาร้าที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยภายใต้เสื้อคอเต่าสีดำสนิท “ล้ำค่าเสียจนฉันเองยังไม่อยากจะแตะต้อง…”
“Précieux..(ช่างล้ำค่า)” ทสึกิยามะพึมพัมอะไรบางอย่างเป็นภาษาฝรั่งเศษที่ แม้เด็กหนุ่มจะฟังไม่ออกแต่เมื่อออกมาจากปากของอีกฝ่ายกลับรู้สึกรังเกียจอย่างแปลกประหลาด
….คนคนนี้…..ไม่น่ายุ่งด้วยสักนิด…..
เขาตัดสินใจไม่สนทนากับอีกฝ่ายต่อไป ร่างบางเบือนหน้าหนีก่อนขยับตัวทำท่าจะเดินจากไป
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเดินหนีไป ชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มปริศนาก่อนจะพูดลอยๆ แต่กลับขัดจังหวะการเดินของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
“แล้ว…..สรุปเธอกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ….?”
“ผม…ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น….”เด็กชายยืนนิ่งไปสักพักก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบและว่างเปล่า
….คิดอะไร…..เขายังไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำ….
กึก!….
เพียงชั่วขณะเดียวไม่ทันได้ตั้งตัว ทสึกิยามะก็พุ่งเข้ามาหาตนทางด้านหลังด้วยความรวดเร็ว ร่างสูงที่พริบตาเดียวก็เข้ามายืนข้างหลังด้วยระยะที่ใกล้จนได้ยินถึงเสียงของลมหายใจ แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงยืนนิ่งอยู่กับทีไม่ได้เอี่ยวตัวหลบเมื่อครั้งก่อน
“โกหก….”ทสึกิยามะโน้มตัวลงมาเล็กน้อย ริมฝีปากร้อนกระซิบลงที่ข้างหูของคนที่หันหลังให้ตน“….รู้สึกใช่ไหมล่ะ….”
ตึง!
ร่างบางพลิกตัวกลับมาอย่างรวดเร็วก่อนจะผลักอีกฝ่ายออกจากตัวเองอย่างแรง แม้ร่างกายเล็กและดูเปราะบาง แต่พละกำลังที่เหนือกว่าใครก็ทำให้คนตรงหน้าเซจนล้มลงไปนั่งกับพื้นอย่างต้านทานไม่ได้ ตอนแรกเขาไม่คิดจะตอบโต้อีกฝ่าย แต่เมื่อโดนคนตรงหน้ากระซิบ จุดที่เขาโดนสัมผัสกลับรู้สึกร้อนผ่าวจนทนไม่ได้
เด็กหนุ่มจ้องมองคนที่อยู่ที่พื้นด้วยแววตารังเกียจ แต่ทสึกิยามะรู้ดีนอกเหนือจากความรังเกียจนั้นมีความสับสนและความรู้สึกอื่นที่ซ่อนอยู่…
“ฮ่ะๆ ฮ่ะๆ ฮ่าๆ ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าๆๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับกำลังเพลิดเพลินกับบางอย่างจนถึงที่สุด ชายหนุ่มแสยะยิ้มที่อีกฝ่ายคิดว่ามันช่างน่ารังเกียจก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วเสียงหัวเราะเสียเต็มประดา
“ดีจริง ดีจริงๆ…..แววตาแบบนั้น…..พละกำลังนั้น…ความแข็งแรงแบบนั้น ฮ่าๆๆ”
ความรู้สึกขยะขแยงสะท้อนออกมาจากแววตาของเด็กชายอย่างไม่ปิดบัง
