ตอนที่ 1
โรคแปลกๆที่คุณควรรู้
โรคโมยาโมยา
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า บทความบทนี้ได้จากการแปลวารสารสุขภาพภาคภาษาอังกฤษจากเว็ปไซต์วิกิพีเดีย (Eng.) ซึ่งเป็นสารานุกรมอิสระที่เปิดโอกาสให้นักท่องอินเตอร์เน็ตที่มีความรู้ร่วมกันลงบันทึกไว้เป็นคลังเอกสารส่วนรวมในการศึกษาค้นคว้าเบื้องต้นครับ ขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย และหากผมใช้คำไม่สละสลวยอย่างไร ขออภัยด้วยนะครับ (จริงๆ ก็ไม่ชำนาญภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่ครับ) ผมจะพยายามใช้ศัพท์เทคนิคให้น้อยที่สุดเพื่อให้น้องๆพี่ๆที่ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับวิทยาการด้านการแพทย์มาเข้าใจได้ง่ายครับ
โรคโมยาโมยา เป็นโรคทางหลอดเลือดอย่างหนึ่งครับ แต่ไม่ได้เป็นญาติกับซุปเปอร์ไซย่าหรือชิคุนกุนยานะครับ เพียงแต่ชื่อคล้ายๆกันเฉยๆ (คล้ายกันตรงไหนฟร่ะ - -“) ก็มาเข้าเรื่องกันดีกว่านะครับ
MOYAMOYA DISESAE โรคโมยาโมยา ( Moyamoya disease : MMD ) ได้รายงานครั้งแรกในปี ค.ศ.1950โดยคุณหมอศัลยแพทย์ชาวญี่ปุ่น โดยนำเสนอว่าเป็น Spontaneous Occlusion of the Circle of Willis (มันเป็นภาษาแพทย์น่ะครับ ประมาณว่า ลักษณะของการอุดตันของหลอดเลือดในสมอง ที่ตำแหน่ง Circle of Willis) ซึ่งอาจมีการอุดตันได้ทั้งส่วนต้น ส่วนกลาง และส่วนปลายของหลอดเลือดแดงในสมอง ท่านผู้อ่านลองคิดตามดูสิครับ หากสมองของท่านเองขาดเลือดไปเลี้ยง เนื่องจาก “ท่อตัน” หลายๆตำแหน่งติดกัน สมองของท่านจะเกิดอะไรขึ้น แน่ล่ะครับก็ต้องเกิดภาวะสมองขาดเลือดไง หากขาดเลือดมาเลี้ยงมากๆก็จะเกิดภาวะสมองตายตามมา แต่ก่อนมันจะตาย หลอดเลือดที่อุดตันมันจะแตกเสียก่อน!!! ลองนึกภาพดู(อีกแร่ะ...)สิครับ หลอดเลือดแดงที่มีแรงดันสูงเดิมอยู่แล้ว มีแรงดันที่เลือดไปกระจุกอยู่ตรงที่ตัน หลอดเลือดมันเป็นเนื้อเยื่อครับ มันก็จะค่อยๆโป่งออกๆ เรื่อยๆ จนมันแตกโพล๊ะ(จริงๆเวลาแตกไม่ได้มีเสียงนะครับ เอฟเฟ็คกระฉูดเพื่อให้เข้าใจง่าย อิอิ^_^)!!! เกิดภาวะ Intracerebral Haemorrhage หรือพูดกันง่ายๆคือ เลือดออกในเนื้อสมองนี่แหล่ะครับ ผลที่ตามมาคือ อวัยวะต่างๆในร่างกายท่านจะไม่ถูกท่านควบคุมอีกต่อไป มันจะเป็นฝ่ายควบคุมให้ท่านนอนอยู่กับที่เฉยๆแทน (ก็คือ อัมพาต นั่นแร่ะฟร่ะ - -“)
โรคโมยาโมยา หากจะศึกษาการเกิดแล้วนั้น เกิดจากสาเหตุใดเราไม่สามารถที่จะทราบได้แน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากสาเหตุเดียวกับโรคหลอดเลือดสมองอื่นๆ ก็คือ อาหาร(จำเลยอันดับที่หนึ่งเสมอ) กรรมพันธุ์(มรดกตกทอดเจ้าคุณทวด อิอิ) มลพิษ ความเครียด โรคประจำตัวต่างๆ เป็นต้น จึงส่งผลให้หลอดเลือดที่จะดำเนินอยู่ข้างๆสมอง(Carotid artery)มีการหนาตัวของผนังหลอดเลือดที่มีการเกาะของไขมัน(นี่ไงที่เค้าบอกว่าไขมันในเลือดสูงนั้น อันตรายนัก อันตรายหนาไง...) จนมันไม่สามารถที่จะส่งเลือดไปเลี้ยงที่สมองต่อไปได้ดีดังเดิม จนเลือดเข้าไปจุกอยู่ล่างตำแหน่งที่ตันมากขึ้น หลอดเลือดที่เดิมหนาอยู่แล้ว ก็ค่อยๆขยายตัวขึ้น ความยืดหยุ่นน้อยลง หลอดเลือดแดงเล็กๆที่เป็นกิ่งออกจากหลอดเลือดแดงใหญ่เส้นนี้ก็พลอยอับเฉาตามมัน เนื่องจากไม่มีเลือดส่งมาเลย ก็จะพากันจับกลุ่มรวมตัวกัน มันกระทบกันไปเรื่อยๆจนถึงหลอดเลือดแดงย่อยๆที่เยื่อหุ้มสมองชั้นเพียร์ (ชั้นใน) ก็มีการจับกลุ่มสามัคคีชุมนุมกันตามเพื่อนเค้า เป็นไงล่ะทีนี้ ไม่ต้องเรียนมาก็พอจะเดาออก ว่ามันร้ายแรงไหม???
