คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๑๖
16
จบเกมไปด้วยคะแนน
3
: 2 เซ็ต
ทั้งสองทีมเหงื่อซก
เกมการแข่งขันกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง
โรงเรียนเจ้าภาพส่งเสียงเฮสนั่นรอบสนามเมื่อชัยชนะที่พยายามไขว่คว้าได้มาอยู่ในมือแล้ว
ยี่หวาปาดเหงื่อที่หน้าผากออกก่อนรอยยิ้มแห่งความดีใจจะผุดออกมาจาง ๆ สบตาเข้ากับกัปตันทีมของไอโซระที่ส่ายหน้าใส่แต่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
เส้นทางของพวกเขาบรรลุแล้ว…
ถ้วยรางวัลการแข่งขันกีฬาวอลเล่ย์บอลประจำงานโอเบงปีที่
32 เป็นของทีมคาลันโช !!
พริ้มตบมือรัวแข่งกับคนทั้งสนาม
รอยยิ้มและความปลื้มปิติที่เขาเฝ้ามองความพยายามของคนในทีมทำเอาน้ำตาจะไหล
แต่ถึงไม่ไหลมันก็คลออยู่ที่เบ้าแล้วในตอนนี้ คนในทีมกอดคอล้อมกันเป็นวงกลม
ไม่ลืมที่จะเรียกคนข้างสนามที่มีทั้งตัวสำรองและโค้ชเข้าไปร่วมวงด้วย
แต่พริ้มเลือกที่จะอยู่ตรงนี้…
ใบหน้าของยี่หวายามดีใจนั้นสุดแสนจะล้ำค่า
เขาอยากเก็บใบหน้านั้นใส่กรอบไว้มองเวลาตัวเองท้อแท้จังเลย…เขาจะรู้มั้ยว่ารอยยิ้มของตัวเองนั้นมีค่าสำหรับคนคนหนึ่งมากขนาดนี้
รอยยิ้มที่นาน ๆ จะได้เห็นทีสดใสดั่งดวงตะวันยามเช้าที่เขาคอยเฝ้ามองอยู่ทุกวัน
ดีใจจังที่ลงมานั่งตรงนี้
ได้เห็นรอยยิ้มของยี่หวาชัดเจนเลย
“พริ้ม!!”
“หือ?”
“มานี่สิ!!
นั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้นเล่า!”
ผ้าชะโงกหัวออกมานอกวงพลางส่งเสียงเรียกเพื่อนสนิทตัวน้อย
คนโดนเรียกทำหน้าเหรอหรา จู่ ๆ ก็โดนเรียกเหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของทีม ทั้ง ๆ
ที่พริ้มไม่ได้มีบทบาทอะไร เขาเข้าชมรมมาเพราะต้องเป็นมาสคอตที่เล่นวอลเล่ย์บอลได้
เพราะฉะนั้นยี่หวาก็เลยเอาเข้าทีมด้วย
…เขาไม่ได้สำคัญถึงขนาดที่จะเข้าไปร่วมดีใจได้
“มาเร็ววว
ทุกคนรออยู่” ผ้าเดินออกมาดึงแขนพริ้มให้ลุกตามไป
“เอ่อเรา…”
ยื้อหยุดกันอยู่ครู่หนึ่ง
สุดท้ายก็ต้องยอมเพื่อนตัวเล็กที่หน้าเริ่มเบะ
ไม่ยอมลุกออกจากเก้าอี้พลาสติกอยู่ท่าเดียว ผ้าเลยตัดสินใจกอดพริ้มมันตรงนั้นซะเลย
เขย่า ๆ ให้หายมันเขี้ยว ในเวลาแบบนี้ยังจะดื้อใส่อีกนะ
“อื้อ…แน่นไปแล้วนะ”
“มึงอ่ะลีลา
ก็เฮกันอยู่ตรงนี้เนี่ยแหละ”
“ผ้าอย่ารัดหัวเรา”
“เฮ้ย!