“คุณจะเพ้ออะไรก็เรื่องของคุณเถอะ….แต่ช่วยไปไกลๆสายตาผมที….”น้ำเสียงที่ส่งมาแสดงออกถึงความรังเกียจอย่างชัดเจน เขาปรายตามองคนที่หัวเราะอยู่อย่างเย็นชา
ทว่าคนตรงหน้ากลับไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ก้มหน้าลงทำเหมือนปัดไปตามเนื้อตัว แต่กลับแสยะยิ้มที่ดูดีแต่น่าขนลุกกับตัวเอง
เขายืนนิ่งมองคนตรงหน้า นัยน์ตาสีอเมทิสต์จ้องมองกลับมาที่ตนเหมือนกัน วูบหนึ่งร่างบางเหมือนเห็นมันเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ก็กลับมาเป็นสีม่วงในวินาทีถัดมาอย่างรวดเร็ว
“คุณมันน่ารังเกียจ” คาเนกิพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกตามคำพูดอย่างไม่ปิดบัง แต่ชายหนุ่มกลับหัวเราะและฉีกยิ้มกว้างประหนึ่งเหมือนเป็นคำชม ทสึกิยามะก้าวขาเข้ามาหาคนตรงหน้าอย่างช้าๆ จังหวะที่ไม่เร่งรีบราวกับกำลังเดินชมวิวอย่างสบายใจ
“ไม่หนีแล้วหรอ…”เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล สองขายังคงก้าวเข้ามาเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดตรงหน้าอีกฝ่าย
“ผมไม่เคยหนี..”เด็กชายขมวดคิ้ว ใบหน้าแสดงออกถึงความสับสน
“เธอโกหกฉันได้…..แต่เธอไม่มีวันโกหกตัวเองได้หรอก…”
“คุณ…พูดเรื่องอะไร….ผมไม่เข้าใจ” เขายืนนิ่งอยู่กับที่ แม้วูบนึงเกิดความคิดอย่างการต่อยอีกฝ่ายให้หน้าหงายก่อนจะเดินจากไปก็เป็นเรื่องที่ไม่เลว แต่มือทั้งสองกลับไม่ขยับคำพูดที่ร่างสูงพูดออกมาราวกับหนามแหลมคมที่ทิ่มเข้าไปในร่างของตน
“โกหกไม่ดีนะคาเนกิคุง….”ทสึกิยามะโน้มใบหน้าของตนจนอยู่ระดับสายตาเดียวกับคนตรงหน้า ดวงตาสีดำสนิทเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อชายหนุ่มโน้มหน้ามาใกล้ตนก่อนที่เขาจะกระซิบที่หูของเด็กชาย “อิจฉาล่ะสิ…”
“…..”
…เขาไม่เข้าใจ….เขาคิดว่าไม่เข้าใจ…..แม้จะรู้ดีว่าจริงๆแล้วตัวเองเข้าใจในความหมายที่อีกฝ่ายเอ่ย
“โกรธใช่ไหมล่ะ….”น้ำเสียงนุ่มทุ้มยังคงดังอยู่ข้างหู ร่างสูงฉวยโอกาสขณะที่อีกฝ่ายกำลังสับสนยื่นมามารั้วเอวของคนตัวเล็กดึงเข้ามาหาตัว ริมฝีปากที่เฉียดหูของเขายังคงพ่นคำพูดที่เหมือนหนามแหลม “อิจฉา….คนที่ไม่รู้อะไรเลย…เหล่ามดปลวกที่เดินขวักไขว่….ไม่ต้องรับรู้….อะไรทั้งนั้น…”
“…ถอยไป…”เด็กชายพยายามจะดันตัวอีกฝ่ายออก น่าประหลาดที่ปกติทำได้แท้ๆแต่คราวนี้เขากลับรู้สึกราวกับหมดเรี่ยวแรงไปเสียดื้อๆ
….คำพูดของหมอนี่…..
“อิจฉาชีวิตที่แสนธรรมดาของมนุษย์….อิจฉากูลชั้นต่ำที่ทำตามใจตัวเองได้โดยไม่ต้องคิดอะไร อิจฉาคนอื่นที่ไม่ต้องปกป้องใคร….อิจฉาอิสระที่นายไม่เคยมี….อิจฉาแม้กระทั่งฉันที่ใช้ชีวิตได้ตามที่ปราถนา….เธอน่ะ…”ริมฝีปากร้อนขบเข้าที่ปลายติ่งหูข้างอีกฝ่าย “อยากจะมีชีวิตที่ไม่ต้องถูกพันธนาการจากโลกอันบิดเบี้ยวนี้สินะ….”
