ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #พริ้มเพียงหวา | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #24 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๒๒ (end)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 24.67K
      2.34K
      14 เม.ย. 62






    22

    ตอนจบ

     



    พริ้มตื่นแต่เช้าตรู่ เตรียมตัวสำหรับงานรับดอกไม้ครั้งแรกในชีวิตของเขา หลังจากผ่านการสอบไฟนอล ภายในหัวก็รู้สึกโปร่งสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงแม้ว่าหลังจากนี้จะต้องก้าวเข้าสู่มรสุมการสอบอีกครั้งก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกหนักใจกับอนาคตอันไกลในตอนนี้เท่าไรนัก

     

    รู้แค่ว่าต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด

     

    หยิบเอาชุดนักเรียนตัวโปรดออกมาจากตู้เสื้อผ้า สวมและเช็คความเรียบร้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่หน้ากระจก เมื่อวานหลังจากสอบเสร็จ อดีตนักกีฬาทีมคาลันโชก็มายืนล้อมวงคุยกันหน้าห้องห้า พริ้มที่เพิ่งเดินออกมาสบสายตาเข้ากับผ้าพอดี เพื่อนสนิทลิบอโร่เลยลากเขาเข้าไปคุยในกลุ่มนั้นด้วย บรรยากาศของทุกคนยังเหมือนเดิมยกเว้นเขากับยี่หวา ตั้งแต่วันนั้นที่ห้องพักนักกีฬา จนถึงวันนี้เราก็ยังไม่ได้คุยกันเลย ท่ามกลางเสียงคุยกันของเพื่อนคนอื่น ว่าถึงเรื่องการเขียนเสื้อและของที่ระลึกชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากเนย อีกทั้งยังมีการนัดแนะดอกไม้คนละดอกจากกันและกัน กลับมีแต่พริ้มที่ลอบมองและยี่หวาที่เมินเฉย

     

    หลังจากที่พริ้มทำทุกอย่างพัง คำพูดของพู่กันก็แวบเข้ามา และไม่ได้มาแค่เสียง มีทั้งใบหน้าเจ็บปวดน้ำตาที่คลอเบ้าและแรงกัดฟันมันแทบไม่ต่างอะไรกับพริ้มในตอนนั้นเลยสักนิดเดียว ถึงแม้ว่าเจตนาของเธอจะไม่ดี แต่พริ้มก็ยอมรับว่าคำพูดนั่นได้สร้างสถานการณ์นั้นขึ้นมาแล้ว

     

    แต่สิ่งหนึ่งที่พริ้มได้เรียนรู้อีกนั่นก็คือ

     

    คำพูดทิ้งท้ายในวันนั้น และคำแนะนำจากผ้าเองก็ทำให้พริ้มอยากลองสู้ดูอีกสักตั้ง ในเมื่อทางที่เลือกไปก่อนหน้านั้นมันพัง อ้อมไปอีกทางแล้วมันจะพังอีกก็ไม่เห็นเป็นไร เพราะสุดท้ายเราก็จะได้รู้ว่าทางที่เรากำลังจะไปมันไม่มีทางไหนเดินต่อไปได้เลย พริ้มก็จะได้ถอยหลังกลับมาเริ่มต้นใหม่

     

    มันไม่ได้แย่หรอกแต่ก็ไม่ได้ดีที่สุดเหมือนกัน พริ้มอยากแก้ไข เขาอยากจบออกไปแบบไม่มีอะไรค้างคาต่อกัน ส่วนหนึ่งเขาก็ทำเพื่อให้ตัวเองสบายใจ ส่วนหนึ่งก็อยากแสดงความจริงใจกับคนที่เป็นแรงบันดาลใจในทุก ๆ เรื่องของเขา ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแย่ ทั้ง ๆ ที่ยี่หวาช่วยพริ้มไว้ตั้งหลายครั้ง แต่เขากลับตอบแทนด้วยคำพูดเห็นแก่ตัวซะได้ ใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ

     

    “อรุณสวัสดิ์”

    ( อรุณสวัสดิ์หงอยบอย นี่มึงเป็นคนเดียวปะวะที่ไม่พูดฮัลโหลเวลารับโทรศัพท์ )

    “ทำไมล่ะ เราก็รู้อยู่แล้วว่าผ้าโทรมา”

    ( เออ ๆ ช่างเถอะ มึงอยู่ไหนเนี่ย )

    “อยู่บนรถบัสน่ะ มีอะไรหรอ”

    ( ใกล้ถึงยัง )

    “ใกล้แล้วล่ะ”

     

    พูดยังไม่ทันไร ล้อทั้งสี่ก็ชะลอหยุดลงหน้าประตูโรงเรียน เป็นสิบห้านาทีที่ไม่ต้องวิ่งตามรถบัส ไม่ต้องนั่งตรงมุมอับ และมีเพื่อนนั่งข้าง ๆ เป็นบางที พริ้มบังเอิญขึ้นรถบัสคันเดียวกันกับผ้าหลายครั้งในช่วงสอบ ระหว่างทางเลยเอาแต่นั่งทบทวนวิชาที่จะต้องสอบกันอยู่สองคน แต่วันนี้ไม่ยักเจอ

     

    ( กูฝากซื้อกุหลาบหน้าโรงเรียนสักสิบดอกหน่อยดิ ซื้อมาไม่พอ )

    “ได้สิ กุหลาบแดงนะ”

    ( อือ ไม่อยากรู้หรอว่ากูจะเอาไปให้ใคร )

    “อยากให้เราถามหรอ”

    ( กวนตีนปะนิ )

    “ฮึฮึ เปล่าสักหน่อย”

    ( อารมณ์ดีจังเลยน้า เตรียมใจมาดีล่ะสิ )

     

    จากที่หัวเราะคิกคัก ริมฝีปากบางก็หยุดกึกค้างกลางอากาศทันที ผ้าจับความผิดปกติของปลายสายได้ก็ขำลั่นไม่เกรงใจเพื่อนตัวน้อย พริ้มได้แต่งอปากง้องอน ทักซะใจเกือบล้มกันเลยทีเดียว

     

    หน้าโรงเรียนคึกคักไม่ต่างจากวันวาเลนไทน์ ก็ไม่ต่างกันจริง ๆ นั่นแหละ เพราะจัดไล่เลี่ยกัน มีร้านค้าขายของเฉพาะกิจเปิดกันให้ควั่กเป็นแนวยาว เป็นแบบนี้ทุกปี แต่พริ้มไม่เคยเข้าไปเฉียดใกล้เลย เขาเผลอกำสายกระเป๋าเป้แน่นในขณะที่ยืนคิดว่าจะเข้าไปซื้อกับร้านไหนดี คนยืนออกันเต็มไปหมด หาร้านว่างไม่ได้เลย

     

    “พริ้ม”

    เทค หวัดดี”

    “ยืนทำไรตรงนี้”

    “ผ้าฝากเราซื้อกุหลาบน่ะ”

    “เอากี่ดอกอ่ะ”

    “สิบ”

     

    เทคเดินตรงดิ่งมาหาพริ้ม เขาเพิ่งถึงโรงเรียน และพอลงจากรถก็เห็นเด็กน้อยคนนี้ยืนมองฝูงคนรุมร้านดอกไม้อยู่นานสองนาน มองปราดเดียวก็รู้ได้เลยว่าคงไม่กล้าเข้าไป เพราะงั้นเขาเลยเดินเข้ามาหา และอาสาจะไปซื้อให้ แต่ดูเหมือนคนตัวเล็กตรงหน้าจะไม่เข้าใจว่าเขาแบมือขออะไร

     

    “เงินน่ะ เดี๋ยวเราไปซื้อให้” เทคหลุดขำออกมาน้อย ๆ เมื่อพริ้มเข้าใจเสียที

    “อ๋อ เท่าไรหรอ”

    “ดอกละสิบบาท”

     

    ด้วยความสูงเกินร้อยแปดสิบเลยทำให้มองเห็นป้ายราคาได้อย่างชัดเจน เทครับเงินจากพริ้มก่อนจะเดินแทรกตัวเข้าไป และกลับออกมาพร้อมกุหลาบที่ถูกห่อเป็นช่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ร่างเล็กเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะรับมันมาถือไว้

     

    เขาเดินเข้าโรงเรียนไปพร้อมกับเทค ผ่านน้อง ๆ ที่หอบช่อกุหลาบใหญ่โตพร้อมรอยยิ้ม ตั้งสมมติฐานเอาไว้ว่าพวกเธอคงกำลังวางแผนสารภาพรักรุ่นพี่คนไหนสักคนแน่ ๆ เห็นแบบนี้แล้ว เขาเองก็จะยอมแพ้ไม่ได้เหมือนกัน

     

    ช่อดอกไม้ในกระเป๋าเป้จะต้องไม่เหี่ยวตายในบ้านของพริ้ม

     

    พิธีจะเริ่มขึ้นอย่างจริงจังตั้งแต่เก้าโมงเป็นต้นไป เริ่มตั้งแต่พิธีทางการที่โรงเรียนจัดให้ เดินลอดซุ้มธงโรงเรียนเพื่อไปรับช่อดอกไม้จากที่ปรึกษาและสายสะพาย ฟังคำกล่าวของผู้อำนวยการ ต่อด้วยกิจกรรมจากน้อง ๆ มอปลาย นั่นก็คือการบูม พริ้มก็พอรู้มาบ้างว่ามีบูมรวมกับบูมห้องรหัส พอเสร็จแล้วก็จะเป็นเวลาบันทึกความทรงจำ มอบดอกไม้ให้รุ่นพี่ ต่าง ๆ นานา ปิดท้ายช่วงบ่ายด้วยคอนเสิร์ตส่งท้าย ซึ่งช่วงนี้ใครจะกลับก่อนหรือจะอยู่ต่อก็ได้

     

    ฟังดูแล้วไม่มีช่วงไหนเหมาะเจาะเลยนี่นา

     

    หัวเราะแห้ง ๆ ให้กับความคิดสิ้นหวัง ยื่นช่อกุหลาบสิบดอกในมือให้ผ้าทันทีเมื่อถึงโต๊ะ ทุกคนอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนทุกที ไม่เว้นแม้แต่ยี่หวาหน้านี่ราบเรียบมาแต่ไกล ผ้าบอกพริ้มว่าทุกคนรู้กันหมดแล้วว่าเขากับยี่หวาทะเลาะกัน แต่ไม่ได้รู้เพราะผ้าบอกหรอกนะ รู้เพราะแค่ดูก็พอจะเดาได้ ถึงอย่างนั้นทุกคนก็เลือกที่จะไม่ถามเซ้าซี้เอาความว่าเรื่องเป็นมายังไง ถามไปพริ้มก็ตอบให้ไม่ได้อยู่ดี

     

    “พ่อแม่พวกมึงมากันมั้ยวะ?”