ลืมไปว่าตัวมีแต่เหงื่อ”
เพื่อนคนแรกของพริ้มผละตัวออกด้วยความตกใจ
ถึงจะเป็นลิบบอโร่แต่ก็วิ่งเก็บบอลไม่ได้หยุดพักเลย ฝั่งนู้นแม่งก็ตีเอา ๆ
ฝั่งเรายังไม่ทันตั้งตัวเลย ถึงจะรับได้ แต่แขนเขอก็ยังไม่ถูกองศา บิดเบี้ยวปลิวออกนอกสนามหลายลูก
จนหัวลิบบอโร่คนนี้จะหมุนอยู่แล้ว
จะไปบอกให้โค้ชฝึกพวกแม่งให้หนัก
ๆ เรื่องการรับบอลตบให้แม่น ๆ เลย คอยดูสิ เอาแบบรับปุ๊บถึงตัวเซ็ตปั๊บ
แม้ลูกจะแรงยิ่งกว่าพายุทอนาโดพัดมาก็ไม่สั่นสะเทือนใดใด
“อ่า…จริงด้วย”
พริ้มยกมือขึ้นแตะแก้มที่ชื้นน้ำ
“อ๋อ…ที่มึงโวยวายเพราะรังเกียจกูใช่มั้ยพริ้ม”
“เปล่านะ!”
“ก็ว่าอยู่ว่าไม่ได้กอดแน่น
แต่เพราะกลัวจะเลอะเหงื่อก็เลยอ้างใช่ปะ ทำไมวะพริ้ม รังเกียจขนาดนี้ก็บอกกันดี ๆ
อย่าทำแบบนี้ดิ”
“เราไม่ได้คิดแบบนั้นนะ!!”
ผ้าแอบลอบยิ้มในใจทันทีที่เห็นพริ้มร้อนรน
คนตัวเล็กกระวนกระวายดึงตัวเพื่อนตัวเองเข้าไปกอดให้ดูว่าไม่ได้รังเกียจอย่างที่ปากบอกจริง
ๆ แล้วก็เอาแต่พึมพำว่าผ้ากอดแน่นจริง ๆ เกือบหายใจไม่ออก ตัวแผนการยิ้มกริ่ม
แกล้งพริ้มได้สำเร็จและอยู่หมัด เวลาพริ้มอ้อนก็น่ารักดีเหมือนกัน ไว้จะทำบ่อย ๆ
เลย วะฮะฮ่า!
“เหงื่อก็คือน้ำ
เรากินน้ำก็เหมือนเรากินเหงื่อนั่นแหละ”
“มันอันเดียวกันที่ไหนล่ะ
จะง้อก็ให้มันดี ๆ หน่อยได้ปะ”
“อ้าว
ผ้างอนเราหรอ ตอนไหนอ่ะ?”
“จะตอนนี้เนี่ยแหละ!”
ดีดหน้าผากขาวไปทีหนึ่งก่อนจะเอาแขนรัดหัวพริ้มเล่น
สักพักโค้ชก็เรียกเขาให้ไปต่อแถวจับมือกับทีมตรงข้ามเพื่อปิดการแข่งขันอย่างเป็นทางการ
ยี่หวาเดินนำทีมไปที่ขอบเน็ต
จับมือกับกัปตันทีมไอโซระที่วันนี้เล่นเต็มที่ไม่อ่อนข้อให้เลยสักนิดเดียว
ก็ดีเหมือนกัน เวลาที่เราทำอะไรสักอย่างด้วยแรงทั้งหมดที่มีแล้วได้รับชัยชนะมา
มันโคตรภูมิใจเลย
ร่างสูงเน้นย้ำที่ฝ่ามือก่อนจะส่งยิ้มเป็นมิตรให้
แต่น้ำใจนักกีฬาที่ฝ่าฝันอุปสรรคมาด้วยกันไม่หมดเพียงแค่นี้
พวกเขาดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด แม้ไอโซระจะแข่งกับคาลันโชมาสามปี
ไม่เคยชนะได้เลยสักปีเดียว
