คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๑๘
18
วันนี้…คงเป็นวันที่จะสั่นระฆังแห่งความยุติธรรมได้เสียที
ยี่หวาใช้เวลาราวอาทิตย์กว่าในการดำเนินตามแผนไปพร้อมกับผองเพื่อนสนิท
มันไม่ใช่เวลาที่นานเลย ถ้าเทียบกับคนที่ตกเป็นเหยื่อ เขาไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมคนตัวเล็กขนาดนั้นถึงทนมาได้นานหลายปี
แถมยังไม่ต้องการสามสิบนาทีในห้องปกครองด้วยซ้ำ เขารู้แค่ว่า…ถ้าต้องทนให้มันผ่านไปอีกสักปี ยี่หวาคงทำมันพังไปตั้งแต่เดือนแรก
อย่างเช่นตอนนี้ที่เริ่มมีข่าวซุบซิบกันในหมู่เด็กนักเรียนว่า
เท็ดดี้โดนเรียกเข้าห้องปกครอง สาเหตุในเรื่องเล่านั้นมีมากมาย
บ้างก็ว่าเพราะเท็ดดี้สูบบุหรี่ในโรงเรียนจนโดนจับได้ บ้างก็ว่าเป็นเพราะเท็ดดี้มีเรื่องกับยี่หวา
และมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้พริ้มถูกลอบมองบ่อย ๆ
ก็มาจากข่าวลือเมื่อวันนั้นหลุดออกไป ผู้คนเข้าใจว่าพริ้มเอาเรื่องนี้ไปฟ้อง
เท็ดดี้เลยโดนเรียกไปสอบสวน แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นฝีมือของพริ้ม…
แต่เป็นฝีมือของกัปตันวอลเล่ย์บอลชายต่างหาก
เท็ดดี้โดนเรียกเข้าห้องปกครองทุกวันเพราะต้องไปรายงานตัว
วันละสองสามรอบแล้วแต่อาจารย์ปกครองจะเรียกเข้าไป
เพื่อควบคุมพฤติกรรมที่อาจจะเกิดการแก้แค้นขึ้นได้
ทางนั้นก็เลยต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ …ก็จนกว่าจะหาข้อสรุปของเรื่องนี้ได้
ซึ่งก็คือวันนี้…
“เอาล่ะ
ครูขอดูหลักฐานทั้งหมดที่พวกของนายอคิราห์รวบรวมมาก่อนก็แล้วกันนะ ส่วนนายธีรภัค…ถ้าเรื่องไหนที่มันไม่ใช่เรื่องจริง ครูอนุญาตให้แย้งได้”
เท็ดดี้นั่งกำหมัดด้วยความโกรธแค้น
ส่วนด้านข้างเป็นผู้ปกครองของหมอนั่น ใบหน้าของพ่อเท็ดดี้ถึงแม้จะติดเรียบเฉย
แต่เมื่อไรที่พูดถึงความผิดของลูกตนเองขึ้นมา แกก็จะพยักหน้ายอมรับเบา ๆ
เขาไม่เชื่อว่าพ่อของเท็ดดี้จะไม่รู้ว่าลูกชายนิสัยยังไง แต่เพราะรู้นั่นแหละ…เลยห้ามอะไรไม่ได้
“เมื่อวันที่สองของการแข่งขันงานโอเบงปีที่แล้ว
พบซองยาถ่ายถูกทิ้งอยู่ที่ถังขยะหน้าห้องน้ำข้างโรงยิม ในเวลาประมาณบ่ายสองโมง
พวกเราได้ขอทำเรื่องตรวจสอบกล้องวงจรปิดทันทีหลังจากแข่งเสร็จและพบว่า…”
“เหอะ! รู้ได้ยังไงว่ามันคือยาถ่าย อย่าโมเมเอาเองดิวะ!!”
เทคถอนหายใจเมื่อโดนขัด
กรอกตามองบนให้สมกับความโง่เง่าของมัน ก่อนจะอธิบาย
“เราก็แค่เดาเอาว่าคนแบบนายที่จะครอบครองถุงยาได้
ก็คงหนีไม่พ้นร้านยาแถว ๆ นี้ เราเลยลองไปถามคุณหมอว่ายาชนิดนี้คือยาอะไร
ดีที่นายซื้อแบบผงมา มันก็เลยตรวจสอบง่ายหน่อย แล้วก็โชคดีมากกกก
ที่คุณหมอท่านนั้นความจำดี เขาอธิบายลักษณะของนายมาแบบเป๊ะทุกอย่างเลยล่ะ”
เทคว่าจบ ซานก็ทำมือเป็นรูปปืนก่อนจะขยับยิงใส่เท็ดดี้เบา
ๆ
“ต่อนะครับ… หลังจากดูกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่แถวนั้น
เราก็เห็นแต่พวกนายเดินเผ่นผ่านกันตลอดงาน ไม่ได้ไปไหนเลยด้วย สบายใจกันจังเลยนะ”
เทคพูดจบก็อมยิ้ม
“แต่พวกแกก็ไม่ได้ท้องเสียนี่!! งั้นก็แปลว่าฉันไม่ผิดไง!!”
“เป็นเพราะยี่หวามันเห็นพวกแกป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นน่ะสิ
มันก็เลยสั่งให้ฉันเอาน้ำไปทิ้ง” จอมทัพทำท่าเทถังน้ำประกอบ
เท็ดดี้อ้าปากพะงาบ
ๆ วันนั้นทั้งวันเขานั่งรอพวกมันปวดท้องโครกครากเพราะอยากเข้าห้องน้ำแทบตาย
แต่ท้ายที่สุดหลังจากการแข่งขันจบลง ก็ไม่มีใครมีอาการปวดท้อง
หรือแวะเข้ามาที่ห้องน้ำเลยสักคนเดียว
“ดีที่เรามีกัปตันช่างสังเกตและฉลาด
เป็นเพราะแกเลยนะเนี่ยที่ทำให้เราใช้นโยบายน้ำคนละขวดตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
ปลอดภัย หายห่วง”
ซานโฆษณาพลางยกยอภูมิใจ
ถ้าไม่ได้หวาในวันนั้น การแข่งของเราก็คงแย่ ดีที่นิสัยมันเป็นคนเนี้ยบและหูตาไว
เด็ก ๆ ในชมรมก็ถือเป็นตาให้ยี่หวาอีกแรงด้วยเช่นกัน
ถ้าวันนั้นขมไม่หันมาเห็นหนึ่งในพวกมันด้อม ๆ มอง ๆ ใกล้ถังน้ำของพวกเขา
ป่านนี้เราก็ไหลไปตามแผนอย่างที่มันหวังจะให้เป็น
แล้วไอ้วิธีการล้าสมัยที่ใช้แกล้งชาวบ้านเขาแบบนี้ก็ดูออกง่ายจะตายไป
และถ้าสมมติว่าในวันนั้นยี่หวาเดาผิด
พวกเขาก็ไม่นึกเสียดายอะไรกับน้ำเย็นเจี๊ยบที่ถูกแช่ไว้นั่นหรอก
เพราะกะจะไม่กินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“แต่พวกมึงก็ไม่มีหลักฐานว่ากูเป็นคนเอาใส่เองปะวะ!!!”