ถึงตอนนี้ หลายท่านคงจะคิดด่าผมในใจว่า ฉันจะรู้ได้ไงฟร่ะว่าฉันเป็น??? บ้านฉันไม่ได้มีเครื่องคอมพิวเตอร์แสกนสมองซะหน่อย -*- ใจเย็นๆนะคร้าบ คอยอ่านดีๆล่ะกัน
1. ในเด็กมักจะมาด้วยภาวะสมองขาดเลือด คือ มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ในเด็กเล็กมักร้องเสียงดัง กวนตลอดเวลา หากปล่อยไว้นานๆมักมีอาการซึมกระทือ ไม่ค่อยดูดนมหรือเล่นด้วย มักนอนหง่าวเฉยๆ ในเด็กโตดูง่ายหน่อยนึง เพราะจะมีอาการอ่อนแรงของอวัยวะบางส่วน ตามตำแหน่งที่สมองมีการบาดเจ็บ อาจมีอาการอ่อนแรงเฉพาะแขนขา ลำตัวบางส่วน สุดท้ายก็จะเกิดพวก Neuroginic Shock หรือ ภาวะช๊อคจากพยาธิสภาพของระบบประสาท อย่างงี้รักษาไม่ทัน เตรียมกลับบ้านเก่าครับ ไม่ได้ขู่นะจร๊ะ...
2. ในผู้ใหญ่เรามีอาการคล้ายเด็กนี่ล่ะครับ แต่คงจะไม่เจออาการร้องเสียงแหลมกวนตลอดเวลานะครับ (ใครจะนอนครางอึ๋งๆอยู่เล่า -*-) เอาว่าจะต่างกับเด็กตอนที่ตรวจทางรังสีวิทยาแล้วอ่ะครับ(ทำCT scan ไงครับ ได้ยินกันบ่อยๆอยู่แล้วล่ะ) คือส่วนมากจะเห็นเลือดออกในสมองครับ ที่มักไม่เจอในเด็กสันนิษฐานว่า เด็ก อาจมีความยืดหยุ่นของหลอดเลือดดีกว่า หรือในเด็กมีการอุดตันที่ไม่สมบูรณ์เท่าการอุดตันในผู้ใหญ่ครับ
ในเรื่องของการรักษานั้น ยังทำได้ยากครับ เพราะผู้ที่เป็นมักจะฟื้นตัวไม่เต็มร้อยดังเดิมแน่นอน เพียงแต่อาจจะป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหลอดเลือดในสมองแตกเท่านั้น หากหนักมากๆก็อาจจะต้องผ่าตัดเอาหลอดเลือดในส่วนที่พบพยาธิสภาพการอุดตันออก แล้วเอาส่วนที่ดีมาต่อกัน แต่ก็มีความเสี่ยงพอสมควรในการผ่าตัดครับ ส่วนการรักษาทางยานั้น มักนิยมใช้ยาต้านการแข็งตัวของหลอดเลือด ยาต้านฤทธิ์ของแคลเซียม เป็นต้น สรุปโดยประมาณว่า เค้าจะใช้การรักษาเจ้าโรคโมยาโมยาโดยวิธีการเพิ่มปริมาณเลือดให้ไปเลี้ยงสมอง ลดแรงต้านของหลอดเลือด ลดการอุดตันในตำแหน่งที่เกิดพยาธิสภาพ
การป้องกันโรคนี้น่ะหรือ เหมือนกับการดูแลสุขภาพทั่วไปที่เรารู้ๆกัน คือ พักผ่อนเพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ หากมีโรคประจำตัวให้รับประทานอาหารตามโรค หลีกเลี่ยงการสัมผัสมลภาวะ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ตรวจสุขภาพปีละครั้งหรือถี่ขึ้นตามสภาวะของโรคที่เป็นอยู่ สำคัญที่สุดคือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยมีกติกาว่า ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ3ครั้ง ครั้งหนึ่งๆไม่น้อยกว่า 30นาที มีเหงื่อออกซิกๆ หรือรู้สึกเลือดสูบฉีดฟู่ฟ่าหน่อยๆล่ะ แจ่มเลย
จบแล้วครับ ขอบคุณครับที่ท่านติดตามอ่าน ขอให้ท่านที่อ่านมีสุขภาพแข็งแรงครับ ตอนหน้าพบกับโรคแปลกๆอีกโรคที่เพิ่งปรากฏบนหน้าจอโทรทัศน์ไปเมื่อไม่นานมานี้ครับ (ในเรื่องจริงผ่านจอ ช่อง7ไง ที่มีเด็กหญิงอยู่ดีๆก็เลือดออกตามผิวหนัง ผ่ามือ-เท้า หู ดวงตา รูขุมขนครับ หรือที่ชาวบ้านเชื่อกันว่า เป็นบุคคลต้องคำสาป แต่ทางการแพทย์มีคำอธิบายครับ ไว้ติดตามกัน)
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น