มนุษย์ทุกคนบนโลกเกิดมามีคู่ชีวิตเป็นของตัวเอง บนท้องแขนของพวกเขาจะมีชื่ออีกฝ่ายสลักเอาไว้ด้วยลายมือของตนเอง
“สตีฟ! เขียนเสร็จหรือยัง”
บัคกี้ บาร์นตะโกนเรียกเพื่อนสนิท ซึ่งยังคงไร้วี่แววออกมาจากบ้านพักของตัวเองในยามบ่ายของวัน
“นายลืมไปแล้วเหรอบัค วันนี้สตีฟบอกว่าจะนั่งเขียนจดหมาย”
โฮเวิร์ด สตาร์คเดินมาบอกเพื่อนนายทหารที่กำลังทำท่าจะเข้าไปลากเพื่อนกล้ามโตออกจากบ้านพัก
“แต่นี่มันบ่ายแล้วนะเพื่อน สตีฟตื่นเช้าทุกวัน เขาน่าจะเขียนเสร็จไปตั้งแต่ช่วงสายแล้ว”
โฮเวิร์ดหัวเราะให้กับความคิดของบัคกี้
“วันนี้วันหยุดวันแรกของกัปตันอเมริกา”
“แล้วไง? ”
“ส่วนนายหยุดมาสามวันแล้ว ปล่อยให้กัปตันอเมริกาได้พักผ่อนและทำในสิ่งที่เขาตั้งใจที่จะทำวันนี้เถอะ”
โฮเวิร์ดตัดสินใจลากเพื่อนนายทหารออกไปจากบ้านพักของกัปตันอเมริกาเมื่อเห็นท่าทีไม่ยอมของบัคกี้ เขาปล่อยให้ทำอย่างนั้นไม่ได้ จดหมายที่กัปตันอเมริกาต้องการจะเขียนในวันนี้ เป็นจดหมายของเหล่าทหารทุกคนจำเป็นต้องเขียน อีกหนึ่งสาเหตุทำให้เขาต้องทำเช่นนี้เพราะกัปตันต้องการเขียนให้กับคู่ชีวิต เป็นคู่ชีวิตเพศชายที่ถูกกฎทหารบ้าบอกดขี่
‘ละทิ้งคู่ชีวิตเพศชาย’
ถึงเขาจะเป็นเจ้าพ่อคาสโนว่า พอได้มาเห็นเพื่อนสุดแสนดีและจิตใจดีเลิศประเสริฐศรีต้องละทิ้งคู่ชีวิตไปเพราะกฎบ้าบอคอแตกนี้
เขายอมรับไม่ได้เด็ดขาด!!!
สถานการณ์นอกบ้านเงียบสงบเรียบร้อยดีแล้ว ภายในบ้านพักสตีฟยังคงนั่งเขียนจดหมายแม้จะผ่านมาหลายชั่วโมงแต่ตัวเขายังคงเขียนมัน จดหมายฉบับนั้นเขาเขียนเสร็จไปตั้งนานแล้ว ที่กำลังนั่งเขียนอยู่เป็นจดหมายบอกเล่าเรื่องราวให้กับคู่ชีวิต
มือข้างซ้ายลูบชื่อบนท้องแขนข้างขวาอย่างแผ่วเบาและทะนุถนอม
‘แอนโทนี่ สตาร์ค’
ริมฝีปากยกยิ้มขบขันยามนึกตอนเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ได้เห็นชื่อบนท้องแขน
คุณชายเพลย์บอยขมวดคิ้วจ้องมองชื่อตรงหน้าอยู่หลายนาที พลางขบคิดว่าในตระกูลสตาร์คมีใครชื่อแอนโทนี่บ้าง แต่นึกไม่ออกจนคิดไปว่าอาจจะเป็นญาติคนอื่นๆ หรือลูกของใครสักคนในอนาคต?
“เท่าที่รู้จักฉันไม่มีญาติใช้ชื่อนี้หรืออาจจะเป็นใครสักคนที่ใช้นามสกุลสตาร์คเฉยๆ ”
โฮเวิร์ดขมวดคิ้วขบคิดถึงความเป็นไปได้
“ฉันนึกว่านายช็อกจนพูดไม่ออก”
บัคกี้กล่าวเมื่อเห็นเพื่อนยืนนิ่งไปนานหลังจากเห็นชื่อคู่ชีวิตของสตีฟ
“ทำไมฉันคิดว่าแอนโทนี่อาจจะเป็นลูกชายในอนาคตของนายล่ะโฮเวิร์ด”
“ความเป็นไปได้มันก็มีแต่... ฉันคงจะรู้สึกแปลกๆ ที่มีลูกเขยเป็นเพื่อนของตัวเอง”
บัคกี้ระเบิดหัวเราะออกมาหลังจากฟังโฮเวิร์ดกล่าวจบ สตีฟส่ายหน้าระอาให้กับเพื่อนสนิทกำลังหัวเราะจนสำลักน้ำลายตัวเองและเพื่อนอีกคนกำลังทำหน้าจริงจัง
“ผมรักคุณนะแอนโทนี่ รักคุณมากเท่าที่ชีวิตนี้ผมจะรักใครสักคน”
ผมหวังว่าจดหมายฉบับนั้นจะอธิบายความจำเป็นของตัวผมได้ หวังว่าจดหมายทุกฉบับที่ผมเขียนบอกเล่าเรื่องราวของผมจะทำให้คุณมีความสุข หากสงครามจบลงและสามารถลาออกจากการเป็นกัปตันอเมริกาได้ ผมจะทำทุกอย่างเพื่ออยู่กับคุณ ...แอนโทนี่
เมืองวอชิงตันดีซี
“ฉันไม่เคยคิดจะออกไปจากเขตเมืองบ้านเกิดของตัวเองเลย จนกระทั่งนายออกมาตามหาคู่ชีวิตอย่างจริงจัง”
แองเจล่ากล่าวพลางกวาดสายตาสำรวจสถานที่แปลกตารอบตัว
“ฉันก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้รับสายจากผู้พันเมื่ออาทิตย์ก่อน”
แอนโทนี่ สตาร์คกล่าวกับเพื่อนสาวคนสนิทพร้อมกับตรวจเช็กเส้นทางเพื่อไปยังสถานที่ที่ต้องไป
“เอาล่ะ... ต่อให้ฉันไม่พร้อมก็ต้องพร้อม ไปกันเลยมั้ย”
แองเจล่าเอ่ยถามโทนี่
โทนี่พยักหน้า ตอนนี้เวลาบ่ายโมงครึ่ง พวกเขาควรไปถึงสถานที่เก็บข้อมูลของทหารก่อนบ่ายสามโมง สถานที่ผู้พันนิค ฟิวรี่นัดเขาเอาไว้ ผู้พันบอกว่าข้อมูลของนายทหารสตีฟ โรเจอร์สทั้งหมดอยู่ที่นั่น
ในที่สุดความพยายามของเขาได้ประสบผลสำเร็จ หลังจากต้องเผชิญกับปัญหามากมายมานานหลายปี
โฮเวิร์ดคิดว่าพวกคนที่เอาแต่ตามหาคู่ชีวิตโดยไม่ทำให้ตัวเองก้าวหน้าล้วนเป็นพวกงี่เง่า โทนี่พยายามพิสูจน์ตัวเองให้พ่อเห็นว่าเขาเก่งเหนือกว่า แต่ทว่าโลกใบนี้ช่างโหดร้าย...
ชีวิตในวัยเด็กของโทนี่เต็มไปด้วยคนเห็นแก่เงินและอำนาจของสตาร์ค เมื่อเขาได้เข้าโรงเรียนประจำ พวกลูกเศรษฐีขี้อวดและหยิ่งผยองต่างเขม่งและกลั่นแกล้งเขา
โฮเวิร์ดไม่รู้ชื่อคู่ชีวิตของโทนี่ มีแค่มาเรียและจาร์วิสเท่านั้นที่รู้ ก่อนจะเพิ่มมาอีกสองคนคือ แองเจล่าและโรดส์
โทนี่และแองเจล่าเดินทางมาถึงสถานที่นัดหมายก่อนบ่ายสามโมง พวกเขาเดินเข้าไปสอบถามเคาน์เตอร์ทางเข้า พนักงานหญิงพอทราบว่าโทนี่มาก็รีบติดต่อพนักงานที่เกี่ยวข้องให้ทันที พวกเขาทั้งสองใช้เวลารอไม่นานจึงได้พบกับพนักงานหญิงอีกคนกำลังเดินเข้ามา เธอสอบถามเพื่อยืนยันตัวตนบุคคล แองเจล่าที่มาเป็นเพื่อนโทนี่ถูกให้ไปรอในห้องรับแขกพิเศษ มีเพียงโทนี่สามารถเข้าไปเอาเอกสารเกี่ยวกับสตีฟ โรเจอร์สได้เพียงคนเดียว
บัตรประชาชนพร้อมกับรูปถ่ายลายมือชื่อบนท้องแขนข้างซ้าย ทุกอย่างถูกจัดการอย่างรวดเร็วไม่ถึงสิบนาที พนักงานหญิงคนเดิมนำทางให้โทนี่เข้าไปในห้องอเนกประสงค์ เป็นห้องขนาดกลางข้างในมีเครื่องโปรเจคเตอร์รุ่นเก่าวางอยู่บนโต๊ะตัวเดียวในห้อง ระหว่างนั้นเขานึกสงสัยว่าการขอข้อมูลของทหารเก่าในช่วงสงครามโลกมันลึกลับขนาดนี้?
