ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #พริ้มเพียงหวา | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #20 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๑๙

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 25.19K
      2.81K
      29 ม.ค. 62





    19

     



    เรื่องที่แคทย้ายออกกลายเป็นข่าวใหญ่ หัวข้อข่าวไม่ได้พาดชื่อเจาะจง แต่คนในโรงเรียนก็รู้อยู่ดีว่าเป็นเธอ การเป็นลูกนักการเมืองที่พ่อกำลังดำรงตำแหน่งอยู่ กลายเป็นหลุมบ่อใหญ่ที่ต่อให้ตะเกียดตะกายหลบหนีแค่ไหนก็ทำได้แค่สบสายตากับคนด้านบน มันคือบทเรียนครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอเป็นบทสุดท้ายของการกระทำเลวร้ายกับคนอื่น และต่อให้เธอจะมีชีวิตที่ดีพอจะเริ่มต้นใหม่ ความทรงจำพวกนั้นจะย้อนกลับมารังควานเหมือนที่เธอเคยก่อ

     

    ส่วนเท็ดดี้ หลังจากโดนไล่ออกก็แวะเวียนมาทำเรื่องที่โรงเรียนอยู่ตลอดทั้งสัปดาห์ หมอนั่นเข้ามาอาละวาดใส่เพื่อนกลุ่มเดียวกัน คล้ายกับว่าจะให้รับโทษตามที่ได้บอกผู้อำนวยการโรงเรียนในวันนั้น แต่สิ่งที่เท็ดดี้ได้รับคือแววตานิ่งเฉยราวกับคนไม่รู้จัก ไม่มีใครยอมรับว่าร่วมมือด้วย แต่ก็นั่นแหละผ้าบอกเอาไว้ว่าคนตอแหลต่อให้เอาหมามาดูก็ยังเห่าเสียงแตก ยี่หวาออกตัวเป็นพยานเห็นเหตุการณ์ในวันงานโอเบง เล่ารายละเอียดไม่ตกหล่นอย่างกับอยู่กับพริ้มตั้งแต่เริ่มต้น อีกทั้งยังไปขอดูกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่แถวนั้น และเห็นว่าพวกของเท็ดดี้วิ่งหน้าตั้งกันออกมาในสภาพสะบักสะบอม หลักฐานแน่นขนาดนี้ ดูท่าจะหลุดยาก

     

    หมายถึงหลุดจากยี่หวาน่ะนะ

     

    พริ้มเดินไปที่โต๊ะประจำของพวกยี่หวา ทุกคนคุยกันสนุกสนานเหมือนเดิมเสมอ…ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหน ชมรมวอลเล่ย์บอลเหมือนยาใจ หรืออะไรสักอย่างที่เอาไว้ชาร์ตพลัง พอเห็นว่าใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใหม่ คนอื่น ๆ ก็หันมาทักทาย พร้อมกับทำหน้าทำตาแปลกใจทันทีที่เห็นพริ้ม

     

    “อ…อะไรหรอ?”

    “หน้ามึงดูสดใสขึ้นมั้ย แต่กูว่าใช่นะ” ผ้าจับคางพริ้มก่อนจะโยกไปมา

     

    …อาจจะพริ้มหายใจสะดวกขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสะใจที่แคทหรือเท็ดดี้โดนแบบนั้น สักวันพวกเขาก็จะต้องได้รับผลกรรมที่เคยได้ก่อ ไม่ว่าจะด้วยข่าวใหญ่โต หรือการหมดอนาคต มันจะเป็นบทเรียนที่จะสั่งสอนให้เราทุกคนเปลี่ยนตัวเอง เขาไม่ได้ให้อภัยคนที่ทำร้ายเขา…ไม่เคยให้เลยสักครั้ง แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าการแก้แค้นกลับมันคือการให้อภัย พริ้มมีชีวิตที่ต้องใช้ เขาคงไม่เอาเวลาที่เหลืออยู่ไปทำอะไรที่มันเสียเวลาแบบนั้น

     

    “ก็ปกตินะ”

     

    พริ้มยิ้มให้ และนั่นก็ยิ่งทำให้ผ้ากับคนอื่น ๆ ตกใจเข้าไปใหญ่

     

    “มึงยิ้ม?”

    “ยิ้มจริง ๆ กูก็เห็น”

    “พริ้มยิ้ม?”

     

    ผ้า จอมทัพ และเทคพูดต่อกันด้วยสีหน้าตื่นเต้น คนตัวเล็กเกาหลังหูแก้เขินเบา ๆ เมื่อเข้าใจสิ่งที่คนอื่นตกใจ พริ้มเองก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าล่าสุดที่ตัวเองยิ้มมันคือตอนไหน แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาร้องไห้ต่อหน้ายี่หวาด้วย น่าขายหน้าสุด ๆ เลยไม่ใช่หรอ แถมยังไปซบอกอีก อกคนที่ชอบเลยนะ ทำไมถึงได้อ่อนแอมาก ๆ เวลาอยู่ต่อหน้าหวาด้วยก็ไม่รู้

     

    “เรายิ้มออกจะบ่อย”

    “ไม่จริงอ่ะ ปกติหน้ามึงอย่างกะแมวหิวนม”

    “แสดงว่าผ้าเป็นคนป้อนนมหรือเปล่า ถึงรู้ว่าหน้าแมวหิวนมเป็นยังไง”

    “อ้าวไอ้นี่ เถียงยาวขึ้นกว่าเดิมหรอห๊ะ!

     

    พริ้มหลบมือผ้าพลางหัวเราะร่า ยามเช้าที่อ้าปากส่งเสียงได้อย่างเต็มที่ไม่คุ้นชินเท่าไร แต่เขาว่ามันก็โอเคดี พริ้มหย่อนตัวลงนั่งข้างผ้าที่ซานขยับให้ เทคที่มองอยู่ลอบยิ้มเมื่อเห็นว่าลูกแมวที่พวกเขาเลี้ยงไว้เริ่มมีอาการซ่าขึ้นมาบ้างแล้ว จริง ๆ เทคเองก็รู้ว่าพริ้มเป็นคนที่ขี้เล่นพอตัว ดูได้จากการหยอกเล่นกับผ้า คำแต่ละคำก็เรียกว่ากวนใช้ได้ แต่ด้วยสถานการณ์ที่ทำให้พริ้มต้องปิดกั้น เลยทำให้ลืมวิธีการมีความสุขไปอยู่หลายปี

     

    “ก็จริงอย่างที่ไอ้ผ้ามันพูดนะ กูเองก็ไม่เคยเห็นมึงยิ้มหรือหัวเราะแบบเมื่อกี้เลย” มุกว่าพลางหมุนขวดน้ำเล่น

    “นั่นสิ จะว่าไปก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเห็นพริ้มยิ้มตอนไหนบ้าง” เทคทำท่าครุ่นคิด

    “ยิ้มได้ก็ดีแล้ว เป็นไงบ้างไอ้หวา ผลงานมาสเตอร์พีซของมึง?”

