ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #พริ้มเพียงหวา | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #25 : ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม #พริ้มเพียงหวา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 14.05K
      1.12K
      10 พ.ค. 62



    สวัสดีค่ะทุกคนนนน ได้ฤกษ์ลงตอนพิเศษมาให้อ่านเรียกน้ำย่อยแล้วค่ะ เผื่อใครกำลังลังเล หวังว่ามันจะช่วยทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น (ในทางที่ดีนะคะ5555) 
    - ขอชี้แจงเกี่ยวกับสเปภาคมหาลัย รายละเอียดบอกไว้ว่า 2 ตอน แต่พอแต่งไปแต่งมาเราไม่ได้ตัด ก็คือแต่งต่อไปในตอนเดียวยาว ๆ ไปเลย จำนวนหน้าก็ขยับลดลง เพราะจัดโครงหน้าใหม่ ใส่ได้เยอะกว่าเดิม หน้าไม่เยอะ สันจะได้ไม่เหวอะค่ะ555555 
    - หนังสือยังคงเปิดให้จองถึงวันที่ 9 พค อยู่นะคะ ถ้าสนใจก็อย่าลืมโอนเงินนะ ส่วนใครที่โอนไม่ทันจริง ๆ เรามีรอบสต๊อค จะเปิดให้จองกลางเดือนค่ะ 16-17 พค ประมาณนี้ มีประมาณ 20-25 เล่ม
    - หลังจากนั้นรอโรงพิมพ์ทำเล่มประมาณ 2 อาทิตย์ค่ะ สามารถติดตามการเคลื่อนไหวได้ที่แท็ค #หวาพริ้มถึงไหนแล้ว เราอัพเดตตลอดว่าถึงขั้นไหน ดังนั้นได้โปรดอย่าเร่งกันเลยน้า

    ไปอ่านตัวอย่างเล็กน้อยกันค้าบ























    First Met

     เขาจำได้…ว่าเคยใช้เส้นทางไหนกลับบ้าน

    ในช่วงมัธยมต้นที่เด็กคนหนึ่งได้ทำความรู้จักกับความรัก เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ยามเมื่อได้เห็นใบหน้าคนที่แอบชอบ หรือแม้กระทั่งใช้เส้นทางเดิม ๆ เพื่อจะได้มองเห็นเขา …แม้ผ่าน ๆ ก็ยังดี

    ถ้าเดินข้ามถนนจากฝั่งของโรงเรียน จะมีร้านเกมตั้งตระหง่านคอยล่อตาล่อใจเด็กน้อยทั้งหลายได้เป็นอย่างดี เด็กหนุ่มเปลี่ยนเส้นทางเดินกลับบ้าน เมื่อเห็นว่าคนคนนั้นมักจะมาใช้ร้านเกมบ่อย ๆ และทุกครั้งก็จะมาด้วยกันกับเพื่อนอีกสองคน

    วันแรกเดินผ่าน…วันที่สองเดินผ่าน…วันที่สามเดินให้ช้าลง

    กระจกบานใสที่ต้องติดตามคำขอของโรงเรียน แต่เมื่อโรงเรียนเลิก ทางร้านจะดึงผ้านม่านปิดในกรณีที่แสงแดดร้อนเกินไป วันนี้ก็ยืนค้ำโซฟามองเพื่อนเล่นเกมอีกเช่นเคย… มารู้ชื่อของผู้ชายคนนั้นก็ประมาณเดือนกว่ากับการเดินผ่าน เพราะเผอิญได้ยินเพื่อนผิวขาวตะโกนเรียกชื่อ

    เป็นชื่อที่ได้ยินครั้งแรกหัวใจก็เต้นตึกตัก

    ไม่เคยคิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนชื่อหวานได้ขนาดนี้ ตอนแรก ๆ รู้สึกขัดกับใบหน้าดุนั่นเสียหน่อย แต่ผ่านไปสองวิก็คิดว่าเหมาะสมดีอย่างไม่น่าเชื่อ พาลให้นึกไปถึงพ่อแม่…ว่าทำไมถึงตั้งชื่อลูกคนหนึ่งได้ดีขนาดนี้

    หลัง ๆ มาเริ่มรู้สึกว่าร้านเกมแห่งนี้ไม่ปกติ มีพวกเด็กเกเรมากันเยอะ ซอกตึกได้กลายเป็นที่สูบบุหรี่ไปเสียแล้ว ถึงจะกลัวแต่ในใจไม่ย่อท้อ แค่ได้เห็นหน้าแปปเดียวก็ยังดี เด็กหนุ่มทำใจกล้าเดินช้า ๆ พลางมองผ่านบานกระจกใส

    แต่กลับไม่เจอคนคนนั้น…

    ‘เฮ้ย อะไรวะ บุหรี่หมดแล้ว?’

