คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม #พริ้มเพียงหวา
First
Met
ในช่วงมัธยมต้นที่เด็กคนหนึ่งได้ทำความรู้จักกับความรัก
เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ยามเมื่อได้เห็นใบหน้าคนที่แอบชอบ หรือแม้กระทั่งใช้เส้นทางเดิม
ๆ เพื่อจะได้มองเห็นเขา …แม้ผ่าน ๆ ก็ยังดี
ถ้าเดินข้ามถนนจากฝั่งของโรงเรียน จะมีร้านเกมตั้งตระหง่านคอยล่อตาล่อใจเด็กน้อยทั้งหลายได้เป็นอย่างดี
เด็กหนุ่มเปลี่ยนเส้นทางเดินกลับบ้าน เมื่อเห็นว่าคนคนนั้นมักจะมาใช้ร้านเกมบ่อย ๆ
และทุกครั้งก็จะมาด้วยกันกับเพื่อนอีกสองคน
วันแรกเดินผ่าน…วันที่สองเดินผ่าน…วันที่สามเดินให้ช้าลง
กระจกบานใสที่ต้องติดตามคำขอของโรงเรียน แต่เมื่อโรงเรียนเลิก
ทางร้านจะดึงผ้านม่านปิดในกรณีที่แสงแดดร้อนเกินไป …วันนี้ก็ยืนค้ำโซฟามองเพื่อนเล่นเกมอีกเช่นเคย… มารู้ชื่อของผู้ชายคนนั้นก็ประมาณเดือนกว่ากับการเดินผ่าน
เพราะเผอิญได้ยินเพื่อนผิวขาวตะโกนเรียกชื่อ
เป็นชื่อที่ได้ยินครั้งแรก…หัวใจก็เต้นตึกตัก
ไม่เคยคิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนชื่อหวานได้ขนาดนี้
ตอนแรก ๆ รู้สึกขัดกับใบหน้าดุนั่นเสียหน่อย แต่ผ่านไปสองวิก็คิดว่าเหมาะสมดีอย่างไม่น่าเชื่อ
พาลให้นึกไปถึงพ่อแม่…ว่าทำไมถึงตั้งชื่อลูกคนหนึ่งได้ดีขนาดนี้
หลัง ๆ มาเริ่มรู้สึกว่าร้านเกมแห่งนี้ไม่ปกติ มีพวกเด็กเกเรมากันเยอะ
ซอกตึกได้กลายเป็นที่สูบบุหรี่ไปเสียแล้ว ถึงจะกลัวแต่ในใจไม่ย่อท้อ แค่ได้เห็นหน้าแปปเดียวก็ยังดี
เด็กหนุ่มทำใจกล้าเดินช้า ๆ พลางมองผ่านบานกระจกใส
แต่กลับไม่เจอคนคนนั้น…
‘เฮ้ย อะไรวะ บุหรี่หมดแล้ว?’
‘ก็มึงเล่นสูบไวขนาดนั้น กูเพิ่งจะเริ่มม้วนสองเอง’
‘สัสเอ๊ย เอามาแบ่งกูดูดบ้าง’
‘ไปซื้อใหม่ดิวะ จะมาแย่งกูทำไม’
เผลอหันไปมองผู้ชายสองคนเถียงกันจนพวกนั้นสังเกตเห็นเสียได้
หนุ่มน้อยรีบหันขวับไปอีกด้าน หมุนตัวออกเดินด้วยท่าทางเงอะงะ แต่ดันช้ากว่าพวกนั้นไปหลายก้าว
‘จะรีบไปไหนวะเด็กนักเรียน’
‘โรงเรียนเพิ่งเลิกหรอนาย’
พวกมันต้อนพริ้มไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาเข้าไปในซอกหลืบตามแผน
กลางวันแสก ๆ ยังกล้าทำ คงไม่ต้องหวังว่าจะมีคนมาช่วยสินะ เด็กน้อยกำสายสะพายกระเป๋าแน่นข่มความกลัวในใจ