    “ของกูมา แต่มาแปปเดียว”

    “เหมือนกัน แม่กูมีของให้พวกมึงด้วยมั้ง เห็นเมื่อวานนั่งเตรียมอยู่”

    “จริงดิ”

     

    ซานพยักหน้า บ้านซานเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว พริ้มไม่เคยไปกินหรอก ฟังจากผ้าเล่ามาอีกที เห็นว่าเป็นร้านที่มีเด็กนักเรียนไปกินเยอะ พวกคาลันโชก็พากันไปกินบ่อย มีบ้างที่ซานเองก็พาเพื่อน ๆ ในทีมไปเลี้ยงเพราะแม่สั่งให้พามา ผ้าบอกว่าแม่ซานน่ะชอบพวกเรามาก ขนาดที่เรียกซานว่าซาน แต่เรียกเด็กในทีมว่าลูก

     

    “แล้วกูก็บอกเขาด้วยนะว่าทีมมีสมาชิกใหม่ด้วย”

    “อ๋อ หมายถึงพริ้มอ่ะหรอ”

    “อือ เดี๋ยวมีคนน้อยใจ”

     

    พริ้มยิ้มขำที่ซานแซว ถึงเขาไม่ได้รับก็คิดว่าตัวเองคงไม่รู้สึกอะไรเท่าไรหรอก ยังไงทุกคนก็มาก่อน สนิทกันมาก ๆ เลยด้วย แต่พอได้ยินซานบอกกับแม่ว่าของที่เตรียมมาต้องเพิ่มมาอีกหนึ่งชิ้นสำหรับพริ้ม เขาก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งกับมิตรภาพที่ซานเปิดใจให้ ก่อนหน้านั้นไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นเพื่อนกับคนคนนี้ได้ และที่เป็นได้มันก็ไม่ได้มาจากพริ้มเพียงคนเดียว

     

    “บูมเสร็จมารวมตัวกันแถว ๆ นี้นะเว้ย เดี๋ยวหากันไม่เจอ”

    “มึงเอาปากกามามั้ยวะไอ้จอม”

    “เอามาสองแท่ง”

    “กูยืมแท่งหนึ่งดิ”

     

    นั่งคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งเสียงประกาศจากไมค์หน้าเสาธงก็ได้เรียกให้พี่มอหกไปเตรียมแถวกันใต้ตึกเรียน พริ้มลอบมองยี่หวาเป็นช่วง ๆ อยากรู้ว่าตอนที่มีคนเล่นมุกยี่หวาจะขำมั้ย หรือตอนที่พูดถึงพริ้มยี่หวาจะตั้งใจฟังเขาตอบหรือเปล่า แต่ก็นั่นแหละเขาคิดไปเอง ยี่หวาไม่แม้แต่จะมองมาทางเขาเลยสักจังหวะเดียว

     

    อย่างน้อยถ้าได้เป็นเพื่อนการคุยกันมันคงไม่ยากขนาดนี้

     

    ไม่ได้สิ ตัดสินใจไว้แล้วนี่ ไม่ว่าคำตอบของยี่หวาจะออกหัวหรือก้อย ยังไงมันก็จะต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี พริ้มไม่ได้คาดหวังให้คำตอบของยี่หวาเป็นไปตามที่อยากให้เป็น เพราะเขารู้ว่ามันคงยากเกินไป เขาหวังแค่ว่า หลังจากที่ยี่หวาได้ฟังคำตอบจริง ๆ จากใจเขาแล้ว เราสองคนคงจบกันได้สวยกว่านี้ เพื่อนที่ริอยากเลื่อนขั้นสถานะ จุดจบมีทางเดียวคือเลิกเป็นเพื่อนกัน แต่จะเป็นอะไรต่อจากนั้นก็ต้องดูสถานการณ์กันต่อไป

     

    “ตื่นเต้นเนอะพริ้ม”

    “อื้ม มือเราเริ่มเย็นแล้ว”

     

    พริ้มเอี้ยวตัวไปคุยกับ มันแกว เราไม่ค่อยสนิทกันเท่าไร มันแกวเป็นตัวจริงของทีมหญิง แต่พริ้มไม่รู้ว่าเล่นในตำแหน่งอะไร จริง ๆ แล้วเธอเองก็คุยกับเขาบ่อยนะ เวลาที่ต้องนั่งเข้าแถวกันแบบนี้ แต่หลังจากเรื่องทั้งหมดจบลง เธอก็กล้าคุยเล่นกับเขามากขึ้น

     

    “พริ้มไม่ได้เตรียมดอกไม้มาให้ใครเลยหรอ”

    “ก็ไม่เชิงหรอก เราเตรียมมาน่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะได้ให้มั้ย”

    “ทำไมอ่ะ? ถ้าให้คนเขาก็รับหมดแหละ คิดมาก”

    ก็คนคนนี้ไม่เหมือนคนทั่วไปนี่นา”

     

    พริ้มพึมพำกับตัวเองเบา ๆ นี่ก็ยังไม่รู้เลยว่ายี่หวาจะรับของจากเขามั้ย เพราะวาเลนไทน์ปีก่อนก็ไม่รับ อ่า พริ้มไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดกับวันนั้นหรอกนะ ยังไงเราก็ยังไม่รู้จักกัน ไม่แปลกที่ทั้งซานกับจอมทัพจะพูดแบบนั้นกับเขา ส่วนยี่หวาเองพริ้มรู้อยู่แล้ว ไม่เมินเฉยก็คงทำเป็นมองไม่เห็น ซึ่งก็ไม่ได้ต่างไปจากที่คิดเอาไว้ เขาเลยไม่ค่อยเจ็บปวดกับวาเลนไทน์ครั้งนั้นเท่าไร

     

    สัญญาณเริ่มพิธีอย่างจริงจังด้วยเพลงมาร์ชของโรงเรียน มันดังกึกก้องผ่านลำโพงรอบสนาม และเสียงปรบมืออย่างพร้อมเพรียงกันของน้อง ๆ ที่นั่งมองเราอยู่ เริ่มตั้งแต่ห้องหนึ่งที่เดินแถวออกไปก่อน เรื่อยมาจนถึงคิวห้องสี่ พริ้มเกิดอาการตื้นตันใจอยู่ลึก ๆ ยามเห็นสีของธงประจำโรงเรียนโบกสะบัดอยู่ใกล้ ๆ วูบหนึ่งที่คิดว่าตัวเองคงไม่มีโอกาสได้เดินลอดธงสีนี้เป็นครั้งที่สอง…ความรู้สึกจุกที่อกก็ดันขึ้นมา เขาค่อย ๆ ก้าวเท้าไปตามเส้นทางข้างหน้า…บนผืนหญ้าสีเขียวขจี มันถูกดูแลเป็นอย่างดีก่อนถึงวันสำคัญ เสียงอาจารย์เรียกชื่อนายเพียงคุณ และเรียกคนถัดไปอย่างไม่รีรอ พริ้มยิ้มรับพร้อมก้มหัวให้อาจารย์ที่ปรึกษาคล้องสายสะพายสีชมพูหวาน สลักตัวอักษรเด่นหราไว้ว่า ‘อซ.รุ่น 34 ศิษย์ห้อง 6/4’ คาดไว้ทั้งหน้าและหลัง

     

    ความสำเร็จแรกในชีวิต แม้จะเป็นจุดเล็ก ๆ แต่กลับเต็มไปด้วยความทรงจำ ทั้งดีบ้างร้ายบ้างผิดหวังบ้างเจ็บปวดบ้างแต่ก็ดีที่ผ่านมันมาได้ นึกขอบคุณความเข้มแข็งที่ทนเหตุการณ์แย่ ๆ ได้จนกระทั่งวันนี้มาถึง ทนเรื่องเลวร้ายเพื่อมาเจอเรื่องที่ดีมาก ๆ พริ้มเข้าใจแล้วกับคำว่าฟ้าหลังฝนเข้าใจอย่างดีเลยว่าความหมายมันเป็นยังไง

     

    เขาเดินกอดดอกไม้ช่อแรกมานั่งที่เก้าอี้กลางสนาม ตามเลขที่ที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วในตอนซ้อม แต่นั่งหายใจสูดกลิ่นดอกไม้ไม่ทันได้เต็มปอด บุคคลด้านหลังเก้าอี้ก็ทำให้พริ้มต้องเผลอพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงจนเกสรฟุ้งกระจายเลอะหน้าไปหมด

     

    “แค่ก ๆ”

    “ไงเด็กห้องสี่”

    “หวัดดีจอมทัพ”

    “นั่งกันอยู่ตั้งสามคน ทำไมทักไอ้จอมคนเดียววะ”

     

    ซานยื่นหน้ามาแซวจากทางขวา ส่วนทางซ้ายเป็นจอมทัพ งั้นคงไม่ต้องเดาแล้วล่ะว่าตรงกลางที่ตรงกับพริ้มจะเป็นใคร ฮือทำไมตอนซ้อมถึงไม่มาซ้อมกันล่ะ เขาก็อุตส่าห์ดีใจ คิดว่าอีกฝ่ายคงได้นั่งอีกฝั่งแน่ ๆ แต่เปล่าเลย นั่งฝั่งเดียวกัน แถมยังตรงเป๊ะเลยด้วย แล้วแบบนี้จะหายใจออกได้ยังไง

     

    “กูชอบสายสะพายสีแดงว่ะ โคตรสวย”

    “เออ ถ้าเป็นสีชมพูนะ ป่านนี้กูถอดไปและ”

     