แต่เขาที่เป็นกัปตันทีมก็ยินดีจะเป็นกำลังใจให้เพื่อนคนนี้
มือด้านชาที่สาดลูกตบข้ามเน็ตให้กันตบที่แผ่นหลังยี่หวาสองสามทีก่อนจะผละออก
มิตรภาพมักยืนยาวกว่าช่วงเวลาที่เราห้ำหั่นกัน
“ปีนี้ก็ได้แชมป์ตามที่หวังไว้แล้วนะยี่หวา”
พู่กันเดินยิ้มมาหาร่างสูงพลางยื่นขวดน้ำเย็นเจี๊ยบให้ อีกฝ่ายรับไปแต่ไม่ได้เปิดกินทันที
“อืม
ขอบใจที่มาช่วยวันนี้ด้วย”
“เราไม่ได้ช่วยอะไรสักหน่อย”
ยี่หวามองใบหน้ากัปตันทีมหญิงที่ส่งยิ้มมาให้ตั้งแต่เมื่อกี้
พู่กันกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่จอมทัพดันเดินเข้ามากอดคอเขาขัดจังหวะเสียก่อน
มันบอกว่าโค้ชจะพาพวกเราทีมชายไปเลี้ยงเย็นนี้
พร้อมกับลากตัวยี่หวาไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ
ไม่ลืมที่จะผงกหัวให้พู่กันที่ยืนคุยกับเขาก่อนหน้านั้นด้วย
“อาจจะกลับเย็นหน่อยนะ
ยังไงพวกมึงก็บอกพ่อแม่ไว้ด้วยล่ะ”
“ผมไม่มีคนมารับอ่ะ
ไปส่งหน่อยได้ปะ”
“ตลอดแหละมึงอ่ะ
ไม่เคยมีคนมารับตลอด”
“เอาลูกเขาไปก็ต้องส่งลูกเขากลับด้วยปะล่ะ”
“เออ
กูเนี่ยส่งมึงกลับบ้านบ่อยจนจะเป็นพ่อมึงแล้ว”
ซานหัวเราะร่า
บ้านของโค้ชอยู่ทางเดียวกันกับบ้านของเขา โดยปกติเวลาไปไหนไกล ๆ
อย่างเช่นไปแข่งต่างจังหวัดเสร็จ ซานก็จะขอติดรถโค้ชกลับบ้านด้วย
ซึ่งคนในทีมส่วนหนึ่งก็มักจะติดรถโค้ชกลับบ้านบ่อย ๆ
“ส่วนบ้านใครอยู่คนละทางก็คลานกลับไปเองแล้วกัน”
“โค้ชแม่งใจร้ายว่ะ
โทรหาพี่แปป”
“แล้วเราจะไปกินร้านไหนกันอ่ะ?”
“ครัวเกยน้ำ
ข้าง ๆ ร้านฟาร์มเห็ด”
“เชี่ยยยย
ชวนกินของแพงซะด้วย”
ครัวเกยน้ำเป็นร้านอาหารติดแม่น้ำไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียนอซ. เป็นร้านที่อาหารอร่อย บรรยากาศดี ราคากลาง ๆ ถึงแพงมาก
คนละแวกนี้ส่วนมากก็จะเคยกินกันหมดแล้ว แต่ด้วยความที่มันอร่อยและหลากหลายนี่แหละ ไปกี่ครั้ง
ๆ ก็ไม่เคยเบื่อ
“พริ้ม บ้านอยู่แถวไหน?”
เทคถามเพื่อนตัวเล็กที่นั่งมองทุกคนคุยกันเงียบ ๆ
“…แถว ๆ ร้านมาสคอตน่ะ”
“อยู่ทางเดียวกับไอ้หวาเลย
เฮ้ยหวา มึงกลับไง?”