ขอแค่บอกว่าอยากได้อะไร พริ้มก็จะควักให้ไม่อิดออด
‘อ…อยากได้อะไรหรอครับ’
พวกมันเลิกคิ้ว ก่อนจะสบตากัน จากนั้นก็ขำออกมาเสียงดัง
ดูท่าทางคงไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่มีการศึกษาแน่ ๆ เนื้อตัวก็เหม็นกลิ่นบุหรี่ ยิ่งเข้ามาใกล้ยิ่งหายใจไม่ออก
พริ้มหาจังหวะจะก้าวออกจากซอกตึก แต่หนึ่งในนั้นก็เอาตัวมาขว้างเขาไว้
‘พวกพี่ขอยืมเงินหน่อยดิน้อง พอดีเอาเงินมาไม่พอ
เดี๋ยวพี่คืน’
‘อ…เอาเท่าไรครับ’
‘น้องมีเท่าไร’
ถามแบบนี้แสดงว่าจะเอาไปหมดแน่เลย… พริ้มเปิดซิปกระเป๋า
ล้วงหากระเป๋าสตางค์ ก่อนจะลอบเปิดซิป และเทเอาเงินในนั้นออกลวก ๆ จนมั่นใจว่าไม่น่าจะมีอยู่เยอะ
ถึงได้หยิบออกมากางโชว์ให้ดู
‘ผมมีแค่นี้’
ในกระเป๋ามีแต่แบงก์สีเขียวพับเป็นกอง ๆ หนึ่ง ลอบถอนหายใจโล่งอก
อย่างน้อยแบงก์ห้าร้อยที่เอามาจ่ายค่าของได้หล่นลงไปในกระเป๋าเป้เรียบร้อยแล้ว ผู้ชายไถผมข้างเดียวหยิบเอาแบงก์ปึกนั้นมานับ
มันมีอยู่สี่ใบ กับแบงก์ห้าสิบที่ซ่อนอยู่ในสุดของปึก เท่ากับว่าเงินในกระเป๋าเขาจะหายไปร้อยสามสิบ
พวกมันยิ้มกระย่อง สะบัดเงินตบกับมือสบายใจเฉิบ
ได้ค่าบุหรี่กับค่าเกมฟรีควบสองไปเลย พริ้มคิดว่าเรื่องนี้มันคงจบลงแล้ว จนกระทั่งพวกนั้นหันหลังเพื่อจะเดินออกไป
แต่กลับมีคนยืนดักอยู่
First
Kiss
092-6141127 ’
เปิดหน้าจอโทรศัพท์ดูตัวเลขสิบตัวนั้นย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ เพิ่มความเขินกับร่างกาย
โดยเฉพาะใบหน้าให้ร้อนวูบวาบ เขาดูบ่อย ๆ เพื่อที่จะได้บอกกับตัวเองว่านี่คือเรื่องจริง…เป็นความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อห้าชั่วโมงที่แล้ว
มันยังวนลูปเล่นซ้ำไปมาในห้วงแห่งความทรงจำที่มีความสุขที่สุดเท่าที่ชีวิตจะจำได้
และเทปส่วนมากมียี่หวาเป็นตัวเอกในนั้น…
พริ้มยังจำได้ดีว่ายี่หวาได้พูดอะไรไว้บ้าง ทั้งคำบอกชอบที่ถึงแม้จะหยาบกระด้างไปสักหน่อย
แต่ยอมรับเลยว่ามันทำให้หัวใจเต้นแรงอยู่เสมอเมื่อนึกถึง ไหนจะคำสัญญาที่ว่า ‘ฉันจะโทรหา’
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร ไม่ได้บอกทั้งวันและเวลา แต่พริ้มก็ยังเฝ้าคอยสายเรียกเข้า
จนกระทั่งเขากำลังจะเข้านอน
เบอร์โทรที่หวาให้มา มันเชื่อมเข้าไลน์ทันทีแบบอัตโนมัติ พริ้มได้แค่กดเพิ่มเพื่อน
