ห้าโมงเย็น
บัคกี้มองนาฬิกา มือสองข้างยังเป็นระวิงอยู่หน้ากระทะ
วันนี้ลูกค้าเยอะกว่าทุกทีและมีแนวโน้มจะเยอะขึ้นเรื่อย ๆ
จากเทศกาลที่กำลังจะมาถึง
หกโมงตรง บัคกี้ถอดผ้ากันเปื้อน หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อ
เลี้ยวเข้าโซนทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
ตรวจสอบว่าไม่ได้หลงลืมอะไรจึงสะพายกระเป๋า
ร่ำลาเพื่อนร่วมงานและตบเท้าออกจากภัตตาคารทางประตูด้านหลังของพนักงาน
เขารอรถโดยสารไม่นานก็ได้ขึ้น
ผ่านเพียงไม่กี่ป้ายก็มาลงที่หน้าร้านขายของที่ระลึกเล็ก ๆ
เพื่อตามหาสิ่งที่เขาคิดไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า
ของขวัญวันคริสมาสต์
ร้านขายของที่ระลึกแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากภัตตาคารที่ชายหนุ่มทำงานอยู่มากนัก
คุณป้าเจ้าของร้านกับพนักงานต้อนรับเป็นป้าหลานกันซึ่งทั้งคู่พักอยู่หอพักห้องข้าง
ๆ บัคกี้ เขาจึงคุ้นเคยกับพวกเธอเป็นอย่างดีและเลือกที่จะฝากตัวเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา
ของที่ระลึกในร้านแห่งนี้มีหลากหลายรูปแบบ ยิ่งใกล้เทศกาลเช่นนี้
ของบนชั้นวางก็ยิ่งมีมากมายให้เลือกสรรตั้งแต่ราคานักเรียนประถมไปจนถึงราคาแพงเฉียดหลายพันดอลล่าร์แคนาดา
ชายหนุ่มสัญชาติอเมริกันเดินหาของที่ถูกใจอยู่นาน
สุดท้ายก็ไปสะดุดตากับกล่องดนตรีกล่องหนึ่ง
ฐานของมันเป็นวงกลมทำจากไม้สีอ่อนหนาราวห้าเซนต์ เส้นผ่าศูนย์กลางของมันเล็กกว่าฝ่ามือของเขาเล็กน้อย
ด้านบนประดับด้วยตุ๊กตาทหารดีบุกขาเดียวกับนักเต้นบัลเล่ต์ขาเดียวยืนเคียงกัน…บนกล่องดนตรีนี้จะไม่มีเปลวไฟใดมาแผดเผามันทั้งคู่ไปได้
บัคกี้หยิบมันขึ้นมาดูช้า ๆ พินิจมันโดยรอบทั้งที่คิดไว้แล้วว่าต่อให้มีตำหนิก็จะซื้อ…เขาลองกดเปิดให้มันทำงาน
เสียงเพลงเบาสบายหากแฝงไปด้วยความโหยหาเคล้าคลอไปตามลม ฉุดให้นึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งวันวาน
‘บัคกี้…นายว่าความรักของเราเหมือนนิทานเรื่องอะไร’
‘ไม่รู้สิ…ฉันไม่ค่อยอ่านนิทานน่ะ’
‘ฉันว่าเหมือนทหารดีบุกขาเดียวกับนักบัลเล่ต์’
‘ใช่เรื่องที่ตอนจบโดยเผาทั้งคู่รึเปล่า
ทำไมละ นายอยากโดนเผาหรือไง’
อีกฝ่ายหัวเราะ
‘เปล่า เพราะฉันเฝ้ารอนายเสมอไปยังไงล่ะ
ไปอยู่ที่นั่นห้ามไปมีใครเชียวนะคุณนักบัลเล่ต์’
“คุณลูกค้าสนใจรึเปล่าคะ ?” เสียงใสของพนักงานสาวฉุดเขาขึ้นจากภวังค์
คุณลูกค้ากะพริบตาปริบ ๆ พยักหน้า ส่งกล่องดนตรีไปให้พนักงาน จ่ายเงินและกำชับให้เธอห่อมันด้วย
สั่งไปแบบนั้นทั้งที่ไม่รู้จะได้ให้มันกับคนในความทรงจำเมื่อไหร่ เสียงดนตรีนั้นเงียบไปแล้วทว่ายังคงดังก้องในใจของคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
เขายกมือแตกที่หน้าอกบริเวณหัวใจ ผินหน้ามองหน้าต่างก็พบว่าหิมะแรกตกเสียแล้ว…
ป่านนี้อเมริกาหิมะตกรึยังนะ ?