    ‘ก็มึงเล่นสูบไวขนาดนั้น กูเพิ่งจะเริ่มม้วนสองเอง’

    ‘สัสเอ๊ย เอามาแบ่งกูดูดบ้าง’

    ‘ไปซื้อใหม่ดิวะ จะมาแย่งกูทำไม’

    เผลอหันไปมองผู้ชายสองคนเถียงกันจนพวกนั้นสังเกตเห็นเสียได้ หนุ่มน้อยรีบหันขวับไปอีกด้าน หมุนตัวออกเดินด้วยท่าทางเงอะงะ แต่ดันช้ากว่าพวกนั้นไปหลายก้าว

    ‘จะรีบไปไหนวะเด็กนักเรียน’

    ‘โรงเรียนเพิ่งเลิกหรอนาย’

    พวกมันต้อนพริ้มไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาเข้าไปในซอกหลืบตามแผน กลางวันแสก ๆ ยังกล้าทำ คงไม่ต้องหวังว่าจะมีคนมาช่วยสินะ เด็กน้อยกำสายสะพายกระเป๋าแน่นข่มความกลัวในใจ ขอแค่บอกว่าอยากได้อะไร พริ้มก็จะควักให้ไม่อิดออด

    ‘อ…อยากได้อะไรหรอครับ’

    พวกมันเลิกคิ้ว ก่อนจะสบตากัน จากนั้นก็ขำออกมาเสียงดัง ดูท่าทางคงไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่มีการศึกษาแน่ ๆ เนื้อตัวก็เหม็นกลิ่นบุหรี่ ยิ่งเข้ามาใกล้ยิ่งหายใจไม่ออก พริ้มหาจังหวะจะก้าวออกจากซอกตึก แต่หนึ่งในนั้นก็เอาตัวมาขว้างเขาไว้

    ‘พวกพี่ขอยืมเงินหน่อยดิน้อง พอดีเอาเงินมาไม่พอ เดี๋ยวพี่คืน’

    ‘อ…เอาเท่าไรครับ’

    ‘น้องมีเท่าไร’

    ถามแบบนี้แสดงว่าจะเอาไปหมดแน่เลย… พริ้มเปิดซิปกระเป๋า ล้วงหากระเป๋าสตางค์ ก่อนจะลอบเปิดซิป และเทเอาเงินในนั้นออกลวก ๆ จนมั่นใจว่าไม่น่าจะมีอยู่เยอะ ถึงได้หยิบออกมากางโชว์ให้ดู

    ‘ผมมีแค่นี้’

    ในกระเป๋ามีแต่แบงก์สีเขียวพับเป็นกอง ๆ หนึ่ง ลอบถอนหายใจโล่งอก อย่างน้อยแบงก์ห้าร้อยที่เอามาจ่ายค่าของได้หล่นลงไปในกระเป๋าเป้เรียบร้อยแล้ว ผู้ชายไถผมข้างเดียวหยิบเอาแบงก์ปึกนั้นมานับ มันมีอยู่สี่ใบ กับแบงก์ห้าสิบที่ซ่อนอยู่ในสุดของปึก เท่ากับว่าเงินในกระเป๋าเขาจะหายไปร้อยสามสิบ

    พวกมันยิ้มกระย่อง สะบัดเงินตบกับมือสบายใจเฉิบ ได้ค่าบุหรี่กับค่าเกมฟรีควบสองไปเลย พริ้มคิดว่าเรื่องนี้มันคงจบลงแล้ว จนกระทั่งพวกนั้นหันหลังเพื่อจะเดินออกไป แต่กลับมีคนยืนดักอยู่

















    First Kiss

     ‘ ยี่หวา

    092-6141127 ’

     

    เปิดหน้าจอโทรศัพท์ดูตัวเลขสิบตัวนั้นย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ เพิ่มความเขินกับร่างกาย โดยเฉพาะใบหน้าให้ร้อนวูบวาบ เขาดูบ่อย ๆ เพื่อที่จะได้บอกกับตัวเองว่านี่คือเรื่องจริง…เป็นความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อห้าชั่วโมงที่แล้ว มันยังวนลูปเล่นซ้ำไปมาในห้วงแห่งความทรงจำที่มีความสุขที่สุดเท่าที่ชีวิตจะจำได้