เพราะยังไม่กล้าทักหา ถึงเราจะเป็นแฟนกันแล้ว แต่ยี่หวาก็ยังเป็น ยี่หวาคนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด
…ยกเว้นความรู้สึก
กำแพงที่มันเคยก่อกั้นเราเอาไว้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็นกำแพงของใคร แต่ตอนนี้มันพังทลายไปแล้ว…
พริ้มคงหลอกตัวเองได้อีกสักหน่อยว่ามันอาจจะพังไปจนหมด แท้จริงแล้ว…ก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
มีบางส่วนของกำแพงหนาที่เขายังไม่กล้าทำลายมัน เพราะกลัวว่าถ้าได้ทำลายมันไปแล้ว เราอาจจะได้เจอเส้นทางใหม่…ที่ไม่รู้ว่าเป็นเส้นทางร้ายหรือดีกันแน่
Rrrrr
คนตัวเล็กสะดุ้งเมื่อเสียงริงโทนดังลั่น เด้งหน้าออกจากหมอน
ก่อนจะคว้าโทรศัพท์มาเช็คดูว่าใครโทรมา เขาหลุดยิ้ม… ชื่อที่แสดงอยู่ในนั้นเป็นคนที่เขารอมาทั้งวัน
จนเกือบจะผล่อยหลับไปพร้อมกับความคิดเสียแล้ว
“ฮ…ฮัลโหล”
( นอนแล้วหรือไง )
“เปล่า…ยังหรอก”
( โทษทีที่โทรมาช้า รออยู่หรือเปล่า? )
“อือ…ตั้งแต่สี่โมงเลย”
เขาได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาผ่านคลื่นสัญญาณ และใบหน้าก็เริ่มขึ้นสี
พริ้มขยับตัวลุกนั่งแก้เขิน เขาไม่ได้อยากรู้ว่าทำไมยี่หวาถึงได้โทรมาช้า แค่สัญญาว่าจะโทรมา…แค่นี้ก็มากพอแล้ว
หวาสำหรับพริ้มเป็นดั่งโชคก้อนใหญ่ของชีวิตที่ไม่อาจมีได้เป็นครั้งที่สอง เพราะงั้นกับเรื่องเล็กน้อย
พริ้มก็แทบไม่มีคำถามอะไรเลย
( กำลังเตรียมชีทอยู่ )
“อ๋อ ที่จะติวกันใช่มั้ย”
( อืม นายลงติวไว้แล้ว? )
“ใช่ แต่เริ่มวันจันทร์น่ะ”
( กี่โมง )
“สามโมงถึงหนึ่งทุ่ม”
( ทำไมลงดึก )
ร่างสูงเผลอหงุดหงิดออกมาโดยไม่รู้ตัว รู้ว่าตัวเองตัวเล็กขนาดนั้นแล้วยังจะไปไหนมาไหนตอนกลางคืนอีก
สมัยนี้ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย มันก็อันตรายพอ ๆ กัน เขาไม่รู้ด้วยว่าพริ้มขี่รถเป็นมั้ย
เพราะไม่เคยเห็นเจ้าตัวขี่เลย ตอนไปบ้านสองรอบก็ไม่เห็นมอไซค์จอดสักคัน แล้วแบบนี้คงไม่พ้นเดินไปเรียนเองทุกวันแน่
ๆ
“ที่ติวอยู่ใกล้บ้านเรานะ เดินไปแปปเดียวก็ถึงแล้ว”
( อย่างน้อยลงเช้าก็ได้ )
“เต็มน่ะสิ เพราะเป็นร้านที่การันตีว่าติดมอเอสเอ็มทุกคน”
( อ๋อ…ร้านนั้น มันก็ไม่ได้ใกล้เท่าไรเลยนะ )
“รู้จักด้วยหรอ?”