    ซานปากเสียไม่ได้ได้มาเล่น ๆ พริ้มถึงกับเหงื่อตก พูดออกมาเสียงดังไม่เกรงใจเด็กห้องสี่ที่นั่งกันตาแป๋วเลยสักนิด แต่ไม่รู้สิพริ้มชอบนะ มันไม่ใช่ชมพูบานเย็น หรือชมพูกะปิ แต่มันคือชมพูพาสเทลกำลังสวยเลย ก็อย่างว่าอ่ะนะ มันก็มีทั้งคนชอบกับไม่ชอบ เหมือนที่ซานไม่ชอบ

     

    “ถ่ายรูปกันมั้ยวะ”

    “เอาดิ”

    “พริ้ม ถ่ายรูปให้พวกกูหน่อยดิ”

     

    พริ้มอ้ำอึ้ง รับโทรศัพท์ที่ซานยัดใส่มือมาให้ ไม่ถามสุขภาพสักคำว่าตอนนี้เขากล้าพอที่จะมองใบหน้ายี่หวาตรง ๆ หรือเปล่า จำใจปัดหน้าจอเพื่อเข้าแอปถ่ายรูป ก่อนจะต้องผงะเมื่อยกกล้องขึ้นระดับสายตาแล้วพบว่ายี่หวาเองก็มองอยู่เหมือนกัน

     

    สายตาแบบนั้นนั่นแหละที่ชอบทำให้ไปไม่เป็นอยู่เรื่อย

     

    “กดถ่ายไปเลยนะ เดี๋ยวพวกกูไปเลือกเอง”

    “อโอเค”

    “นับให้ด้วยล่ะ”

     

    ขยับปรับองศาให้เข้าที่ ก่อนจะนับหนึ่งถึงสามแบบเก้ ๆ กัง ๆ จนคนฟังต้องละความตั้งใจในการโพสแล้วบอกให้พริ้มเริ่มนับใหม่ ท่าทางตลก ๆ ของพริ้มทำให้ใครบางคนยกยิ้มมุมปากกับตัวเองเงียบ ๆ แต่ตัวการดันเห็นเข้าพอดีผ่านหน้าจอโทรศัพท์เนี่ยสิเล่นซะตกใจจนเผลอนิ่งงันพักหนึ่งเลย

     

    “เมื่อไรจะนับอ่ะพริ้ม กูยิ้มจนเหงือกจะแห้งแล้วนะ”

    “จะได้เรื่องมั้ยวะเนี่ย”

    “รเราขอโทษ อเอาใหม่นะ”

    “เอาใหม่มาสิบกว่ารอบละ ถามจริงมึงได้กดถ่ายพวกกูไปยังวะ”

     

    กว่าจะได้ถ่าย พริ้มก็กลายเป็นภาพขำขันของทุกคนไปเสียแล้ว ยื่นโทรศัพท์ส่งคืนซานด้วยท่าทีติดไม่พอใจ แต่เพราะมันคือพริ้มนี่แหละ เลยทำให้เห็นแล้วมันเขี้ยวแปลก ๆ พาลให้อยากแกล้งเข้าไปอีก

     

    “นี่พริ้ม”

    “วว่าไง”

     

    หันกลับมาเขินกับตัวเองไม่ทันไร ก็โดนก่อกวนจากแถวหลังอีกแล้ว พริ้มยังหาคำตอบกับรอยยิ้มมุมปากในจอเมื่อกี้ไม่ได้เลย แต่รู้แค่ว่าดูดีมากมากเสียจนใจเต้นแรงจนมือไม้หลุดออกจากส่วนหนึ่งของร่างกายไปเลย คนตัวเล็กหันหน้ามาทางซาน พยายามหลบหนีภาพจากหางตาที่ทำให้เห็นใครอีกคนได้อย่างชัดเจน

     

    “มึงว่าพวกกูสามคนใครหล่อสุดวะ”

    “หือ?”

     

    ร้องงึมงำออกมาเสียงหงอย พลันหางตาก็ค่อย ๆ ตกลง ร้อยวันพันปีก็เอาแต่ชมว่าตัวเองหล่ออยู่แล้วไม่ใช่หรอ ทำไมยังต้องการให้คนอื่นชมอยู่อีกล่ะ พริ้มเลิ่กลั่ก ท่าทางแบบนั้นยิ่งเข้าทางพวกขี้แกล้ง ซานเร่งเร้าให้พริ้มตอบ ส่วนจอมทัพก็พูดแบบขอไปทีว่าให้เลือกมาแค่คนเดียว ทั้ง ๆ ที่ชงเข้มจนแทบจะเทใส่ปากกันเองอยู่แล้ว

     

    “ไม่เลือกได้มั้ย คำตอบเราไม่น่าเชื่อถือหรอก”

    “ตอบ ๆ มาเหอะน่า แค่เลือกมาสักคนเอง มึงจะซีเรียสทำไมวะ”

    “ไม่เอา”

    “ไม่เอาไร”

     

    พริ้มหันหน้ากลับไปที่เดิม ไม่คุยด้วยแล้ว สีหน้าสนุกกันแบบนั้น พริ้มคงกำลังโดนแกล้งอยู่แน่ ๆ พิธีช่วงหลังเขาตั้งสมาธิสนใจแต่หน้าเวที ไม่สนเสียงคุยของพวกแถวหลัง แถมไม่หันไปหาจอมทัพหรือซานที่สะกิดเรียกอีกด้วย ไม่ได้งอนนะ แต่รู้ตัวเลยว่าถ้าโดนกับดักอีก พริ้มคงหลุดยากขึ้นแน่ ๆ

     

    ช่วงสุดท้ายของพิธีเป็นคำกล่าวลาอีกครั้งของผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเราได้เคยยืนหยัดต่อหน้าเขาในห้องแอร์เย็น ๆ แวบหนึ่งที่ราวกับได้สบตากับครูใหญ่ พริ้มก็ทำได้แต่ยิ้มให้และปล่อยให้มันผ่านไปอย่างที่แล้ว ๆ มา

     

    หลังจากนั้นก็เข้าสู่ความสนุก เก้าอี้ถูกเก็บอย่างว่องไวเมื่อช่วงต่อไปคือการบูม ห้องน้องรหัสลากพี่ ๆ ให้เข้ามาอยู่ในวง จัดสรรปันส่วนสนามหญ้าที่ครึ่งหนึ่งถูกจำกัดไว้สำหรับเวทีคอนเสิร์ต บูมแรกเป็นบูมรวม คือน้อง ๆ ทุกห้องจะบูมให้พี่ ๆ ทุกคน แล้วก็ต่อด้วยการบูมของห้องน้องรหัส ซึ่งพริ้มไม่รู้จักใครเลย น้องรหัสของเขาก็ย้ายโรงเรียนไปแล้วด้วย

     

    เขาผละออกมาเมื่อรอบข้างเริ่มซาลง ตอนนี้เป็นช่วงที่น้อง ๆ ทุกคนตั้งตารอมากที่สุด นั่นคือการมอบดอกไม้และขอพี่ ๆ ถ่ายรูป พริ้มไม่ได้หวังดอกไม้จากใคร เพราะคงไม่มีใครเอามาให้ เขาหวังให้ตัวเองดูดีในวันสุดท้ายในโรงเรียนแห่งนี้ ซึ่งบรรลุวัตถุประสงค์แล้วเพราะเมื่อเช้าพริ้มไม่ได้สะดุดล้มกลางสนาม

     

    “แม่พี่พีม”

     

    หญิงสาวหน้าตาคล้ายคลึงยืนคู่กันบริเวณท้ายสนาม พริ้มกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาด้วยหัวใจที่เต้นรัว ไม่ได้เจอหน้าแม่ตอนกลางวันมานานมากแล้ว พี่พีมเองก็นาน ๆ กลับบ้านที ในช่วงเวลาที่หัวใจอ่อนไหว พริ้มก็รู้สึกได้ทันทีว่าตัวเขาเองคิดถึงความพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้มานานแสนนาน ทุกวันนี้ที่ไม่งอแงงี่เง่าก็เพราะกำลังพยายามทั้งนั้น

     

    “ยินดีด้วยนะลูก เก่งมาก ๆ เลยจ้ะพริ้ม”

    “ขอบคุณฮะ รักแม่กับพี่พีมนะ”

    “รักพริ้มเหมือนกัน”

     

    ซบหน้าเข้ากับไหล่ที่วันนี้เล็กกว่าเขาแล้ว มือของแม่ลูบหลังพริ้มเบา ๆ รวมทั้งมือพี่พีมที่ขยี้หัวอย่างเอ็นดู พริ้มเป็นคนโปรดของที่บ้าน ด้วยหน้าตาและนิสัยที่ใครเห็นก็อยากเลี้ยงดู แต่คนเป็นแม่และพี่สาวกลับไม่รู้ว่าเหตุผลพวกนี้นี่แหละที่ทำให้พริ้มลำบากนานถึงสองปี แต่เด็กดื้อคนนี้มีหรือจะบอก ถ้าบอกไปแม่กับพี่พีมต้องโกรธมากแน่ ๆ อีกอย่างเรื่องมันก็จบไปแล้วด้วย

     

    “พี่เอาของขวัญมาให้พริ้มด้วยนะ”

    “จริงหรอ ไหนฮะ”

     

    ผละออกจากอ้อมกอดของหญิงสาววัยกลางคน ก่อนจะหันไปทางพี่สาวที่ยื่นอะไรบางอย่างมาให้ พริ้มรับเอกสารปึกหนาพอประมาณขึ้นมาอ่านหน้าปก และหลุดขำออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นว่าพี่สาวของเขาเอาอะไรมาให้

     

    “มีใครเขาเอาธีสิสมาให้น้องในวันจบกันบ้างเนี่ย”

    “เผื่อพริ้มจะอยากได้อ้างอิง” เด็กหนุ่มบึนปากใส่ อะไรของพี่พีมก็ไม่รู้ ถ้าไม่ติดว่าเรียนเก่ง พริ้มก็มองเห็นแต่นิสัย และความคิดประหลาด ๆ แบบนี้เป็นต้น

     

    ผู้เป็นแม่ลอบมองรอยยิ้มสดใสที่เธอไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว ถึงพริ้มจะยิ้มเวลาอยู่กับเธอ แต่ก็ไม่ใช่ยิ้มที่มีความสุขเหมือนอย่างในตอนนี้ ลูกชายตัวเล็กที่ตั้งใจเลี้ยงมากับมือ ไม่อยากให้เขามีปมด้อยในใจเลยพยายามหลีกเลี่ยงกับการตอบคำถามว่า พ่อไปไหน จนกระทั่งพีมขอร้องให้เธอบอกความจริงในวันนี้วันที่พวกเธอคิดว่าพริ้มเป็นผู้ใหญ่แล้ว

     

    “พริ้ม

    “ครับ”

    “แม่ไม่เก่งเลยเรื่องการเข้าเรื่องเศร้า ๆ หนูรู้ใช่มั้ย?”