    และเทปส่วนมากมียี่หวาเป็นตัวเอกในนั้น…

    พริ้มยังจำได้ดีว่ายี่หวาได้พูดอะไรไว้บ้าง ทั้งคำบอกชอบที่ถึงแม้จะหยาบกระด้างไปสักหน่อย แต่ยอมรับเลยว่ามันทำให้หัวใจเต้นแรงอยู่เสมอเมื่อนึกถึง ไหนจะคำสัญญาที่ว่า ‘ฉันจะโทรหา’ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร ไม่ได้บอกทั้งวันและเวลา แต่พริ้มก็ยังเฝ้าคอยสายเรียกเข้า จนกระทั่งเขากำลังจะเข้านอน

    เบอร์โทรที่หวาให้มา มันเชื่อมเข้าไลน์ทันทีแบบอัตโนมัติ พริ้มได้แค่กดเพิ่มเพื่อน เพราะยังไม่กล้าทักหา ถึงเราจะเป็นแฟนกันแล้ว แต่ยี่หวาก็ยังเป็น   ยี่หวาคนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด …ยกเว้นความรู้สึก

    กำแพงที่มันเคยก่อกั้นเราเอาไว้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็นกำแพงของใคร แต่ตอนนี้มันพังทลายไปแล้ว… พริ้มคงหลอกตัวเองได้อีกสักหน่อยว่ามันอาจจะพังไปจนหมด แท้จริงแล้ว…ก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น มีบางส่วนของกำแพงหนาที่เขายังไม่กล้าทำลายมัน เพราะกลัวว่าถ้าได้ทำลายมันไปแล้ว เราอาจจะได้เจอเส้นทางใหม่…ที่ไม่รู้ว่าเป็นเส้นทางร้ายหรือดีกันแน่

    Rrrrr

    คนตัวเล็กสะดุ้งเมื่อเสียงริงโทนดังลั่น เด้งหน้าออกจากหมอน ก่อนจะคว้าโทรศัพท์มาเช็คดูว่าใครโทรมา เขาหลุดยิ้ม… ชื่อที่แสดงอยู่ในนั้นเป็นคนที่เขารอมาทั้งวัน จนเกือบจะผล่อยหลับไปพร้อมกับความคิดเสียแล้ว

    “ฮ…ฮัลโหล”

    ( นอนแล้วหรือไง )

    “เปล่า…ยังหรอก”

    ( โทษทีที่โทรมาช้า รออยู่หรือเปล่า? )

    “อือ…ตั้งแต่สี่โมงเลย”

    เขาได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาผ่านคลื่นสัญญาณ และใบหน้าก็เริ่มขึ้นสี พริ้มขยับตัวลุกนั่งแก้เขิน เขาไม่ได้อยากรู้ว่าทำไมยี่หวาถึงได้โทรมาช้า แค่สัญญาว่าจะโทรมา…แค่นี้ก็มากพอแล้ว หวาสำหรับพริ้มเป็นดั่งโชคก้อนใหญ่ของชีวิตที่ไม่อาจมีได้เป็นครั้งที่สอง เพราะงั้นกับเรื่องเล็กน้อย พริ้มก็แทบไม่มีคำถามอะไรเลย

    ( กำลังเตรียมชีทอยู่ )

    “อ๋อ ที่จะติวกันใช่มั้ย”

    ( อืม นายลงติวไว้แล้ว? )

    “ใช่ แต่เริ่มวันจันทร์น่ะ”

    ( กี่โมง )

    “สามโมงถึงหนึ่งทุ่ม”

    ( ทำไมลงดึก )

    ร่างสูงเผลอหงุดหงิดออกมาโดยไม่รู้ตัว รู้ว่าตัวเองตัวเล็กขนาดนั้นแล้วยังจะไปไหนมาไหนตอนกลางคืนอีก สมัยนี้ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย มันก็อันตรายพอ ๆ กัน เขาไม่รู้ด้วยว่าพริ้มขี่รถเป็นมั้ย เพราะไม่เคยเห็นเจ้าตัวขี่เลย ตอนไปบ้านสองรอบก็ไม่เห็นมอไซค์จอดสักคัน แล้วแบบนี้คงไม่พ้นเดินไปเรียนเองทุกวันแน่ ๆ

    “ที่ติวอยู่ใกล้บ้านเรานะ เดินไปแปปเดียวก็ถึงแล้ว”

    ( อย่างน้อยลงเช้าก็ได้ )

    “เต็มน่ะสิ เพราะเป็นร้านที่การันตีว่าติดมอเอสเอ็มทุกคน”

    ( อ๋อ…ร้านนั้น มันก็ไม่ได้ใกล้เท่าไรเลยนะ )

    “รู้จักด้วยหรอ?”