“เท็ดดี้!”
คนเป็นพ่อทำหน้าละเหี่ยใจ
ฉุดข้อมือลูกชายให้ลงไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม ถอนหายใจเหนื่อยหน่ายกับนิสัยแย่ ๆ
แก้ไม่ได้แบบนี้เสียจริง ที่เขาว่าลูกไม้หล่นไม่ใกล้ต้น ท่าจะไม่ใช่คำสุภาษิตประดับพจนานุกรมเสียแล้ว
เทคกับจอมทัพผลัดกันอธิบายหลักฐานที่ใช้เวลาอาทิตย์กว่า
ๆ ไปรวบรวมมันมา พวกเราได้รับความร่วมมือจากเพื่อนที่เคยโดนเท็ดดี้รังแก
พวกเขายอมให้ข้อมูล แต่แลกกับการไม่เปิดเผยตัวตน
ทุกคนที่โดนล้วนแต่เป็นคนที่อ่อนแอ เอาคืนเท็ดดี้ไม่ได้ …และพวกเขาหวาดกลัว เราได้ข้อมูลมาไม่เยอะเท่าไร
โดยส่วนมากเหยื่อมักจะปกปิด ยี่หวาได้มาแค่คนที่อยากจะให้เท็ดดี้ถูกลงโทษ
แต่ก็เพียงพอแล้วกับการมัดตัวผู้ร้ายในคราบนักเรียน
“คดีล่าสุดคือของนายเพียงคุณครับ”
พริ้มรีบเก็บข้าวของเดินดุ่ม
ๆ ขึ้นอาคารเรียนหลังจากหมดคาบเรียนวิชาศิลปะ เขาไม่อยากอยู่ข้างล่างนาน ๆ
เพราะแคทจ้องจะเล่นงานเขา ผู้หญิงคนนั้นมองเขาอยู่ตลอด
แต่ไม่ยอมเข้ามาเหมือนอย่างเคย นั่นเลยทำให้พริ้มรู้สึกไม่ไว้ใจ
เสียงสับฝีเท้าขึ้นบันไดตามหลังมาหลายคู่เสียจนพริ้มกัดริมฝีปากแน่น
ในใจเต้นรัวเพราะรู้สึกกังวลปนหวาดหวั่นกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าหากเขาหยุดฝีเท้าของตัวเองลง
ภาวนาให้ผ้ายืนรออยู่หน้าห้อง ขอต่อเวลาอีกแค่นิดเดียวก็ยังดี
พลั่ก!!
แคทไล่ตามหลังทันและผลักพริ้มให้เข้าไปในห้อง
เพื่อน ๆ ของเธอที่ตามหลังมาปิดประตูห้องรู้งานเป็นอย่างดี
ถึงแม้จะมีกระจกบานใหญ่กั้นอยู่ แต่ถ้าไม่เดินผ่านก็จะไม่รู้ว่าข้างในเขาทำอะไรกัน
พริ้มเซไปเล็กน้อย เอามือยันโต๊ะเอาไว้ก่อนจะหันมาเผชิญหน้าเข้ากับเธอ
“ทำได้ดีมาก…พวกมึงก็ตบมือให้พริ้มคนใหม่สิ”
พวกเธอปรบมือตามที่แคทบอก
ก่อนจะยิ้มมุมปากส่งมาให้
“ไม่รู้สึกดีหรอ?
นี่ตบมือชื่นชมเลยนะ พริ้มคนใหม่เนี่ย…ทำให้ฉันหวั่นไหวได้ยังไงก็ไม่รู้”
“…”
“ยืมมือยี่หวามาช่วยแบบนี้…ไม่กลัวเขาเดือดร้อนหรอ?”
พริ้มขมวดคิ้วเมื่อแคทพูดจี้จุดอะไรบางอย่างได้สำเร็จ
นั่นสินะ…ที่ยี่หวายื่นมือมาช่วยเขาแบบนี้
คนที่อาจจะโดนเป็นรายต่อไปก็คงไม่พ้นยี่หวาเสียเอง พริ้มเม้มปาก
คิดตามจากที่แคทหย่อนระเบิดไว้ก็ได้แต่กระวนกระวายใจ
กลัวว่าหวาจะเป็นอะไรไปตามที่แคทขู่จริง ๆ
“ถ้าคิดจะพูดให้เรากลัวล่ะก็…ไม่ได้ผลหรอกนะแคท”
“งั้นหรอ?! คำพูดทำอะไรมึงไม่ได้อีกแล้วงั้นสินะ”
แคทเหยียดยิ้มพลางก้าวเท้าเข้าไปหา
หญิงสาวกระโจนเข้าใส่หนุ่มน้อยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
เธอจิกหัวของคนที่เธอเกลียดและอคติมาโดยตลอดอย่างแรงจนพริ้มน้ำตาเล็ด
แคทเป็นบ้าทุกทีเวลาที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนสุดอีกต่อไป
เธอเกลียดเวลาที่พริ้มมีสายตาแข็งข้อกับเธอ
เกลียดเสมอเวลาที่อีกฝ่ายพยายามใช้แรงเพื่อผลักเธอให้หลุดออก
เกลียดความรู้สึกที่สู้ไม่ได้…แต่อีกฝ่ายก็ไม่พยายามสู้
“ปล่อยนะแคท”
“กูไม่ปล่อย!! กูจะตบปากมึงจนไปฟ้องใครไม่ได้อีกเลย!!!”