     

    เธอโอบอุ้มมือนุ่มนิ่มทั้งสองข้างของพริ้ม และออกแรงบีบเบา ๆ

     

    “ขอโทษที่แม่ไม่เคยบอกว่าพ่อเขามีครอบครัวใหม่ตั้งแต่หนูอายุสิบขวบ ขอโทษที่แม่เอาแต่โกหกมาตลอด ขอโทษนะลูก”

    “แม่ไม่รู้จะบอกหนูตอนไหนดี แม่เจ็บปวดทุกครั้งเวลากลับบ้านมาในวันนั้นแล้วเห็นหนูหลับอยู่บนโต๊ะกับข้าว แต่แม่ก็ไม่กล้าบอก แม่

    “แม่อย่าร้องไห้นะ”

     

    เธอชะงักและเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าลูกชายตัวน้อยที่เอาแต่ยิ้มบาง ๆ เหมือนไม่ได้เสียใจกับคำสารภาพของเธอ หันไปสบตากับลูกสาวคนโต ก่อนจะตั้งใจฟังในสิ่งที่พริ้มจะพูด

     

    “พริ้มก็เดาได้บ้างในตอนที่ตัวเองโตขึ้น พอได้รู้เข้าจริง ๆ มันก็ไม่ได้เสียใจนะฮะ แค่

    “แม่ขอโทษนะ”

    “ฮะ ๆ พริ้มเหมือนแม่จริง ๆ นั่นแหละ”

     

    เขาสวมกอดแม่อีกครั้ง ไม่ลืมที่จะลากพี่พีมเข้ามาร่วมวงด้วย กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่สามคนแม่ลูก ใช่เรื่องของพ่อน่ะ เขาไม่ได้เสียใจเลยสักนิด พริ้มก็พอจะรู้เอาเองเมื่อโตขึ้นว่าวันสำคัญวันนั้นมันคงสำคัญแค่สำหรับเขา พ่อไม่มีวันกลับมา แต่แค่ไม่รู้เหตุผลว่าทำไม แต่พอได้รู้แล้วมันก็เท่านั้น เพราะตอนนี้

     

    เขามีสิ่งที่สำคัญกว่าให้ต้องเสียใจเวลาจากกัน

     

    “หลังจากนี้พริ้มไม่ต้องทำอีกแล้วนะ เข้าใจมั้ย”

    “เข้าใจฮะ”

    “รู้อยู่แล้วจะตั้งใจทำทำไมก็ไม่รู้ ดื้อจริง ๆ เลย”

     

    แกดุเสียงอ่อน ปาดน้ำตาลวก ๆ และทิ้งท้ายด้วยการหอมแก้มดังฟอดใหญ่ ก็ถ้าวันหนึ่งเขาไม่ทำแบบนั้นขึ้นมา แม่ก็จะต้องเป็นกังวลแน่ ๆ ว่าเขาอาจจะรู้เรื่องแล้ว ซึ่งพริ้มไม่ได้ต้องการให้แม่มากังวลกับเขา เพราะงั้นเขาเลยทำแบบนั้นทุกปี จนกว่าแม่จะบอกเขาตรง ๆ เหมือนในตอนนี้

     

    แม่ลางานมาได้ไม่นาน อีกทั้งยังต้องไปส่งพี่พีมกลับไปเรียนอีก ได้เจอหน้าลูกชาย ลูกสาวของตัวเองไม่เท่าไรก็ต้องกลับไปทำงานอีกแล้ว พริ้มกระชับดอกไม้ช่อโตที่แม่เอามาให้ ขณะแอ็คท่ายิ้มใส่กล้องที่พีพีมกำลังถืออยู่ หอมแก้มก่อนจากกันคนละฟอดสองฟอดอีกครั้ง ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ

     

    พริ้มสูดหายใจเข้าเต็มปอด เงยหน้าทักทายท้องฟ้าที่วันนี้เป็นใจดีเหลือเกิน แดดไม่แรง แถมเมฆก็ยังหนาด้วย เขาเดินไปตามจุดที่ซานบอกให้เรามาเจอกันตรงนั้น และก็เห็นว่ามีผ้า เทค เนย มุก และจิ้มลิ้มยืนคุยกันอยู่ แต่ไม่เห็นคนที่บอกให้เรามารวมตัวกัน

     

    “ไปไหนมา”

    “ไปหาแม่กับพี่มาน่ะ”

    “อ้าว ไมไม่พามาหาบ้างวะ อยากไหว้แม่มึงสักหน่อย”

    “กลับไปแล้วล่ะ มีธุระต่อ เอาไว้คราวหน้านะ”

     

    เสื้อสีขาวสะอาดของทุกคนในตอนนี้ เลอะไปด้วยตัวอักษรจากปากกาหมึกดำทั่วทั้งตัว น่าจะเป็นประเพณีเขียนเสื้อที่ผ้าเล่าให้ฟังแน่ ๆ เพราะงั้นก็เลยเตรียมปากกาเมจิกกันมาสินะ พริ้มเพิ่งได้สังเกตหน้าจิ้มลิ้ม มันเป็นรูปหนวดสามเส้นที่แก้มกับแต้มวงกลมบนจมูกด้วยลิปสติกสีแดงสด ไม่รู้ว่าโดนใครแกล้งมา ใช่พวกผู้ชายที่จิ้มลิ้มเคยพูดถึงหรือเปล่านะ

     

    “ไอ้ลิ้น!

    “เฮียเพลิง!!

    “ใครวาดหน้าหมูให้มึงวะ”

    “แมวต่างหากล่ะ!

     

    จิ้มลิ้มเถียงคอโก่งกับคนที่ชื่อว่า เฮียเพลิงน่าจะคนนี้หรือเปล่าที่จิ้มลิ้มพูดถึงอยู่บ่อย ๆ พริ้มลอบมองเฮียเพลิงอยู่เงียบ ๆ สีผมแดงสดกับใบหน้าออกแนวเถื่อนสร้างความกลัวบางอย่างในใจบอกไม่ถูก แต่รู้แค่ว่าพี่คนนี้น่ากลัว และก็งงตรงที่ว่าทำไมคนอย่างจิ้มลิ้มถึงไปสนิทด้วยได้

     

    “เฮียมาก็ดีแล้ว หนูจะได้ชี้ให้ดูว่าใครแกล้งหนูบ้าง”

    “โตเป็นควายแล้วยังไม่เลิกฟ้องอีก”

    “เอ๊ะ! ไหนเฮียบอกว่าจะช่วยหนูไง”

    “เออ ๆ มึงไปชี้มา”

     

    จิ้มลิ้มลากชายเสื้อเฮียเพลิงโดยที่ปากยังคงส่งเสียงโวยวาย เราพากันมองตามจนสองคนนั้นหายเข้าไปในกลุ่มคน แล้วก็หันกลับมาหัวเราะใส่กัน พี่เพลิงในตอนนี้กับพี่เพลิงในตอนนั้นแตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน ไม่แน่ว่าพริ้มเองก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีแบบนี้ด้วยมั้ยนะ

     

    “เอ้อพริ้ม กูยังไม่ได้ให้ของที่ระลึกมึงเลย”

    “อ่าเราไม่มีของจะให้เนยเลย ขอโทษนะ”

    “ไม่เป็นไร กูอยากให้ มึงรับไปก็พอ”

     

    มือใหม่หัดมีเพื่อนแบบพริ้มไม่รู้ว่าวันแบบนี้เขาต้องให้ของกันด้วย นึกไม่ถึงจริง ๆ เพราะไม่ได้รับของจากคนอื่นมานานมากแล้ว ร่างเล็กรับพวงกุญแจลูกวอลเล่ย์บอลนิ่ม ๆ คล้ายกับซากุชชี่ที่ครั้งหนึ่งเคยฮิตกัน รับมันมาด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะหมุนดูรอบ ๆ แล้วพบว่าอีกด้านของบอลลูกนี้ มีคำว่า ‘KALANCHO’ แปะไว้อยู่

     

    “ขอบคุณนะ น่ารักมาก ๆ เลย”

    “ขอบใจ เก็บไว้ดี ๆ ล่ะ”

    “อื้อ!

     

    เผลอดีใจมากไปจนโดนผ้าขยี้หัวด้วยความเอ็นดูแต่เต็มไปด้วยความรุนแรง จู่ ๆ ผ้าก็โพล่งขึ้นมาเสียงดังว่าปากกาเมจิกของตัวเองอยู่ที่ไหน หาที่ตัวก็ไม่มี ถามเพื่อนก็ไม่มีใครรู้ เทคเลยให้ยืมเมจิกที่จิ๊กมาจากไอ้จอม เพราะทนฟังเสียงบ่นน่ารำคาญของผ้าไม่ไหว

     

    “มา ๆ พริ้ม จบมอหกมันก็ต้องเป็นธรรมเนียม”

    “มึงเอามาให้พวกกูเขียนก่อนดิผ้า”

    “ได้ แต่หลังกูจองนะ”

     

    พริ้มถูกจับตัวให้หมุนราวกับตุ๊กตา เนยเลือกเขียนที่แขนเสื้อว่าอะไรไม่รู้ พริ้มอ่านไม่ออก ส่วนมุกเลือกเขียนใกล้ ๆ กันกับเนย ก่อนจะยื่นปากกาให้เทคไปเขียนต่อ ร่างโปร่งย่อตัวลงคุกเข่ากับพื้น จรดปากกาลงบริเวณหน้าท้องด้านซ้าย ปลายปากกาเล็กขยับยุกยิกโดนเนื้อเอาซะพริ้มเผลอเกร็งหน้าท้องไปโดยไม่รู้ตัว จั๊กจี้สุด ๆ แต่จะดิ้นก็ไม่ได้ เดี๋ยวเทคจะดุเอา

     

    “หันหลังเลยเพื่อน”

     

    พริ้มหันหลังตามที่ผ้าสั่ง

     

    “ยันต์อันศักดิ์สิทธิ์ของกูจะดลบันดาลให้มึงสอบผ่านทุกที่ทุกที่ไป เพี้ยง!!