     

    อยู่ ๆ จอมทัพก็โบ้ยไปทางยี่หวา ร่างสูงนั่งเยื้องพริ้มในฝั่งตรงข้ามไปแค่คนเดียวเท่านั้น ด้วยระยะที่ใกล้กัน สายตาของพริ้มเลยชอบหลุดโฟกัสไปทางนั้นบ่อย ๆ กัปตันทีมหน้านิ่งขยับตัวนิดหน่อยเมื่อโดนถาม ไม่ได้ตอบออกมาทันที เพราะเอาแต่สังเกตปฏิกิริยาของคนที่โดนกล่าวถึงอยู่เงียบ ๆ ด้วยสายตาเรียบเฉย เขาเห็นลูกตาเล็กขยับหลุกหลิก มองโต๊ะ มองมือ แต่ไม่ยอมมองเขาตรง ๆ สักที

     

    สดใสดี”

     

    เพียงคำพูดเดียวที่ไม่มีความสมบูรณ์ของประโยค…ใจทั้งใจของพริ้มก็กระตุกอย่างแรง เสียงพูดคุยของเพื่อนคนอื่น ๆ ต่อจากนั้นไม่เข้าโสตประสาทของพริ้มเลยสักคำ เขาเอาแต่ปล่อยให้ตัวเองล่องลอยกับคำว่า ‘สดใสดี’ ของยี่หวานานหลายนาที ก่อนจะถูกผ้าเรียกให้ออกจากภวังค์

     

    “พริ้มหน้าแดง”

    “จจริงหรอ”

    “จริง”

     

    ผ้ากระซิบบอก ดีที่ทุกคนไม่ได้ใส่ใจเขาแล้ว เลยไม่มีใครเห็นว่าพริ้มหน้าแดงอย่างที่ผ้าว่าจริง ๆ คนตัวเล็กก้มหน้างุดกว่าเดิม ก่อนจะเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้า เมื่อคำว่า สดใสดียังคงเล่นซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในเพลย์ลิสต์โปรด และต่อให้กดปุ่มหยุดเล่นหลาย ๆ ครั้งมากแค่ไหน มันก็ยังลูปเสียงทุ้มนั่นซ้ำ ๆ ราวกับเครื่องได้พังไปเสียแล้ว

     

    “เฮ้อ กูแม่ง คิดถึงปูส้มว่ะ”

     

    ผ้าโพล่งออกมาก่อนจะไหลไปซบไหล่ของพริ้มเล่น คนที่รู้ว่าไส้ในคือใครต่างเลิกลัก มองตากันไปมา เพราะไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ไอ้ผ้ามันพูดขึ้นมาหมายความว่าอะไร และมันพูดทำไม แต่คนที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่จอมทัพหรือซาน เป็นพริ้มต่างหากที่ตอนนี้นิ่งงันไปเรียบร้อยแล้ว เพื่อนตัวเล็กส่งสายตาขอความช่วยเหลือ ให้ใครก็ได้พูดต่อผ้าที

     

    “เออ ๆ จริง กูยังแกล้งไม่สุดเลย”

    “ตอนคืนชุดก็ไม่เห็นด้วยว่าใครเป็นไส้ใน มึงว่ามีคนอยู่ข้างในนั้นจริงหรอวะ”

    “มันก็ต้องมีดิ ไม่งั้นมันจะไปเสิร์ฟ ไปเต้นได้ไงล่ะ”

    “ก็จริง ตอนแรกกูนึกว่าหุ่นยนต์ ตกลงเป็นคนจริง ๆ หรอวะไอ้หวา?”

     

    แจ็กพอตตกไปที่กัปตันทีมอย่างช่วยไม่ได้ และทุกคนก็ไม่คิดจะช่วย แต่อย่างยี่หวาคงรับมือได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว การไม่ตอบของมันก็ถือเป็นคำตอบเหมือนกัน ถ้าถามแล้วมันไม่ตอบก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ยกเว้นเวลาถามหาเหตุผล ถ้าถามแล้วไอ้หวาให้ไม่ได้ แสดงว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ ซึ่งกรณีนี้น้อยมาก ๆ ที่จะเจอ เท่าที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องของพริ้มทั้งนั้น

     

    “มึงรู้นี่ว่าข้างในคือใคร บอกได้ปะวะ ไหน ๆ สัญญาก็หมดไปแล้ว”

    “จะอยากรู้ไปทำไม”

    “ผู้หญิงหรือผู้ชาย?”

    “ผู้ชาย”

    “หน้าตาเป็นไง?”

     

    ยี่หวาเว้นคำไว้ ก่อนจะตอบออกมาพร้อมสายตาที่มองไปยังไส้ในตัวจริง

     

    “เหมือนแมว”

     

    ไม่เหมือนสักหน่อย

     

    “จริงปะ ไอ้เชี่ย! กูลงห้าบาท ไส้ในคือหุ่นยนต์แมว!