“นี่เป็นเอกสารส่วนตัวของเขาค่ะ”
“เอ่อ... ผมขอถามได้มั้ยครับ”
โทนี่ตัดสินใจเอ่ยถามข้อสงสัย
“มีข้อสงสัยอะไรหรือเปล่าคะ”
“คือว่า... การขอดูข้อมูลของทหารในสงครามเป็นแบบนี้ทุกคนเลยเหรอครับ”
พนักงานหญิงกระพริบตามองโทนี่เหมือนไม่เข้าใจอะไรสักอย่างหลังจากได้ฟังคำถามของเขาก่อนจะทำให้โทนี่ไม่เข้าใจกับคำตอบของเธอ
“การเผยเอกสารหรือข้อมูลส่วนตัวของนายทหารสตีฟ โรเจอร์สเป็นความลับสุดยอด มีแค่คุณเท่านั้นที่เป็นแบบนี้ค่ะ”
“ผม... ไม่เข้าใจ”
ไม่รู้ว่าทำไมพอได้ฟังคำตอบจากพนักงานถึงได้เป็นเช่นนี้ มันทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่าคู่ชีวิตของเขา สตีฟ โรเจอร์ส จะดูเป็นคนที่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
“คุณไม่ทราบเหรอคะ ว่าเขาคือกัปตันอเมริกา”
โทนี่ไม่เคยรู้สึกอยากพูดคำว่า ‘โอ้พระเจ้า’ ได้มากขนาดนี้
คู่ชีวิตของเขาเป็น ‘กัปตันอเมริกา’
พนักงานหญิงขอตัวเพื่อให้เขาได้อ่านเอกสารต่างๆ ข้าวของบนโต๊ะไม่ได้มีแค่แฟ้มเอกสารอย่างเดียว มันมีซองสีน้ำตาลที่น่าจะเป็นจดหมายของทหารทุกคนที่บังคับเขียนก่อนออกไปทำสงครามและกล่องคุกกี้ทรงสี่เหลี่ยมหนึ่งกล่อง โทนี่เลือกเปิดวิดิโอดูก่อนจะเริ่มอ่าน
มันเป็นวิดิโอสัมภาษณ์ พวกเขาพูดถึงโครงการป้องกันลับสุดยอด ‘โอเปอร์เรชั่น: รีเบิร์ธ’ ถามเหตุผลว่าทำไมสตีฟอยากเป็นทหาร โทนี่ยอมรับว่าเขาไม่เคยฟังเสียงใครเพลินได้มากเท่าสตีฟอีกแล้ว จนกระทั่งช่วงสุดท้ายของวิดิโอ พิธีกรถามถึงชื่อบนท้องแขนข้างขวา สตีฟทำหน้าอึกอักเหมือนไม่สบายใจ โทนี่พอจะเข้าใจว่าสตีฟไม่อยากพูดถึงเขา มันเพราะอะไร?
เมื่อมีคนมาใครทักถึงชื่อคู่ชีวิตแล้วเจ้าตัวไม่อยากพูดถึงมีไม่กี่สาเหตุ
ไม่อยากพูดถึงเพราะรังเกียจ หรือทำให้ไม่ถูกรับเข้าเป็นทหารเพราะมีคู่ชีวิตเป็นผู้ชาย (ในช่วงเวลานั้น) มันเป็นสาเหตุในเชิงลบที่พอนึกหาสาเหตุได้ แต่ในใจกลับคัดค้านไปในเชิงบวกว่าสตีฟไม่อยากพูดถึงนั้นเป็นเพราะตัวเขาไม่สบายใจที่ต้องละทิ้งคู่ชีวิต กฎข้อบังคับของทหารสมัยก่อนเป็นข้อมูลสาธารณะ ประชาชนทุกคนรู้ว่าสมัยก่อนถึงจะมีคู่ชีวิตเป็นผู้ชายก็ไม่สามารถครองรักกันได้อย่างเปิดเผย โทนี่ตัดสินใจปิดวิดิโอไม่ดูต่อ หันกลับมาสนใจของอย่างอื่นบนโต๊ะ
ในแฟ้มเอกสารโครงการลับมีรูปภาพอยู่สองรูป เป็นรูปถ่ายการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของสตีฟก่อนและหลังเข้าโครงการ โทนี่ไม่อยากยอมรับใจตัวเองว่าได้เห็นคู่ชีวิตเปลือยท่อนบนมันเซ็กซี่มากๆ เขาดึงสติที่หลุดลอยกลับเข้าร่างแล้วหยิบซองสีน้ำตาลมาไว้ในมือ มือโทนี่สั่นขณะเปิดซองเพื่อหยิบของข้างในนั้นออกมา เขาแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อสายตาของเขาไปเห็น
Dear my soulmate, Antony.
เขาค่อยๆ ลูบกระดาษแผ่นนั้น พิจารณาลายมืออันสวยงามบนแผ่นกระดาษ ก่อนจะเริ่มอ่านจดหมาย
ถึง คู่ชีวิตของผม แอนโทนี่ที่รัก
ผมขอสารภาพตามตรงว่าผมไม่รู้จะเขียนอะไรลงไปดีในจดหมายฉบับนี้ ผมอยากให้คุณรู้ไว้ว่าต่อให้ผมจะเป็นกัปตันอเมริกา แต่ผมรักคุณนะ ผมว่าคุณต้องได้ดูวิดิโอสัมภาษณ์อันนั้นแน่ๆ ผมอยากบอกคุณให้รู้เอาไว้ว่านั้นมันเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดสำหรับผมมากที่สุด ต่อให้ผมจะไม่เคยพูดคุยกับคุณและอาจจะไม่ได้พบกับคุณในช่วงชีวิตนี้ก็ตาม ผมรักคุณตราบสิ้นลมหายใจ มันอาจจะฟังดูเลี่ยนไปมาก ขอโทษด้วยนะ
วันนี้เป็นวันหยุดครั้งแรกหลังจากเป็นกัปตันอเมริกา ผมไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายมากขนาดนี้มาก่อนเลย งานที่ผมทำมันหนักจนผมเริ่มรู้สึกท้อแท้ ทั้งต้องปลุกระดมเหล่าพลทหารที่ต้องไปออกศึก กำจัดรังของพวกไฮรดาตามสถานที่ต่างๆ หลังจากจบการทำงานพวกพลทหารมักจะพูดกับผมเสมอว่า “นายนี่มันน่าอิจฉา” “ต่อให้มีแผลมากแค่ไหน พักสักหน่อยก็หายดี” “ตากลมหนาวขนาดนั้นยังไม่เป็นอะไรเลย” สารพัดคำพูดของพวกเขากล่าวมา ผมว่าผมไม่ใช่คนน่าอิจฉา เหมือนพวกเขาผลักภาระของคนปกติทำไม่ได้มาให้ผมทำเสียมากกว่าเพื่อชัยชนะในสงคราม
คุณรู้อะไรมั้ยผมมักจะคิดถึงคุณเสมอ จินตนาการถึงคุณว่า แอนโทนี่ สตาร์คเป็นคนยังไง หน้าตาแบบไหน ผมอยากจะวาดรูปของคุณ ผมมักจะถามกับเพื่อนสนิททั้งสองคนว่า ถ้าแอนโทนี่รู้ว่าสตีฟ โรเจอร์สคนนี้เป็นกัปตันอเมริกาเขาจะทำหน้ายังไง หรือหนังโรแมนติกเรื่องนี้แอนโทนี่จะชอบดูมั้ย ผมชอบเวลาพวกเขาทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ผม แต่ก็มีนานๆ ครั้งที่เพื่อนของผมจะนั่งคุยเกี่ยวกับคู่ชีวิตของตัวเอง
ผมว่าผมควรหยุดเขียนเรื่องราวลงในกระดาษแผ่นนี้ มันจะยาวเกินไป ผมหวังว่ากล่องคุกกี้ของผมจะอยู่ได้นานจนมันสามารถส่งไปถึงมือแอนโทนี่ ในนั้นมันเต็มไปด้วยความทรงจำของสตีฟคนนี้ ผมอยากให้คุณได้เก็บเอาไว้อ่าน
รักและคิดถึงเสมอ
จาก สตีฟ โรเจอร์ส
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
โทนี่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะก่อนเอ่ยคำอนุญาตให้คนที่เคาะประตูเข้ามา
“ช่วงเวลาซาบซึ้ง? ต้องขอโทษด้วยนะ เอานี่”
ฟิวรี่วางกล่องกระดาษทิชชู่กล่องหนึ่ง
“ขอบคุณครับ”
โทนี่นั่งเช็ดน้ำตาและน้ำมูกที่ไหลอยู่สักพัก ทางฟิวรี่เองไม่ได้มาแต่ตัว เขามาพร้อมกับรูปภาพที่เขาเก็บสะสมเอาไว้ในช่วงที่ยังเป็นเด็กฝึกในค่ายทหาร
“คือว่า... ผมขอพวกรูปภาพพวกนี้ได้มั้ยครับ”
“เอาไปเถอะคุณสตาร์ค คุณสมควรเก็บมันไว้ ภาพพวกนี้ด้วย”
ฟิวรี่ยื่นภาพถ่ายหลายๆ ใบให้โทนี่
“คิดไม่ถึงเลยใช่มั้ย? ว่าคู่ชีวิตของคุณจะเป็นคนที่ดีขนาดนี้”
“ผู้พันช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับเขาได้มั้ย”
“แน่นอน ...เท่าที่ฉันได้รู้จักเขาในตอนที่เป็นเด็กฝึกในค่าย เขาเป็นคนที่ตลก โรแมนติกมาก ใช่แล้ว-เขาจะเป็นคนแบบนั้นเฉพาะตอนที่เขาพยายามจินตนาการถึงคุณให้เพื่อนๆ ฟัง”
โทนี่บีบมือแน่นเมื่อรู้ว่าสตีฟเป็นคนที่ดีในสายตาคนอื่นๆ แล้วเขาล่ะ?