( อืม ไอ้ซานก็ลงที่นั่นเหมือนกัน )
ถึงซานจะดูเป็นคนไม่ค่อยเอาด้านวิชาการ แต่พอถึงเวลาก็ทุ่มสุดกำลังเหมือนกัน
ทั้งลงติวเตอร์ ทั้งไปติวที่บ้านยี่หวา จะว่าไป…พอพูดถึงติวบ้าน ยี่หวาแล้วก็ได้แต่ห่อเหี่ยว ไม่น่าปฏิเสธไปเลย
ก็ตอนนั้นยี่หวาโกรธพริ้มอยู่นี่นา ให้เสนอหน้าไปก็ดูยังไง ๆ อยู่ใช่มั้ยล่ะ เราอาจจะเป็นคนที่ทำให้ทุกคนอึดอัดใจก็ได้
“ดีจัง เราจะได้มีเพื่อน”
( มันน่าจะลงดึกกว่านายมั้ง )
“จริงหรอ ดึกกว่าเราอีกหรอ”
( คงงั้น เพราะมันจะมาติวที่บ้านฉันทุกวัน )
“…อ๋อ” พริ้มเม้มปากรวบรวมความกล้า
ต่อให้โดนด่าว่าหน้าด้านหรือโดนหักหน้าเขาก็ยอม
“เราขอไป—”
( แต่นายปฏิเสธไปแล้วนี่นะ )
ยี่หวาพูดแทรกขึ้นมาด้วยวาจาที่โหดร้ายซะเหลือเกิน ทำเอาคนที่เคยบอกว่าไม่ไปน้ำตาแทบเล็ด
ผิดไปแล้ว…และยอมรับแต่โดยดีด้วย ทำไมเวลาที่เขาตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง มันถึงได้กลายมาเป็นความเสียใจในภายหลังเสมอเลยนะ
“หวาก็รู้ว่าเราไม่ได้ไม่อยากไป”
( แล้ว? )
“เราอยากไป…แต่ตอนนั้นหวาโกรธเรานี่นา …ไม่อยากให้รำคาญ”
( ฮึ )
เสียงหัวเราะครั้งนี้ดังกว่าครั้งไหน ๆ กลบเสียงหงอยของพริ้มไปเสียจนหมด
คนตัวเล็กอมยิ้มไว้เต็มสองแก้ม ได้ยินยี่หวาหัวเราะเป็นครั้งที่สองแล้ว ถ้าได้ยินใกล้
ๆ คงดีกว่านี้เป็นไหน ๆ
( สรุปจะตอบว่า ไป ใช่มั้ย? )
“เราไปได้ใช่มั้ย ขอโทษที่ตอนแรกตอบว่าไม่ไปนะ”
( ติวเริ่มวันอาทิตย์เก้าโมง )
แอบร้องเย้เบา ๆ แต่เสียงก็หนีไม่พ้นความหูไวของปลายสายอยู่ดี
ตอนแรกยี่หวาจะขี่รถมารับ แต่พริ้มเกรงใจที่ต้องวนไปวนมา เลยได้ข้อสรุปกันว่าให้ซานที่ยังไงก็ขับผ่านถนนหน้าโรงเรียนเป็นคนมารับพริ้มจะดีกว่า
เข้าซอยลัดเลาะมานิดเดียวก็ถึงบ้านพริ้มแล้ว แม้ว่าจะอึดอัดใจที่ซานต้องมารับ แต่พริ้มก็คิดว่านี่คงเป็นโอกาสดี
ๆ ที่เราจะได้ปลดล็อคบางอย่างในใจแก่กัน
( แต่เดี๋ยวขากลับ ฉันจะไปส่ง )
“เราติดรถซานมาก็ได้ ยังไงก็กลับทางเดียวกันอยู่แล้ว”
( จะไปส่ง )
“อ…โอเค ขอบคุณมากนะ” ไม่เห็นต้องทำเสียงดุขนาดนั้นเลย…
ยังคงมีอาการเคอะเขินอยู่นิดหน่อย ยามที่ได้ยินเสียงกุกกักของปลายสายดังขึ้นเป็นระยะ
ๆ พริ้มไม่ได้รู้สึกว่ามันอึกอักในตอนที่ต่างคนต่างไม่พูดอะไรกัน ซ้ำยังรู้สึกสบายใจ
และตั้งใจฟังเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะพูด
( คัตเตอร์ )
“หือ? ดอกไม้หรอ”
( เปล่า ชื่อนาย )
“เราชื่อพริ้ม”
( รู้แล้ว )
คนตัวเล็กงุนงง ขมวดคิ้วถอดรหัส ไม่เข้าใจว่าคัตเตอร์มันไปเป็นชื่อเขาตั้งแต่เมื่อไร
แต่ถ้าเป็นชื่อของดอกไม้ช่อนั้นที่เขาให้ไปก็แสดงว่ายี่หวาน่าจะรู้ถึงความหมายแล้วสินะ
เขินแฮะ รู้งี้ไม่น่าเอาใส่กระเป๋าซะก็ดี ยื่นให้แบบเหี่ยว ๆ ทั้งอย่างนั้น ไม่โรแมนติกเอาซะเลยนะพริ้ม