เทคถามยี่หวาที่กำลังเอาปลายเสื้อเช็ดเหงื่อที่หน้าตัวเอง
เผยให้เห็นลอนหน้าท้องเนียนจนพริ้มต้องหันหน้าหนี มันสวยซะจนอยากมองอีก…แต่ใจก็ไม่กล้าพอให้หันกลับไป
“เดี๋ยวพี่กูมารับ”
“ฝากไปส่งพริ้มด้วยดิ”
ร่างสูงลดปลายเสื้อลง
เลื่อนสายตาไปทางใบหน้าขาวที่เมินมองไปอีกด้านแบบเก้ ๆ กัง ๆ
“ได้”
“โอเค
งั้นพริ้มกลับกับยี่หวานะ”
“ไป…ไหนหรอ”
“ก็ไปกินเลี้ยงฉลองชัยชนะไง”
“เอ่อ…เรา…ไปได้หรอ”
เทคนิ่งงันเมื่อได้ยินคำพูดใจร้าย…แต่คนพูดกลับไม่รู้สึกถึงสิ่งนั้น
พริ้มเคยชินกับการโดนกีดกัน จนบางครั้งก็มักจะชอบพูดอะไรที่มันน่าเศร้า…
เขาไม่รู้เลยว่าเพื่อนตัวเล็กตรงหน้ามองตัวตนของตัวเองเป็นยังไง
แต่ยอมรับเลยว่าการที่ได้ยินพริ้มพูดถึงตัวเองแบบนี้ ทำให้เทคไม่ค่อยพอใจ
“แน่นอน ต่อให้ไม่เอ่ยปากชวน…ก็อยากให้รู้ไว้ว่ามีนายรวมอยู่ในนั้น”
ทิ้งฝ่ามือใหญ่ลงบนเรือนผมสีน้ำตาลสวยเบา ๆ แต่ไม่ออกแรงขยี้
“ขอบคุณนะ”
“…ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย”
ครัวเกยน้ำ
เราบึ่งรถมาที่ร้านอาหารทันทีหลังจากเคลียร์สนามเสร็จ
ดีที่รถของโค้ชเป็นรถแบบครอบครัว ก็เลยอัดกันมาได้หมด ถึงจะคับแคบไปบ้าง
แต่ก็สนุกดี พริ้มนั่งที่เบาะข้างคนขับกับผ้า เหตุผลเพราะเราตัวเล็ก
ส่วนคนที่เหลือก็โวยวายว่า เข่าติดเบาะบ้าง หัวไหล่ซ้อนกันบ้าง ร้อนบ้าง
จนโค้ชต้องเบรกแรง ๆ ให้หยุดบ่น
“พริ้มมึงมานั่งกับกู”
ผ้ากวักมือเรียก
คนตัวเล็กเดินเอามือผสานกันไว้ข้างหน้า
เป็นเด็กเจี๋ยมเจี้ยมที่เหมือนโดนบังคับมา พริ้มมองทุกอย่างด้วยแววตาตื่นเต้น
ถึงจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยมาเลยสักครั้ง
ร้านอาหารของที่นี่จะเป็นสไตล์เรือนไทยติดแม่น้ำ
และห้องที่เราอยู่ก็เป็นห้องเดี่ยวขนาดใหญ่ รองรับพวกเราทุกคนได้พอดี
เห็นว่าถ้าเป็นอาจารย์ของโรงเรียนอซ.ก็จะได้รับสิทธิพิเศษหลายอย่าง
นั่นก็เพราะเจ้าของร้านเป็นภรรยาของผู้อำนวยการโรงเรียน
“อยากกินอะไรก็สั่งเลย
ไม่อั้น”
“โห เอาซะอยากรู้เลยว่าได้เงินรางวัลเท่าไร”
“หักค่าเสื้อ
ค่ามาสคอต ค่าของซัพพอร์ต ค่าเดินทางไปแข่งนอกโรงเรียน ค่า…”
“ผมขอโทษครับโค้ช”
ทุกคนหัวเราะเมื่อจอมทัพโดนโค้ชเฉาะหัว