    ( อืม ไอ้ซานก็ลงที่นั่นเหมือนกัน )

    ถึงซานจะดูเป็นคนไม่ค่อยเอาด้านวิชาการ แต่พอถึงเวลาก็ทุ่มสุดกำลังเหมือนกัน ทั้งลงติวเตอร์ ทั้งไปติวที่บ้านยี่หวา จะว่าไป…พอพูดถึงติวบ้าน       ยี่หวาแล้วก็ได้แต่ห่อเหี่ยว ไม่น่าปฏิเสธไปเลย ก็ตอนนั้นยี่หวาโกรธพริ้มอยู่นี่นา ให้เสนอหน้าไปก็ดูยังไง ๆ อยู่ใช่มั้ยล่ะ เราอาจจะเป็นคนที่ทำให้ทุกคนอึดอัดใจก็ได้

    “ดีจัง เราจะได้มีเพื่อน”

    ( มันน่าจะลงดึกกว่านายมั้ง )

    “จริงหรอ ดึกกว่าเราอีกหรอ”

    ( คงงั้น เพราะมันจะมาติวที่บ้านฉันทุกวัน )

    “…อ๋อ” พริ้มเม้มปากรวบรวมความกล้า ต่อให้โดนด่าว่าหน้าด้านหรือโดนหักหน้าเขาก็ยอม

    “เราขอไป—”

    ( แต่นายปฏิเสธไปแล้วนี่นะ )

    ยี่หวาพูดแทรกขึ้นมาด้วยวาจาที่โหดร้ายซะเหลือเกิน ทำเอาคนที่เคยบอกว่าไม่ไปน้ำตาแทบเล็ด ผิดไปแล้ว…และยอมรับแต่โดยดีด้วย ทำไมเวลาที่เขาตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง มันถึงได้กลายมาเป็นความเสียใจในภายหลังเสมอเลยนะ

    “หวาก็รู้ว่าเราไม่ได้ไม่อยากไป”

    ( แล้ว? )

    “เราอยากไป…แต่ตอนนั้นหวาโกรธเรานี่นา …ไม่อยากให้รำคาญ”

    ( ฮึ )

    เสียงหัวเราะครั้งนี้ดังกว่าครั้งไหน ๆ กลบเสียงหงอยของพริ้มไปเสียจนหมด คนตัวเล็กอมยิ้มไว้เต็มสองแก้ม ได้ยินยี่หวาหัวเราะเป็นครั้งที่สองแล้ว ถ้าได้ยินใกล้ ๆ คงดีกว่านี้เป็นไหน ๆ

    ( สรุปจะตอบว่า ไป ใช่มั้ย? )

    “เราไปได้ใช่มั้ย ขอโทษที่ตอนแรกตอบว่าไม่ไปนะ”

    ( ติวเริ่มวันอาทิตย์เก้าโมง )

    แอบร้องเย้เบา ๆ แต่เสียงก็หนีไม่พ้นความหูไวของปลายสายอยู่ดี ตอนแรกยี่หวาจะขี่รถมารับ แต่พริ้มเกรงใจที่ต้องวนไปวนมา เลยได้ข้อสรุปกันว่าให้ซานที่ยังไงก็ขับผ่านถนนหน้าโรงเรียนเป็นคนมารับพริ้มจะดีกว่า เข้าซอยลัดเลาะมานิดเดียวก็ถึงบ้านพริ้มแล้ว แม้ว่าจะอึดอัดใจที่ซานต้องมารับ แต่พริ้มก็คิดว่านี่คงเป็นโอกาสดี ๆ ที่เราจะได้ปลดล็อคบางอย่างในใจแก่กัน

    ( แต่เดี๋ยวขากลับ ฉันจะไปส่ง )

    “เราติดรถซานมาก็ได้ ยังไงก็กลับทางเดียวกันอยู่แล้ว”

    ( จะไปส่ง )

    “อ…โอเค ขอบคุณมากนะ” ไม่เห็นต้องทำเสียงดุขนาดนั้นเลย…

    ยังคงมีอาการเคอะเขินอยู่นิดหน่อย ยามที่ได้ยินเสียงกุกกักของปลายสายดังขึ้นเป็นระยะ ๆ พริ้มไม่ได้รู้สึกว่ามันอึกอักในตอนที่ต่างคนต่างไม่พูดอะไรกัน ซ้ำยังรู้สึกสบายใจ และตั้งใจฟังเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะพูด 

    ( คัตเตอร์ )

    “หือ? ดอกไม้หรอ”

    ( เปล่า ชื่อนาย )

    “เราชื่อพริ้ม”

    ( รู้แล้ว )