    “โอ๊ยตบหลังเราทำไม”

    “ร่ายคาถาไง ไม่เคยดูหนังหรอ” พริ้มลูบหลังตัวเองปอย ๆ เขาเดาคำแรก ๆ ไม่ได้ แต่คำหลัง ๆ น่าจะเป็น พยายามเข้านะ ผ้านี่เป็นเพื่อนที่ดีจริง ๆ ยกเว้นตอนตบหลังนะ อันนั้นเจ็บ

     

    เราเอาของไปเก็บไว้ในห้องพัก ก่อนจะออกมากินข้าวที่โรงอาหาร มีกันอยู่แค่นี้เพราะอีกสามหน่อติดฝูงคน ปลีกตัวออกมาไม่ได้เลย ป่านนี้ดอกมงดอกไม้คงล้นมือกันอยู่แน่ ๆ พริ้มตบท้ายอาหารคาวด้วยน้ำแข็งใสเพราะถูกผ้าเล้าหลือให้กินด้วยกัน บ่นนักบ่นหนาว่าตอนอยู่กับยี่หวาเหมือนนักโทษ ไอ้บ้านั่นปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์งู้นงี้ วันสุดท้ายก็เลยขอให้ป้าวนนมข้นถึงสิบรอบ

     

    “พวกมึงจะไปคอนเสิร์ตกันใช่มะ”

    “ไปดิวะ ไม่พลาดหรอกปะ กูจะเต้นให้หัวหลุดกลางสนามเลย”

    “พริ้มมึงจะมาด้วยกันมั้ย ให้เดาก็คงไม่ แต่กูอยากให้มึงมาด้วยกันนะ”

     

    ผ้าป้อนมันหวานใส่ปากเพื่อนตัวเล็ก

     

    “ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวเราเฝ้าของให้”

    “อย่าดื้อดิพริ้ม ไปสนุกด้วยกัน”

    “เฝ้าของก็สนุกนะ”

    “มาด้วยกัน ไม่งั้นกูจะสั่งให้ไอ้หวาไปอยู่กับมึงสองต่อสองนะ”

    “ผ้าสั่งหวาได้ด้วยหรอ”

     

    คำถามใสซื่อ แต่ไร้ซึ่งความปรานี ใช่สิ กูมันเบี้ยล่างของนายท่านยี่หวานี่ ไม่มีใครเข้าใจเวลาโดนมันใช้สายตาขู่ตอนเล่นกับมันแล้วมันไม่เล่นด้วยหรอก ไหนจะตอนซ้อมที่โหดแบบไม่มองหน้าเพื่อนอีก ไม่นับรวมเวลาที่มันคุมเข้มเรื่องการกินขนมของนักกีฬา ยี่หวาในช่วงเวลาเหล่านั้นนะ เรียกว่าโหดวัวสุด ๆ

     

    “ก็ได้ แค่ลองตื้อดูเท่านั้นแหละ เผื่อฟลุ๊ค”

    “ผ้าก็รู้ว่ามันไม่ใช่แนวเรา”

    “จ้า อยู่ในห้องก็อยู่ดี ๆ ละกัน จะกลับก่อนก็บอกด้วยล่ะ”

    “ได้สิ ขอให้สนุกนะ”

     

    เราแยกกันทันทีหลังกินข้าวเสร็จ เมื่อเสียงเตรียมเครื่องดนตรีดังขึ้น เด็กนักเรียนไม่มีกระจิตกระใจจะกินข้าวแล้ว ต่างคนต่างรีบ ๆ เขมือบอาหารบนจานลงท้อง ก่อนจะวิ่งไปจองที่เย้ว ๆ ไม่กลัวกระเพาะมันจะดันขึ้นมาบ้างเลย

     

    หลังเล็กลับสายตาของเพื่อนสนิทตำแหน่งลิบอโร่ไปแล้ว ผ้ารีบชะเง้อคอมองหาหนุ่มที่ฮอตที่สุดในนาทีนี้ คงหนีไม่พ้นหนุ่มน้อยตัวสูง หน้าตาน่าหมั่นไส้ แถมนิสัยยังดุอีก เขาเห็นพวกมันชัดเจน เพราะความสูงชะลูดอย่างกับเปรตตามสี่แยก เลยทำให้พวกมันโดดเด่นออกจากกลุ่มคน ผ้ากวักมือเรียกซานเมื่อเห็นว่ามันหันมาทางนี้ ทางนั้นก็กำลังมองหาพวกเขาอยู่เหมือนกัน

     

    “ไอ้เหี้ย คนเยอะชิบหายเลยว่ะ”

    “ทำเป็นพูดดีไป มึงชอบชัด ๆ”

    “ก็นะ คนหล่อมักลำบากอ่ะ”

     

    ซานหัวเราะจมูกแหลม ใบหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยเหงื่อ หอบของกันพะรุงพะรัง ยกเว้นก็แต่ยี่หวา มันมีแค่สายสะพายที่โรงเรียนให้มา นอกนั้นก็ว่างเปล่า ผ้าก็คิดแหละว่าที่มือของไอ้ซานกับจอมทัพต้องมีของที่ให้ยี่หวา แต่มันไม่รับ พวกแม่งเลยรับแทน ไม่งั้นคงไม่ได้เยอะขนาดนี้

     

    “นับดูบ้างยังว่ามีของมึงกี่ชิ้น ของไอ้หวากี่ชิ้น”

    “แหม่ไอ้เหี้ยผ้า ของกูมีเป็นสิบ”

    “ของไอ้หวาอ่ะ”

    “ยี่สิบ”

     

    หน้าด้านจริง ๆ เลยพวกมึงเนี่ย ด่าไปก็ขำไป คอนเสิร์ตกำลังจะเริ่มในไม่กี่นาทีต่อจากนี้แล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังมีดนตรีเปิดคลอให้พวกเราได้โยกเบา ๆ ตามจังหวะรอเวลาไปพลาง ๆ แต่ด้วยของที่เยอพะรุงพะรังมากเกินไป จะวางก็ไม่ได้ จะให้หอบแล้วเต้นยิ่งไม่ได้ใหญ่

     

    “พวกมึงเอาของไปเก็บไว้ไหน กูว่าจะเอาไปวางไว้ก่อนแล้วค่อยออกมาใหม่”

    “ห้องพักอ่ะ”

    “ดีเลย ป่ะไอ้จอม”

     

    จอมทัพกำลังจะเดินตามซานออกนอกวงไป แต่ยี่หวากลับขัดขึ้นมาเสียก่อน

     

    “ส่งของพวกมึงมา เดี๋ยวกูเอาไปเก็บให้เอง”

    “แน่นะ ให้เอาไปเก็บนะ ไม่ใช่ให้เอาไปทิ้ง”

    “เออ ส่งมา”

     

    ยี่หวาทำหน้ารำคาญใส่ ยื่นแขนรับของเยอะแยะมากมายจากจอมทัพแล้วก็ซานที่เทกระจาดมาให้ทีเดียว พวกเขารู้อยู่แล้วว่าคนอย่างไอ้หวายังไงมันก็ต้องแยกตัวออกไปก่อน เพราะเมื่อตอนปีที่แล้ว ลากมันมาเต้นด้วยได้ไม่ถึงนาที สาว ๆ ก็เริ่มโลกเอียงไหลมาชนแขนบ้าง หลังบ้าง ซบมันทีเผลอบ้าง แปปเดียวเท่านั้น พ่อความดันต่ำก็วิปแตก เดินออกจากงานทันที เพราะงั้นพวกเขาจะไม่เสี่ยงตื้อให้มันร่วมคอนเสิร์ตอีก กลัวจะไม่ได้แค่คำด่าอย่างเดียวน่ะสิ

     

    “ฝากด้วยนะเพื่อนหวา อย่าโยนของกูทิ้งกับพื้นนะ วางมันเบา ๆ เข้าใจมั้ย”

    “เออ”

     

    ผ้าลอบยิ้ม ยังไม่ทันได้ขยับไม้พายเรือ กระแสน้ำก็พาเรือล่องไปเสียแล้ว ทำดีมากไอ้พวกบ้า กูจะรั้งทุกคนให้อยู่งานจนกว่าจะสลบกันไปข้างเลย เอาแบบไม่มีใครได้เข้าไปขัดจังหวะได้ ข้างในนั้นมันต้องมีอะไรเกิดขึ้นบ้างแหละ คิดแบบนั้นแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม

     

    “ยิ้มเหี้ยไรของมึงเนี่ย”

    “อะไร ใครยิ้ม กูเปล่า”

    “มึงยิ้ม ยิ้มทุเรศด้วย ยี๋”

     




























     

    ฟุ่บ!