“!!!”
ร่างบางเบิกตากว้าง คำพูดที่ได้ยินแม้จะไม่อยากได้ยินสักเพียงใด รังเกียจอีกฝ่ายแค่ไหน แต่เขารู้ดีว่าลึกๆแล้ว ทุกถ้อยคำที่คนตรงหน้าเอ่ย ทุกคำพูดที่ออกมาจากริมฝีปากนั้น…คือความจริงที่เขาเองยังไม่อาจจะยอมรับ….
แววตาที่สับสนและสั่นไหวของอีกฝ่ายเป็นสัญญาณที่บอกให้ร่างสูงรู้ ลูกแกะน้อยตกหลุมพรางที่แยบยลของเขาเข้าเสียแล้ว
“ทิ้งมันไปสิ….”มือเล็กของอีกฝ่ายที่กำลังดันคนตรงหน้าออกหยุดนิ่งไปเสียดื้อๆเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่แผดเผาราวกับจะหลอมละลายทุกสิ่ง “โลกที่บิดเบี้ยว…..ชีวิตของเธอ….ทิ้งมันไปเสียสิ”
ทสึกิยามะดันตัวคนตรงหน้าไปเรื่อยๆจนแผ่นหลังของร่างบางชนเข้ากับกำแพงอันเย็นเหยียบของซากตึกร้าง คนตัวสูงกว่าฉีกยิ้มอย่างยั่วยวน เขาใช้ริมฝีปากไล้ไปตามลำคอของคนตัวเล็ก จนอีกฝ่ายจะสะดุ้งเฮือกและพยายามดันตัวเองออก
“อึก! ปล่อยผม!”
ทุกสัมผัสที่น่าขยะแขยงของคนตรงหน้า กลับให้ความรู้สึกร้อนผ่าวที่เขาเองไม่อยากจะยอมรับ มือเรียวของนักชิมไล้วนไปเรื่อยๆไล้ไปยังหน้าท้องก่อนจะค่อยๆเลื่อนต่ำลง ร่างบางพยายามที่จะต่อต้านแต่ร่างกายกลับรู้สึกได้เพียงรสสัมผัสที่คนตรงหน้ามอบให้เท่านั้น
“โลกนี้มันโหดร้าย…..ไม่กินก็ถูกกิน….ใช่ไหมล่ะ…”ชายหนุ่มแลบลิ้นออกมาเลียลำคอของเด็กหนุ่ม เขารู้ทุกจุดที่จะทำให้คนอื่นพึงพอใจ “ยอมรับสิ…..ปลดปล่อยตัวเอง….”
“ไม่!...อึก!”
ทสึกิยามะมีท่าทีสบายๆ ไม่รีบร้อน การรีบร้อนมีเพียงแต่จะให้ผลเสีย ร่างสูงแสยะยิ้มก่อนจะหัวเราะเบาๆ ริมฝีปากไล่ขึ้นมายังปลายคางของค่อยๆจูบเบาๆ ประกบปากเข้ากับริมฝีปากของคนตรงหน้า เขาตวัดลิ้นไปมาอย่างชำนาญ แม้คนตัวเล็กจะออกอาการขัดขืนเล็กน้อย แต่นั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาแต่อย่างใด
“หยะ….!..อือ…..อึก!....อ่า”
ชายหนุ่มไม่สนใจคำปฏิเสธ เขาประกบปากลงมากอีกครั้งปลายลิ้นเกี่ยวพันกับเรียวลิ้นเล็กที่ขยับไปมาอย่างไม่ประสา ยิ่งกลับทำให้เขารู้สึกต้องการครอบครองคนตรงหน้ามากขึ้นไปอีก มือที่ไล้วนไปทั่วหน้าท้องเริ่มไล่ต่ำลงเรื่อยๆ ก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงสะโพกของร่างบาง
“อึก!”