    คนตัวเล็กงุนงง ขมวดคิ้วถอดรหัส ไม่เข้าใจว่าคัตเตอร์มันไปเป็นชื่อเขาตั้งแต่เมื่อไร แต่ถ้าเป็นชื่อของดอกไม้ช่อนั้นที่เขาให้ไปก็แสดงว่ายี่หวาน่าจะรู้ถึงความหมายแล้วสินะ เขินแฮะ รู้งี้ไม่น่าเอาใส่กระเป๋าซะก็ดี ยื่นให้แบบเหี่ยว ๆ ทั้งอย่างนั้น ไม่โรแมนติกเอาซะเลยนะพริ้ม

    “ปกติหวานอนกี่โมง”

    ( เที่ยงคืน )

    “ดึกจัง”

    ( ง่วงก็ไปนอนไป )

    “อื้ม เราจะเตรียมขนมไปด้วย เพราะงั้นพรุ่งนี้เราจะ—”

    ร่างสูงที่กำลังตั้งใจฟังเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเสียงปลายสายเงียบไป เหลือเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบา เป่ารดอยู่เป็นจังหวะ เขาลอบมองเวลาบนหน้าจอคอม พบว่ามันเกือบจะสี่ทุ่มครึ่งแล้ว ไม่แปลกใจว่าทำไมเสียงพริ้มถึงเหมือนแมวหิวนมเสียขนาดนั้น

    เขาลอบยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกดวางสาย

    ( เจอกันวันอาทิตย์ )


















    First Love

     เข็มนาฬิกา…เดินทางเพื่อให้พวกเราเติบโต

    พริ้มสอบเข้าคณะที่ตั้งใจได้สำเร็จ ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ที่ก็มีรายชื่ออยู่บนกระดาษแผ่นขาวหน้าเว็บมหาลัย หลังจากที่ประกาศผล เราทุกคนก็ไปเซ่นไหว้พี่เก้ากันอย่างครึกครื้น และแน่นอนว่าเราโดนพี่เขาไล่ออกจากบ้านมา ทุกคนต่างกระจัดกระจายไปตามคณะที่ตัวเองได้เลือกไว้ ถึงแม้จะเหงานิดหน่อยกับการอยู่คนเดียว

    แต่ความฝัน…ไม่จำเป็นต้องเดินคู่กับเพื่อนเสมอไป

    จอมทัพกับยี่หวาติดคณะเดียวกัน อีกกลุ่มเป็นซาน เนย และมุก ผ้าอยู่กับเทค ยกเว้นพริ้มที่อยู่ตัวคนเดียว แต่มันก็ไม่ได้ยากเท่าไรกับการทำความรู้จักกับคนอื่น พริ้มบอกกับตัวเองไว้แล้วว่าเขาจะเป็นคนใหม่ ไม่งั้นยี่หวาดุเขาตายแน่ ๆ ยังดีที่คณะของผ้าอยู่ใกล้กับคณะพริ้ม เราเลยแวะมาเจอกันบ่อย ๆ เวลากินข้าว หรือเวลาที่เลิกพร้อมกัน

    แล้วก็…เขายังมีเรื่องดี ๆ ที่ยังไม่ได้บอกใช่มั้ย พริ้มมีเพื่อนใหม่แล้วล่ะ คนหนึ่งชื่อ ปริญ เป็นผู้ชาย ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิง เธอชื่อ วาฬ เป็นเพื่อนผู้หญิงที่น่ารักและสดใสมาก ๆ เลยล่ะ

    “พริ้ม เห็นกิจกรรมแต้มอาสาหรือยัง”

    พูดถึงก็มาพอดี กิจกรรมแต้มอาสา หรือก็คือกิจกรรมแจกชั่วโมงนั่นแหละ ปีหนึ่งจะต้องเก็บชั่วโมงให้ครบตามที่กำหนด ถ้าไม่ครบ ซัมเมอร์ก็ต้องลงต่อเนื่อง จนกว่าปีนั้น ๆ จะครบ แต่ไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดไม่ผ่านกิจกรรมแล้วเลื่อนชั้นปีไม่ได้ แค่ปีสุดท้ายไม่ครบ…ก็จบออกไปไม่ได้เฉย ๆ

    “ยังเลย”

    “นี่ ๆ ดูซะ เขาจำกัดแค่สองคณะเองนะ รีบ ๆ ลงเลยจ้า”