แคทตวัดฝ่ามือลงมาที่แก้มขาว
ฟาดมันลงไปอย่างแรงแต่พริ้มเอามือมากันไว้ทัน แขนข้างนั้นแดงเถือก
แต่ก็ไม่ได้ทำให้แคทหยุดการกระทำเลวร้ายนั่นลง เธอกระหน่ำฝ่ามือลงมาไม่ยั้ง
พริ้มเองก็เอาแขนข้างนั้นกันเอาไว้ไม่ถอยเช่นเดียวกัน
โชคดีที่เพื่อนของแคทไม่เข้ามาช่วยรุมด้วย
พวกเธอคงระแวง กลัวว่าพริ้มจะเอาไปฟ้องถ้าหากเป็นหนึ่งในคนที่ทำร้ายเขา ท้ายที่สุด…พวกเธอก็เหมือนกัน…ยอมเสียเพื่อนเพื่อให้ตัวเองปลอดภัย
พริ้มออกแรงผลักแคทจนเสียหลัก
หัวของเธอชนเข้ากับขอบกระดาน หญิงสาวนั่งมึนอยู่ชั่วครู่
นั่นจึงเป็นจังหวะให้พริ้มได้โอกาสวิ่งหนี
เขาวิ่งไปทางเพื่อนของแคทที่ยืนกอดอกเฝ้าประตูอยู่ ขอแค่จับลูกบิดประตูได้
พริ้มก็จะปลอดภัยแล้ว แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น
“หนี…อีกแล้วหรอ?”
“ปล่อยเราไปเถอะแคท”
“ทำไม…มึงไม่ผลักกูให้แรงกว่านี้”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบกับแววตาโกรธแค้นที่ไม่ได้ลดลงจากก่อนหน้านี้
ขาเรียวสวยค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ คำถามของแคททำให้พริ้มก้าวขาไม่ออก หรือจริง ๆ
แล้วเขารู้ว่าตัวเองหนีออกไปไม่ได้ต่างหาก
มือของเธอทิ้งน้ำหนักลงมาที่ไหล่ทั้งสองข้าง ออกแรงเขย่าด้วยดวงตาที่แดงไม่ต่างจากแขนของเขา
“ทำไมมึงไม่ผลักกูให้แรงกว่านี้!! ทำไม!!”
“เพราะแคทจะเป็นแบบนี้ไง!”
“…”
“ยิ่งเราตอบโต้แรงเท่าไร…แคทก็จะทำเราแรงเท่านั้น ทำไมเราต้องทำให้ตัวเองเจ็บไปมากกว่านี้ด้วย!”
เป็นครั้งแรกที่พริ้มตะโกน…ออกมาพร้อมน้ำตา
“ถ้าแคทจะเกลียดที่เราชอบยี่หวา…เราก็ไม่ว่า”
“…”
“เพราะเราเองก็เกลียดที่แคทชอบยี่หวาเหมือนกัน!”
เพี้ยะ!!
ปั้ง!!
เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงใครสักคนโดนตบ
ชั่ววินาทีที่ห้องเงียบสนิทเพราะตกใจกับการมาของใครบางคน พริ้มก็โดนกระชากให้หลุดออกจากสนามอารมณ์ของแคททันที
…เป็นผ้านั่นเองที่ลงมารับเขา เพื่อนตาโตทำเป็นเหลือบมองแก้มของเพื่อนสนิท
เพราะถ้ามองตรง ๆ คงได้กระโดดตบตัวการแน่ ๆ
“มึงเป็นบ้าจริง
ๆ ด้วยสินะ”
“มึงมาเสือกเหี้ยอะไรอีกอีผ้า! ขยันจุ้นเรื่องชาวบ้านเขาเก่งนักนะมึง!”
“เผอิญว่าชาวบ้านคนนั้นเขาเป็นเพื่อนกูว่ะ”
“เหอะ! แน่ใจหรอพริ้มว่าที่อีเหี้ยผ้ามันพูดว่ามึงเป็นเพื่อน…มันจะหมายความว่าแบบนั้นจริง ๆ”
ฝ่ามือเล็กที่ผ้ากุมไว้สั่นเทาเล็กน้อย
เขาจะห่วงมากเป็นสองเท่าเวลาที่พริ้มไม่พูดอะไรเลยในสถานการณ์แบบนี้ แต่ที่ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาได้นั้น…เป็นเพราะพริ้มออกแรงบีบที่ฝ่ามือเขาเบา ๆ
ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าเพื่อนตัวเล็กคนนี้มั่นใจในมิตรภาพของเรา
“อย่าเอาสันดานแย่
ๆ ที่มึงทำกับคนอื่น…มาถามพริ้มสิ”
“อีผ้า!”
“กูเนี่ย…อยากเจอกับมึงมานานแล้ว ไหน ๆ ก็ต้องไปที่เดียวกัน…”
“เดี๋ยว! มึงจะทำอะไร!”
“งั้นก็ไปด้วยกันเลย!!”
ผ้าเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อของแคทจากทางด้านหลัง
ออกแรงกระชากให้เธอเดินถอยหลังตุปัดตุเป๋ ก้าวที สะดุดที
แต่ผ้าก็ไม่คิดจะปล่อยให้แคทเดินตามมาดี ๆ เสียงโวยวายของเธอดังตลอดชั้น
เรียกสายตาของคนที่อยากรู้อยากเห็นให้ยื่นหน้าออกมาทางกระจกติดทางเดินเพื่อดูว่าเขาโวยวายอะไรกัน
พริ้มลุกลี้ลุกลนวิ่งตามเพื่อนใจร้อนชอบบวกไม่ยอมห่าง
แต่ก็เว้นระยะห่างกับแคทเล็กน้อย ไม่งั้นเขาจะโดนดึงหัว
ไม่เคยเห็นแคทรับมือกับใครไม่ได้แบบนี้มาก่อน แล้วก็ไม่เคยเห็นผ้าลากใครด้วยสีหน้าน่ากลัวแบบนี้มาก่อนเช่นกัน
ยี่หวายื่นใบตรวจร่างกายที่เขาไปกับเจ้าตัวให้ผู้อำนวยการที่ทำหน้าหนักใจ
ผู้ปกครองของเท็ดดี้ก็ทำหน้าไม่ต่างกัน มีเพียงตัวการที่ยังทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิดเกินกว่าจะได้รับการอภัย
“จริง ๆ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพียงคุณโดน แต่ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งไหน ๆ
และผมยอมไม่ได้ถ้าธีรภัคจะกินนอนได้เป็นปกติ…เหมือนไม่ได้ทำผิดอะไร”
“ไม่เห็นมีตรงไหนระบุว่าเป็นฝีมือกูเลยนี่หว่า
อย่างนี้ถ้าพวกมึงบอกว่าเป็นฝีมือหมาข้างถนน ผ.อ.ก็เชื่องั้นดิครับ” เท็ดดี้โยนกระดาษตรวจร่างกายแผ่นนั้นลงบนโต๊ะ
ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาพาดหัวเข่าอีกข้าง ก่อนจะกอดอก เชิดหน้าลอยตา
ยืนยันว่าตัวเองไม่ผิดเสียเต็มประดา
“เสื้อตัวนั้นเป็นของนายเพียงคุณ
ถึงคนที่ฉีกจะไม่ใช่นายธีรภัค แต่คนที่สั่งคือนาย”
“เฮ้ย ๆ รู้ได้ไงวะว่ากูเป็นคนสั่ง”
“จากคำให้การของเหยื่อ”
“ดูดิครับผ.อ. เหยื่อเป็นเพื่อนกับมัน พูดอะไรมันก็ต้องเชื่อ
แล้วถ้าเหยื่อตัวนั้นมันจะใส่ร้ายผม งี้ผมก็ซวยอ่ะดิ”
“ถ้าแกจะไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร
เพราะฉันมีหลักฐานอีกเพียบ…”
ยี่หวาทนกับความหน้าด้านของเท็ดดี้ไม่ไหวจนต้องระบายด้วยการจับเข้าที่ไหล่…และออกแรงบีบ ไอ้เด็กอ้วนปัดมือเขาเป็นพัลวันเพราะนิ้วที่ค่อย ๆ จิกลงไปมันลึกพอที่จะสัมผัสได้ถึงกระดูก
“พอได้แล้วไอ้เท็ด”
“พออะไร! ผมไม่ผิดสักหน่อย ทำไมผมต้องยอมรับด้วยวะ!”