    “ปัญญาอ่อนไอ้สัส” ซานตบหัวเพื่อนสมองทึบที่เขาใบ้ขนาดนี้ยังไม่รู้อีกว่าเป็นเพื่อนที่ตัวเองไถหัวซบเล่น ส่ายหน้าเหนื่อยอ่อนให้กับสติปัญญาเท่าฝุ่นพีเอ็มสองจุดห้า ถ้ามีเล็กกว่านี้กูก็จะเก็บไว้เปรียบให้มึงโดยเฉพาะ

     

    “ตอนเย็นเจอกันที่ยิมนะพริ้ม”

    “อื้อ ๆ เจอกันนะ”

    “ตอนนายไม่อยู่ ผ้าล้นเครื่องเลย”

     

    ช่วงที่ยุ่ง ๆ กับการเตรียมแผน เทคเป็นคนรับผิดชอบซักผ้าแทนพริ้มที่โดนสั่งงดเข้าชมรม เพราะยี่หวาไม่อยากให้กลับบ้านเย็น ด้วยความที่ประสบการณ์ในการรับผิดชอบกับหน้าที่นี้น้อยนิดนัก เขานึกว่าผ้าต่อวันมันจะไม่เยอะ เลยกะซักทีเดียวปลายสัปดาห์ แต่กลายเป็นว่าเทคคาดการณ์ผิด ในวันที่ต้องซัก ผ้ากลับล้นเครื่องจนต้องซักถึงสองครั้ง ซักเสร็จแล้วก็ขี้เกียจตาก สุดท้ายเลยต้องเรียกรุ่นน้องเข้ามาช่วยกันทำ ตอนที่เอาเสื้อใส่ไม้แขวนก็ได้แต่นึกไปถึงพริ้มที่รับผิดชอบหน้าที่ตรงนี้ได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่อง ตลอดระยะเวลาหลายเดือน เขามีเสื้อใส่ทุกวัน ไม่เหมือนกับอาทิตย์ก่อนที่ต้องริบเอาเสื้อไอ้หวามาใส่ไปพลาง ๆ

     

    พริ้มได้กลายเป็นส่วนหนึ่งโดยที่พวกเขาไม่ทันได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

     

    “จริงหรอ แล้วยังมีเสื้อใส่กันอยู่มั้ย?”

    “ไอ้จอมมันเอาเสื้อกูไปใส่สองตัวแล้ว อีกตัวอยู่ที่ใครอย่าให้กูรู้” ซานจ้องเขม่น

    “อยู่ที่กูเอง ฮ่า ๆ มึงเสือกมีเสื้อซ้อมเยอะเองนี่หว่า”

    “ไอ้เหี้ยมุก เอาไปไม่บอกกู”

     

    พริ้มมองซานตีกับมุกอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่ผ้าพูดข้าง ๆ หูจนทำให้อีกฝ่ายงอนใส่ เขย่าแขนเพื่อนตาโตเบา ๆ ให้หันมามองกัน แต่ผ้าก็เอาแต่กอดอกไว้แน่น และหันไปอีกทางพลางลอบยิ้มหวาน ปลากินเบ็ดทุกทีสิน่า พริ้มไม่เคยเข็ดเลยจริง ๆ เวลาโดนผ้าแกล้งงอนใส่ พอโดนเขย่าถี่เข้าหน่อยก็หลุดขำออกมาเสียงดัง พริ้มที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองโดนแกล้งอีกแล้วก็ได้แต่บึนปาก กอดอกใส่ผ้า วางท่าขึงขังแต่ไม่น่ากลัวเลยสักนิดเดียว

     

    พริ้มจะรู้ตัวมั้ยว่ายิ่งทำท่าแบบนี้ เขายิ่งชอบใจกันนะ

     

    “ผ้าแกล้งเราอีกละนะ แล้วถ้าผ้าโกรธขึ้นมาจริง ๆ เราจะรู้ได้ยังไง”

    “โอ๋ ๆ เบะแล้ว ๆ”

    “มึงชอบแกล้งพริ้มจังวะ มันทำให้พวกกูอยากแหย่ตามด้วยนะโว๊ย!! เบะเลย! เบะเลย!

     

    จอมทัพชูมือตามจังหวะงานแต่งที่พวกตัวประกอบจะชอบตะโกนเชียร์ให้คู่บ่าวสาวเขาจูบกัน พริ้มค้อนใส่ แต่สำหรับคนโดนกลับเห็นเป็นค้อนจิ๋วหลิว ใช้นิ้วเขี่ยแก้มขาวที่มีสีแดงระเรื่อปนนิด ๆ เล่นเบา ๆ ไม่มีความเกรงกลัวกับค้อนของพริ้มเลยสักนิด และสักคนเดียวด้วย

     

    “อย่ามายุ่งกับแก้มเรา”

    “มีหวง ๆ เฮ้ยไอ้ซาน ขอกำลังเสริม!

    “จัดไปดิวะ!

     

    พริ้มเห็นซานลุก ตัวเองก็ลุกตาม หอบกระเป๋าวิ่งหนีวนรอบโต๊ะ ไม่งั้นเขาโดนจั๊กจี้ที่เอวแน่ ๆ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่เขารู้สึกว่าซานเปิดใจให้ ทั้งพูดคุย ทั้งถามความรู้สึกต่าง ๆ เขาอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้ แต่พริ้มรู้สึกว่าบรรยากาศของเราดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก

     

    ในจังหวะที่เขาต้องวิ่งผ่านหลังของยี่หวาหนีผ้าที่วิ่งตามมาติด ๆ แขนเล็กก็โดนมือใครสักคนรั้งเอาไว้ และทำให้พริ้มติดแหง่กอยู่ตรงนั้น เขาสะบัดเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเป็นมือของยี่หวาที่จับเข้าที่ข้อมือ พริ้มคิ้วตก ตะปบเข้าที่มือของร่างสูงเพราะไม่รู้จะทำยังไงให้อีกฝ่ายปล่อยข้อมือเขา จนในที่สุดผ้าก็เข้ามารัดตัวพริ้มทัน โดยที่มีมือของยี่หวารั้งไว้อยู่

     

    “จับได้แล้วแมวน้อย!

    “อื้ออย่ากอดแน่นสิ”

    “โดนแน่ ไอ้จอม ไอ้ซาน จัดการช็อตไฟฟ้า”

    “อย่าจี้เรา!