“คุณอย่าคิดว่าคุณไม่เหมาะกับเขา คุณสตาร์ค คุณเป็นคนฉลาด มากความสามารถ เขาจะต้องภูมิใจแน่นอนถ้าหากเขาได้พบกับคุณ เขาไม่สนใจหรอกไอ้เรื่องเหมาะไม่เหมาะ ขอให้ได้พบและรักคุณไปตลอดชีวิตก็พอแล้ว กัปตันอเมริกาน่ะไม่เรื่องเยอะอย่างที่คิดและไม่สนใจอะไรทั้งนั้นถ้ามันไม่เกี่ยวกับคุณ”
“ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าและภาพนะครับ”
“ฉันยินดีที่สิ่งของพวกนี้ส่งถึงมือคุณ คุณสตาร์ค”
โทนี่ใช้เวลาติดต่อขอไฟล์รูปภาพไม่นาน เอกสารความลับต่างๆ เขาตัดสินใจให้สำนักงานเป็นผู้เก็บเอาไว้เช่นเดิม ส่วนกล่องคุกกี้ จดหมายในซองสีน้ำตาลและรูปภาพทั้งหมดเขาต้องการเอากลับไป
เมื่อโฮเวิร์ดทราบว่าโทนี่ตามหาคู่ชีวิต เขาถูกต่อว่าอย่างรุนแรงภายในห้องนั่งเล่น ไม่สนใจมาเรียที่คอยห้ามปรามอยู่ข้างๆ ส่วนจาร์วิสพยายามหาทางช่วยเขา แต่โฮเวิร์ดโมโหจนไม่สนใจใคร ถ้อยคำด่าทอรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งกล่าวถึงคู่ชีวิตของโทนี่ยิ่งสรรหาประโยคทำร้ายจิตใจออกมา
โทนี่พยายามอดทนอดกลั้นต่อประโยคพวกนั้นโดยกอดกล่องคุกกี้ไว้ในอ้อมแขน จนกระทั่งฟางเส้นสุดท้ายที่กำหนดเอาไว้มันขาดสะบั้นลง โฮเวิร์ดเดินเข้ามาหยิบขว้างกล่องคุกกี้ใส่กำแพง จดหมายและรูปภาพที่อยู่ในกล่องกระจายไปทั่ว ขณะที่โฮเวิร์ดทำท่าจะเดินไปทำลายของพวกนั้น รูปภาพของผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งหัวเราะอยู่คนเดียวมองคนสองคนที่ทำหน้าเหมือนจะทะเลาะกันเล็กน้อย ทำให้โฮเวิร์ดหยุดอยู่กับที่
โทนี่ไม่ได้เห็นปฏิกิริยาของโฮเวิร์ด เขาวิ่งเข้าไปดึงโฮเวิร์ดให้ออกมาจากตรงนั้น ดวงตาสีเฮเซลนัทคลอไปด้วยน้ำตา ภายในใจเต็มไปด้วยความโกรธ เขารีบเก็บรูปภาพและจดหมายทุกฉบับให้เร็วที่สุดเท่าที่โฮเวิร์ดเดินเข้ามาทำลายไม่ทัน ก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้องทั้งอย่างนั้น
โฮเวิร์ดยังคงตกใจและตกตะลึงกับภาพถ่ายที่ได้เห็น ความทรงจำเหมือนจะจำได้จำไม่ได้ย้อนความอีกครั้ง มันเป็นวันที่พวกเขาทั้งสามคนได้มีเวลาพักผ่อนตรงกัน ซึ่งวันนั้น... บัคกี้แย่งขนมของเขาทำให้มีปากเสียงกันอยู่สักพัก ส่วนสตีฟนั่งวาดรูปวิวอยู่ข้างๆ กัน เขาสงสัยไปหมดเมื่อเห็นภาพพวกนั้นอยู่กับลูกชาย ทำไมโทนี่ถึงมีภาพพวกนั้น โทนี่ไปได้มาจากไหน หรือว่า-!!
สัมผัสของฝ่ามือวางลงบนบ่า โฮเวิร์ดหันมามองมาเรียด้วยความไม่เข้าใจและเหมือนเธอจะรู้ว่าเขาสงสัยจึงค่อยๆ พูดทีละประโยค ซึ่งมันค่อยๆ สร้างความรู้สึกผิดให้โฮเวิร์ดเรื่อยๆ
“...สตีฟ โรเจอร์ส ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร พอกลับมาจากวอชิงตันลูกมาบอกว่าคู่ชีวิตของเขาเป็นกัปตันอเมริกา”
มาเรียมองสามีที่นั่งลงบนโซฟาอย่างหมดแรงก่อนจะพูดต่อ
“รู้มั้ยว่าลูกของเรามีความสุขมากหลังจากที่เล่าให้ฉันฟัง มันน่าตกใจก็จริง แต่ก็ไม่คิดเลยว่าลูกของเราจะเป็นคู่ชีวิตของเขา คุณรู้จักเขาดีเลยไม่ใช่เหรอ คนที่คุณตามหามาโดยตลอด”
- เจ็ดปีผ่านไป -
ณ ตึกสำนักงานอเวนเจอร์
“มีข่าวด่วนจากหน่วยสำรวจทางขั้วโลกเหนือว่าพบ ‘พวกเขา’ แล้ว”
พนักงานชายในห้องทำการแต่ละแผนกบอกพนักงานคนอื่นๆ ภายในห้องให้ได้ทราบ หลังจากได้รับสายจากห้องกระจายเสียงว่าข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันเรียบร้อยแล้วว่าใช่พวกเขาจริงๆ
“นี่มันเป็นข่าวที่ดีมาก”
“ฉันหวังว่าจะได้เจอพวกเขาที่นี่นะ”
“โอ้พระเจ้า! นี่มันเป็นวันที่ดีมากๆ เลย”
เสียงพูดคุยของพนักงานดังไปทั่วทั้งห้องไม่มีที่ไหนในตึกสำนักงานไม่พูดถึงข่าวนี้ อาจจะยกเว้นห้อง T-01 บนชั้น 6 ของตึกสำนักงาน
T-01 ภายในห้องเต็มไปด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ กลิ่นน้ำมันเครื่องยนต์และสายไฟระโยงระยางไปทั่วห้อง มีคนสองคนนั่งทำงานหันหลังให้กัน ตัดขาดจากโลกภายนอกไปตั้งแต่เมื่อสี่วันก่อน ต่างคนต่างเริ่มจดจ่ออยู่กับงานที่เพิ่งถูกอนุมัติ
แองเจล่าวางอุปกรณ์ในมือลงเมื่อทำในส่วนสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย เธอยกมือบิดขี้เกียจคลายกล้ามเนื้อก่อนจะถอดหูฟังแล้วหันไปหาโทนี่ที่นั่งอยู่อีกฝั่งของห้อง พอเห็นว่าเพื่อนอีกคนยังคงทำงานหันหลังให้ เธอจึงปรับเก้าอี้ให้เอนลงไปเพื่อทำกิจกรรมรออย่างเช่น การถ่ายรูปเพื่อนำไปเขียนเป็นไดอารี่ของวันนี้
แชะ!