“กูทนฟังมึงแถมามากพอแล้ว
พอได้สักที!!”
เสียงตวาดของผู้ปกครองหน้าโหดดังลั่น
ต่างคนต่างสะดุ้ง ไม่เว้นแม้แต่โค้ชที่นั่งรออยู่เงียบ ๆ ชายแก่ลุกขึ้นจากเก้าอี้
จากนั้นก็กระชากเข้าที่คอเสื้อให้ลูกในไส้ของตัวเองลุกตามขึ้นมาด้วยกัน
เขารู้สึกขายหน้าจนไม่รู้จะมุดหน้าลงไปในไหนได้แล้ว ยิ่งฟังคำแถที่ฟังไม่ขึ้นก็ยิ่งอยากกัดลิ้นตัวเองตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
แต่ยังไงมันก็ลูกเขา…คนที่ต้องรับผิดและแก้ไขก็คือเขา
“กูบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่าให้เลิกทำแบบนี้!! มึงไม่เข้าใจที่กูพูดหรอ?”
“ทำไมผมต้องเชื่อพ่อด้วยวะ”
“…”
“ในเมื่อพ่อก็ทำแบบนี้กับแม่!! กับคนอื่น ๆ ทำไมผมต้องเชื่อฟังคนที่เหี้ยกับคนอื่นด้วยวะ!!!”
“เพราะกูไม่อยากให้มึงเป็นแบบกูไง!!”
การทะเลาะกันของสองพ่อลูกทำให้ทั้งห้องกลายเป็นกองไฟที่ร้อนระอุ
ไม่มีใครกล้าแย้งสักคน ขนาดผู้อำนวยการยังนั่งเงียบ ปัญหามันคงเริ่มมาจากภายในสินะ… เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทำไมเด็กคนหนึ่งถึงมีความคิดที่แตกต่างกัน …จนกว่าจะได้เห็นครอบครัวของพวกเขา
“ไม่ว่ามึงจะเป็นคนลงมือหรือมึงจะเป็นสั่ง…คนผิดก็คือมึง”
“…”
“ถ้ากูส่งมึงมาเรียนแล้วมึงไม่อยากเรียน…ก็ไม่ต้องเรียน”
คุณพ่อนั่งลงตามเดิม
ก่อนจะก้มหน้าเซ็นใบอะไรสักอย่างที่ผ.อ.ยื่นให้ เท็ดดี้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ โวยวายกับผ.อ.ว่ายังไงก็จะไม่ยอมรับโทษคนเดียวแน่ ๆ พี่เบิ้มร่ายชื่อเพื่อนชุดใหญ่
เกือบจะครบทั้งหมดแล้วถ้าคุณพ่อไม่ขอให้เท็ดดี้หยุดพูดเสียก่อน
“กรณีครั้งนี้ของนายธีรภัคถือว่ารุนแรงที่สุด
และโชคร้ายที่คดีที่เธอเคยก่อมีทั้งหมด 11 ครั้ง
ทั้งหมดนี้ส่งผลกับประวัติการศึกษาของเธอ
นายธีรภัคจำต้องพ้นสภาพการเป็นนักเรียนโรงเรียนนี้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
“ครับผ.อ.”
“ผมต้องขอโทษจริง
ๆ ถ้าจะพูดว่า…เส้นทางสู่มหาลัยของลูกคุณ คงทำได้ยากแล้วล่ะครับ”
“ครับ
ผมคงไม่ส่งมันเรียนอีกแล้ว”
ปลายปากกาตวัดลงและยกขึ้นจุดเป็นอย่างสุดท้าย
สื่อความหมายว่าเท็ดดี้ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนนี้อีกต่อไป นอกจากจะถูกไล่ออกแล้ว
พฤติกรรมต่าง ๆ ที่ทำมาตั้งแต่ต้นก็จะติดอยู่ในระบบจนไม่สามารถเริ่มต้นใหม่ในรั้วมหาลัยได้อีก
ลงโทษให้อนาคตหดสั้นลงขนาดนี้ ทำให้ยี่หวารู้สึกพึงพอใจกับผลลัพธ์ไม่ใช่น้อย
“แล้วเด็กคนนั้น…”
ประตูห้องถูกเปิดขึ้นขัดจังหวะเสียก่อนจะได้พูดจบ
เป็นพริ้มที่สาวเท้านำหน้า เพื่อจะมาเปิดประตูให้ผ้าที่ลากแคทเหมือนลากถุงขยะก็ไม่ปาน
เธอโวยวาย ก่นด่าผ้าเสียงดังตลอดทาง และไม่มีท่าทีจะสงบลง
ผ้าไม่ปรานีแคทเลยสักนิดเดียว
พอลากเข้ามาในห้องได้แล้วก็โยนเธอลงไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง
ผ.อ.ใจเสียววาบ
เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กที่มีอิทธิพลที่สุดในโรงเรียนโดนเขวี้ยงทิ้งอย่างไม่ใยดี
ตูดเกือบไม่ติดเบาะ แทบจะถลาลงไปประคองเด็กสาวคนนั้นขึ้นจากพื้นด้วยซ้ำ
เพราะถ้าเกิดเธอไม่พอใจกับการกระทำของเขาขึ้นมา มีหวังตูดไม่ติดเบาะตลอดชีวิตแน่
“เธอน่ะมานี่ก่อน”
“ย…ยี่หวา นี่นายคิดจะทำอะไร”
“ยังไม่ใช่เวลาของเธอ
บอกให้มานี่”
แคทโดนผ้าลากไปตามคำสั่งของหวา
เหมือนผีบ้าที่เอาแต่แหกปากโวยวายจนคนเขาหรี่ตารำคาญกันไปหมด
นาทีนี้เป็นของพริ้มต่างหากล่ะ… พ่อของเท็ดดี้เดินเข้ามาใกล้คนตัวเล็กที่ยืนทำหน้าไม่ถูก
ไม่รู้ว่าเรื่องราวมันไปยังไงมายังไง เพราะพริ้มเองก็รู้คร่าว ๆ
ไม่ได้รู้ลึกขนาดที่ว่ายี่หวาจะเล่นถึงผู้ปกครองด้วย
“หนูคือ…เพียงคุณใช่มั้ย?”