    วาฬน่ะนักกิจกรรม ไม่ได้ทำเพราะเอาชั่วโมง เขาเห็นกิจกรรมด้านนอกก็ไปหมด พริ้มเลื่อนอ่านรายละเอียดในบอร์ดมหาลัย ชอบอย่างหนึ่งที่มหาลัยนี้มีแอพพลิเคชั่นเป็นของตัวเอง แถมลูกเล่นและฟังชั่นยังเสถียรแบบสุด ๆ เวลาจะลงสมัครกิจกรรมอะไรก็ใช้แอพนี้นี่แหละลง โดยการเชื่อมต่อกับรหัสบัตรนักศึกษา ลงฐานข้อมูลให้ครบถ้วน แล้วทางนั้นเขาจะทำการคัดเลือกเรา ว่าสำหรับกิจกรรมนี้ เราเหมาะที่จะทำอะไร

    “น่าสนใจมากเลย”

    “ใช่ม้า หลังจากกลับมาก็เข้าร่วมงานส่งน้องเข้าหอต่อเลย กิจกรรมสองต่อ ช๊อบชอบ!”

    “วาฬลงไปแล้วหรอ”

    “เรียบร้อยแล้วจ้า พริ้มลงเลย ปริญมันก็ลงแล้ว”

    “โอเค”

    กิจกรรมนี้ไปทำสองวันหนึ่งคืน ระยะเวลารับสมัครแค่สามวัน พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย สมัครเสร็จก็รอให้ปิดรับสมัคร แล้วเขาก็จะได้รู้ว่าตัวเองจะต้องไปทำตำแหน่งไหน ซึ่งถือว่าเป็นการใส่ใจที่ดีมาก ๆ อย่างหนึ่งเลยล่ะ เพราะบางคนไปทำกับเพื่อนก็มักจะอยู่แต่กับเพื่อน อู้บ้าง ทำบ้าง งานเดินก็จริง แต่เดินช้า มหาลัยคิดฟังชั่นนี้ขึ้นมา เพื่อส่งคนไปทำให้ตรงตามความถนัด โดยดูจากข้อมูลที่เรากรอกไปนั่นเอง

    “เรียบร้อย”

    “ดีมากกกกก ละนี่กินข้าวยังอ่ะ”

    “กินมาแล้วน่ะ”

    “เอ๊ะ ไปกินกับใครมา ไม่รอออ”

    เธอบ่นเสร็จก็เดินหายไปซื้อข้าว พริ้มมีเรียนบ่าย แต่จะมารอเพื่อน ๆ ที่โต๊ะนี้เป็นประจำ แล้วค่อยขึ้นห้องพร้อมกัน สักพักปริญก็เดินมาที่โต๊ะ ส่งยิ้มหวานให้อย่างที่ทำบ่อย ๆ พริ้มรู้ว่าตัวเองมองคนไม่ค่อยเก่ง เขาแยกไม่ออกระหว่างเพื่อนกับคนที่เข้ามาจีบ ถึงแม้ว่าท่าทางของปริญจะดูเกินเพื่อนไปหลายครั้ง พริ้มก็ยังไม่เอะใจอะไรอยู่ดี

    “วาฬมาแล้วหรอพริ้ม”

    “ไปซื้อข้าวอยู่น่ะ ปริญก็ไปซื้อสิ เดี๋ยวเราเฝ้าของให้”

    “โอเค ขอบใจนะ”

    ขยี้หัวทุยอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินหายเข้าไปในฝูงชนอีกคน พอแยกย้ายกันมาเรียน ถึงแม้จะอยู่มหาลัยเดียวกัน ก็ใช่ว่าจะได้เจอกันทุกวันเหมือนตอนมัธยม พริ้มไม่ค่อยได้เจอยี่หวาเท่าแต่ก่อน ตอนเช้ากับตอนกลางวันไม่มีทางได้เจอกันแน่ ๆ ถ้าเป็นตอนเย็นก็มีบ้างที่อีกคนจะมาหา แต่ก็ไม่บ่อยนักหรอก

    Rrrrr

    พริ้มรับสายอย่างไม่รอช้า เขากำลังคิดถึงคนปลายสายอยู่ อยู่ ๆ ก็โทรเข้ามาพอดี ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าริมฝีปากมันยกยิ้มเต็มพิกัดไปตั้งแต่ตอนไหน หรือตั้งแต่ตอนที่เห็นชื่อว่าเป็นใครโทรมาหรือเปล่านะ…

    “ฮัลโหล”

    ( อยู่ไหน )

    “เราอยู่โรงอาหาร”

    ( เดี๋ยวไปหา ยังไม่ขึ้นเรียนใช่มั้ย )

    “ใช่ เหลืออีกตั้งชั่วโมงกว่า”

    ( ที่เดิมนะ? )

    “อื้ม”