เสียงชัตเตอร์ของกล้องโพลารอยด์ดังขึ้น ตามมาด้วยแผ่นฟิล์มใบเล็กๆ ปริ้นออกมาเป็นรูปโทนี่นั่งหันหลังตั้งใจทำงานเหมือนรูปที่เคยถ่ายในครั้งก่อน ดัมมี่หมายเลข 04 ตัวโปรดของแองเจล่ายื่นสมุดไดอารี่และอุปกรณ์อื่นๆ ให้เธออย่างรู้งาน
วันที่ 17 ธันวาคม 2010
**แนบแผ่นฟิล์ม**
ทำงานครั้งนี้ใช้เวลาถึงสี่วัน มีพักเบรกน้อยกว่าครั้งก่อน คงต้องทดสอบประสิทธิภาพของงานในวันพรุ่งนี้ ฉันหวังว่ามันจะเป็นวันที่ดี ขอให้งานที่ตั้งใจทำในครั้งนี้มีปัญหาน้อยๆ ละกัน
ปล. ฉันว่าโทนี่คงคิดถึงคุณโรเจอร์สเต็มทีแล้ว
“เสร็จสักที”
เสียงโทนี่เรียกความสนใจให้แองเจล่าเงยหน้าขึ้นมามอง
“สวัสดียามสายในวันพุธครับเจ้านาย คุณแองเจล่า วันนี้สภาพอากาศมีแดดเล็กน้อยเหมาะสำหรับการพักผ่อนจากการทำงาน”
เอไออัจฉริยะชื่อจาร์วิสส่งเสียงทักทายคนในห้องอย่างที่ทำมาโดยตลอด
“จะกลับบ้านมั้ย ฉันว่าจะไปนอนตรงระเบียงสักหน่อยแล้วค่อยกลับบ้าน”
“พักสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
แองเจล่าและโทนี่แยกย้ายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องพักของตัวเอง ระหว่างนั้นจาร์วิสออกคำสั่งระบบภายในห้องทำงานให้ระบายอากาศพร้อมทั้งสั่งให้แม่บ้านนำอาหารมาไว้ตรงระเบียงพักผ่อนของพวกเขาทั้งสอง เสียงเครื่องระบายอากาศทำงานทำให้คนในสำนักงานต่างรับทราบว่านักประดิษฐ์อัจฉริยะของพวกเขาได้ออกมาจากห้องทำงานกันแล้ว
‘พวกเขาทำงานไม่หยุดพักเลยสินะ’
ทางด้านหน่วยสำรวจขั้วโลกเหนือ พวกเขาตั้งใจขุดเจาะแผ่นน้ำแข็งเพื่อนำร่างของคนสองคนที่ตามหากันมาอย่างยาวนานออกมาให้เร็วที่สุดก่อนพายุหิมะลูกใหญ่จะเคลื่อนตัวมาทางนี้ เมื่อนำร่างทั้งสองขึ้นเรือได้แล้วพวกเขาจึงได้เร่งออกเรือเพื่อพาพวกเขากลับอเมริกาให้เร็วที่สุดตามคำสั่งของผู้บัญชาการ
“อีกสี่ชั่วโมงเราจะขึ้นฝั่ง บอกให้ทางนั้นเตรียมตัวให้พร้อม”
พนักงานคนหนึ่งกล่าวขึ้นเมื่อเรือแล่นห่างจากแผ่นน้ำแข็งตรงพวกเขาไปขุดร่างที่ตามหาได้อย่างไม่มีปัญหา
“กำลังส่งสัญญาณวิทยุบอกอยู่ครับ”
พนักงานในเรือต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดงานที่พวกเขาทำมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่หรืออาจจะรุ่นคุณปู่คุณตาหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองได้จบลงอย่างสวยงามและปลอดภัยครบสามสิบสอง ภายในเรือเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดีที่ได้พบกับพวกเขา
วันรุ่งขึ้นพวกเขาทั้งสองคนมาทดสอบสมรรถภาพและประสิทธิภาพของผลงาน ซึ่งจุดเป็นปัญหามีเล็กน้อยกว่าผลงานที่ผ่านมามากๆ สร้างความพึงพอใจให้กับเจ้าของผลงานไม่น้อย
“ครั้งนี้ราบลื่นดีแฮะ วันคริสต์มาสนี้จะไปหาคุณมาเรียป่ะ”
แองเจล่ายืนเขียนผลลัพธ์หลังการทดลองอาวุธที่ตัวเองพัฒนาพลางถามคนข้างๆ มายืนดูเนื่องจากงานของโทนี่เสร็จไปตั้งแต่ช่วงสายของวันแล้ว
โทนี่นึกถึงหญิงสาวหน้าตาสสวยคนหนึ่ง เธอมักมีรอยยิ้มให้เขาอยู่ในห้องนั่งเล่นเสมอยามเขากลับไปยังคฤหาสน์ แต่มันผ่านมานานหลายปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับไป พอนึกถึงสาเหตุที่เขาไม่ได้กลับบ้านดวงตาเริ่มว่างเปล่าเหม่อมองท้องฟ้าสีครามตรงหน้า
โฮเวิร์ดในช่วงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างในมือถือรายงานล่าสุด ร่างของเพื่อนทั้งสองมาถึงอเมริกาได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน นี่คงจะเป็นสิ่งสุดท้ายของคนเป็นพ่ออย่างเขาจะทำให้ลูกได้ อย่างน้อยก่อนตายไปเขาขอได้เห็นเพื่อนเขาตื่นขึ้นมาไม่สิ--ต้องได้เห็นลูกชายและเพื่อนของเขาได้พบกันสักครั้ง มันไม่ใช่แค่ความปรารถนาของเขาเพียงผู้เดียวแต่มันเป็นความปรารถนาของเขาและบาร์นส์ด้วยเช่นกัน
“หวังว่าจะได้เห็นรอยยิ้มของลูกชายกลับมาอีกครั้งในรอบเจ็ดปีที่ผ่านมา”
ไม่อยากเชื่อเลยว่า ‘แอนโทนี่ สตาร์ค’ บนท้องแขนข้างนั้นจะเป็นชื่อลูกชายของเขา
ฟิวรี่รู้สึกปราบปลื้มและยินดีเหลือเกินที่ได้พบพวกเขาอีกครั้ง กัปตันอเมริกาและเพื่อนสนิทของเขา
สตีฟ โรเจอร์สและบัคกี้ บาร์นส์ ฟิวรี่มองคนสองคนกำลังนั่งทำหน้าไม่เข้าใจอยู่บนเตียงพักฟื้นในห้องพยาบาลของสำนักงานอเวนเจอร์
อ่า... เขาลืมไปได้ยังไงกันนะ ว่าที่นี่ยังมีอีกคนที่ต้องรู้สึกยินดียิ่งกว่าเขาเสียอีก
“สงครามจบลงแล้วกัปตัน-ไม่สิคุณโรเจอร์ส คุณบาร์นส์ ปีนี้ปี 2010 หากจะนับเวลาที่พวกคุณสองคนหลับไปก็ประมาณ...”
“77 ปีกับอีก 6 เดือน”
ฟิวรี่หันไปมองคนมาใหม่แต่สำหรับคนป่วยนั้น ...คุ้นเคยกันดี
“หลังจากวันนั้นก็นานมากแล้วสินะบัคกี้ ...สตีฟ”
โฮเวิร์ดมองเพื่อนทั้งสองด้วยความคิดถึงและสายตารู้สึกผิดให้กับสตีฟ
“ฉันมีเรื่องเล่าเยอะแยะเลยล่ะนะที่อยากให้พวกนายได้ฟัง...”
“โทนส์! แองจี้!”