“ค…ครับ เรียกว่าพริ้มก็ได้ครับ”
“ลุงต้องขอโทษด้วยนะ
ไม่ต้องอภัยมันก็ได้ แต่ลุงไม่อยากติดค้างอะไรกับหนู”
“…”
“ลุงหวังว่าทั้งหมดที่หนูเจอจะย้อนกลับไปหามันบ้าง
พอถึงวันนั้นให้อภัยมันก็ยังไม่สาย”
“ขอบคุณครับ”
พริ้มไหว้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนแกจะลากลูกชายของตัวเองออกไป
ขนาดครั้งนี้โดนไล่ออก เท็ดดี้ก็ยังทิ้งทวนให้เขาด้วยการกระแทกไหล่ตอนเดินผ่านกัน
เฮ้อ…พริ้มเองก็ไม่ได้แม่พระถึงขนาดยกโทษให้กับคนที่กลั่นแกล้งตัวเองมาตลอดหรอกนะ
ก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งที่ลุงแกพูดถึง…มันจะเกิดขึ้นมาจริง
ๆ
“เรื่องต่อไปเป็นของกุลิสรา
ผมอยากให้มีกรรมการสอบสวนครับ”
“ใจเย็น ๆ
ก่อนนายอคิราห์ เมื่อกี้ครูยังตัดสินเองคนเดียวได้ เรื่องนี้ก็คงไม่จำเป็นต้องใช้คนเยอะแยะ”
ชายวัยห้าสิบผายมือให้คู่กรณีทั้งสองคนนั่งลงที่เก้าอี้
แอร์เย็น ๆ กระทบเนื้อจนขนอ่อนที่แขนลุกตั้ง พริ้มไม่เคยเข้าห้องนี้มาก่อน ไม่เคยรู้ด้วยว่าเวลาที่คนเขาทะเลาะกันแล้วเป็นเรื่องใหญ่โต
จุดจบของการตัดสินโทษจะอยู่ที่ห้องนี้
แต่ตามหลักแล้วไม่ใช่
โรงเรียนอซ.ไม่ได้มีมาตราการป้องกันความรุนแรงตั้งแต่เนิ่น
ๆ เพราะเรื่องราวแบบนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้น อย่างที่ยี่หวาเสนอ จริง ๆ
แล้วต้องมีคณะกรรมการตรวจสอบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถ้าเป็นจริง…เรื่องราวมันเริ่มขึ้นจากตรงไหน ถามไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้คำตอบที่ตรงกัน
จากนั้นถึงค่อยไปหาข้อสรุปเอาอีกทีว่าควรจะเอายังไงกับเรื่องนี้
แต่ผ.อ.กลับบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น
“เรื่องมันเป็นมายังไง
เล่าให้ครูฟังหน่อย”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องเล่าเลยนี่คะ
ก็ในเมื่อมันไม่มี…จริงมั้ยพริ้ม?”
แคทนั่งไขว่ห้างพลางหันไปถามเพื่อนตัวน้อยที่นั่งทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
คำพูดคำจาของเธอให้ความรู้สึกหมั่นไส้จนผ้าแทบจะพุ่งไปจิกหัวตบให้รู้แล้วรู้รอด
ถ้าไม่ติดว่าเราอยู่ต่อหน้าคนที่ใหญ่ที่สุดของโรงเรียน ป่านนี้มือผ้าก็คงหายคัน
“แคทพูดว่า…ไม่มี…ได้ยังไง”
“หา? ว่าไงนะ?”
“ถ้าแคทพูดว่าไม่มี
แล้วรอยตบที่แก้มเราเมื่อกี้ล่ะ”
พริ้มเงยหน้าให้เห็นรอยแดงเถือกที่แก้มซ้าย
ดีที่ไม่ได้กัดปากตัวเองในตอนนั้นด้วย นึกขอบคุณประสบการณ์ที่ทำให้เขารับมือได้
พริ้มยกแขนข้างที่โดนกระหน่ำตีก่อนที่จะมาที่นี่
มันขึ้นเป็นรอยช้ำกับอาการนูนและแผลเลือดซิปจากการโดนขูดด้วยเล็บของเธอ
หลักฐานที่อยู่บนตัวของนายเพียงคุณชัดเต็มลูกตาจนกระดิกไม่ได้
ชายอาวุโสรู้สึกหนักใจกว่าคดีก่อนหน้านี้เสียอีก
ถึงแม้เขาจะให้เกียรติงานตัวเองมากแค่ไหน
แต่ถ้ามันไม่ลงล็อกก็มีแต่เสียกับเสียอยู่ดี
“จริงหรือเปล่ากุลิสรา?”
“ผ.อ.คิดว่าไงล่ะคะ? ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบหนูจะทำผู้ชายคนหนึ่งเจ็บได้ขนาดนั้นเลยหรอคะ?”
“นั่นมันก็จริงนะ
เธอโกหกครูหรือเปล่าเพียงคุณ?”