“ปกติหวานอนกี่โมง”
( เที่ยงคืน )
“ดึกจัง”
( ง่วงก็ไปนอนไป )
“อื้ม เราจะเตรียมขนมไปด้วย เพราะงั้นพรุ่งนี้เราจะ—”
ร่างสูงที่กำลังตั้งใจฟังเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเสียงปลายสายเงียบไป
เหลือเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบา เป่ารดอยู่เป็นจังหวะ เขาลอบมองเวลาบนหน้าจอคอม พบว่ามันเกือบจะสี่ทุ่มครึ่งแล้ว
ไม่แปลกใจว่าทำไมเสียงพริ้มถึงเหมือนแมวหิวนมเสียขนาดนั้น
เขาลอบยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกดวางสาย
( เจอกันวันอาทิตย์ )
First
Love
พริ้มสอบเข้าคณะที่ตั้งใจได้สำเร็จ ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ที่ก็มีรายชื่ออยู่บนกระดาษแผ่นขาวหน้าเว็บมหาลัย
หลังจากที่ประกาศผล เราทุกคนก็ไปเซ่นไหว้พี่เก้ากันอย่างครึกครื้น และแน่นอนว่าเราโดนพี่เขาไล่ออกจากบ้านมา
ทุกคนต่างกระจัดกระจายไปตามคณะที่ตัวเองได้เลือกไว้ ถึงแม้จะเหงานิดหน่อยกับการอยู่คนเดียว
แต่ความฝัน…ไม่จำเป็นต้องเดินคู่กับเพื่อนเสมอไป
จอมทัพกับยี่หวาติดคณะเดียวกัน อีกกลุ่มเป็นซาน เนย และมุก ผ้าอยู่กับเทค
ยกเว้นพริ้มที่อยู่ตัวคนเดียว แต่มันก็ไม่ได้ยากเท่าไรกับการทำความรู้จักกับคนอื่น
พริ้มบอกกับตัวเองไว้แล้วว่าเขาจะเป็นคนใหม่ ไม่งั้นยี่หวาดุเขาตายแน่ ๆ ยังดีที่คณะของผ้าอยู่ใกล้กับคณะพริ้ม
เราเลยแวะมาเจอกันบ่อย ๆ เวลากินข้าว หรือเวลาที่เลิกพร้อมกัน
แล้วก็…เขายังมีเรื่องดี ๆ ที่ยังไม่ได้บอกใช่มั้ย พริ้มมีเพื่อนใหม่แล้วล่ะ
คนหนึ่งชื่อ ปริญ เป็นผู้ชาย ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิง เธอชื่อ วาฬ เป็นเพื่อนผู้หญิงที่น่ารักและสดใสมาก
ๆ เลยล่ะ
“พริ้ม เห็นกิจกรรมแต้มอาสาหรือยัง”
พูดถึงก็มาพอดี กิจกรรมแต้มอาสา หรือก็คือกิจกรรมแจกชั่วโมงนั่นแหละ
ปีหนึ่งจะต้องเก็บชั่วโมงให้ครบตามที่กำหนด ถ้าไม่ครบ ซัมเมอร์ก็ต้องลงต่อเนื่อง จนกว่าปีนั้น
ๆ จะครบ แต่ไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดไม่ผ่านกิจกรรมแล้วเลื่อนชั้นปีไม่ได้ แค่ปีสุดท้ายไม่ครบ…ก็จบออกไปไม่ได้เฉย
ๆ
“ยังเลย”
“นี่ ๆ ดูซะ เขาจำกัดแค่สองคณะเองนะ รีบ ๆ ลงเลยจ้า”
วาฬน่ะนักกิจกรรม ไม่ได้ทำเพราะเอาชั่วโมง เขาเห็นกิจกรรมด้านนอกก็ไปหมด
พริ้มเลื่อนอ่านรายละเอียดในบอร์ดมหาลัย ชอบอย่างหนึ่งที่มหาลัยนี้มีแอพพลิเคชั่นเป็นของตัวเอง
แถมลูกเล่นและฟังชั่นยังเสถียรแบบสุด ๆ เวลาจะลงสมัครกิจกรรมอะไรก็ใช้แอพนี้นี่แหละลง
โดยการเชื่อมต่อกับรหัสบัตรนักศึกษา ลงฐานข้อมูลให้ครบถ้วน แล้วทางนั้นเขาจะทำการคัดเลือกเรา
ว่าสำหรับกิจกรรมนี้ เราเหมาะที่จะทำอะไร
“น่าสนใจมากเลย”
“ใช่ม้า หลังจากกลับมาก็เข้าร่วมงานส่งน้องเข้าหอต่อเลย กิจกรรมสองต่อ
ช๊อบชอบ!”