เสียงเรียกคนทั้งสองดังขึ้นท่ามกลางเหล่าญาติๆ ของนายทหารที่มารับนายทหารกลับบ้าน เจมส์ โรดส์โบกมือเรียกความสนใจให้เพื่อนสนิททั้งสองคน
แองเจล่าโบกมือกลับไปให้เป็นสัญญาณว่าเธอเห็นโรดส์แล้ว
“เข้ากรมไปตั้งหลายปีทำไมยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ”
โทนี่บ่นพึมพำกับแองเจล่า สายตายังคงมองนายทหารอากาศพยายามบุกฝ่าดงคนเพื่อเข้ามาหาพวกเขา
“โรดี้ก็คือโรดี้”
แองเจล่าบอกกับโทนี่ก่อนจะรับแรงกระแทกจากเพื่อนนายทหารวิ่งเข้ามาเพื่อกอดเพื่อนสนิท และสาเหตุทำให้แองเจล่าต้องมารับแรงกระแทกคนเดียวนั้นเป็นเพราะโทนี่มีไข้อ่อนๆ แต่อยากมารับเพื่อนมากกว่านอนอยู่ที่บ้าน
“คิดถึงจัง ในที่สุดก็ได้เจอพวกนายสักที นึกว่าจะไม่ได้กลับก่อนวันคริสต์มาสอีฟซะอีก”
“ถ้างั้นขากลับเราแวะซื้อของดีมั้ย ผ่านห้างสรรพสินค้าด้วย”
แองเจล่าหันมาถามโทนี่
“ก็ดีนะ มีของใช้ที่อยากได้อยู่พอดี”
โทนี่ตอบพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย โรดี้แทบจะฉีกยิ้มเมื่อรู้ว่าจะได้ไปเดินซื้อของกลับเพื่อนเหมือนเมื่อก่อน
“ฉันชอบจังเวลาพวกเราไปซื้อของ”
“ฉันเห็นด้วย”
แองเจล่าเห็นด้วยกับประโยคของโรดส์ เพราะมันไม่ได้แค่ไปเดินซื้อของ บางทีของบางอย่างมันแค่อยากได้ จะมีคนคอยถามเสมอว่าจะเอาไปทำอะไร ของบางอย่างเราเห็นแล้วอดใจไม่ไหวต้องซื้อมาสะสมจะมีคนคอยห้าม ซึ่งบางครั้งไม่ได้ห้ามหรือจบลงซื้อมันทั้งสามคน
“ระหว่างที่ฉันไม่อยู่พวกนายเป็นยังไงบ้าง มีเหตุการณ์น่าปวดหัวหรือมีเรื่องที่ดีมั้ย”
โรดส์ถามขึ้นหลังจากพวกเขาขึ้นรถมาได้สักพักแล้ว
“มีทั้งดี เครียด ป่วยจนลุกไปทำงานไม่ไหว อ้อ... ล่าสุดงานที่ฉันกับโทนี่ทำผลออกมาได้ค่อนข้างดีเลย มีปัญหาไม่เยอะเท่าอันเก่า แล้ว... เหมือนสำนักงานมีข่าวดีนะ เห็นพวกพนักงานต่างมีสีหน้าไม่อมทุกข์กันซะส่วนใหญ่”
“ฉันไม่ได้สังเกตเลย”
“ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรนะ แต่ฉันคิดว่าคงเป็นวันหยุดคริสต์มาสที่จะถึงนี่ล่ะมั่ง”
พวกเขาทั้งสามคนเข้ามาในลานจอดรถของห้างแล้วเรียบร้อย ก่อนเข้าไปแองเจล่าต้องเตือนโรดส์ไม่ให้หยิบของที่มีอยู่แล้วกลับบ้าน
“วัตถุดิบสำหรับมื้อค่ำในวันคริสต์มาสไม่ต้องหยิบมานะ ยกเว้นเนื้อ ไก่งวง แฮม แป้งที่เอาไว้กินกับไก่ ขนม นม อะไรก็แล้วแต่ที่อยากได้”
“ทำไมถึงไม่ซื้อของมาทำล่ะ”
โรดส์ถามอย่างสงสัย
“สวนของแองเจล่ามีทุกอย่างโรดี้ ยกเว้นวัวกับไก่งวง” โทนี่ตอบแทนไขข้อข้องใจให้เพื่อน
“ว้าว...”
เมื่อมาเรียได้พบกับแขก เธอรู้สึกมีความหวังเล็กๆ ใบหน้ามีริ้วรอยชัดเจนยกยิ้มต้อนรับแขกทั้งสอง
“นี่มาเรีย ภรรยาฉันเอง มาเรีย นี่คือบัคกี้ บาร์นส์กับสตีฟ โรเจอร์ส”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบคุณทั้งสองคน”
วันคริสต์มาสปีนี้ลูกชายของเธอจะกลับมาบ้านหรือไม่นะ
เสียงริงโทนดังขึ้นมีสายโทรเข้ามา โทนี่หยิบมือถือขึ้นมาดูพบว่าเป็นเบอร์ไม่มีชื่อ แต่สำหรับเขาคุ้นเคยหมายเลขนี้ดี เขารู้สึกลังเลไม่น้อยเพราะไม่มีใครโทรมาหาเขาตั้งแต่ออกจากบ้าน ส่วนใหญ่จาร์วิสหรือมาเรียเดินทางมาหาเขาถึงที่บ้านจัดสรรไม่ก็ที่ทำงาน โทนี่ขบคิดได้ไม่นานเขาสัมผัสได้ถึงฝ่ามือบนบ่า เขาหันไปมองแองเจล่าพยักหน้าให้รับสาย พวกเธอจะไปรอที่โซนขนม เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนกดรับสาย
“ครับ? ”
(โทนี่ลูก นี่แม่นะ)
เสียงจากปลายสายเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก
“แม่โทรมามีอะไรหรือเปล่า”
โทนี่เอ่ยถามเพราะแม่ไม่เคยคิดจะใช่โทรศัพท์บ้านโทรมาหาเขา มีแต่เดินทางมาหาเองเสียมากกว่า
(คริสต์มาสนี้มาหาแม่ที่บ้านได้มั้ย หลังจากทานอาหารกับเพื่อนก็ได้)
มาเรียตัดสินใจเอ่ยขอลูกชาย จุดประสงค์ของเธอโทรไปแท้จริงแล้ว เธอแค่อยากถามเท่านั้นว่าลูกชายจะมาบ้านหรือไม่ เธอกลัวว่าในปีนี้จะไม่ได้เจอลูกชายเหมือนเจ็ดปีที่ผ่านมา ไม่อยากให้ลูกชายของเธอต้องใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวดอีกแล้ว
“...ผม”
(...)
“ผมคิดว่า ...กำลังคิดว่าจะไปจัดงานเลี้ยงที่บ้านดีมั้ย”
โทนี่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังพูดอะไรออกไป เขารู้สึกว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นที่บ้านของเขาแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรและส่วนลึกในใจของเขาในตอนนี้อยากจะเคลียร์กับพ่อดูสักครั้งเพื่อเคลียร์ปัญหาเมื่อเจ็ดปีก่อน
(แม่หวังว่าประโยคเมื่อครู่จะเกิดขึ้นจริงๆ นะลูก แม่คิดถึงลูกมากๆ ถ้ากลับบ้านมาอย่าลืมชวนแองเจล่ากับโรดี้มาล่ะ แม่จะลงครัวช่วยแม่บ้านทำอาหารให้สุดฝีมือเลย)
“ครับ ผมขอคิดดูก่อนนะ”
โทนี่กดวางสายไปแล้ว มาเรียหันมามองหัวหน้าพ่อบ้านจาร์วิสที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ทีแรกว่าจะถามเฉยๆ กลายเป็นขอให้เขามาซะงั้น แต่ว่า... ประโยคที่ได้ยินฉันหวังไว้สูงเหลือเกิน”
“คุณนาย”
มาเรียส่ายหน้าให้จาร์วิส
“ถ้าหากเขามาจริง แองเจล่าต้องโทรมาเช็คว่าที่นี่ยังขาดเหลือของอะไรหรือเปล่า”
กริ๊ง กริ๊ง
“คุณนายสตาร์ครับสายค่ะ”
จู่ๆ มาเรียทำตาโตใส่หัวหน้าพ่อบ้าน พลางชี้นิ้วไปทางโทรศัพท์บ้าน
ภายในห้องทำงานของโฮเวิร์ดเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความไม่เข้าใจของกัปตันอเมริกา หลังจากพวกเขาเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้โฮเวิร์ดดูเศร้าหมองมากกว่าเก่ายามมองไปในห้องนั่งเล่นหรือแม้แต่บานประตูปิดสนิทอีกฝั่งของคฤหาสน์ เมื่อเข้ามาในห้องทำงานจู่ๆ โฮเวิร์ดเอ่ยประโยคขอโทษก่อนเริ่มเล่าเรื่องของเด็กคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของห้องนั้น
สตีฟอยากไม่เข้าใจถึงความรู้สึกของโฮเวิร์ด ไม่อยากเข้าใจเลยหลังจากได้ฟังสิ่งที่เพื่อนของเขาทำกับลูกชายของตัวเอง ตัวเขาเฝ้าใฝ่ฝันถึงคู่ชีวิตมาโดยตลอดชีวิตนี้ มักไม่พอใจทุกครั้งเมื่อมีคนพูดถึงคู่ชีวิตของตัวเองในทางไม่ดี พอมาเป็นโฮเวิร์ดกลับทำให้เขาพูดไม่ออก เพื่อนของเขาผิดหวังกับคู่ชีวิต หญิงสาวคนนั้นเลือกไปอยู่กับคนมีอำนาจมากกว่าคู่ชีวิตของตัวเอง ความรู้สึกของเขามันซับซ้อนจนปวดหัวต่างจากบาร์นส์ที่โมโหและโกรธแทนลูกชายโฮเวิร์ดไปแล้ว
“นายเป็นเพื่อนที่ดีนะพวก ทุกอย่างที่นายตั้งใจทำมันขึ้นมาในอดีตจนถึงตอนนี้ นายเป็นอัจฉริยะและเป็นผู้นำที่ดี แต่กลับเป็นพ่อที่ไม่ดีต่อลูก”
บาร์นส์นั่งตัวตรงกอดอก นึกเสียดายที่อีกฝ่ายอยู่ในวัยชรา ร่างกายอ่อนแอไม่เหมือนเมื่อก่อน จะลุกขึ้นไปซัดสักทีคงได้พาเข้าโรงพยาบาล
“นายต้องไปขอโทษลูกนายโฮเวิร์ด ฉันไม่ได้คาดหวังจากตัวนายว่าจะต้องเป็นพ่อที่ดี แต่นายก็ไม่สมควรทำแบบนี้กับลูกตัวเองโดยเฉพาะเรื่องนี้”
“ฉันก็หวังว่าเขาจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง”
บาร์นส์มองโฮเวิร์ดก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่โดยมีสตีฟตบบ่าอยู่ข้างๆ
“โทนส์ ไม่เป็นไรนะเพื่อน”
โรดส์กล่าวอย่างเป็นห่วง เห็นเพื่อนมีท่าทางรู้สึกไม่ดีเมื่อมองคฤหาสน์ตรงหน้า
พวกเขาทั้งสามคนมาถึงคฤหาสน์--บ้านของโทนี่เรียบร้อย แองเจล่าเริ่มรู้สึกกังวล เธอคิดว่าโทนี่อาจเห็นความทรงจำเก่าๆ ไม่ดีต่อตัวโทนี่เพราะพิษไข้ ทั้งที่เมื่อไม่กี่วันก่อนยังเป็นแค่ไข้อ่อนๆ เท่านั้น มาวันนี้กลับมีไข้สูงจนเธอไม่อยากให้เขามา
“ฉันจะเข้าไปนอนที่ห้อง ไม่ต้องห่วงหรอก”
โทนี่บอกให้เพื่อนทั้งสองรับรู้ว่าตัวเขาคงไม่ได้ออกไปเดินเล่นตากลมที่ไหน วันนี้เขามาที่นี่เพราะลางสังหรณ์ของตัวเอง เขาขยับปอกแขนข้างซ้ายก่อนเดินเข้าไปในบ้าน โทนี่มักทำมันทุกครั้งเวลาอยู่บ้าน เขาไม่ต้องการให้พ่อเห็นชื่อคู่ชีวิตของตัวเอง ไม่อยากให้สตีฟต้องมาถูกกล่าวหาว่าร้ายใส่
ทว่าความจริงมันกลับเล่นตลก โทนี่คิดว่าตัวเองจะเดินเข้าไปทักทายแม่ จาร์วิสและแม่บ้านคนอื่นๆ แล้วเข้าห้องนอนพักผ่อน เดินเข้ามาในบ้านไม่กี่ก้าว จะได้พบกับคนที่เขาไม่อยากเจอมาโดยตลอด แองเจล่าบีบไหล่เป็นสัญญาณให้กำลังใจ ไหนๆ เจอกันแล้วคุยกันให้มันรู้เรื่องจะได้จบปัญหานี้เสียที
โฮเวิร์ดไม่คิดว่าวันคริสต์มาสอีฟจะได้เจอลูกชายแต่เช้า
“โทนี่”
“...”