สงสัยผ.อ.จะทำให้ผ้ามีน้ำโหเสียแล้ว
“คนโกหกกับตอแหลมันดูง่ายออกนะครับครู!!”
“ใจเย็นก่อนไอ้ผ้า”
“จะไปเย็นได้ไงวะ! ดูก็รู้แล้วมั้ยว่าใครโกหกใครตอแหล หมามันยังดูออกเลย”
“ไอ้เชี่ยนี่!”
จอมทัพกับซานช่วยลากผ้ากลับเข้าไปในรังตามเดิม
แต่ประโยคเสียดสีสุดท้ายเล่นซะคนใหญ่คนโตเหงื่อแตก
โค้ชเขกหัวลูกทีมปากหมาที่ยังฟึดฟัดอารมณ์เสียอยู่ ยี่หวาเห็นท่าไม่ดี
เพราะการพูดของแคทก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกัน ร่างสูงแบมือขอโทรศัพท์ของซาน
ก่อนจะเปิดคลิปวิดีโอสั้น ๆ ที่มีเพียงห้าวินาทีเท่านั้น
ผ.อ.ดูคลิปในนั้นซ้ำ ๆ หลายครั้งเพราะมันสั้น
แต่แค่เปิดมาวินาทีแรกก็เห็นใบหน้าของคนในคลิปชัดเจน ทั้งคนโดนและคนกระทำ ในหัวที่พยายามหลบหนีความถูกต้องเริ่มยกป้ายประท้วงให้เขาตัดสินไปตามความเป็นจริง
แต่มันกลับไม่ได้ทำง่ายขนาดนั้น
“กุลิสราทำผิดจริง…ก็ต้องได้รับโทษจริง แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่หนูทำผิด
จะโดนทัณฑ์บนเตือนครั้งที่หนึ่ง และอยู่ในการควบคุมของฝ่ายปกครองตลอดหนึ่งเดือน”
“ครูใหญ่ไม่ถามหนูหน่อยหรอคะว่าเรื่องมันเป็นมายังไง
ในคลิปถึงได้เป็นแบบนั้น”
“ครูจะให้โอกาสเธอได้เล่าแล้วกันนะ”
สาวสวยยกยิ้มมุมปากพอใจ
อย่างน้อยผ.อ.ก็น่าจะสับสนกับเรื่องที่เธอเล่าได้บ้างไม่มากก็น้อย
แต่ยังไงเธอก็ได้อภิสิทธิ์เหนือกว่าอยู่ดี ขนาดในคลิปเห็นชัดแจ๋วว่ารุนแรงไม่ต่างจากเท็ดดี้ทำ
แต่เธอก็ถูกตัดสินโดนแค่ทัณฑ์บนใบแรก…ในครั้งที่สิบ
ไม่มีอะไรต้องคิดให้มากความ ก็แค่พ่อของเธอคอยหนุนชายแก่วัยห้าสิบคนนี้ยังไงล่ะ
ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากเล่าความเท็จ
เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน เจ้าของห้องพ่นลมหายใจ
ทำไมวันนี้มันถึงได้หนักหนากับเขาเสียเหลือเกิน
ยี่หวาลอบยิ้ม…ชอบจริง ๆ อะไรที่มาตรงเวลาแบบนี้ เขาเดินไปรับเพื่อน ๆ น้อง ๆ
ทั้งห้าคนก่อนจะดันทุกคนให้ยืนเป็นแถวหน้ากระดาน
เด็กพวกนี้เป็นคนที่เคยมีคดีกับแคททั้งสิ้น สองในห้าเคยพยายามที่จะเอาเรื่องแล้ว
แต่สุดท้ายก็เงียบหายไป
“ทั้งห้าคนเป็นคนที่ให้ข้อมูลและหลักฐานทั้งหมดว่า…พวกเขาเคยโดนกุลิสราทำร้ายยังไง ส่วนอีกสองคนที่เหลือเขาไม่กล้ามา
แต่ส่งจดหมายมาแทนครับ”
พริ้มทึ่งในความสามารถหาหลักฐานได้เยอะและไวขนาดนี้ของยี่หวามาก
ๆ เขาไม่รู้ว่ายี่หวาเริ่มทำตั้งแต่วันไหน แต่ถ้านับจากตอนที่ยี่หวาบอกจะช่วย
มันก็ผ่านมาได้อาทิตย์กว่า ๆ เอง แต่ยี่หวากลับ…ตามหาคนที่โดนทำร้ายได้ถึงเจ็ดคน
พาพวกเขามาเป็นพยานถึงห้องนี้อีก
ไม่เรียกว่าสุดยอดก็คงต้องใช้คำว่ายี่หวาแทนแล้วล่ะ
“ในข้อความระบุไว้ว่า…
เธอกลายเป็นโรคซึมเศร้า ไม่กล้าไปโรงเรียนนับตั้งแต่วันที่กุลิสราลงมือ
เธอตัดสินใจบอกพ่อกับแม่ เพื่ออยากให้พ่อกับแม่ดำเนินเรื่องให้
โรงเรียนรับเรื่องไว้…แต่ไม่ทำอะไรสักอย่าง”
“…”
“ครูที่ห้องปกครองบอกแค่ว่ากุลิสราถูกลงโทษแล้ว
แต่เธอก็ยังเห็นผู้หญิงคนนั้นทำร้ายคนอื่นไปทั่วเหมือนอย่างเคยอยู่ดี
เธอไม่เข้าใจว่าบทลงโทษที่เธอได้รับกับกุลิสราได้ก่อ…มันเท่าเทียมกันจริง ๆ หรอ เพราะในขณะที่เธอกำลังจะจมมหาสมุทรน้ำตา
กุลิสราก็ยังยิ้มได้อยู่เลย”
ข้อความในนั้นแสนเศร้า
ทำเอาเราที่เป็นเหยื่อน้ำตาคลอ
พริ้มเม้มปากเข้าใจความรู้สึกที่ยี่หวาตั้งใจถ่ายทอดออกมาเป็นบุคคลที่สามให้ฟัง …มันเป็นจดหมายง่าย ๆ จากกระดาษรายงานที่ใช้เรียน
แต่เขาเชื่อว่าคนที่เขียนกระดาษแผ่นนี้ คงทิ้งหยดน้ำตาไว้เต็มแผ่น…
ผ้าเดินเข้ามาโอบไหล่พริ้มเอาไว้เบา
ๆ เมื่อเห็นเพื่อนตัวเล็กทำหน้าเศร้าหลังจากหวาอ่านข้อความในนั้นจบ ผ.อ.ทำหน้าลำบากใจกว่าเดิมเมื่อลูกศิษย์ของเขาที่เป็นเหยื่อกำลังแสดงอารมณ์ออกมาตรง
ๆ ว่ารู้สึกแย่กับสิ่งที่ตัวเองเจอมากแค่ไหน
“ครูจะให้โอกาสหนูสารภาพความจริง
และถ้าหนูยอมรับผิด…”
“หนูไม่ผิด!! พวกมันใส่ร้ายหนู!! พวกมันรวมหัวมาหลอกครูใหญ่!!