เงินรางวัลที่ได้มาเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายแล้วก็ไม่ได้มีส่วนต่างเยอะเท่าไร
โค้ชเอาเงินที่เหลือจากการหักทั้งหมดมาเลี้ยงเด็กในทีม ซึ่งก็ไม่มั่นใจว่าจะพอหรือเปล่า
เพราะแต่ละคนก็ยัดอย่างกับพายุ ดังคำกล่าวที่ว่า กระเพาะนักกีฬาต้องจ่ายค่าอาหารสองเท่าจากคนปกติเขากินกัน
โค้ชจัดการสั่งอาหารตามเสียงโวยวายว่าให้สั่งอันนั้นอันนี้
ลอยเข้าหูมาไม่หยุด พนักงานเสิร์ฟจดชื่อเมนูมือเป็นระวิง
กว่าจะทวนชื่ออาหารจบก็ปาไปเกือบสองวัน
พวกตัวจริงนั่งแถว
ๆ ท้ายโต๊ะ พวกเขาไล่รุ่นน้องที่เป็นตัวสำรองให้ไปนั่งกับโค้ชแทน
พริ้มรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยที่ต้องนั่งกินข้าวตรงข้ามกับยี่หวา ซ้ายขวาของหวาเป็นซานกับจอมทัพ…เป็นเรื่องปกติที่มักจะพบเห็นสามคนนี้อยู่ด้วยกัน
ส่วนด้านซ้ายของพริ้มเป็นผ้า ด้านขวาเป็นเทคที่นั่งอยู่ริมสุดตรงข้ามกับซาน
“ตอนเห็นลุงกุนมารับชุดมาสคอตกลับไปนี่โคตรใจหายเลยว่ะ”
“ถึงชุดจะตลก แต่ก็เป็นตัวทำให้นึกถึงงานโอเบงปีนี้เลยนะ”
“กูนี่อย่างฮาตอนมันเสิร์ฟลูกข้ามเน็ต
กระโดดดึ๋ง ๆ ดีใจอะไรขนาดนั้น”
มุกกับผ้าคุยกันอยู่ข้าง
ๆ จริงสิ…ผ้าไม่รู้นี่นาว่าเขาเป็นมาสคอต แต่พริ้มก็ไม่คิดจะบอกเหมือนกัน
ปล่อยให้ปูส้มตัวนั้นเป็นความทรงจำที่ไม่ใช่พริ้มนั่นแหละดีแล้ว… พูดถึงลุงกุน
แกมารับชุดมาสคอตกลับไปเมื่อประมาณห้าโมงครึ่ง
ตอนที่พวกเรากำลังเคลียร์สนามกันอยู่ พริ้มหลบอยู่ที่ห้องซักผ้า
ไม่ได้ออกไปเจอลุงกุนเพราะแกเคยสั่งปากเปล่าเอาไว้ เป็นกฎที่ไส้ในทุกคนต้องปฏิบัติเหมือนกันหมด
รอไม่นาน
อาหารเกือบยี่สิบจานก็ทยอยวางลงบนโต๊ะจนเกือบเต็ม
และเมื่อข้าวสวยถูกตักออกจากโถจนหมด เราทุกคนก็ลงมือเขมือบอาหารตรงหน้าทันที ระหว่างทางพริ้มจะคอยตักข้าวเพิ่มให้เพราะทุกคนกินกันเร็วมาก
คอยรินน้ำเติมให้แทบจะทันทีที่มันหมดแก้ว เขากินไม่ทันจะหมดจาน
กับข้าวชุดใหม่ก็มาเสิร์ฟอีกแล้ว พริ้มอึ้งไปเลยที่ทุกคนกินกันอย่างตั้งใจไม่ต่างจากตอนลงแข่ง
“ข้าวติดแก้มแล้วผ้า”
“เอาออกให้หน่อย
ตอนนี้ไม่ว่าง ต้องแย่งปลาจากไอ้ซานให้ทัน”
ว่าแล้วก็จ้วงเนื้อปลาในหม้อตัดหน้าช้อนของซาน
“ไอ้เพื่อนเหี้ย
กูเล็งก่อนนะโว๊ย!”