     

    จะหนีไปได้ยังไงล่ะถ้ามือของยี่หวาจะจับเขาไว้แน่นขนาดนี้ พริ้มโดนจี้รอบทิศทาง กลั้นเสียงขำเอาไว้ไม่ไหวจนต้องระเบิดหัวเราะ น้ำตาเล็ดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ มืออีกข้างก็ปัดป่ายคนขี้แกล้งสลับกับแงะมือใครบางคนที่กุมอยู่ไม่ยอมปล่อย

     

    นั่งอยู่เฉย ๆ มาตั้งนาน ก็นึกว่าจะไม่เลือกฝั่ง

     

    เพื่อนคนอื่น ๆ มองมาทางสามเกลอที่ชอบแกล้งพริ้มต่างก็อมยิ้มออกมา ไม่มีใครรู้เลยว่าใบหน้าขาวจะมีรอยยิ้มที่สวยขนาดนี้ พวกเขามักจะเห็นพริ้มทำหน้านิ่ง ไม่ก็ทำหน้าหนักใจเสมอ…และตลอดเวลา บ่อยครั้งที่เวลาคุยกัน เจ้าตัวมักจะก้มหน้า แต่ใบหน้าของพริ้มที่มีรอยยิ้มทำเอาทุกคนสบายใจแทนอย่างบอกไม่ถูก

     

    การทำเพื่อใครสักคนแล้วได้รอยยิ้มตอบกลับมา

    มันก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยนะ…

     





























     

    มนุษย์มีร้อยกลุ่มพันนิสัยแสนบุคลิกและล้านความคิด

    และนั่นเป็นปัจจัยที่ทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไป

     

    เพื่อนบางกลุ่มที่ไม่ได้มีปัญหากับเขาเริ่มเข้ามาคุยกับพริ้มมากขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่แคทหรือเท็ดดี้ก็จะระรานจนทุกคนไม่กล้าคุยกับเขาอีก พริ้มเหมือนได้ชีวิตตอนมอสี่กลับคืนมาอีกครั้ง แต่ก็ใช่ว่าจะดีไปซะทีเดียว เพื่อนผู้หญิงบางกลุ่มและเพื่อนกลุ่มเดียวกับเท็ดดี้ยังคงไม่ชอบพริ้ม และพริ้มเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากใช้ชีวิตให้ดี ๆ

     

    แต่ก็ใช่ว่าพริ้มอยากจะได้เพื่อนสนิทสักคนในห้องนี้หรอกนะ เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมันสอนให้เขาเข้าใจคำว่า เพื่อนอย่างที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน มันไม่ใช่ว่าการเดินไปกินข้าวพร้อมกันแล้วจะหมายถึงเพื่อน แต่มันมากกว่านั้น และคนที่สอนให้เขาเข้าใจคำนั้นก็คือชมรมวอลเล่ย์บอล

     

    แต่พริ้มเข้าใจ เขาไม่โกรธคนพวกนี้หรอก

     

    พริ้ม”

     

    เพื่อนในห้องคนหนึ่งที่เราไม่ค่อยได้คุยกัน เธอมักจะนั่งหน้าห้อง ใส่แว่น และเป็นเด็กหัวดี ชื่อของเธอคือเอื้อน เพื่อนทำงานเพียงกลุ่มเดียวที่ถามพริ้มเสมอว่าจะอยู่กลุ่มด้วยกันมั้ย แต่เธอเป็นเด็กหัวอ่อน ไม่กล้าเข้ามายุ่งอะไรกับพริ้มมากมาย งานที่ให้ทำก็แบ่งเรียบร้อยจนไม่จำเป็นที่จะต้องคุยอะไรกันเยอะแยะ อาจจะเพราะพริ้มเองก็เว้นระยะห่างกับเธอพอสมควร เขาไม่อยากให้ใครก็ตามที่ดีกับเขาต้องเจ็บตัว

     

    “ว่าไง”

    “เมื่อวันที่พริ้มไปห้องปกครองมีรายงานที่ต้องทำส่งอาทิตย์หน้าน่ะ”

    “อ่างั้นหรองั้นเราขอ

    “เราจดไว้ให้พริ้มแล้ว”

     

    เอื้อนพูดเสียงค่อย เธอหยิบเอากระดาษเล็ก ๆ ที่คาดว่าน่าจะฉีกออกมาจากสมุดจดบันทึกยื่นมาให้ เป็นงานต่าง ๆ ที่พริ้มไม่ได้อยู่ฟังเพราะต้องไปที่ห้องนั้น คนตัวเล็กรับมาด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่ นานแล้วที่ไม่มีใครทำแบบนี้ให้ และเขาเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมี

     

    “ขอบคุณมากเลยนะ”

    “อื้มส่วนเรื่องเวร เราน่าจะไปช่วยพริ้มทำได้แล้ว”

    “ขอบคุณทำให้มาตลอด”

     

    ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาทั้งจากเธอและจากเขา เราต่างก็ยิ้มให้กันบางเบา เพราะเราเข้าใจความหมายของคำพูดพวกนี้ดี นิสัยแคทเหมือนกับเด็ก เธอลั่นวาจาขู่เพื่อนทั้งห้องว่าถ้าใครมาช่วยพริ้มทำเวร เธอจะเล่นให้ไม่อยากมาโรงเรียนอีกต่อไป เพื่อนที่ไม่แคร์อะไรอยู่แล้วก็สบายไปสิ มีคนคอยทำเวรให้สบายจะตาย แต่เอื้อนไม่ใช่ หลังจากวันนั้นเธอก็มาช่วยเขาทำ แต่พอแคทรู้ เอื้อนก็โดนแคทแกล้งจนไม่กล้ามาช่วยเขาอีกเลย

     

    เป็นการเลิกเรียนที่ไม่ต้องเสียวสันหลังว่าตัวเองจะโดนแกล้งจากทางไหนอีกแล้ว แถมยังไม่ต้องอยู่ทำเวรที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองคนเดียวอีกด้วย สถานการณ์ใหม่ ๆ มักให้ความรู้สึกใหม่ ๆ จนพริ้มตามไม่ทัน แต่ก็พอปรับตัวได้ แม้จะยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้

     

    ในจังหวะที่เขากำลังเดินออกทางประตูหลัง หางตาก็เหลือบไปเห็นจอมทัพยืนพิงขอบระเบียงอยู่หน้าห้อง พริ้มเดินเข้าไปหาร่างสูงที่กำลังอยู่ในท่าเล่นเกมในมือถืออย่างเมามัน สะกิดเรียกเบา ๆ ที่นิ้วโป้ง จากที่กดรัว ๆ แทบไม่พักหายใจ นิ้วข้างนั้นก็หยุดชะงัก พลางเจ้าของโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นมอง

     

    “อ้าว เลิกแล้วหรอ” ว่าไว้แค่นั้นก่อนจะก้มหน้าเล่นต่อ

    “อืม รอใครอยู่หรอ”

    “รอมึงอ่ะแหละ เดี๋ยวเดินไปยิมพร้อมกัน”

     

    รอพริ้ม?