เด็กหนุ่มสะดุ้งตัวด้วยความรู้สึกเจ็บแปล๊บเมื่อคนตรงหน้าใช้ฟันคมขบเข้าที่ปากของตนจนรู้สึกถึงคาวเลือด เขาพยายามดันตัวอีกฝ่ายออกอีกครั้ง ใช้เวลาเนิ่นนานนับหลายนาที เกือบที่เขาจะหมดลมหายใจร่างสูงจึงถอนใบหน้าออกมา นักชิมผู้น่ารังเกียจแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเลียริมฝีปากตนเอง
“รู้สึกรึยัง…ยามที่เธอไม่ต้องกังวลสิ่งใด” แม้จะถอนริมฝีปากออกแต่ มือทั้งสองข้างยังคงเกาะเกี่ยวกับร่างของคนตัวเล็ก “แค่เธอปลดปล่อยมันเท่านั้น…..คาเนกิคุง”
“….อึก…”เขาหอบหายใจเบาๆ สติเลือนลางจนแทบไม่ได้ยินว่าคนตรงหน้าพูดอะไร
…แค่ปล่อยมันไป….นั้นสินะ
“เธอไม่มีทางปกป้องทุกสิ่งที่เธอมีได้หรอก…..”ทสึกิยามะไล้มือไปตามสะโพกของอีกฝ่าย สีหน้าประหนึ่งกำลังเพลิดเพลินอย่างเต็มที “…เธอแค่ปล่อยมันไป….ทุกสิ่งที่มี….ช่างมันสิ….โลกนี้มันโหดร้ายอยู่แล้ว..”
“…ผม….ไม่…”
….แม้ว่าเหมือนจะตรงกับความคิดตัวเองแค่ไหนแต่ว่าเขากลับรู้สึก…..ไม่….มันไม่ถูกต้อง…..ไม่ใช่….
….ไม่ใช่…..
“….ยังไงเสียสุดท้ายก็เหลือแค่คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นอยู่แล้ว…..”เสียงนุ่มนวลคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง “เข้าใจหรือยังล่ะครับ….ปลดปล่อยตัวเองออกมาจากพันธนาการบ้าๆนี้สิ”
สิ้นคำพูดของคนตรงหน้าราวกับเขากำลังเข้าใจในบางอย่าง ไม่ใช่เห็นด้วยกับคำพูดนั้นแต่ว่า…..
ไม่….หยุดนะ….
….หยุด….ฉันจะไม่หนี…..
“หยุด!!”
ผลั่ก!
ด้วยเรี่ยวแรงที่เริ่มกลับมา คาเนกิผลักอีกฝ่ายออกมาได้ในที่สุด ร่างบางผลักคนตรงหน้าอย่างแรงจนร่างสูงเซไปข้างหลัง เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปาดเลือดที่ยังติดอยู่ที่ริมฝีปากของตน ก่อนจะถูปากตัวเองไปมาอย่างขยะแขยง
“ผมจะปกป้องทุกสิ่งที่สำคัญ….ทุกคน….รวมถึงการกำจัดทุกอย่างที่เป็นอันตรายต่อพวกเขา….”
“หึ…”
ร่างบางหรี่ตามองฝ่าย นัยน์ตาแฝงไปด้วยความรังเกียจแต่นอกเหนือจากนั้น…ตอนนี้มันยังแฝงไปด้วยความแน่วแน่….อีกครั้ง…
…..ความแน่วแน่ที่จะปกป้องสิ่งที่สำคัญ….ความแน่วแน่ที่เลือนหายไปจนถึงเมื่อกี้…..ความแน่วแน่ที่คนตรงหน้านำมันกลับมาสู่เขาแม้อีกฝ่ายอาจไม่รู้ตัว….