“คุยกับพ่อได้มั้ย”
“คุยเรื่องอะไร”
เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้คุยกันมานานหรือเปล่า โอเวิร์ดจำไม่ได้ว่าเสียงของโทนี่แหบแห้งขนาดนี้ หรือว่าป่วย?
สำหรับโทนี่ เขาว่าจะถอดตัวจากการเป็นทายาทสตาร์คอินดัสเทรีย เขาไม่อยากอยู่ในวังวนน่ารังเกียจนั่น ไม่อยากได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อสร้างขึ้นมา เขาไม่อยากแต่งงานกับใครเพียงเพื่อสืบทอดธุรกิจ ไม่อยากทำร้ายตัวเองและสตีฟที่จากไปอย่างโดดเดี่ยว
“เรื่องเมื่อเจ็ดปีก่อน... พ่ออยากขอโทษกับสิ่งที่พูดและทำในวันนั้น”
โฮเวิร์ดมองดวงตาคู่นั้น มันเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาก่อนเจ้าของจ้องมองเขาด้วยความเจ็บปวด
“ขอโทษ... ทำไมถึงอยากพูดตอนนี้”
โทนี่บังคับให้กล่าวเสียงไม่สั่นไม่ได้แล้ว นิสัยปากเสียของเขาหยุดไม่ได้เช่นกัน
“ถามหน่อยสิ ตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมาในวันนั้น พ่อต้องการให้ผมทำอะไรถึงจะเรียกมันว่า ‘ก้าวหน้า’ ผมทำทุกอย่างเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ทำทุกอย่างให้มันเหนือกว่าทุกผลงานที่พ่อสร้างขึ้นมา จนกระทั่งเข้าเรียนที่ MIT [1] ตอนอายุ 15 ผมพอจะเห็นว่าพ่อเริ่มปล่อยให้ผมทำอะไรก็ได้ ผมคิดว่าตั้งแต่วันนั้นผมสามารถตามหาคู่ชีวิตของผมได้โดยไม่ต้องถูกพ่อต่อว่าใส่”
MIT [1] (Massachusetts Institute of Technology) สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาซูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ที่มีชื่อเสียงมานานในเรื่องงานวิจัยและการศึกษาในสาขาเคมี ฟิสิกส์ และวิศวกรรมศาสตร์สาขาต่างๆ แล้วเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นต่อๆ มาในสาขาชีววิทยา เศรษฐศาสตร์ ภาษาศาสตร์ และการจัดการ
โทนี่เริ่มระบายความอึดอัดภายในใจที่เก็บเอาไว้มานาน โดยไม่สนใจว่ามีใครนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นกับพ่อของเขาสักนิด บาร์นส์นั่งจ้องโฮเวิร์ดไม่คาดสายตา เขารู้ว่าเพื่อนคนนี้มีนิสัยชอบเดินหนีความผิดของตัวเอง แน่นอนว่าเขาต้องการให้โฮเวิร์ดนั่งฟังความไม่สบายใจของลูกชายที่เกิดจากการกระทำของตัวเอง ยังดีสตีฟเข้าไปช่วยพวกแม่บ้านทำอาหารอยู่ในครัว ไม่งั้นสองพ่อลูกคู่นี้คงไม่ได้คุยกัน เด็กคนนี้ถึงมีนิสัยปากร้ายเหมือนโฮเวิร์ด ฟังดูจากคำพูดคงเป็นนิสัยที่มักเกิดขึ้นเวลาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ไม่เหมือนคนพ่อทำตัวปากร้ายไปทั่ว (เมื่อก่อน)
“ผมใช่เวลาตามหาคู่ชีวิตของผมมาสามปีพอผมกลับบ้านมา พ่อก็เข้ามาพูดเหมือนผมทำอะไรสักอย่างผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย พ่อไม่ได้แค่ต่อว่าผมแต่ลามไปถึงคู่ชีวิตที่จากไปแล้ว นั้นมันยังพอทนได้เพราะผมไม่เคยบอกกับพ่อว่าคู่ชีวิตของผมเป็นใคร แต่พ่อกลับเดินเข้ามาหยิบของของเขาแล้วปาใส่กำแพงจนมันพัง! ของที่เขาเก็บไว้ให้ผม... ผมยังไม่ได้หยิบขึ้นมาดูเลย พ่อมีสิทธิ์อะไร! มีสิทธิ์อะไรถึงทำแบบนี้!!”
โทนี่เริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก แต่ความโกรธและโมโหทำให้เขามีแรงกล่าวต่อไป มีหอบบ้างเล็กน้อยแต่ไม่ได้สนใจ เขาอยากเอ่ยมันออกมา ความอึดอัด ความทรมานที่อยู่กับเขามาถึงเจ็ดปี โฮเวิร์ดต้องรู้สึกผิดจนให้อภัยตัวเองไม่ได้
ทางด้านโฮเวิร์ดรู้สึกผิดมาตลอดเจ็ดปีตั้งแต่วันนั้น พอมารู้ความรู้สึกอัดอั้นของลูกชายยิ่งเจ็บปวดหัวใจ
นี่เขาทำอะไรลงไป? ทำไมโทนี่ถึงกลายเป็นแบบนี้ เขาทำอะไรลงไป...
เสียงร้องไห้ดังพอเรียกความสนใจให้คนในครัวออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนั่งเล่น มาเรียแทบลมจับยามเห็นลูกชายที่เธอรักยืนร้องไห้ แผ่นหลังนั้นดูห่อเหี่ยว ในอดีตมันเคยตั้งตรงดูเป็นสง่าและสั่นไหวทุกครั้งยามมีเสียงหัวเราะ วันนี้แผ่นหลังนั้นกลับเต็มไปด้วยความทุกข์และความเจ็บปวด
ร่างกายของโทนี่ทนพิษไข้ถึงขีดสุด พอเขาหยุดพูดเรี่ยวแรงจากเคยมีเพราะความโกรธหดหายไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายเริ่มโงนเงนจนทรงตัวไม่อยู่
สตีฟวิ่งเข้ารับตัวโทนี่เข้าสู่อ้อมแขนไว้ทันก่อนล้มลงกับพื้น เขาสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของคนในอ้อมแขน คนคนนี้ตัวร้อนมากอาจเกิดอาการช็อกได้ แองเจล่ารู้ทันทีเมื่อเห็นปฏิกิริยาของสตีฟ
“รีบไปเตรียมน้ำเย็นเร็ว! ห้องไหนก็ได้เร็วๆ เลย!!”