    วางสายไปอย่างอารมณ์ดี การได้ยินเสียงยี่หวาวันละนิดละหน่อยถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตพริ้ม จริง ๆ แล้วยี่หวาไม่จำเป็นต้องโทรมาถามก็ได้ว่าอยู่ไหน เพราะอย่างพริ้มคงมีไม่กี่ที่ให้ไป ไม่ห้องเรียน โรงอาหาร ห้องสมุด ก็หอ วนเวียนอยู่แค่นี้ แม้จะเพิ่งเปิดเทอมมาได้ประมาณสองอาทิตย์กว่า พริ้มก็พอรู้ชะตาตัวเองว่าทั้งสี่ปีคงเดินไม่ทั่วมหาลัยแน่

    วาฬเดินมาพร้อมปริญ มีข้าวคนละจาน และน้ำเปล่าคนละขวด เขามักจะดุวาฬเสมอเวลากินข้าวแล้วชอบซื้อน้ำอัดลมมากินแทนน้ำเปล่า ดุอยู่หลายวันด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงปนเหนื่อยอ่อน จนกระทั่งเธอเลิกกิน เพราะไม่ชอบเห็นพริ้มทำหน้าเศร้าเล่าถึงการฉีกขาดของกระเพาะอาหาร

    “ดูดิปริญ พริ้มไปกินข้าวกับใครก็ไม่รู้ ไม่ยอมรอกันเลย”

    “งั้นหรอ ใช่คนที่ชื่อผ้าหรือเปล่า”

    “…อื้อ ผ้าก็ไปด้วย”

    สองคนนี้ไม่รู้ว่าพริ้มมีแฟนแล้ว เพราะพริ้มไม่ได้บอก และพวกเธอก็ไม่ได้ถาม เราเพิ่งจะสนิทกัน จะให้เล่าทุกเรื่องก็คงไม่ได้ นั่งเท้าคางมองเพื่อนทั้งสองกินข้าวไปได้สักพัก คนที่บอกว่าจะมาหาก็มาถึง พร้อมกับเพื่อนคนอื่น ๆ ที่นาน ๆ ทีจะเจอกัน

    “ซาน จอมทัพ หวัดดี”

    “หวัดดี”

    พริ้มยิ้มร่า พอเข้ามหาลัยซานก็ไปย้อมผมเป็นสีเทา เท่มากเลยล่ะ ส่วนจอมทัพก็ดูหล่อขึ้นหลังจากใส่ชุดนักศึกษา จะว่าไปเพื่อนของเขาเท่กันทุกคนเมื่อโตขึ้น ยิ่งยี่หวาน่ะแล้วใหญ่ เดินล้วงกระเป๋าด้วยใบหน้าเฉยชา แต่กลับกุมหัวใจสาว ๆ ทั้งโรงอาหารได้ นี่กะจะมาฮอตต่อที่อุดมศึกษาหรือไงกันนะ

    “เอ่อ…นี่เพื่อนเราตอนมอปลาย ซาน จอมทัพ แล้วก็ยี่หวา”

    “เราสองคนเป็นเพื่อนที่คณะ เราวาฬ ส่วนนี่ปริญ”

    มีแค่ซานกับจอมทัพที่รับคำทักทาย แน่นอนว่ายี่หวาไม่สนใจอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ร่างสูงนั่งลงทางด้านขวาของพริ้ม เพราะด้านซ้ายปริญนั่งอยู่ จริง ๆ หวากับเพื่อนกลุ่มนี้ของเขาเคยเจอกันแล้ว แต่ก็แนะนำอีกรอบเพราะตอนนั้นพริ้มไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร ก็หวังว่าทุกคนจะสนิทกันดีนะ

    สายตาดุดันมองผ่านแฟนตัวเองทุกครั้งเมื่อคนด้านซ้ายคุยกับพริ้ม ตงิดใจกับไอ้หมอนั่นตั้งหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่คิดจะพูดอะไร เขาขอดูลาดเลาไปก่อน และถ้าคุยได้ก็คงจะทำแบบนั้นเป็นอย่างแรก คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าพริ้มคงไม่บอกเรื่องที่ตัวเองมีแฟนแล้ว หรือเขาเป็นแฟนอะไรทำนองนั้นกับคนอื่นแน่ ๆ เพราะแบบนั้น…หลาย ๆ ครั้งเขามักจะหงุดหงิดเวลามีคนเข้าหา

    “ฉันลงกิจกรรมแต้มอาสาไป เห็นว่าคณะนายก็ลงได้ เลยกะจะมาชวน”

    “อ๋อ เราลงแล้ว หวาก็ลงเหมือนกันหรอ”