ตอนเห็นหิมะแรก
สตีฟจะคิดเขาเหมือนที่เขาคิดถึงอีกฝ่ายรึเปล่านะ ?
คิดถึงจังเลย…
กว่าจะกลับถึงห้องก็เฉียดสามทุ่ม
โชคดีที่หิมะตกไม่หนักมากทำให้จราจรไม่ได้ติดขัดหนักเท่าที่เขาคิดไว้ บัคกี้วางกล่องดนตรีที่ถูกห่อของขวัญสวยงามบนโต๊ะด้วยความระมัดระวังตามด้วยกระเป๋า
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทั้งที่ยังไม่ถอดถุงเท้า หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูปฏิทิน
ใต้วันที่ยี่สิบห้าหรืออีกสองวันข้างหน้ามีวงกลมสีเทาอยู่เป็นการแจ้งเตือนกลาย ๆ
ว่ามันคือวันสำคัญ...วันสำคัญที่เขาจะไม่ได้กลับบ้าน
‘ปีนี้ขออะไรจากซานต้าครับ
บัคกี้’ ชายหนุ่มตาสีฟ้าแย้มยิ้ม
‘ไม่ได้ขอ
ไม่รู้ว่าเป็นเด็กดีแบบที่คุณซานต้าต้องการรึเปล่า’ เขายิ้มน้อย
ๆ พิงศีรษะกับไหล่กว้าง ตรงหน้าคือต้นคริสมาสต์ขนาดกลางพึ่งตกแต่งเสร็จตั้งอยู่กลางห้องนั่งเล่น
บนต้นมีถุงเท้าสีน้ำเงินไว้สองข้างแขวนอยู่
‘เป็นเด็กดีสิครับ
บัคกี้ก็เป็นเด็กดีของซานต้ามาตลอดนั่นแหละ…” มือหนาเคลื่อนมาโอบเอว
ในมือถือกล่องกำมะหยี่ใบเล็ก ‘คริสมาสต์ปีหน้าเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน…ฉันเลยอยากให้นายเก็บมันไว้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทหารดีบุกตัวนี้จะปกป้องนาย สุขสันต์วันคริสมาสต์นะบัค’ พร้อมกับความอบอุ่นที่ข้างแก้ม
อยู่ ๆ
ขอบตาก็ร้อนผะผ่าว บัคกี้ใช้หลังมือเช็ดหยดน้ำตาที่ไม่มีทีท่าจะหยุดไหล เขานึกโทษตัวเองว่าอ่อนแอ
ทั้งที่รู้อยู่แล้ว ทั้งที่เป็นคนตัดสินใจเองแท้ ๆ ว่าจะมาเป็นพ่อครัวที่นี่หนึ่งปี
แต่พอวันเวลาผันผ่านไปเขากลับทนอยู่แทบไม่ได้ ความคิดถึงค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นทุกที
เขาคิดถึงบ้าน คิดถึงสตีฟเหลือเกิน…
หน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างขึ้น
เป็นข้อความเข้าของคนที่เขากำลังคิดถึง บัคกี้เช็ดน้ำตาเพื่อพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
แม้จะคุยกันทุกวันแต่เขาไม่เคยบอกคนรักว่าเขาคิดถึงอีกฝ่ายมากแค่ไหนเพราะกลัวจะทำให้สตีฟกังวลไปด้วย