หนูไม่ได้ทำ!!!”
“กุลิสรา…”
ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง
และการมาของคนปริศนาทำให้แคทถูกแช่แข็ง
แววตาของเธอสั่นไหวเมื่อเห็นว่าใครเดินเข้ามาใกล้
ผู้มาใหม่สะกดทุกสายตาให้จ้องมองทุกย่างก้าวที่รองเท้าสีแดงสดย่ำลงกับพื้นห้อง
ไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร จนกระทั่ง…
“…แม่”
เสียงที่เปล่งออกมาเพียงน้อยนิดถูกเมินข้ามหัว
เมื่อผู้เป็นแม่เดินผ่านเธอไปยกมือไหว้ทักทายผู้อำนวยการโรงเรียน
เธอไม่แม้แต่ปรายตามองลูกในไส้ที่ยืนนิ่งงันอยู่ด้านหลังแม้แต่น้อย
และผู้เป็นลูกก็ไม่ได้หวังว่าจะได้เจอหน้าแม่ตัวเองในเวลาแบบนี้เช่นกัน
“สวัสดีค่ะคุณธรณ์”
“สวัสดีครับ”
“เธอสินะที่ชื่อ…ยี่หวา?”
คนที่แม้แต่ผ.อ.ยังก้มหัวต่ำกว่าหันมาทางร่างสูงกว่าใครเพื่อน
เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ ก่อนจะทักทายตามมารยาท
“สวัสดีครับ
ผมอคิราห์ ธาราเดชากุล”
“ธาราเดชากุล? …หึ”
ไม่มีใครเข้าใจที่เธอทวนนามสกุลยี่หวา
แถมยังหัวเราะหึออกมาเสียงดังฟังชัด อย่างกับจงใจให้ได้ยินงั้นแหละ
“ไม่ได้เรียกให้ฉันมาเซ็นใบอะไรหรอกหรอคะ?”
“เอ่อ…คือ…ตอนนี้เรายังหาข้อสรุปกันไม่ได้น่ะครับ”
“ไม่จำเป็นต้องหาหรอกค่ะ
เด็กที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้…ไม่มีทางสำนึก”
มือของแคทกำแน่น
ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังอดกลั้นอารมณ์อะไรอยู่ พริ้มนั่งเงียบกริบ
เขาเกร็งไปทั่วทั้งตัวตั้งแต่แม่ของแคทเดินเข้ามา
เกร็งหนักเข้าไปอีกเมื่อเธอหยุดยืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้ที่เขานั่ง
รังสีความน่าเกรงขามแผ่ออกมาเสียจนพริ้มอดทึ่งไม่ได้…ต่างกับแคทโดยสิ้นเชิงเลย
“ให้ฉันเซ็นใบไล่ออกดูท่าจะเหมาะกว่านะคะ”
“คือผมยังไม่ได้พิจารณาโทษของกุลิสราถึงขั้นนั้นน่ะครับ
ความผิดก็ยังไม่ถึงกรณีโดนไล่ออกด้วย คุณแม่ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ”
“ขืนให้อยู่ต่อก็คงจะก่อเรื่องอีก
ฉันปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นในตอนที่คุณรุจิกรดำรงตำแหน่งอยู่ไม่ได้หรอกค่ะ”
เธอพูดชัดค่อยชัดคำและแฝงไปด้วยความเยือกเย็น
แคทนิ่งเงียบ แต่สายตาที่ใช้มองกลับคุกรุ่นไม่น่าไว้ใจ
ดวงตาคู่นั้นจดจ้องไปยังหญิงผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับเธอไม่วางตา
ก่อนจะรุดเข้าไปกระชากกระดาษ ‘ไล่ออก’ ที่คุณผู้มาใหม่กำลังจะเซ็น แล้วฉีกมันทิ้งเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต่อหน้าต่อตา
“ถ้าแม่ห่วงพ่อขนาดนั้น
กระดาษใบนี้ก็ยิ่งไม่ควรเซ็นสิคะ”
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันเซ็นใบอะไร
แต่ที่ฉันเลือกเซ็นใบนี้…ไม่ใช่เพราะฉันไม่ห่วงพ่อแก
แต่เป็นเพราะฉันไม่ห่วงแกต่างหาก”
“…”
“ถ้ายังอยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย…ก็อย่าใช้สายตาทุเรศ ๆ แบบนี้มองฉันอีก”
เธอยืนยันคำเดิมว่าจะเซ็นใบไล่ออกแทนใบขอลาออก
ไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมของผู้อำนวยการที่พูดปากเปียกปากแฉะขอให้เธอลองกลับไปคิดดูใหม่
แต่เธออยากให้รายละเอียดของเรื่องราวเป็นตัวสอนคนทุกคนบนโลกใบนี้
ไม่ว่าจะทำผิดยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อยมันก็คือความผิดอยู่ดี
แต่เมื่อไรที่เด็กคนหนึ่งคิดได้และสำนึกถึงสิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไป
เธอก็ขอให้วันวานเหล่านั้นทิ่มแทงจนลุกเดินไปไหนไม่ได้อีก
พริ้มมองตามร่างของแคทที่ถูกลากออกนอกประตูบานใหญ่
ไม่มีแม้แต่คำขอโทษจากใครก็ตามที่ทำให้คดีนี้จบลง
เหยื่อทั้งหกคนในห้องนี้ถอนหายใจโล่งอก
เมื่อฝันร้ายที่พวกเขาพานพบได้หายไปหลังจากที่ลืมตาตื่น ไม่มีเท็ดดี้…ไม่มีแคท…ไม่มีความหวาดกลัว
…ไม่มีรอยแผลอีกต่อไป
พริ้มไม่รู้ว่าเรื่องนี้…มันควรจบลงแบบนี้หรือเปล่า แต่การที่เขาจินตนาการว่า