     

    “แล้วคนอื่น ๆ ไปไหนหรอ”

     

    พริ้มเดินไปดูที่ห้องข้าง ๆ ไม่เห็นใครอยู่ในห้องแล้ว สงสัยจะเพิ่งเลิกก่อนพริ้มไปไม่กี่นาที เขายืนพิงข้างกันกับจอมทัพที่เล่นเกมเอาเป็นเอาตายด้วยสีหน้าสะใจ เจ้าตัวตอบเขาในตอนที่นึกขึ้นได้ว่าโดนถาม ว่าคนอื่น ๆ เดินลงไปไม่รอในตอนที่จอมทัพไปเข้าห้องน้ำ กลับมาอีกทีก็ไม่มีใครอยู่แล้ว แล้วพอดีเห็นห้องพริ้มกำลังจะเลิก ก็เลยรอจะได้เดินไปยิมพร้อมกัน

     

    “กูเล่นเสร็จละ ไปกันเถอะ”

     

    พริ้มเดินตามจอมทัพมาจนถึงโรงยิมก่อนจะแยกกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง เขาแวบเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องล็อกเกอร์ ถึงผ้าจะบอกว่าให้เอามาวางไว้ในห้องพักนักกีฬาก็ได้ แต่พริ้มก็ไม่กล้าถือตนเหนือใครอยู่ดี

     

    พอได้กลับมาใช้ชีวิตในชมรมวอลเล่ย์บอลตามปกติก็รู้สึกไม่แน่ใจ เรื่องมาสคอตก็จบไปแล้ว เขาไม่ต้องซ้อมกับขมหรือยี่หวาอีกต่อไป แต่พริ้มก็เลือกที่จะอยู่ต่อ โดยที่ตัวเองไม่ได้คิดจะจริงจังกับการเป็นนักกีฬาเหมือนอย่างคนอื่น ๆ

     

    เขาอยู่เพราะอยากเห็นหน้ายี่หวา ใช้ตำแหน่งซักผ้าเป็นข้ออ้างในการเดินเข้ามาที่นี่ มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเห็นแก่ตัว

     

    พริ้มเดินผ่านความครื้นเครงกลางสนามซ้อม จอมทัพกับซานคงชวนคนในชมรมเล่นเกมอะไรสักอย่างแน่เลย เขาค่อย ๆ เปิดประตูกระจกช้า ๆ เพราะเห็นรองเท้าคุ้นตาคู่หนึ่งถอดวางไว้อยู่หน้าห้อง ไม่มีใครอยู่ในนั้นยกเว้นเจ้าของรองเท้าที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่เงียบ ๆ ที่เดิมคนเดียว

     

    “หวัดดี”

    หวัดดี”

     

    อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยคำเดียวกัน แต่แรงกระทำต่างกันมาก พริ้มเดินดุ่ม ๆ เข้าไปข้างในห้องซักผ้า ผ่านด้านหลังของยี่หวาที่แอบเห็นว่าบนตักมีแมวตัวหนึ่งนอนซบอยู่ นึกอิจฉาความอ่อนโยนที่มีแต่คุณกะรัตที่รู้ ชาตินี้แกเกิดมาคุ้มแล้วแหละ ถึงจะเคยเป็นแมวเศรษฐี แต่ตอนนี้ชีวิตดีกว่าเยอะเลย

     

    “ว้าว

     

    เผลออุทานยามเห็นเสื้อหลายสิบตัวพาดอยู่เต็มขอบเครื่องซักผ้า พริ้มปัดผ้าพวกนั้นให้เข้าไปในเครื่อง ดีที่มันไม่ล้นออกมาจนต้องแบ่งซักอีกรอบ ราวตากผ้าที่มีแต่ไม้แขวนเปล่า ๆ ขยับเล็กน้อยไปตามแรงลมจากตัวเขา เปิดเอาช่องใส่น้ำยาออกมา แต่กลับไม่มีน้ำยาเลยสักถุง

     

    เขาจำได้ว่าของสำรองอยู่ในตู้ด้านบน จำได้ดีด้วยตอนที่ยี่หวาหยิบให้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ใส่เสื้อ พริ้มเขย่งเท้าเปิดตู้ข้างบนหัวที่ดูจะสูงเกินตัวพริ้มไปมากเสียหน่อย ข้างในมืดมาก เหมือนไม่มีอะไรอยู่ในนั้น แต่ใจหนึ่งก็คิดว่ามันน่าจะมี แต่อยู่ลึกเข้าไปข้างใน

     

    มือเล็ก ๆ ตะปบพลางควานหา ด้วยความที่มันสูงมาก เลยทำให้พริ้มต้องแวะพักหายใจก่อนจะเริ่มเอื้อมแขนไปตะปบใหม่ วินาทีสุดท้ายที่กำลังจะท้อแท้แล้วเดินออกไปบอกยี่หวาว่าน้ำยาหมด ปลายนิ้วของเขาก็สัมผัสเข้ากับอะไรสาก ๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นถุงน้ำยาปรับผ้านุ่มแน่ ๆ

     

    “ฮึ้บ!

    “วันนี้จะถึงมั้ย”

    !!!

     

    พริ้มสะดุ้งโหยง เสียวสันหลังวูบวาบเมื่อเสียงยี่หวาลอยมาจากทางด้านหลัง ร่างสูงเปิดประตูเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร แถมยังกอดอกพิงขอบประตู ทีท่าเหมือนอยู่แบบนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว ยี่หวายักคิ้วเป็นเชิงถามอีกครั้งเมื่อพริ้มไม่เปิดปาก คนตัวเล็กตั้งใจว่าจะไม่ขอความช่วยเหลือ เขาอยากทำเท่าที่ทำได้ก่อน และเหมือนยี่หวาจะรู้ ร่างสูงถึงได้รอจนกว่าเขาจะเอ่ยปากเอง

     

    “เอ่อเราหยิบไม่ถึง”

    “อืม เห็นอยู่”

    “หวาช่วยหน่อยได้มั้ย”

     

    ยังไม่ทันจะพูดจบดี ร่างสูงก็เดินเข้ามาใกล้ ไม่ทันให้พริ้มถอยออกไปเสียก่อน หน้าอกที่อยู่ภายใต้เสื้อซ้อมสีดำชนเข้ากับปลายจมูกของเด็กน้อยที่ไปไม่เป็น ยี่หวาแค่เอื้อมมือขึ้นไปก็แทบจะทะลุกำแพงห้องแล้ว ไม่ต้องเขย่งเหมือนเขาเลยด้วยซ้ำ แล้วจู่ ๆ ก็ไม่มีใครขยับยี่หวานิ่งงันในระยะห่างที่เหลือไม่กี่เซ็นกับพริ้มที่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

     

    เพราะกลิ่นหอมของยี่หวามีสรรพคุณทำให้หน้าแดง

     

    “แบมือสิ”

    “หือ?”