“วาฬลงไปแล้วหรอ”
“เรียบร้อยแล้วจ้า พริ้มลงเลย ปริญมันก็ลงแล้ว”
“โอเค”
กิจกรรมนี้ไปทำสองวันหนึ่งคืน ระยะเวลารับสมัครแค่สามวัน พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย
สมัครเสร็จก็รอให้ปิดรับสมัคร แล้วเขาก็จะได้รู้ว่าตัวเองจะต้องไปทำตำแหน่งไหน ซึ่งถือว่าเป็นการใส่ใจที่ดีมาก
ๆ อย่างหนึ่งเลยล่ะ เพราะบางคนไปทำกับเพื่อนก็มักจะอยู่แต่กับเพื่อน อู้บ้าง ทำบ้าง
งานเดินก็จริง แต่เดินช้า มหาลัยคิดฟังชั่นนี้ขึ้นมา เพื่อส่งคนไปทำให้ตรงตามความถนัด
โดยดูจากข้อมูลที่เรากรอกไปนั่นเอง
“เรียบร้อย”
“ดีมากกกกก ละนี่กินข้าวยังอ่ะ”
“กินมาแล้วน่ะ”
“เอ๊ะ ไปกินกับใครมา ไม่รอออ”
เธอบ่นเสร็จก็เดินหายไปซื้อข้าว พริ้มมีเรียนบ่าย แต่จะมารอเพื่อน
ๆ ที่โต๊ะนี้เป็นประจำ แล้วค่อยขึ้นห้องพร้อมกัน สักพักปริญก็เดินมาที่โต๊ะ ส่งยิ้มหวานให้อย่างที่ทำบ่อย
ๆ พริ้มรู้ว่าตัวเองมองคนไม่ค่อยเก่ง เขาแยกไม่ออกระหว่างเพื่อนกับคนที่เข้ามาจีบ ถึงแม้ว่าท่าทางของปริญจะดูเกินเพื่อนไปหลายครั้ง
พริ้มก็ยังไม่เอะใจอะไรอยู่ดี
“วาฬมาแล้วหรอพริ้ม”
“ไปซื้อข้าวอยู่น่ะ ปริญก็ไปซื้อสิ เดี๋ยวเราเฝ้าของให้”
“โอเค ขอบใจนะ”
ขยี้หัวทุยอย่างเอ็นดูก่อนจะเดินหายเข้าไปในฝูงชนอีกคน พอแยกย้ายกันมาเรียน
ถึงแม้จะอยู่มหาลัยเดียวกัน ก็ใช่ว่าจะได้เจอกันทุกวันเหมือนตอนมัธยม พริ้มไม่ค่อยได้เจอยี่หวาเท่าแต่ก่อน
ตอนเช้ากับตอนกลางวันไม่มีทางได้เจอกันแน่ ๆ ถ้าเป็นตอนเย็นก็มีบ้างที่อีกคนจะมาหา
แต่ก็ไม่บ่อยนักหรอก
Rrrrr
พริ้มรับสายอย่างไม่รอช้า เขากำลังคิดถึงคนปลายสายอยู่ อยู่
ๆ ก็โทรเข้ามาพอดี ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าริมฝีปากมันยกยิ้มเต็มพิกัดไปตั้งแต่ตอนไหน
หรือตั้งแต่ตอนที่เห็นชื่อว่าเป็นใครโทรมาหรือเปล่านะ…
“ฮัลโหล”
( อยู่ไหน )
“เราอยู่โรงอาหาร”
( เดี๋ยวไปหา ยังไม่ขึ้นเรียนใช่มั้ย )
“ใช่ เหลืออีกตั้งชั่วโมงกว่า”
( ที่เดิมนะ? )
“อื้ม”
วางสายไปอย่างอารมณ์ดี การได้ยินเสียงยี่หวาวันละนิดละหน่อยถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตพริ้ม
จริง ๆ แล้วยี่หวาไม่จำเป็นต้องโทรมาถามก็ได้ว่าอยู่ไหน เพราะอย่างพริ้มคงมีไม่กี่ที่ให้ไป
ไม่ห้องเรียน โรงอาหาร ห้องสมุด ก็หอ วนเวียนอยู่แค่นี้ แม้จะเพิ่งเปิดเทอมมาได้ประมาณสองอาทิตย์กว่า
พริ้มก็พอรู้ชะตาตัวเองว่าทั้งสี่ปีคงเดินไม่ทั่วมหาลัยแน่