ตัวเขาจะได้หายใจในห้องหกทับสี่ โดยที่ไม่มีแคทแกล้ง หรือเท็ดดี้รังควาน …แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว พริ้มโล่งใจที่จบเรื่องนี้โดยไม่ต้องบอกให้แม่รู้
เขาไม่มีความคิดที่จะบอกแม่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถึงเขาจะต้องทนอยู่แบบนี้ต่อไปจนกว่าจะจบมอหก
เขาก็สัญญากับตัวเองว่าแม่จะต้องไม่รู้เรื่องนี้…
เขาเชื่อว่าการตัดสินใจของผู้ใหญ่สองคนจะไม่ผิดพลาด
และถ้าหากผิดพลาด…มันก็เป็นเพราะพริ้มไม่ใช่ใครอื่น
ผ.อ.เก็บกระดาษที่วางกองอยู่บนโต๊ะด้วยสีหน้าผ่อนคลายครึ่ง
ๆ กลาง ๆ วันนี้ทั้งวันหนักหนาที่สุดเท่าที่เคยนั่งเก้าอี้ตัวนี้มา หลาย ๆ
ครั้งที่เขาได้รับหน้าที่ให้ตัดสินโทษหรือเกลี้ยกล่อม จำนวนครั้งเหล่านั้นรวมกันยังไม่สาหัสเท่าครั้งนี้
แต่ข้างในก็รู้สึกโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นกัน
เขาทราบคดีของเด็กสาวที่ชื่อ
กุลิสรา ได้เป็นอย่างดี พ่อของเธอเป็นผู้มีอิทธิพลในละแวกนี้
ส่วนแม่ของเธอก็ไม่ต่างกัน เราต่างเกื้อหนุนอะไรหลาย ๆ อย่าง
ด้วยคำว่าอำนาจและบารมี เขาลำบากใจทุกครั้งที่ต้องได้ยินคดีที่มาจากกุลิสรา …และเพราะเขาเลือกที่จะเมินเฉย คนที่ต้องเจ็บเลยมีมากกว่าหนึ่งคน
“ครูขอชื่นชมความกล้าหาญของพวกเธอที่หาหลักฐานมาแน่นหนาขนาดนี้”
“ผมก็ต้องขอบคุณผ.อ.เหมือนกันครับ ที่รับฟังและยอมทำตามที่ขอ”
“ขอบใจพวกเธอมากที่มีความกล้าในสิ่งที่ถูกต้อง
มันอาจไม่เพียงพอที่จะชดใช้ แต่ก็ถือว่ามากแล้วกับอนาคต”
เมื่อคดีจบ
พวกเราก็ต้องกลับไปเรียนดังเดิม
โค้ชเดินมาคุยกับครูใหญ่ต่ออีกนิดหน่อยในตอนที่เราไหว้ท่านแล้วทยอยเดินออกไปจากห้อง
เพื่อน ๆ ที่ยี่หวาถือวิสาสะใช้คำว่าเป็นเหยื่อ
เอ่ยขอบคุณคนที่เป็นกระบอกเสียงให้พวกเธอ และผลักดันให้สู้ต่อ รวมถึงคนอื่น ๆ
ที่เข้ามาช่วยด้วยอย่างเต็มที่
“เป็นไงบ้าง
เมื่อกี้เราเห็นแคทโดนแม่ตบหน้าหันเลย”
“ก็ไม่ไง
แค่เด้งสอง”
ซานไหว่ไหล่
คนพวกนี้ไม่ควรลอยหน้าลอยตาอยู่ในโรงเรียนได้นานขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่ที่พวกมันยังทำได้ก็เพราะคนที่โดนไม่กล้าออกมาพูด
ส่วนคนที่อยู่รอบ ๆ ก็เลือกที่จะออกห่างเพราะไม่อยากมีส่วนเอี่ยว
เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่โดนอคติลบครอบงำโดยไม่สนว่าความจริงจะเป็นยังไง
แล้วก็ตัดสินคน ๆ หนึ่งจากสิ่งที่ตัวเองได้ยินมา
มันทำให้ซานเรียนรู้ว่าโลกใบนี้มีสิ่งที่เราต้องเปิดใจให้กว้าง
ถึงจะได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว…มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เขาพูดต่อกันมา
เรื่องของพริ้มทำให้ซานมองคน ๆ หนึ่งผิดมาตลอด และพอได้รู้ความจริงแล้ว …เขาก็ละอายเกินกว่าจะพูดขอโทษออกไป
“เราไม่รู้จะพูดขอบคุณหวายังไงดีเลย”
พริ้มเม้มปาก
เขาไม่รู้จะทำยังไงให้น้ำตาก้อนนี้กลืนกลับไปที่เดิม
“พูดแบบปกติที่ทำก็พอแล้ว”
“แต่ครั้งนี้มัน…หวาช่วยเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงสามเดือนแบบเยอะมาก…มาก ๆ แล้วเรา…”
“งั้นต้องเป็นเพื่อนกันกี่เดือนถึงจะช่วยได้?”
คนตัวเล็กตรงหน้าเริ่มปาดน้ำตาที่กลั้นเอาไว้นานแบบลวก
ๆ สะอึกสะอื้นพลางพูดออกมา แต่เขาฟังไม่รู้เรื่อง
พอเห็นว่าตัวเองพูดไม่ได้ศัพท์ก็ยืนร้องไห้เงียบ ๆ ตรงหน้าเขาไม่เดินหนีไปไหน
ร่างสูงก้มลงมอง ก่อนจะรั้งศีรษะอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ กดใบหน้าหวานลงที่ไหล่
พร้อมกับขยับฝ่ามือที่ท้ายทอยเบา
ๆ
“ขอบคุณนะ…ฮึก…ขอบคุณนะ”
“อืม”
“…”
“ทำได้ดีมาก”
#พริ้มเพียงหวา
อยากกลับไปแต่งเสร็จไว ๆ เหมือนเมื่อก่อนจัง แต่งวันเว้นวันในตอนนั้นได้ยังไง ตัวเองในตอนนี้ยังรู้สึกอึ้งไม่หาย แต่สำหรับเรื่องนี้ เราแต่งยาวกว่าเรื่องเก่า ๆ เยอะมากเลย ตอนนึงใช้เวลาสองวันเป็นอย่างต่ำเลยค่ะ5555555
ตัวร้ายในคราบนักเรียนคลี่คลายแล้ว เหลืออะไรอีกนะ?
ความคิดเห็น