    “สองข้าง”

     

    พริ้มยกมือขึ้นมาช้า ๆ แบมือออกตามที่หวาสั่ง น้ำยาถุงนั้นวางแหมะลงเบา ๆ ที่ฝ่ามือเล็กทั้งสองข้าง ก่อนที่หวาจะผละออกไป

     

    “บอกแล้วไงว่าถ้าหมดให้บอกฉัน”

    “ถ้าเราตัวสูง เราก็อยากหยิบเอง”

    “ร้อยแปดสิบเมื่อไรค่อยพูดคำนี้”

     

    ร่างสูงลอบยิ้มเมื่ออีกฝ่ายงอปาก พริ้มหันไปจัดการงานตัวเองต่อ โดยมียี่หวายืนมองอยู่เงียบ ๆ ปกติพวกเราจะเอาผ้าที่ซักแล้วตากในนี้ เพราะขี้เกียจเดินออกไปตากข้างนอก หลายครั้งมันเหม็นอับ แต่ไม่มีใครสนเพราะยังไงเราก็ต้องเปียกเหงื่อกันอยู่ดี แต่พริ้มไม่ คนตัวเล็กจะเอาผ้าที่ซักแล้ว ใส่ไม้แขวนไปตากข้างนอกเสมอ ก็หลังจากที่พริ้มเข้าชมรมมา ก็ไม่มีปรากฏการณ์เสื้อเหม็นอับกันอีกเลย

     

    “ยี่หวาาาาาาาาา!!

     

    เสียงแหลมของใครสักคนดังขึ้นพร้อมเสียงเปิดประตูกระจก เจ้าของชื่อหันไปหาพู่กันที่วิ่งเข้ามาใกล้ เธอมีสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนจะมาชวนไปทำอะไรสักอย่างด้วยกัน แต่พอหันมาเห็นพริ้มที่ยืนเยื้องอยู่ด้านใน รอยยิ้มของเธอก็ค่อย ๆ อ่อนลง

     

    “มีอะไร?”

    “มาชวนไปเล่นลิงชิงบอล ไปมะ”

    “เดี๋ยวตามไป”

    “พริ้มใช่ปะ? เล่นด้วยกันมั้ย”

     

    ทำไมพู่กันถึงย้ำชื่อกับเขาเหมือนเราไม่เคยคุยกันมาก่อน แต่เกินกว่าจะใส่ใจ พริ้มพยักหน้าตอบตกลงแต่ต้องหลังจากตากผ้าเสร็จแล้ว พู่กันเลยได้ตัวยี่หวาที่ตื้อให้ออกไปด้วยกันแค่คนเดียว ความสัมพันธ์ที่ไม่รู้ว่าใครประดิษฐ์ แต่มันทำให้พริ้มนึกย้อนไปถึงตอนนั้นตอนที่พู่กันเล่าให้ฟ่างกับหม่อนฟังว่าเธอไม่ได้เป็นแฟนกับยี่หวา แค่สนิทกันมากคนหนึ่ง และดูจากยี่หวา พริ้มก็คิดว่าสิ่งที่เธอพูดก็ไม่น่าใช่เรื่องโกหก

     

    พริ้มปาดเหงื่อเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกมาใส่รองเท้าไปที่สนามซ้อม เขายังเห็นคนอื่น ๆ เล่นกันอยู่เลย ไม่ซ้อมกันแล้วล่ะมั้ง ผ้าเดินออกจากวงมารับเขา เราสองคนไปแทรกตรงช่องว่างของขอบวงกลมที่มีขมกับเนยนั่งกุมหัวอยู่ ลิงชิงบอลเล่นแบบนี้หรอ?

     

    “มาสักที คนมาใหม่ไปอยู่ตรงกลางเลย”

    “หือ? ไม่ใช่ต้องวิ่งไล่บอลหรอ”

    “เล่นลิงชิงบอลรอมึงก็หอบแดกแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนมาเล่นเจาะไข่แดงกัน เร็ว ๆ ไปนั่งเลย”

     

    พริ้มเออออไปตามซาน เขานั่งยอง ๆ ข้างกันกับขมและเนย เราสามคนนั่งกอดเข่าเอามือกุมหัว และหันหน้าชนกัน เนยกำชับเขาหลายรอบมาก ๆ ว่าให้เอามือกุมหัว กุมหน้า กุมก้นไว้ เพราะพวกมันเล่นแรง และถ้าลูกที่เจ็ดไปอยู่ที่ยี่หวา ก็หาทางหลบเข้าไว้ ไม่งั้นเคล็ดแน่

     

    “รับนะ”

    “ปล่อยหนึ่ง”

    “สอง”

    “สาม”

     

    ในขณะที่นั่งรอให้คนข้างบนโต้ลูกกัน เนยก็อธิบายว่าเจาะไข่แดงเขาเล่นกันยังไง เพราะดูจากหน้าพริ้มแล้วเหมือนจะไม่เข้าใจอะไรเลย กติกาที่ชมรมวอลเล่ย์ใช้ประจำคือจะโต้ลูกกันทั้งหมดเจ็ดลูก ไม่นับคนส่ง พอลูกสุดท้ายคือลูกที่เจ็ด คนที่ได้ลูกนี้จะต้องทำยังไงก็ได้ให้ลูกบอลไม่ตกพื้น แต่ไปกระทบไข่แดง ซึ่งก็คือพวกเขาทั้งสามคนนั่นเอง แต่ถ้าพลาดทำตกพื้น คนที่เป็นไข่แดงก่อนคนแรกจะได้กลับขึ้นข้างบน สลับกับคนที่ทำตกพื้น