วาฬเดินมาพร้อมปริญ มีข้าวคนละจาน และน้ำเปล่าคนละขวด เขามักจะดุวาฬเสมอเวลากินข้าวแล้วชอบซื้อน้ำอัดลมมากินแทนน้ำเปล่า
ดุอยู่หลายวันด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงปนเหนื่อยอ่อน จนกระทั่งเธอเลิกกิน เพราะไม่ชอบเห็นพริ้มทำหน้าเศร้าเล่าถึงการฉีกขาดของกระเพาะอาหาร
“ดูดิปริญ พริ้มไปกินข้าวกับใครก็ไม่รู้ ไม่ยอมรอกันเลย”
“งั้นหรอ ใช่คนที่ชื่อผ้าหรือเปล่า”
“…อื้อ ผ้าก็ไปด้วย”
สองคนนี้ไม่รู้ว่าพริ้มมีแฟนแล้ว เพราะพริ้มไม่ได้บอก และพวกเธอก็ไม่ได้ถาม
เราเพิ่งจะสนิทกัน จะให้เล่าทุกเรื่องก็คงไม่ได้ นั่งเท้าคางมองเพื่อนทั้งสองกินข้าวไปได้สักพัก
คนที่บอกว่าจะมาหาก็มาถึง พร้อมกับเพื่อนคนอื่น ๆ ที่นาน ๆ ทีจะเจอกัน
“ซาน จอมทัพ หวัดดี”
“หวัดดี”
พริ้มยิ้มร่า พอเข้ามหาลัยซานก็ไปย้อมผมเป็นสีเทา เท่มากเลยล่ะ
ส่วนจอมทัพก็ดูหล่อขึ้นหลังจากใส่ชุดนักศึกษา จะว่าไปเพื่อนของเขาเท่กันทุกคนเมื่อโตขึ้น
ยิ่งยี่หวาน่ะแล้วใหญ่ เดินล้วงกระเป๋าด้วยใบหน้าเฉยชา แต่กลับกุมหัวใจสาว ๆ ทั้งโรงอาหารได้
นี่กะจะมาฮอตต่อที่อุดมศึกษาหรือไงกันนะ
“เอ่อ…นี่เพื่อนเราตอนมอปลาย ซาน จอมทัพ แล้วก็ยี่หวา”
“เราสองคนเป็นเพื่อนที่คณะ เราวาฬ ส่วนนี่ปริญ”
มีแค่ซานกับจอมทัพที่รับคำทักทาย แน่นอนว่ายี่หวาไม่สนใจอะไรแบบนี้อยู่แล้ว
ร่างสูงนั่งลงทางด้านขวาของพริ้ม เพราะด้านซ้ายปริญนั่งอยู่ จริง ๆ หวากับเพื่อนกลุ่มนี้ของเขาเคยเจอกันแล้ว
แต่ก็แนะนำอีกรอบเพราะตอนนั้นพริ้มไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร ก็หวังว่าทุกคนจะสนิทกันดีนะ
สายตาดุดันมองผ่านแฟนตัวเองทุกครั้งเมื่อคนด้านซ้ายคุยกับพริ้ม
ตงิดใจกับไอ้หมอนั่นตั้งหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่คิดจะพูดอะไร เขาขอดูลาดเลาไปก่อน และถ้าคุยได้ก็คงจะทำแบบนั้นเป็นอย่างแรก
คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าพริ้มคงไม่บอกเรื่องที่ตัวเองมีแฟนแล้ว หรือเขาเป็นแฟนอะไรทำนองนั้นกับคนอื่นแน่
ๆ เพราะแบบนั้น…หลาย ๆ ครั้งเขามักจะหงุดหงิดเวลามีคนเข้าหา
“ฉันลงกิจกรรมแต้มอาสาไป เห็นว่าคณะนายก็ลงได้ เลยกะจะมาชวน”
“อ๋อ เราลงแล้ว หวาก็ลงเหมือนกันหรอ”
“ใช่ นายลงไปตอนไหน”
“เมื่อกี้นี้เอง”
ดีจัง ยี่หวาก็ไปด้วย กิจกรรมแรกเลยนะที่เขาได้ไปพร้อมกับยี่หวา