แม่บ้านคนหนึ่งวิ่งเข้าไปในห้องน้ำภายในห้องนอนของโทนี่ แม่บ้านอีกคนหยิบน้ำแข็งจากครัวมาเติมให้น้ำมีอุณหภูมิเย็นเท่าที่เย็นได้ แองเจล่าโทรหาแมท เพื่อนหมอข้างบ้านให้มาที่นี่ ส่วนสตีฟอุ้มโทนี่ไปยังห้องน้ำเพื่อลดอุณหภูมิในร่างกายให้เร็วที่สุด
โฮเวิร์ดมองลูกชายถูกสตีฟอุ้มเข้าไปในห้อง เขาหันไปหามาเรียแทบจะเป็นลมตามลูกชายไปอีกคน เขาพาภรรยามานั่งโซฟาปรับอารมณ์ไม่ให้เครียดจนเกินไป
โรดส์พอรู้จักเพื่อนหมอคนนี้อยู่บ้างจึงอาสาไปรอรับประตูหน้าบ้าน แมทวิ่งขึ้นไปดูอาการคนไข้ ทันทีที่ได้เห็นสภาพโทนี่ในห้องน้ำ เขาแทบกรีดร้องออกมา
“นี่มันแย่มาก แย่มากๆ ร่างกายเขาขาดสารอาหารสำคัญเป็นเวลานาน พักผ่อนไม่เพียงพอ ความดันในเลือดสูงและมีสภาวะความเครียดสูง ต้องฉีดยาลดไข้ มีของอะไรพอจะแขวนถุงน้ำเกลือได้มั้ย ผมต้องให้น้ำเกลือกับเขา”
แมทเอ่ยถามแม่บ้านขณะเตรียมเข็มฉีดยา
“จะรีบไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้ค่ะ”
แม่บ้านคนที่วิ่งเข้ามาเปิดน้ำใส่อ่าง ออกไปยกย้ายไม้แขวนเสื้อคลุมเข้ามาใกล้ๆ เตียงนอน ในขณะที่แมทฉีดกำลังฉีดยาลงบนต้นแขนของโทนี่
“แช่น้ำอีกสักสองนาที เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพาไปนอน ฉันจะไปเตรียมอุปกรณ์เจาะสายน้ำเกลือ”
“คุณอยู่กับโทนี่ไปก่อนนะ ฉันจะไปเอาเสื้อผ้า”
สตีฟพยักหน้าเข้าใจ แม้แอบรู้สึกอ่อนไหวกับชื่อของคนป่วยทุกครั้งเมื่อได้ยิน แต่เขาพยายามไม่ใส่ใจมัน คนคนนี้เป็นลูกชายของโฮเวิร์ด ถึงเขาอยากคิดเข้าข้างตัวเองทว่ามันยังไม่ใช่ตอนนี้
แองเจล่าเดินเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าในมือ สตีฟทำท่าจะรับเสื้อผ้าพวกนั้นมาเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แต่แม่บ้านที่เคยเลี้ยงโทนี่เข้ามาขอจัดการเสียเอง สตีฟเข้าไปอุ้มคนป่วยไปยังเตียงหลังแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย
ปอกแขนถูกถอดออกเมื่อตอนแม่บ้านเปลี่ยนเสื้อผ้า สตีฟกดความรู้สึกตัวเองเอาไว้ในอก เขามองคุณหมอเจาะสายน้ำเกลือเสร็จเรียบร้อย พลางฟังคุณหมอบ่นถึงคนไข้ว่าไม่ดูแลตัวเอง กำชับว่าให้โทนี่ได้นอนอย่างเพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์และสารอาหารครบถ้วน
แองเจล่าให้แม่บ้านลงไปทำอย่างอื่นต่อ คุณหนูโทนี่ของพวกเขาปลอดภัยแล้วและต้องการเวลาพักผ่อน ก่อนเดินออกจากห้องเธอเดินเข้ามาหาสตีฟที่ยังยืนมองโทนี่ด้วยสายตาเป็นห่วง
“ฉันนึกว่าคุณโฮเวิร์ดบอกกับคุณแล้วซะอีก”
สตีฟหันหน้ามามองแองเจล่าอย่างไม่เข้าใจกับประโยคที่เธอกล่าวมา
“ฉันพอจะจำภาพในกล่องคุกกี้ใบนั้นได้คุณโรเจอร์ส และคุณโฮเวิร์ดต้องรู้อยู่แล้วว่าคู่ชีวิตของลูกชายคือใคร ลงไปถามเขาเองเถอะแล้วค่อยมาดูแลโทนี่”
สตีฟพยักหน้า เขามองชื่อตัวเองบนท้องแขนข้างซ้ายของคนป่วยบนเตียงสักพักก่อนเดินออกจากห้องไป
ในที่สุดก็ได้เจอคู่ชีวิตของเขาแล้ว
“เมื่อเจ็ดปีก่อนจดหมายฉบับนั้นของคุณได้ทำหน้าที่ของมันสำเร็จแล้ว กล่องใบนั้นก็ได้ไปอยู่กับเจ้าของอีกคนที่มารับมันกลับบ้าน”
“คนคนนั้น...พอเขารู้เรื่องของผมแล้วเป็นยังไงบ้าง”
ฟิวรี่ยกยิ้มเมื่อนึกถึงเด็กหนุ่มอายุ 18 ร้องไห้อยู่กับจดหมายหนึ่งฉบับ
“เขาดีใจจนร้องไห้เลยล่ะกัปตัน”
สตีฟนึกถึงคำพูดของฟิวรี่ขณะมือกำลังเช็ดตัวให้คนป่วยที่นอนไม่สบายตัวเพราะพิษไข้กำเริบกลางดึก
งานเลี้ยงในคืนวันคริสต์มาสอีฟถูกยกเลิกโดยไม่มีใครคัดคาดแม้ว่าตามหลักแล้วพวกเขาควรเริ่มจัดงานเฉลิมฉลองกัน คนในคฤหาสน์สตาร์คปฏิเสธจัดงานเลี้ยงฉลองในวันคุณหนูสตาร์คป่วยหนัก ไม่ว่าเทศกาลไหนหรือวันอะไร
แองเจล่าขับรถออกไปหยิบของสำคัญในบ้านของโทนี่ (บ้านในหมู่บ้าน) ส่วนคนอื่นๆ แยกย้ายกันไปทำงานเหมือนวันนี้ไม่ใช่วันคริสต์มาสอีฟ แมทถูกเรียกให้ไปช่วยเคสฉุกเฉิน ส่วนโรดส์นั่งคุยกับบาร์นส์เรื่องการทหาร มาเรียนั่งอยู่กับโฮเวิร์ดในห้องทำงาน เธอไม่อยากให้โฮเวิร์ดคิดอะไรไม่เข้าท่าจึงเข้ามานั่งคอยมองอยู่ตลอด
เข็มยาวชี้ไปที่เลขสิบสองเสียงนาฬิกาดังไปทั่ว จู่ๆ โทนี่เริ่มรู้สึกตัวแต่เพราะพิษไข้ยังมีอยู่มากส่งผลให้ไม่มีแรงขยับไปไหน สิ่งแรกที่เขาเห็นคือกะละมังใบเล็กมีผ้าพาดไว้ที่ขอบ เขาพอนึกออกว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากได้ระบายความอึดอัดในใจ แต่ใครกันที่รับร่างเขาทันก่อนร่างของเขาร่วงลงกับพื้น
สัมผัสของฝ่ามือวางทับบนหน้าผา โทนี่ละสายตามองเจ้าของสัมผัสฝ่ามือนั่น ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเป็นไข้หนักถึงขั้นเห็นภาพหลอน
“ภาพ...หลอน? ”
ทำไมเขาเห็นสตีฟอยู่ที่นี่? สตีฟใช้ฝ่ามือวัดไข้ให้เขา สตีฟ...อยู่ใกล้มากจนรู้สึกกลัว ...กลัวว่ามันจะเป็นแค่ความฝันของโทนี่ในตอนป่วยหนัก
“อยากดื่มน้ำมั้ยครับโทนี่”
สตีฟเอ่ยถามคนป่วย มือคอยคลำตัววัดอุณหภูมิร่างกาย ตามตัวเริ่มมีเหงื่อออก เห็นคนป่วยส่ายหน้าไม่เอาน้ำ เขาจึงขออนุญาตเช็ดตัว
“เหงื่อคุณเริ่มออก ผมเช็ดตัวให้นะครับ จะได้สบายตัว”