     

    “หก ไอ้หวารับ”

     

    เทคส่งสัญญาณให้เพื่อนสนิทที่ง้างมือตบมาแต่ไกล เนยได้แต่หลับตาปี๋ ไม่รู้ว่าท่องพุทโธด้วยหรือเปล่า เสียงตบดังปักพร้อมกับเสียงร้องของเนยโอดครวญดังลั่น ยี่หวาไม่ออมมืออย่างที่ว่าจริง ๆ ด้วย หลังของเนยจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

     

    “ไอ้เหี้ย! กูไปทำอะไรให้มึงวะไอ้หวา”

    “เกม”

    “เออไอ้สัส! อย่าให้มึงมานั่งเป็นไข่แดงบ้างนะ”

     

    ขู่ไปงั้น แต่ไม่เคยเห็นมันลงมานั่งเหมือนพวกเขาบ้างเลย ตบเอา ๆ เสือกโดนทุกลูกด้วยประเด็น แสบหลังชะมัด มือแม่งจะหนักไปไหน

     

    ผ่านไปประมาณสามเกมแล้ว แต่เราสามคนก็ยังนั่งเป็นนักโทษอยู่กลางวงเหมือนเดิม พริ้มโดนผ้าตบเข้าที่หลังคอ ไม่เจ็บมากเท่าไร แต่เล่นเอาหน้าสั่นเลยล่ะ แถมเจ้าตัวยังหัวเราะชอบใจอีกต่างหาก ถ้าเพื่อนชอบพริ้มก็ทนได้ เราสามคนต่างโดนกันคนละลูกคละ ๆ กัน เหลือลูกนี้ที่กำลังจะนับถึงเจ็ด

     

    และหวยออกที่พริ้ม

     

    “โห่ไรวะไอ้หวา”

    “ทีกูนะ ตบอัดซะแรง หลังกูเดาะแล้วมั้ง”

    “เพื่อนกูตัวเล็กนิดเดียว มึงจะให้ตบแรงแค่ไหนวะ”

    “มึงเนี่ยตัวดีเลยไอ้ผ้า”

     

    ลูกสุดท้ายทีไรจะชอบส่งให้ยี่หวาเผด็จศึก แต่ครั้งนี้ที่ทุกคนโวยวาย เป็นเพราะยี่หวาแค่เซ็ตลูกโดนตัวเขาเบา ๆ เท่านั้น ใช้คำว่าสะกิดก็ดูจะแรงไป เรียกว่าแปะน่าจะดีกว่า เนยบ่นใส่ยี่หวาที่ตัวเองโดนลูกตบอัดอย่างแรง แต่พริ้มโดนแค่เบา ๆ ร่างสูงทำหน้านิ่งหูทวนลม เดาะลูกวอลเล่ย์กับพื้น ไม่ฟังเพื่อนคนอื่น ๆ งอแง

     

    “ต่อ ๆ”

     

    คิดยังไงถึงเล่นเจาะไข่แดงด้วยกีฬาที่ตัวเองถนัดกันนะ แล้วดูผู้เล่นแต่ละคนสิ เป็นถึงตัวจริงกับตัวเก็งทั้งนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะเล่นพลาดแล้วบอลตกพื้นเลย ถ้าไม่แกล้งกันเอง เนยชวนเขาเม้าท์เป็นเรื่องที่สี่แล้ว เพราะเราไม่ได้ลุกออกจากวงสักที ส่วนขมก็ได้แต่พยักหน้ารับนั่นนี่ ไม่กล้าคุยกับรุ่นพี่มากมาย

     

    “ห้า”

    “จอม ๆ ส่งลูกสุดท้ายให้เรา”

    “เค รับนะพู่”

     

    พริ้มหลุดโฟกัสกับเกมไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเนยเล่าเรื่องผีให้ฟัง หน้าสิวหน้าขวานยังไง เรื่องผีก็เอฟวี่แวร์จริง ๆ และนั่นแหละที่ทำให้พริ้มโดนลูกตบของพู่กันเข้าเต็ม ๆ ที่เบ้าตาขวา ทั้งแรง ทั้งตกใจ พริ้มล้มตึงลงก้นแตะพื้น และมีอาการมึนหัวนิดหน่อย ก่อนจะเอามือมากุมไว้ที่ตาข้างนั้น

     

    “อ้าวพริ้ม เอาตามารับบอลทำไม” พู่กันกลั้วขำ

    “โดนแรงหรอวะ” ผ้ารีบพุ่งเข้ามาหา

     

    การเล่นที่ต้องมีเจ็บตัวบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ เลยทำให้ไม่มีใครตกใจ แต่ไม่ใช่สำหรับร่างสูงที่ไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่พยุงแขนพริ้มให้ลุกออกจากวงทันที ยี่หวาบอกให้ทุกคนเล่นต่อ ก่อนจะพากันออกมาจากวง ร่างสูงพาพริ้มมาที่ขอบอัฒจันทร์ ผ้าเองก็ตามมาติด ๆ พริ้มกุมตาข้างนั้นไว้แน่น และไม่พูดอะไรสักอย่าง

     

    “ลืมตาได้มั้ย?”

    เรามึน”

     

    ยี่หวาก้มหน้าเข้ามาใกล้ เขาอยากจะดูว่าเป็นอะไรมากมั้ย จะได้รู้ว่าต้องดูแลยังไง แต่พริ้มก็ยังกุมเอาไว้แน่น ทั้งยังก้มหน้างุด ไม่ยอมให้ดูง่าย ๆ หวาเลยตัดสินใจอุ้มพริ้มขึ้นนั่งบนขอบอัฒจันทร์ที่ไม่ได้สูงอะไรมากมาย คนตัวเล็กผวาพลางร้องเสียงหลง จับเข้าที่ไหล่กว้างด้วยความลืมตัว

     

    “ยยี่หวา”

    “เอามือออก”

    “อ๊ะ

    “ขอดูหน่อย”

     

    คนที่ต้านทานยี่หวาได้ไม่น่าจะชื่อพริ้ม พอโดนเสียงทุ้มกดต่ำเข้าหน่อยก็ค่อย ๆ เอามือที่กุมไว้ออก ตาข้างขวาเขายังหลับอยู่ และมันเลอะไปด้วยน้ำตา เขาไม่ได้เจ็บมากมายถึงขนาดร้องไห้ แต่น้ำตามันไหลออกมาเอง