    เสียงเปิดประตูพร้อมกับเสียงวางดอกไม้แบบขอไปทีดังขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในห้อง ร่างสูงเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ก่อน เขาเห็นไหล่เล็กสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนเด็กคนนั้นจะหันมามอง และก็รีบหันกลับไปเมื่อเห็นว่าเป็นเขา

     

    พริ้มพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ถ้าเขาเลือกจะออกจากห้องก็ไม่มีที่ไป อยู่ข้างในสบายใจแต่ก็อึดอัดพิกล ลอบมองยี่หวาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวประจำกับกองดอกไม้บนพื้นกระเบื้องข้าง ๆ กัน รู้สึกอึกอักไม่กล้าคุย ร่างสูงเองก็ไม่คิดจะทักทายก่อนอยู่แล้ว ข้อนี้พริ้มรู้ดี ขนาดเราอยู่ใกล้กันแบบนี้ ยี่หวายังเล่นโทรศัพท์หน้าตาเฉย เหมือนพริ้มไม่มีตัวตน

     

    ยิ่งคิดยิ่งน้อยเนื้อต่ำใจจะต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหนในการคุยกับเขา

     

    “ดอกไม้…จะไม่ช้ำหรอ”

    “ช่างมันสิ”

    “แต่เมื่อกี้โยนแรงมากเลยนะ”

     

    พริ้มลุกขึ้นจากโซฟายาว ก่อนจะนั่งยอง ๆ จัดของที่วางอยู่บนพื้นให้เรียบร้อย สอดส่องดูสภาพดอกที่อยู่ล่าง ๆ มันช้ำตามที่คิดไว้ ก็แน่ล่ะ…เล่นโยนลงพื้นซะไร้เยื่อใยขนาดนั้น อย่างน้อยรับมาก็น่าจะดูแลให้ดีหน่อยก็ไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้…ดอกไม้ที่เขาตั้งใจจะให้ก็คงมีสภาพไม่ต่างกัน

     

    “จะช้ำตอนนี้หรือตอนไหน…ยังไงก็ต้องทิ้งอยู่ดี”

    “…นั่นสินะ”

     

    ร่างสูงเบนสายตามองคนตัวเล็กด้านข้างที่นั่งหันหลังให้เขาและจดจ่ออยู่กับอะไรที่ไร้สาระ เรียงพวกมันเสียดิบดี แถมยังแยกประเภทให้ด้วย ยกยิ้มชอบใจนิสัยตรงนี้เล็กน้อย แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าด้านข้างของพริ้ม อารมณ์หงุดหงิดใจก็กลับมาอีกครั้ง

     

    “จะไปสนใจทำไม มันไม่ใช่ของนายสักหน่อย”

    “แล้วถ้าเป็นของเราล่ะ”

    “หวาจะทิ้งมันหรือเปล่า”

     

    เราสบตากันด้วยระดับที่พริ้มอยู่ต่ำกว่าเพราะเขานั่งอยู่บนพื้น เสียงล็อคหน้าจอโทรศัพท์ดังขึ้นเบา ๆ เรียกความสนใจของพริ้มให้เลื่อนสายตาไปมอง แต่ยี่หวาก็ขยับตัวดึงจุดโฟกัสของพริ้มมาที่เดิมอีกรอบ ร่างสูงโน้มตัวเข้ามาใกล้ พลางยกแขนขึ้นเท้าคางเข้ากับที่วางมือด้านข้าง ด้วยสายตาที่เยือกเย็นและพร้อมจะต้อนสัตว์ตัวน้อยให้จนมุม

     

    “รู้ไม่ใช่หรอว่าฉันไม่รับของของใคร”

    “ลแล้วนั่นล่ะ”

    “แล้วคิดว่าฉันจะรับของนายงั้นหรอ?”

     

    พริ้มกลืนน้ำลายลงคอ ถึงแม้ว่าท่าทางของยี่หวาตอนนี้จะน่ากลัว แต่ลึก ๆ ข้างในกลับไม่ได้รู้สึกขนาดนั้น ดวงตาคมจดจ้องจนใบหน้าพริ้มแทบพรุน และมีเพียงแค่เขาที่กำลังหลบหนีการสบสายตาอย่างเอาเป็นเอาตาย ยี่หวาในตอนนี้ไม่น่ากลัวก็จริงแต่ก็อ่านไม่ออกเช่นกัน

     

    “ก็ไม่ได้คิดว่าจะรับหรอก

    “ก็รู้นี่”

    “หวาโกรธเราหรอ”

    “เรื่อง?”

    “เรื่องวันนั้น”

    “วันไหน?”

     

    กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอรอบที่สอง วันนั้นมันก็มีอยู่วันเดียวนั่นแหละที่เราทะเลาะกัน วันที่หวาขึ้นเสียงจริงจังใส่เขา พอมาในวันนี้กลับทำเป็นไม่รู้ว่าวันนั้นที่ว่าหมายถึงวันไหน คำว่าพริ้มมีค่าให้จดจำบ้างมั้ยเนี่ย

     

    “วันที่หวาตะคอกใส่เรา”

    “นายเองก็ขึ้นเสียงใส่ฉันนี่”

    “เราเปล่า

    “งั้นคงคนละวัน”

     

    ร่างสูงเมินหน้าหนี ทิ้งแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้ ก่อนจะยกแขนขึ้นกอดอก พริ้มตามผู้ชายตรงหน้าไม่ทันแล้ว รู้แต่ว่าเขาน่าจะตอบอะไรผิดไปแน่ ๆ จากที่หวาแค่หงุดหงิด กลับกลายเป็นว่าน่าจะเข้าโหมดโมโหแล้ว คนตัวเล็กโยกตัวไปทางด้านที่ใบหน้ายี่หวาหันไปมอง พยายามสบตาทั้งที่ในใจร้องว่าไม่ไหว

     

    สายตายี่หวาน่ะอนุภาพรุนแรงยิ่งกว่าปรมาณูเสียอีก

     

    “เอ่อเราขอโทษนะ”

    “เรื่อง?”

    “ทุก ๆ เรื่องเลย ไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกไปแบบนั้นด้วย เราแค่อยากตัดใจ แต่เราไม่ได้อยากให้หวาโกรธเรา ขอโทษจริง ๆ นะ”

    ตัดใจ?”

     

    อ่าเผลอหลุดปากไปจนได้ ที่ซ้อมมามันไม่ใช่แบบนี้นี่พริ้ม

     

    พริ้มเลิกลัก เมื่อยี่หวาหันมาหา ร่างเล็กรีบกุลีกุจอถอยออกห่าง จนหลังชนเข้ากับโซฟา เขาเลยเลื้อยขึ้นนั่งบนนั้นทันที อยู่ระดับต่ำกว่าแล้วรู้สึกเหมือนจะไม่ปลอดภัย นั่งในระดับเดียวกันแบบนี้ดีกว่า

     

    “ตัดใจจากอะไร?”

    “เอ่อ

    “ตอบมาเร็ว ๆ”

     

    พริ้มก้มหน้างุด จังหวะมั่วไปหมด ไม่รู้จะทำยังไงดีเลย คำถามของยี่หวา พริ้มก็ตอบไม่ได้ ในหัวว่างเปล่า โล่งโจ้ง และสับสน ยิ่งถูกเร่งเร้ายิ่งคิดไม่ออก แต่ดูท่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจในจุดนี้ คนใจร้อนไม่รอให้มีช่องว่าง ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ เพียงก้าวเดียวก็มาถึงโซฟาที่พริ้มนั่งอยู่ ร่างเล็กสติแตกกระเจิงยิ่งกว่าเดิม รั้งแขนข้างหนึ่งของยี่หวาไว้ด้วยใบหน้าที่เริ่มเจือสีขึ้นเรื่อย ๆ

     

    “ดเดี๋ยว”

    “ถ้านายมีอะไรจะพูด”

    “ก็รีบ ๆ พูดในตอนที่ฉันตั้งใจฟัง”

     

    คำพูดที่หนักแน่นและไม่รีบร้อน ทำให้พริ้มเข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายจะรอตามที่พูดจริง ๆ ร่างเล็กเผลอออกแรงบีบเบา ๆ ที่ข้อมือยี่หวา ระบายความตื่นเต้น กดดัน และความเขินอายผ่านเนื้อสัมผัสซึ่งกันและกัน สูดหายใจเรียกสติเข้าเต็มปอด ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

     

    “เรา

    “ไม่ได้ยิน”

     

     ไม่รู้ว่าร่างสูงย่อตัวลงนั่งตรงหน้าเขาตั้งแต่ตอนไหน รู้แค่ว่าหัวใจเต้นแรงและเร็วมากจนแทบหายใจตามไม่ทัน พริ้มงอปากเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยกยิ้มมุมปากชอบใจ ปล่อยมือข้างนั้นของยี่หวาออกเพื่อเอามาปิดบังใบหน้าที่ร้อนผ่าว มันคงกำลังแดงแจ๋อยู่แน่ ๆ

     

    เป็นคนขี้แกล้งแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร

     

    “พูดใหม่ ไม่ได้ยิน”

    “ได้ยินแล้วชัด ๆ เลยนี่”

    “รู้ได้ไง”

    “เรารู้

    “ถ้ารู้ก็ลองบอกมาหน่อยว่าฉันได้ยินว่ายังไง”

     

    ลดฝ่ามือลงช้า ๆ เสียงเมื่อกี้มันอาจจะเบาเกินไปก็ได้ พริ้มสบสายตากับยี่หวาอีกครั้ง ถ้าหากพูดออกไปชัดเจนแล้วจะโดนปฏิเสธก็ไม่เป็นไร ยังไงก็เตรียมใจมาแล้ว และนี่ก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้วด้วย ตั้งใจหน่อยพริ้ม

     

    ยี่หวากำลังตั้งใจฟังอยู่นะ

     

    “ยี่หวาสำหรับเราเป็นเหมือนความฝันไม่นานเราก็ต้องตื่น การได้คุยกันเป็นสิ่งที่เราคิดอยู่เสมอว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่พอมันเกิดเป็นจริงขึ้นมา

    “เราเลยกลัวว่ามันจะหายไป”

     

    พริ้มกัดริมฝีปากล่างกั้นความหวั่นไหวในใจเอาไว้

     

    “แต่ถึงเราจะกลัวแค่ไหนเราก็ยังจะชอบยี่หวาต่อไปอยู่ดี”

     

    ห้องเงียบลงเมื่อเขาพูดจบ ไม่กล้ามองหน้ายี่หวาเลยทำได้แต่หดคอตามเดิม พริ้มได้ยินเสียงอีกฝ่ายลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงโซฟายุบด้านข้าง เว้นช่วงนานขนาดนี้คำตอบคงเป็นความว่างเปล่าสินะ ควรตัดใจได้ตั้งนานแล้ว ไม่น่าดันทุรังเลยจริง ๆ พริ้มคิดว่าเขาควรออกไปจากห้องนี้ เพราะอีกไม่กี่นาทีน้ำตาน่าจะไหล ให้หวาได้ยินอะไรแบบนั้นก็ว่าแย่แล้ว ให้เห็นหน้าทุเรศ ๆ อีก มันคงเป็นความทรงจำที่ทำให้นึกถึงที่ไรก็อยากจะร้องไห้ทุกทีแน่ ๆ

     

    “จะไปไหน”