“กำจัดทุกอย่าง…..ถ้ามันจำเป็น….อาจรวมถึงคุณ….”
“…..”
เด็กหนุ่มหันหลังให้คนตรงหน้าก้าวเดินจากไป ก่อนจะทิ้งท้ายคำพูดไว้โดยไม่หันมามองอีกฝ่าย
“ขอบคุณนะครับคุณทสึกิยามะ”
เขาพร้อมที่จะเดินหน้าต่ออีกครั้ง…..หากโลกที่บิดเบี้ยวนี้มันโหดร้าย….เขาก็จะแข็งแกร่ง…..แข็งแกร่งจนกว่าจะสามารถปกป้องทุกสิ่งที่สำคัญของเขาได้ ความรู้สึกที่เขาสูญเสียมันไปชั่วขณะ….ตอนนี้เขาได้มันกลับมาอีกครั้ง…..
“ขอบคุณที่มอบความรู้สึกนี้ให้ผมอีกครั้งถึงคุณจะไม่ตั้งใจก็เถอะ…”
“….”
.
.
.
“น่าเสียดายจังนะ….แต่ก็…” ทสึกิยามะยิ้มเย็นให้กับแผ่นหลังที่เดินจากไป ก่อนจะพึมพัมภาษาฝรั่งเศษที่อีกฝ่ายไม่มีทางได้ยิน
“…Fain….คาเนกิคุง…”
…END…
[โดนอะไรมา?]
อูตะ : คาเนกิคุง?
คาเนกิ : อ้าว! คุณอูตะ…สวัสดีครับ
อูตะ : ไง เป็นไงบ้าง
คาเนกิ : เอะ? เอ่อ…ก็ดีมั้งครับ ว่าแต่คุณอูตะมาทำอะไรแถวนี้หรอครับ
อูตะ :มาส่งหน้ากากน่ะ…เอ๊ะ! หน้าคาเนกิคุง…
คาเนกิ : อะไรหรอครับ (จับหน้าตัวเอง)
อูตะ : หมายถึงปากน่ะ…ไปทำอะไรมาปากแตก
คาเนกิ : อ่อ….(เปรี๊ยะ! แวบหนึ่งอูตะเหมือนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตก) ….คือ….
อูตะ : ….??...(เหมือนหูจะแว่ว…)
คาเนกิ : พอดีเดินๆอยู่ไปหมาตัวใหญ่หน้าตาโรคจิตขนสีม่วง…(ยิ้ม)
อูตะ : ขนสีม่วง…??
คาเนกิ : ครับ…มันพยายามลวนลามผม ผมพยายามผลักมันออกแต่ไม่สำเร็จน่ะครับ เลยโดนกัดมา….(ยิ้มเย็น)
อูตะ : ….หะ…ลวนลาม?....(เหงื่อตก)
คาเนกิ : ครับ…เป็นหมาที่น่ารักจริงๆ ถ้าเจออีกคราวหน้าจะจับ….ยัด…ใส่…กรง…(เน้นทีละคำ)แล้วกำจัดทิ้ง…ไม่สิ…ผมจะเอ็นดูให้ดีเชียวนะครับ (ยิ้มอย่างเหี้ยมเกรี้ยมก่อนจะถูปากตัวเองไปมาอย่างแรง)
อูตะ : ….(ยิ้มพลางเหงื่อตกขั้นรุนแรงก่อนขอตัวไปโดยไว)
ณ ร้านกาแฟอันเทย์กุ
อูตะ : คุณโยชิมูระคิดว่า…..เอ่อ…คาเนกิคุง….ช่วงนี้เขาเครียดไปหรือเปล่า(ทำหน้าแปลกๆ)
ผู้จัดการ : …??...
**************************************
จบไปเรียบร้อย
มีคำผิดตรงไหนบอกได้นะคะ
ผลงานอื่นๆ ของ เหม่อมองท้องฟ้าในความมืด ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ เหม่อมองท้องฟ้าในความมืด
ความคิดเห็น