    “ใช่ นายลงไปตอนไหน”

    “เมื่อกี้นี้เอง”

    ดีจัง ยี่หวาก็ไปด้วย กิจกรรมแรกเลยนะที่เขาได้ไปพร้อมกับยี่หวา ถึงจะทำคนละตำแหน่ง ก็ขอให้เจอกันวันงานด้วยเถอะ เพราะดีใจมากเกินไป เลยเผลอยิ้มหวานให้ร่างสูงนานไปหน่อย รู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนที่อีกคนเมินหน้าหนีไปอีกทางนั่นแหละ ถึงได้หุบยิ้ม

    “เออนี่พริ้ม ดูตรงนี้ให้หน่อยดิ เราจดไม่ทัน”

    ปริญเรียก ก่อนจะหยิบชีทขึ้นมาเปิด ๆ แล้วยื่นมาให้เขาดู พริ้มเป็นคนจดโน้ตเก่งมาก จดตามอาจารย์ทันทุกอย่าง แถมยังเขียนสรุปออกมาเข้าใจได้ง่ายด้วย เพราะงั้นปริญเลยชอบที่จะขอยืมชีทของพริ้มไปจดเพิ่มเติม คนตัวเล็กอ่านชีทในหน้านั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดให้อีกคนจดตาม จนกระทั่งเขาสับสนและสิ่งที่พูดออกไปเริ่มไม่รู้เรื่องแล้ว

    “ใจเย็นนะพริ้ม ฮ่า ๆ จูนก่อน ๆ”

    “เราก็ไม่ได้เอาชีทอันนั้นมาด้วยอ่ะ ต่อจากนั้นมันอะไรนะ…”

    ปริญยิ้มชอบใจ ใช้มือข้างหนึ่งนวดขมับของพริ้มเบา ๆ พลางขำไปด้วย ส่วนมืออีกข้างก็โอบเข้าที่ไหล่ จะได้นวดให้ได้ถนัด ซานกับจอมทัพที่เห็นเหตุการณ์ได้แต่ร้องอุปส์ในใจ เลิ่กลั่กมองตากันไปมาสลับกับมองยี่หวาที่กำลังขมวดคิ้วเข้าหากัน มีเรื่องแน่ มีเรื่องแน่ ๆ

    “พริ้ม”

    ร่างสูงเรียกคนตัวเล็กให้หันมา ด้วยความหงุดหงิดเลยเผลอกดเสียงต่ำไปด้วย พริ้มรีบหันมาหา ส่วนปริญก็ผละตัวออกไป วาฬที่นั่งดูอยู่ก็พอจะรับรู้อะไรบางอย่างได้ คนชื่อยี่หวาคงไม่ใช่แค่เพื่อน…เธอคิดว่าอย่างนั้นอ่ะนะ คงต้องหาโอกาสถามพริ้มให้ได้ ไม่งั้นข้าวในท้องจะไม่ย่อย

    “ว…ว่าไง” พริ้มกระวนกระวายเล็กน้อย เพราะจับจากน้ำเสียงได้ว่าอีกคนกำลังไม่พอใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร

    “วันนี้เลิกกี่โมง”

    “ห้าโมงน่ะ”

    ถือว่าโชคดีไปที่เขามีเรียนต่อจนถึงหนึ่งทุ่ม ไม่งั้นถ้าเขาไม่มีเรียนคงได้เดินมารับแน่ ๆ แวบหนึ่งที่ได้สบตาเข้ากับเพื่อนผู้ชายของแฟนตัวเอง เขาก็รับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่มันบ่งบอกว่าคนคนนั้นอยู่ในสถานะเดียวกับเขา

    นั่นคือ…เราต่างก็ชอบพริ้มเหมือนกัน



    -









    พบแบบเต็ม ๆ ได้ในเล่ม รับรองว่ามีฉากที่ทุกคนอยากอ่านอยู่แน่ ๆ แต่ไม่มีฉากคัทนะคะ ไม่ให้ค่ะ5555 หวังว่าจะชอบกันน้าาา แม้เพียงน้อยนิดก็ตาม เพราะว่าตั้งใจมาก ก็เลยอยากให้คนอ่านรู้สึกว่ามันคุ้มค่าจริง ๆ

    ได้หนังสือแล้วอย่าลืมถ่ายรูปติดแท็คอวดกันบ้างนะคะ #พริ้มเพียงหวา รอฟีดแบคจากทุกคนอยู่นะ

    ขอบคุณมาก ๆ จากใจดวงน้อย ๆ เลยค่ะ จุ๊บบบ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×