     

    แทบหยุดหายใจเมื่อนิ้วโป้งหนาปาดเข้าเบา ๆ ที่ใต้ดวงตา และกดปาดย้ำให้อีกครั้ง จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีน้ำตาถึงเปลี่ยนไปประคองแก้มเขาแทน จากที่มึนหัวอยู่ก็คับคล้ายคับคลาว่าจะเป็นลมพ่วงเข้ามาอีก สัมผัสอ่อนโยนที่ไม่รู้ว่าเหมือนกับที่คุณกะรัตรู้สึกหรือเปล่าทำให้พริ้มใจเต้นแรง ไหนจะระยะห่างที่ได้ยินแม้กระทั่งลมหายใจนี่อีก

     

    เอาหน้าออกไปหน่อยได้มั้ย

     

    “ลืมตา”

    “มันแสบ”

    “ผ้า มึงไปหาอะไรเย็น ๆ มาให้หน่อย”

     

    อยู่ ๆ ก็โดนเรียก เล่นซะตกใจเลย ผ้าเออออหลังจากลอบมองเพื่อนทั้งสองของตัวเองมาตั้งแต่เมื่อกี้ เขาเดินผละออกมา กะจะไปหาขวดน้ำเย็น ๆ ไม่ก็เอาน้ำมาชุบกระดาษทิชชู่ไปประคบ ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ บอกตามตรงว่าไม่เคยเห็นไอ้หวาสนใจใครขนาดนี้ กับเพื่อนในกลุ่มก็ไม่เท่านี้ มันไม่แม้แต่จะจูงให้เดินไปด้วยกันช้า ๆ ไอ้อุ้มให้ขึ้นไปนั่งบนขอบอัฒจันทร์นี่ตัดไปได้เลย แต่มันเกิดขึ้นกับพริ้ม นั่นคือสิ่งที่เขาเริ่มไม่แน่ใจ

     

    ว่ากำแพงที่มันก่อไว้ พังทลายไปแล้วหรือยัง

     

    “พริ้มเป็นไงบ้างวะ”

    “ไม่เจ็บมาก แค่ลืมตาไม่ขึ้น”

    “เฮ้ยขนาดนั้นเลยหรอวะ”

     

    ซานว่าพลางมองไปยังยี่หวากับพริ้มที่ยื้อหยุดอะไรกันสักอย่าง เกมเจาะไข่แดงเริ่มซาแล้วเพราะพริ้มยังไม่หายเจ็บสักที เหลือแต่พวกผู้หญิงกับผู้ชายใจดีที่ยังเล่นกันต่อ เหมือนพู่กันจะเห็นว่าซานกับผ้าคุยอะไรกันอยู่ เธอเลยเดินเข้ามาคุยด้วย

     

    “พริ้มเป็นไงบ้างอ่ะผ้า เราไม่ได้ตั้งใจ มันชินมือ”

    “ไม่เป็นไรมากหรอก แค่แสบ ๆ แหละ”

    “อ๋อ เหมือนตอนนั้นที่ผ้าตบใส่เราอ่ะ แสบโคตร”

    “ฮ่า ๆ”

     

    ผ้าเดินแยกไปก่อนที่ไอ้หวาจะรู้ตัวว่าให้เขามาหาของเย็น ๆ ไปประคบ ดีที่พวกผู้หญิงพกกระดาษทิชชู่ เขาเลยขอมาสามสี่แผ่น แล้วเอาน้ำเย็นเจี๊ยบที่ขอมาจากไอ้ซานรดจนชุ่ม แล้วเอาไปให้ไอ้หวา แต่พอไปถึง พริ้มกลับกะพริบตาปริบ ๆ มองมาที่เขาเหมือนไม่เคยเจ็บมาก่อน ถ้าไม่ติดว่ามีรอยแดง ๆ หลงเหลืออยู่อ่ะนะ

     

    “ขอบคุณนะ” พริ้มว่าพลางรับไปแปะไว้ที่ตาตัวเอง

    “เช็ดให้รอบเลย”

    “ต้องเช็ดอีกหรอ เมื่อกี้หวาก็เช็ดให้เราไปแล้ว”

    “เช็ดอีก เสื้อฉันไม่สะอาดขนาดนั้น”

     

    ผ้าลอบมองพริ้มทีหวาทีด้วยสายตาและความรู้สึกที่หลากหลาย ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่คงไม่ใช่หน้านิ่งเฉยหรือไม่คิดอะไรเลยแน่ ๆ มันคงจะดีไม่ใช่น้อยถ้าเพื่อนเขาทั้งสองคนนี้ได้รู้จักกับอะไรใหม่ ๆ ที่ตัวเองไม่เคยคิดถึง พากันเรียนรู้ที่จะใส่ใจอีกฝ่ายให้มากขึ้นและเข้าหากันและกันให้บ่อยขึ้น ยี่หวาไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรออกมามากมาย เลยทำให้ใครต่อใครที่ไม่รู้ เข้าใจผิด ๆ ถูก ๆ เพราะเอาแต่เดาว่ายี่หวาคิดอะไรอยู่

     

    และอีกนิสัยหนึ่งที่มีแต่เจ้าตัวรู้ อาจจะทำให้ใครบางคนหัวปั่นเลยก็ได้



    #พริ้มเพียงหวา



















    ใกล้จบแล้วค่ะ ใครที่อยากได้เล่มน้องพริ้ม เก็บเงินไว้รอได้เลยยยย ราคาไม่เกินเลขสี่แน่นอน ไม่เคยขายมากไปกว่านี้ แต่เล่มนี้อาจจะปิดจองนานหน่อย เพราะติดอะไรหลาย ๆ อย่าง สักเดือนครึ่งหรือสองเดือน ประมาณนี้ค่ะ ถ้าจะเอาแน่ ๆ ก็อย่าลืมมาจองเด้อ

    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันเสมอมา แม้ว่าเราจะมาช้ามาก ๆ แต่ก็มาน้า55555 อ่านจบแล้วอย่าลืมคอมเม้นท์ ติดแท็ก หรือกดใจให้น้องพริ้มและกัปตันยี่หวาด้วยนะคะ เจอกันที่ยิมเด้อ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×