    “ปไปข้างนอก”

    “ใครให้ไป”

     

    ยี่หวารั้งข้อมือเล็กเอาไว้ ก่อนจะลากและกระชากให้พริ้มนั่งลงตามเดิม

     

    “นายพยายามจนสุดแล้วหรือยัง”

    “ถามก็ตอบ”

    “ยยัง”

    “เหลืออะไรอีก”

    “ดอกไม้แต่ยี่หวาบอกว่าจะไม่รับ”

     

    เสียงหัวเราะหึในลำคอดังขึ้น แต่พริ้มคงไม่ได้ยิน ร่างสูงปัดมือที่เอาแต่ปิดหน้าปิดตา มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าร้องไห้ มือหนาช้อนคางอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้น ใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาทั้งสองข้างพร้อมกัน เป็นสัมผัสที่ไร้ความอ่อนโยน แต่กลับทำให้หัวใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำได้

     

    “ไปเอามา”

    “อเอาอะไร”

    “ถ้าอยากฟังคำตอบก็ไปเอาดอกไม้มา”

     

    พริ้มงุนงงแต่ก็ยอมทำตาม หมายถึงถ้าเขาให้ดอกไม้ช่อนั้น แม้คำตอบจะปฏิเสธ พริ้มก็ต้องหอบดอกไม้กลับไปอยู่ดีน่ะหรอ เผลอ ๆ ยี่หวาอาจจะเอาดอกไม้ไปทิ้งด้วยตัวเองเลยมั้ง มือเล็กค่อย ๆ รูดซิปกระเป๋า มันทั้งสั่นและบังคับยากกว่าปกติ ทั้งยังต้องเอามาปาดน้ำตาที่ไหลเรื่อย ๆ นี่อีก ทุลักทุเลจริง ๆ

     

    “หน้าตาดูไม่ได้เลยนะ”

     

    ร่างสูงวิจารณ์ทันทีที่เห็นดอกอะไรไม่รู้สีขาว มันเหี่ยวบ้าง ดีบ้าง แต่ดูเหมือนเจ้าของดอกไม้จะมีภูมิต้านทานคำพูดใจร้ายของยี่หวาแล้ว เลยทำแค่ยื่นช่อดอกไม้ในมือให้สลับกับปาดน้ำตาไปด้วย

     

    “เราเก็บมันไว้ในกระเป๋า สงสัยไม่มีอากาศแล้วก็ร้อนด้วย มันก็เลยเหี่ยว”

     

    แถมยังอธิบายอีกต่างหาก

     

    ร่างเล็กยื่นมันเข้ามาใกล้อีกครั้ง ซึ่งปฏิกิริยาแบบนี้ของพริ้มทำให้ยี่หวาพอใจแปลก ๆ ไม่ใช่พริ้มในโหมดปกติที่ยอมเขาไปเสียทุกเรื่อง แต่โหมดที่กำลังร้องไห้แบบนี้จะมีความเอาแต่ใจเล็กน้อย บางครั้งก็มีอารมณ์ไม่พอใจติดมาด้วย ร่างสูงรับมันมา หน้าตาเหมือนดอกเล็ก ๆ ที่คนจะชอบเอามาตบแต่งเป็นของเสริมเสียมากกว่า แต่เขาไม่รู้ว่ามันคือดอกอะไร

     

    “ขอบคุณที่รับนะ แล้วเมื่อไรยี่หวาจะให้คำตอบเรา”

    “หยุดร้องก่อนแล้วจะบอก”

    “ฮึกเราก็ไม่ได้อยากร้อง แต่น้ำตามันไม่ยอมหยุดไหล”

    “ก็แปลว่าร้องอยู่ไม่ใช่หรือไง”

     

    คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย ใช้หลังมือช่วยเช็ดน้ำตาให้ แต่เจ้าตัวก็เอาแต่เบือนหน้าหนีอย่างเดียว ไม่รู้คราวนี้เกรงใจ หรือเกรงกลัวอะไรอีก ถ้าไม่ติดว่ามืออีกข้างถือดอกไม้อยู่ ป่านนี้ใบหน้าเล็ก ๆ นั่นคงโดนมือเขาล็อคคางไปแล้ว

     

    หวาไม่ต้องตอบเราแล้วก็ได้”

    “ทั้งที่อยากรู้จะแย่เนี่ยนะ?”

     

    เสียงสะอื้นเริ่มเบาลงแล้ว เราต่างก็ยืนรอกันและกันอยู่เงียบ ๆ กระทั่งมือที่ช่วยปาดน้ำตาให้สัมผัสเข้าเบา ๆ ที่ข้างแก้ม แต่มันใหญ่มากพอที่ปลายนิ้วจะไปจรดอยู่ท้ายทอย มือข้างนั้นขยับเบา ๆ ราวกับจะกล่อมให้พริ้มสงบลง ท่าทางเหมือนลูบคุณกระรัตและไม่ต่างอะไรจากการลูบในวันนั้นเลยสักนิด พริ้มอุ่นใจเสมอเมื่อฝ่ามือใหญ่ของยี่หวาโอบอุ้มใบหน้าเขาเอาไว้เบา ๆ แบบนี้

     

    “ฉันไม่ใช่ความฝันไม่ว่าจะของนายหรือของใครก็ตาม ไม่เคยอยากเป็น

    “ฉันจับต้องได้ เหมือนที่ฉันกำลังสัมผัสนายอยู่ในตอนนี้”

     

    ฝ่ามือหนาค่อย ๆ ดันท้ายทอยของพริ้มให้เงยขึ้น

     

    “ร้อนชิบหายเลยเว้ย!! อยากนอนตากแอร์เย็น ๆ ชะมัด”

     

    มารผจญมักมาขัดขวางอย่างถูกเวลาเสมอ

     

    เสียงซานดังกว่าใครเพื่อน เปิดประตูบานกระจกเดินดุ่ม ๆ เข้ามาพร้อมกับคนอื่น ๆ ที่สภาพหลุดลุ่ยเหมือนไปมีเรื่องกับใครมา แล้วดันเข้ามาตรงจังหวะเกินไป เลยทำให้เห็นบทละครสดจะจะเต็มลูกตาราวกับผู้กำกับวางไทม์มิ่งไว้เรียบร้อยแล้ว

     

    “เฮ้ย! พวกมึงทำอะไรกันอ่ะ!

    “กำลังจะจูบกันหรอวะ ท่าแบบนั้น”

    “ไอ้เหี้ยยยย ข่าวเด็ดเผ็ดแซ่บจ้าทุกท่าน ไอ้ผ้า ๆ มึงมาดู!

    “ดูเหี้ยไร กูบอกให้ไปเข้าห้องน้ำก่อน พวกมึงแม่งทำเสียเรื่องว่ะ”

     

    พริ้มเขินจนตัวแทบแตก เดินถอยเนียน ๆ ไปหลบอยู่หลังยี่หวา ตอนแรกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าท่าทางแบบนั้นคืออะไร แต่พอเทคทักขึ้นมาเขาก็คิดว่ามันน่าจะเข้าข่ายแล้วล่ะ ทั้งซาน จอมทัพ เทค ผ้า เนย มุก ต่างก็กำลังคึกคักในการล้อกัปตันทีมหน้าดุ ที่นาน ๆ ทีมันจะมีความรักกับเขาเสียบ้าง แล้วครั้งนี้เป็นคนที่พวกเขาเชียร์อย่างสุดหัวใจ แต่เพราะไอ้ผ้าแหละ ไม่ยอมบอกก่อนว่ามีแผน ไม่งั้นพวกเขาคงไม่ทำแผนมันพัง

     

    “มีบงมีบังให้กันด้วยยยยย”

    “ไอ้เชี่ย กูเขินแทนว่ะ ไม่เคยเห็นไอ้เหี้ยหวาเป็นแบบนี้เป็นพระเอกกกก”

    “แหม ทำหน้านิ่งกลัวเขาจับได้หรอจ๊ะ เขารู้กันนานแล้วพ่ออออ”

     

    เล่นกันไม่ทันได้สนุกถึงขีดสุด สายตาดุที่ล่ำลือกันว่าแค่ปราดเดียวเท่านั้น เสียงนกเสียงกาก็จะเงียบสงบไปทันที ไม่มีใครกล้าล้อ กล้าแซวพ่อตัวสูงที่สุดในทีมอีกแล้ว ยิ่งกับซานถึงกับต้องทำท่ารูดซิปปากเพราะไม่อยากโดนเตะ ยี่หวาพ่นลมหายใจไม่สบอารมณ์ หยิบเอากระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมา และไม่ลืมที่จะหยิบของอีกคนตามมาด้วย

     

    “ล็อคห้องด้วย”

    “ครับกัปตัน”

    “แล้วอย่าไปปากดีแบบนี้ที่ไหนอีกล่ะ”

    “ครับ ขอโทษครับ”

     

     



























    นานแล้วที่ยี่หวาไม่ได้เดินบนถนนเส้นนี้ เขาเดินล้วงกระเป๋าหนีบเอาดอกไม้เหี่ยว ๆ มาด้วยอารมณ์หงุดหงิด แต่ก็ยังลอบมองอีกคนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาติด ๆ เรียวขายาวลดความเร็วลงจากเดิม เพื่อให้คนตาแดงเดินตามทันได้อย่างสบาย ๆ

     

    “ชานมไข่มุกมั้ย?”

    “ไม่”

    “เคบับล่ะ?”