ถึงจะทำคนละตำแหน่ง ก็ขอให้เจอกันวันงานด้วยเถอะ เพราะดีใจมากเกินไป เลยเผลอยิ้มหวานให้ร่างสูงนานไปหน่อย
รู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนที่อีกคนเมินหน้าหนีไปอีกทางนั่นแหละ ถึงได้หุบยิ้ม
“เออนี่พริ้ม ดูตรงนี้ให้หน่อยดิ เราจดไม่ทัน”
ปริญเรียก ก่อนจะหยิบชีทขึ้นมาเปิด ๆ แล้วยื่นมาให้เขาดู พริ้มเป็นคนจดโน้ตเก่งมาก
จดตามอาจารย์ทันทุกอย่าง แถมยังเขียนสรุปออกมาเข้าใจได้ง่ายด้วย เพราะงั้นปริญเลยชอบที่จะขอยืมชีทของพริ้มไปจดเพิ่มเติม
คนตัวเล็กอ่านชีทในหน้านั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดให้อีกคนจดตาม จนกระทั่งเขาสับสนและสิ่งที่พูดออกไปเริ่มไม่รู้เรื่องแล้ว
“ใจเย็นนะพริ้ม ฮ่า ๆ จูนก่อน ๆ”
“เราก็ไม่ได้เอาชีทอันนั้นมาด้วยอ่ะ ต่อจากนั้นมันอะไรนะ…”
ปริญยิ้มชอบใจ ใช้มือข้างหนึ่งนวดขมับของพริ้มเบา ๆ พลางขำไปด้วย
ส่วนมืออีกข้างก็โอบเข้าที่ไหล่ จะได้นวดให้ได้ถนัด ซานกับจอมทัพที่เห็นเหตุการณ์ได้แต่ร้องอุปส์ในใจ
เลิ่กลั่กมองตากันไปมาสลับกับมองยี่หวาที่กำลังขมวดคิ้วเข้าหากัน มีเรื่องแน่ มีเรื่องแน่
ๆ
“พริ้ม”
ร่างสูงเรียกคนตัวเล็กให้หันมา ด้วยความหงุดหงิดเลยเผลอกดเสียงต่ำไปด้วย
พริ้มรีบหันมาหา ส่วนปริญก็ผละตัวออกไป วาฬที่นั่งดูอยู่ก็พอจะรับรู้อะไรบางอย่างได้
คนชื่อยี่หวาคงไม่ใช่แค่เพื่อน…เธอคิดว่าอย่างนั้นอ่ะนะ คงต้องหาโอกาสถามพริ้มให้ได้
ไม่งั้นข้าวในท้องจะไม่ย่อย
“ว…ว่าไง” พริ้มกระวนกระวายเล็กน้อย เพราะจับจากน้ำเสียงได้ว่าอีกคนกำลังไม่พอใจ
แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
“วันนี้เลิกกี่โมง”
“ห้าโมงน่ะ”
ถือว่าโชคดีไปที่เขามีเรียนต่อจนถึงหนึ่งทุ่ม ไม่งั้นถ้าเขาไม่มีเรียนคงได้เดินมารับแน่
ๆ แวบหนึ่งที่ได้สบตาเข้ากับเพื่อนผู้ชายของแฟนตัวเอง เขาก็รับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่มันบ่งบอกว่าคนคนนั้นอยู่ในสถานะเดียวกับเขา
นั่นคือ…เราต่างก็ชอบพริ้มเหมือนกัน
-
พบแบบเต็ม ๆ ได้ในเล่ม รับรองว่ามีฉากที่ทุกคนอยากอ่านอยู่แน่ ๆ แต่ไม่มีฉากคัทนะคะ ไม่ให้ค่ะ5555 หวังว่าจะชอบกันน้าาา แม้เพียงน้อยนิดก็ตาม เพราะว่าตั้งใจมาก ก็เลยอยากให้คนอ่านรู้สึกว่ามันคุ้มค่าจริง ๆ
ได้หนังสือแล้วอย่าลืมถ่ายรูปติดแท็คอวดกันบ้างนะคะ #พริ้มเพียงหวา รอฟีดแบคจากทุกคนอยู่นะ
ขอบคุณมาก ๆ จากใจดวงน้อย ๆ เลยค่ะ จุ๊บบบ
ความคิดเห็น