สตีฟเตรียมหยิบกะละมังไปเปลี่ยนน้ำ สายตาดันไปเห็นดวงตาเฮเซลนัทจ้องมองมาทางเขาพร้อมกับน้ำตาไหลลงหมอน ใจสตีฟแทบกองไปกับพื้นเมื่อคนป่วยยกมือขึ้นมาจับมือเขาที่กำลังเช็ดน้ำตาเอาไว้แน่นพร้อมกับเรียกชื่อ
“สตีฟ... สตีฟ... มันคือความฝัน...หรือภาพหลอนกันแน่ ฮึก”
เขาเม้มปากแน่นมองคนป่วยที่เอาแต่ร้องไห้ พูดพึมพำว่ามันเป็นภาพหลอนหรือมันเป็นความฝันวนไปวนมาหลายครั้ง หากเปรียบเทียบตัวเขาไม่เคยเห็นเจ้าตัวมาก่อนถูกแช่แข็งมันดูไม่รู้สึกเจ็บปวดมากเท่าโทนี่ ที่พยายามตามหาจนรู้ว่าเขาหายสาบสูญไปในสงคราม มีรูปภาพให้เห็นให้นึกถึง มีจดหมายให้อ่านเป็นเรื่องเล่าจากตัวเขา
สตีฟโน้มตัวลงประกบริมฝีปากบนหน้าผาชื้นเหงื่อ จูบปลอบประโลมคนป่วยครั้งแล้วครั้งเล่า
“มันไม่ใช่ทั้งความฝันหรือภาพหลอนเลยโทนี่ มันคือความจริง ผมอยู่ตรงหน้าคุณแล้ว”
โฮเวิร์ดกับมาเรียฟังคนในห้องคุยกัน เธอร้องไห้ออกมาเงียบๆ พวกเขานอนไม่หลับจึงตัดสินใจมาดูลูกชาย ไม่คิดเลยว่าลูกชายของพวกเขาจะเป็นถึงขนาดนี้ พวกเขาตัดสินใจเดินกลับห้องปล่อยให้สตีฟเป็นคนจัดการสภาพจิตใจอันย่ำแย่ของลูกชาย
สตีฟขยับมือออกจากมือโทนี่ที่หลับไปแล้วเพราะความเพลียและพิษไข้ เขาเดินไปเปลี่ยนน้ำในกะละมัง จัดการเช็ดตัวให้เรียบร้อย เฝ้ามองคนนอนหลับอยู่สักพักแล้วฟุบหลับอยู่ข้างๆ หากโทนี่ตื่นมาจะได้เห็นเขาทันที ไม่ร้องไห้งอแงว่าเมื่อคืนฝันถึงเขาหรือเห็นภาพหลอนไปเอง
โทนี่จำได้ว่าตัวเองฝัน... ฝันถึงสตีฟมาเฝ้าไข้อยู่ข้างๆ เตียงเขา มันเป็นเรื่องโคตรงี่เง่าแต่กลับรู้สึกดีที่เขาไม่ฝันร้ายเหมือนทุกครั้งเวลาป่วย เขาลืมตาขึ้นมามองเพดานห้องนอน เพดานที่เห็นทุกครั้งตั้งแต่จำความได้จนเมื่อเจ็ดปีก่อนเขาจากไป เขาค่อยๆ ขยับพลิกตัวไปทางซ้ายเพื่อมองสิ่งประดิษฐ์ตอนเขาอายุยังน้อยทำมันขึ้นมา แต่สายตากลับเห็นคนคนหนึ่งนอนฟุบหลับอยู่ข้างเตียง มันเป็นตำแหน่งที่เขาฝันถึงสตีฟเมื่อคืนนี้... เดี๋ยวนะ!
โทนี่รู้สึกเมื่อมือของเขามันสั่น เขาเอื้อมมือไปจับเส้นผมสีบลอนด์แผ่วเบา สายตามองสำรวจคนตรงหน้า กล้ามแขนใหญ่กว่าเขาสักแปดเท่า โทนี่ลูบเส้นผมจนอีกฝ่ายรู้สึกตัว เขามองคนฟุบหลับเงยหน้ามามอง ซึ่งใบหน้านั้นทำเอาเขาน้ำตาไหลอีกรอบ
มัน...ไม่ใช่ความฝัน
“ร้องไห้อีกแล้ว”
สตีฟพึมพำกับตัวก่อนยกมือมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าคนป่วย
“อรุณสวัสดิ์โทนี่”
“ส สตีฟ...”
โทนี่เอื้อมมือสัมผัสใบหน้าสตีฟแผ่วเบา ใบหน้านี้มันเหมือนกับในรูปภาพที่เขามักดูก่อนนอนไม่มีผิด เขาเอียงหน้าซบไปกับฝ่ามือใหญ่ ปล่อยให้คนตัวใหญ่เช็ดน้ำตาให้อย่างทะนุถนอม
ดีเหลือเกิน อบอุ่นเหลือเกิน
เขาลืมตามองดวงตาสีฟ้าคู่นั้นก่อนเลื่อนมาดูท้องแขนข้างขวา มือลูบสัมผัสชื่อตัวเองบนนั้นอย่างมีความสุข สตีฟไม่อยากรบกวนคนป่วยจึงก้มศีรษะลงให้หน้าผาเขาสัมผัสกับหน้าผาโทนี่ ตัวยังร้อนอยู่แต่เขาคิดว่าดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก
“ตัวยังร้อนอยู่เลย เดี๋ยวล้างหน้าแปลงฟันแล้วทานข้าวนะจะได้ทานยา”
โทนี่พยักหน้าอย่างว่าง่าย
สตีฟพยุงโทนี่ลุกขึ้นเดินเพราะคนป่วยบอกว่าไม่ค่อยมีแรง แต่พอยืนได้แล้วโทนี่ขอตัวไปจัดการทำธุระของตัวเอง ส่วนสตีฟลงไปข้างล่างเพื่อดูว่ามีแม่บ้านทำอาหารอ่อนๆ ให้คนป่วยหรือยัง
“อรุณสวัสดิ์คุณโรเจอร์ส”
แองเจล่าทักทายคนเฝ้าคนป่วยทันทีเมื่อเห็นหน้า เธอกำลังทำเครื่องเคียงสามอย่าง โดยมีบาร์นส์ยืนคนโจ๊กปรุงรสตรงหน้าเตาแก็ส ส่วนโรดส์กำลังหาถ้วยมาใส่ซุปไก่
“อรุณสวัสดิ์สตีฟ โทนี่เป็นยังไงบ้าง”
“อรุณสวัสดิ์ครับ อรุณสวัสดิ์บัคกี้ ตัวยังร้อนอยู่แต่เริ่มมีแรงเดินไปไหนมาไหนได้แล้ว”
สตีฟตอบคำถามของบัคกี้
“โทนี่—“
โรดส์กล่าวออกมาแล้วหันมามองสตีฟ
“—มีแรงเดิน”
แองเจล่าพูดต่อประโยคก่อนพวกเขาทั้งสองคนจะหันหน้ามามองกัน
“ชิบหายแล้ว!/ชิบหายแล้ว!”
“มีอะไรหรอทั้งสองคน? ”
บัคกี้เอ่ยถาม
“โทนี่เวลาป่วยจะดื้อมาก”
โรดส์บอกสิ่งที่ตัวเองรับรู้จากประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต
“กินข้าวว่ายากแล้ว ไม่มองยาด้วยซ้ำ แถมยังชอบไปนั่งอยู่ในแลปทั้งวัน”
แองเจล่าผู้มีประสบการณ์ตั้งแต่รู้จักโทนี่มาจนถึงก่อนหน้านี้
“ผมบอกว่าจะมาเอาอาหารเช้าไปให้โทนี่พยักหน้านะครับ”
สตีฟกล่าวค้านเมื่อเขาไม่เห็นว่าโทนี่ทำตัวดื้อกับเขาเลยเช้านี้
‘นังตอแหล/ไอ้คนตอแหล’
แองเจล่าและโรดส์ด่าพร้อมกันในใจ
แองเจล่าลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจหนึ่งครั้ง สายตามองนาฬิกาแขวนบนผนังบ่งบอกว่าตอนนี้หกโมงเช้า เป็นอีกหนึ่งวันที่เธอเผลอทำงานข้ามคืนแบบไม่หลับไม่นอน เธอจึงเดินไปหยิบบัวรดน้ำทรงน่ารัก เติมน้ำก่อนเดินไปรดน้ำต้นไม้กระถางเล็กๆ หน้าบ้าน
หาววว
“อรุณสวัสดิ์แองเจล่า น่าแปลกที่คุณตื่นเช้าขนาดนี้”
“อรุณสวัสดิ์สตีฟ คงต้องบอกคุณว่าฉันยังไม่ได้นอนด้วยซ้ำ ทำงานลืมเวลาน่ะ”
“คุณกับโทนี่สมกับเป็นเพื่อนกันจริงๆ ”
แองเจล่าหัวเราะหลังได้ยิน
“ฉันยังดีกว่าสามีที่น่ารักของคุณนะ โทนี่น่ะทุ่มเททุกอย่างให้งานทั้งชีวิต ...แต่เดี๋ยวนี้เพื่อนฉันกำลังปรับตัวปรับเวลาอยู่นี่น่า”
“อย่าแซวสิ”
“หลังจากวันนั้นทุกๆ อย่างก็ดีขึ้นนะ”
END