    “ไม่”

    “แฮมเบอร์เกอร์ก็มีนะ”

     

    ร่างเล็กพูดจ้อยามที่เดินผ่านร้านขายของกินก็จะพูดชวนแบบนี้ทุกร้าน แต่ตอนนี้หงุดหงิดอยู่ ถึงไม่หงุดหงิดก็ไม่หิวอยู่ดี เดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งผ่านชิงช้าสีแดงที่เจ้าของเส้นทางกลับบ้านเคยพูดถึง ร่างสูงถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะรั้งให้อีกคนเดินตามมาด้วยกัน

     

    “มานี่”

     

    โอเคเขาจะไม่อ้อมค้อมและพูดมากเหมือนตอนอยู่ในห้องนั่นแล้ว บอกตามตรงว่าการทำอะไรที่มันไม่ใช่ตัวเอง ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาเห็นข้อความลายมือไอ้ผ้าบนหลังพริ้มนั่นแหละ ก็เลยอยากแกล้งโดยการไล่ต้อนถามคำถามที่ตัวเองรู้อยู่แล้ว ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนแบบนั้น

     

    พอได้ทำและได้เห็นปฏิกิริยาก็รู้สึกว่าสนุกดี อีกฝ่ายเองก็มีนิสัยถ้าไม่พูดให้ชัด ๆ ก็จะไม่เข้าใจ ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่พูดอธิบายอะไรให้มากความ แต่สุดท้ายยี่หวาก็ต้องยอมพูดยาว ๆ เพื่อให้อีกคนเข้าใจอยู่ดี ตอนนี้เองก็เช่นกัน เขาติดแหง่กอยู่ในความรู้สึกกับดอกไม้สีขาวเหี่ยว ๆ และชิงช้าสีแดง

     

    “ยี่หวาจะตอบเราแล้วหรอ”

    “ขอเราทำใจก่อนได้มั้ย”

    “ไม่จำเป็น”

     

    ร่างสูงเอาช่อดอกไม้ในมือตีหัวพริ้มเบา ๆ

     

    “เพราะฉันก็ชอบนายเหมือนกัน”

    อะไรนะ”

    “ให้ตายสิ กว่าจะพูดออกมาได้ ต้องรอให้ฉันโกรธมากกว่านี้อีกหรือไง”

     

    สมองของพริ้มได้เออเร่อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคิดว่าไม่น่าจะกู้ข้อมูลคืนได้ถ้าหากยี่หวาไม่ดีดหน้าผากเขา นี่เรื่องจริงใช่มั้ย? ยี่หวาเนี่ยนะ? แถมยังเป็นคำตอบที่ดูจะเหลืออดก็เลยตอบห้วน ๆ ออกมาทันที แต่ท่าทางยี่หวาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม หรือแม้กระทั่งคำพูดก็ยังราบเรียบติดจะดุอยู่ตลอดเช่นเคย มีแค่คำว่าชอบนายเหมือนกันเท่านั้นที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของพริ้มไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

     

    มันน่าเหลือเชื่อเกินไปจนทำใจเชื่อไม่ลง

     

    “หวาพูดจริง ๆ หรอ”

    “อย่าร้องไห้”

    ไม่ทันแล้ว”

     

    เขาไม่เคยเข้าใจอารมณ์ของคนที่เราแอบชอบแล้วเขาก็ชอบเราเหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วเข้าใจอย่างดีเลยด้วย เข้าใจจนน้ำตาไหล สะอึกสะอื้นเหมือนตอนอยู่ในห้องนั้น แตกต่างกันที่ความรู้สึกในใจมันไม่เหมือนกัน

     

    ยี่หวาดึงพริ้มเข้าไปกอด บีบไหล่เล็กเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนลงไปลูบหลังให้ ตัวบางกว่าที่คิด สลัดความคิดบ้า ๆ บอ ๆ ที่จู่ ๆ ก็แวบเข้ามาในตอนที่เอามือวางไว้ได้อย่างพอดีตรงเอวเล็ก ขยี้หัวทุยเล่นไปเรื่อย ๆ รอจนกว่าคนในอ้อมกอดจะเงียบไป

     

    “ฉันน่ะ

    “ฮึก

    “รอให้นายบอกชอบ พอ ๆ กับที่นายชอบฉันนั่นแหละ”

     

    เขารู้ตัวดีเลยว่านี่เป็นนิสัยที่ตัวเองไม่ชอบใจเอาเสียเท่าไร ต้องได้แกล้งอีกฝ่ายจนหนำใจ แหย่เล่นจนกว่าจะเบะปากยอมแพ้ หรือเอาเหยื่อชั้นดีวางล่อแต่ไม่ให้กิน ซึ่งพริ้มโดนเข้าอย่างจัง แถมยังไม่รู้ว่าตัวเองโดนเสียด้วย ตอนแรกก็ว่าจะเพลา ๆ ลง แต่พอได้เห็นสีหน้าที่ทำให้อยากแกล้งเข้าไปอีก เขาก็เลยปล่อยเลยตามเลย

     

    “ฉันจะโทรหา”

     

    ร่างสูงพูดขึ้นเมื่อเราเดินต่อมาจนถึงบ้านของพริ้ม คนตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงัก ตั้งใจจะรอสายตลอดทั้งคืนไม่ยอมนอนเลย แต่จู่ ๆ ก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองไม่มีเบอร์ของยี่หวา แล้วยี่หวาจะมีเบอร์พริ้มได้ยังไง

     

    “เอ่อเราไม่มีเบอร์ยี่หวา”

    “ก็มีแต่นายนั่นแหละ เทอมนึงแล้วไม่ขอสักที”

     

    พริ้มอ้าปากเหวอ ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ ตัวเขาเนี่ย ยี่หวาแบมือขอโทรศัพท์จากพริ้ม ก่อนจะจิ้มยิก ๆ แล้วส่งมาให้แบบยังไม่เซฟ

     

    “เซฟไว้ด้วยล่ะ คุณความฝันอะไรก็ว่าไป”

    “หวาล้อเราหรอ”

    “จะเมมว่าแฟนก็ได้”

    “แฟน!!!

     

    พริ้มหลุดปากเสียงดัง แถมยังหลงอีกด้วย หน้าเริ่มขึ้นสีแดงทีละนิด ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายค่อย ๆ ยกยิ้มที่มุมปาก จนมันกลายเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ คล้ายกับคนอมยิ้มล้อเลียนอยู่ไม่ปาน พริ้มไม่เคยเห็นยี่หวายิ้มแบบนี้มาก่อน แน่นอนว่ามันทำให้ใจเขาเต้นแรงกว่าที่แล้ว ๆ มา

     

    อันตรายเกินไป

     

    “หรือไม่อยากเป็น?”

    อยากสิ”

     

    แต่พริ้มเองก็ใจเด็ดเหมือนกัน

     

    “อยากเป็นมาตลอดเลย”

     

    เพราะเรานั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัด มันเลยทำให้เรารู้สึกสนใจอีกฝ่ายมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะมุมที่เธอไม่เคยแสดงให้ใครเห็น แต่เธอกลับแสดงมุมนั้นกับฉัน และมีแค่ฉันเท่านั้นที่ได้เห็นมัน ถึงแม้เธอไม่เคยบอกว่าฉันพิเศษ แต่การกระทำเหล่านั้นบอกฉันซ้ำ ๆ

     

    ว่าฉันสำคัญกับเธอมากกว่าที่ฉันคิด




    #พริ้มเพียงหวา

    11/4/19



    แถมท้ายเรื่องเล็กน้อย


    [1] หวาพริ้ม

    "รู้มั้ยว่าข้างหลังเสื้อเขียนว่าอะไร"

    "ไม่รู้อ่ะ เราเดาได้แค่คำว่าพยายามเข้านะ"

    "จะไปถามผ้าเอง หรือจะให้ฉันบอก"

    "ผ้าเขียนไม่ดีหรอ..."

    "มันเขียนว่า สารภาพรักก็พยายามเข้านะ"

    "อ่า..."

    "ถึงบอกให้เลือกไง"


    [2] เก้าหวา

    "ดอกไม้? จากใคร?"

    "ดอกอะไร รู้ปะ"

    "คัตเตอร์"

    "นี่ชื่อ?"

    "ลองหาดู"

    ...

    "ฮึ น่ารักดี"

    ( อยากรู้ว่าหมายถึงอะไร เชิญที่ลิ้งนี้ )





















    ไฟนอลลี่ค่ะทุกค้นนนนน ขอโทษจากใจและกระดูกไขสันหลัง ขอโทษจริง ๆ ที่มาอัพช้าขนาดนี้ จริง ๆ ตอนจบเราแต่งไปได้ครึ่งแล้ว แต่ไม่พอใจค่ะ 55555 ก็เลยแต่งใหม่ ใช้เวลาแต่งตอนใหม่ 3 วัน รวมกับอันเก่าเอามาแปะ ๆ ทั้งสิ้นคือ 5 วันสำหรับตอนนี้ ทีแรกกดดันนะ ว่าต้องแต่งออกมาให้ดีงั้นงี้ แต่สุดท้ายก็เอาแบบจบน่ารัก ๆ ตามสไตล์พริ้ม และความนิ่งปนขี้แกล้งของยี่หวาดีกว่า หวังว่าจะถูกใจนะคะ ถ้าไม่ก็ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ฮือ

    ใครที่อยากได้เล่ม กดไปตอนก่อนหน้าเพื่ออ่านรายละเอียดได้เลยจ้า ปิดโอน 9 พคนี้นะคะ อย่าลืมเด้อ สเปในเล่มน่าจะได้ลงให้อ่านประมาณสิ้นเดือนเมษา ไม่ก็ต้นเดือนพฤษภา วางแพลนชนเข้ากับไฟนอลพอดี เป็นเวรกรรมแท้ ไม่ดูตาม้าตาเรือ55555

    ที่มาช้าส่วนหนึ่งคือติดวิจัยกับงานนู้นนี่ค่ะ แบบทั้งอาทิตย์คือไม่ว่างเลยยยย พอมีเวลาว่างก็นั่งแต่งอย่างเดียวเลยค่ะ แต่เพราะไฟมันไม่แรงเหมือนเก่า ก็จะเหมือนคนแก่นิดหน่อย ช้า ๆ นาน ๆ อัพทีแบบนี้ พูดแล้วเศร้า

    พบกันใหม่ในเรื่องหน้านะคะ มีเรื่องต่อไปแน่นอน แต่ขอยังไม่บอกว่าจะเป็นเรื่องอะไรแล้วกัน กลัวทำไม่ได้อย่างที่พูด อย่าลืมตามมานะคะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงตอนจบนี้ ยาวนานมากจริง ๆ แต่ก็ยังอยู่ด้วยกันเสมอ รักนะ

    ก่อนจากกันไป ขอคนละคอมเม้นท์ทิ้งท้ายกันไว้สักหน่อย แลกเปลี่ยนกับเวิร์ด 29 หน้า ฟ้อนต์ 16pt ละกันนะ555555

    Jarlynnie

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×