คนไกลบ้านหลุดสะอื้น กำโทรศัพท์แนบอก เศร้าจับใจที่เจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมไม่อบอุ่นเฉกเช่นอ้อมกอด
คิดถึง
คิดถึงเสียจนอยากจะทิ้งงานแล้วกลับอเมริกาเสียเดี๋ยวนี้
“ฮึก สตีฟ…ฉันคิดถึงนาย”
ชายหนุ่มสะอื้น ยกจี้รูปทหารขาเดียวประดับอัญมณีเม็ดเล็กที่คล้องห้อยอยู่บนคอแนบริมฝีปาก
พลิกตัวนอนคว่ำฝังใบหน้าลงกับหมอน ปล่อยน้ำตารินไหลระบายความหน่วงของหัวใจ
ก็อก ๆ ๆ
เสียงคนเคาะประตูกระทบโสตประสาท บัคกี้ชะงัก ยันกายจากเตียง
เช็ดคราบน้ำตา ในมือยังกำโทรศัพท์อยู่ เขามองเวลาพลางนึกสงสัยว่ายามนี้ใครจะมาหาเขากัน
ก็อก ๆ ๆ เสียงประตูดังย้ำอีกครั้ง “มีของมาส่งครับ”
น้ำเสียงอู้อี้ดังขึ้นจากอีกฝากของประตู
“มาแล้วครับ” บัคกี้เดินมาจนถึงหน้าประตู
สงสัยมากกว่าเดิมกับคำบอกขาน
ส่งของตอนนี้น่ะหรือ ?
บัคกี้เปิดประตู
แล้วเขาก็เจอซานตาคลอส
“มีคนฝากมาให้ครับ” คนส่งของในชุดมาสคอตพูดเสียงอู้อี้
ยื่นกล่องสี่เหลี่ยมเท่ากระดาษเอห้ามาให้ บัคกี้มองอย่างไม่ไว้ใจ
เอื้อมมือไปรับช้า ๆ
“แกะเลยครับ”
เอาล่ะ
มาถึงตรงนี้บัคกี้มั่นใจค่อนข้างแน่นอนแล้วว่ามีคนตั้งใจส่งบางอย่างมาแกล้งเขาแน่ ๆ
เขาค่อย ๆ แกะกระดาษออก
เตรียมตัวเตรียมใจว่าหากมีการซ่อนกล้องเขาจะไม่ตกใจกับเจ้าของในกล่องมากนัก
บัคกี้เปิดฝากล่องออกช้า ๆ
ตุ๊กตาตั้งโต๊ะรูปทหารดีบุกขาเดียวนอนยิ้มอยู่ภายใน
“สุขสันต์วันคริสมาสต์บัคกี้”
ตรงหน้าของบัคกี้ไม่ใช่ซานตาคลอสอีกต่อไป
*TALK
ฮือออ
ในที่สุดเราก็เข็นฟิคผ่านเปเปอร์และไฟนอลได้สำเร็จค่ะ (…)
หัวข้อที่เราได้คือเพลง my love สารภาพว่าฟังแล้วคิดถึงการจากลามากๆค่ะ
แต่เป็นในแง่ของจากตาย (…)
พอดีไม่อยากทำร้ายคนอ่านเท่าไหร่เพราะทำมาเยอะแล้ว ก็เลยเขียนเป็นแนวนี้แทนค่ะ๕๕๕๕๕
อาจจะห่างจากธีมของ my love ค่อนข้างเยอะ ส่วนเรื่องนิทาน มาจากเรื่อง the
steadfast tin soldier เราอ่านแล้วมันดูเข้ากับธีมพอดี เราอาจจะคิดไปเองก็ได้นะคะ5555 ยังไงก็ฝากไว้ด้วยน้า
ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ <3
น่ารักมากเลยค่ะ อบอุ่น