“มึงช้า
คนที่ช้าก็ต้องแพ้บาย”
“อย่าให้ถึงตากูนะไอ้ผ้า”
พริ้มลอบขำ
ก่อนจะใช้นิ้วปัดเม็ดข้าวที่ข้างแก้มให้
ในจังหวะที่หันกลับมาสนใจจานข้าวตัวเองต่อ
ช้อนที่กำลังจะตักตำลึงในต้มจืดก็ชนเข้ากับช้อนของใครอีกคนเข้า คนตัวเล็กสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามที่ก็มองมาเช่นเดียวกัน
ร่างสูงไม่ได้พูดอะไร แต่ยกช้อนของตัวเองออกจากถ้วยต้มจืดแล้วไปตักจานข้าง ๆ แทน
พริ้มเงอะงะ ตักตำลึงมาที่จานแต่น้ำต้มจืดดันไหลลงโต๊ะเปียกเลอะไปหมด
รีบมองหากระดาษทิชชู่เพื่อเอามาซับและก็เป็นคนตรงข้ามอีกเช่นเคยที่ยื่นมาให้…
ร่างเล็กรับมาเงียบ ๆ หัวใจเต้นโครมครามจนไม่มีเสียงพูดขอบคุณออกมา
ทุกการเคลื่อนไหวของคนที่นั่งตรงข้าม…
…ก็จะอยู่ในสายตาของคนที่นั่งตรงข้าม
“อิ่มชิบหาย”
ผ้าบ่นออกมาในท่าแคะขี้ฟัน
ทิ้งหลังพิงเพื่อนผิวขาวที่นั่งแกะเปลือกกุ้งให้เทคอยู่
พริ้มบ่นงุ้งงิ้งว่าหนักและแกะไม่ถนัด แต่ตัวเองก็ไม่กล้าผลักหรือถอยห่างออกไป
คนขี้เกรงใจแบบนี้รังแต่จะดึงดูดให้คนเข้ามาแกล้ง
“พริ้ม กินไอติมกับกูมะ”
“เราได้ยินผ้าบ่นเมื่อกี้ว่าอิ่มแล้ว”
พริ้มตักกุ้งในจานที่แกะเปลือกเรียบร้อยแล้วให้เทค
“อิ่มข้าวแล้ว
แต่ของหวานยังไม่อิ่ม” จอมทัพพอเห็นก็ขอให้พริ้มแกะให้อีกคน
“แต่ตอนนี้เราอิ่มมาก
ๆ แล้วนะ กินไม่ไหวหรอก” คนโดนพิงก้มหน้าก้มตาแกะเปลือกกุ้งอีกครั้ง
“ก็แบ่งกันกิน…
ไอ้พวกเหี้ย! อยากแดกก็แกะกันเองดิวะ!!”
ผ้าตะคอกใส่ไอ้พวกเสาไฟฟ้าที่มีปัญญาอยากแดกแต่ไม่อยากแกะ
ใช้ให้เพื่อนตัวน้อย ๆ ของเขาต้องแกะให้ โดยใช้นิสัยที่ปฏิเสธใครไม่เก่งของพริ้มเป็นข้ออ้าง
เดี๋ยวเถอะ พอพริ้มแกะตัวนี้เสร็จนะ กูจะหยิบมันโยนออกไปให้ปลาแดกแทนมึง!
“อะไรของมึง
โวยวายอะไร”
“อย่าใช้พริ้ม
อยากกินก็แกะกินเอง”
“ไม่ได้ใช้
แค่วาน พวกกูก็ไม่ได้เหี้ยขนาดนั้นมั้ยล่ะไอ้สัสผ้า”
จอมทัพรับกุ้งตัวนั้นมาจากพริ้มและจิ้มมันเข้าปากเย้ยเพื่อนขี้โวยวาย
เด็กแกะกุ้งเฉพาะกิจขำออกมาน้อย ๆ ใบหน้าของผ้าตอนโวยวายน่ะเหมือนเพนกวิ้นขู่เลย
“จริงหรอพริ้ม
พวกมันไม่ได้บังคับฝืนใจมึงจริง ๆ ใช่มั้ย”
“เวอร์ไปไอ้สัส
แค่แกะกุ้ง”
หยอกกันนิดหน่อย
ผ้าก็สั่งไอติมชุดใหญ่มานั่งกินด้วยกัน มีสงครามเล็ก ๆ เกิดขึ้นโดยมีอาวุธเป็นช้อนกระทบกันเสียงดัง
จากนั้นพวกเขาก็โดนโค้ชด่าที่เอาแต่เล่นกันบนโต๊ะอาหาร
เวลาล่วงเลยไปจนถึงหนึ่งทุ่ม
เด็กนักเรียนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ควรจะได้เวลากลับบ้านกันได้แล้ว
เราอพยกกันออกมานั่งที่ม้าหินอ่อนหน้าร้านอาหาร รอผู้ปกครองของแต่ละคนมารับกลับไปจนกระทั่งเหลือแค่คนที่จะกลับกับโค้ช
ซึ่งก็คือซาน จอมทัพ เทค ขม และมุก
ส่วนพริ้มนั้น…กำลังนั่งหลังแข็งทื่อบนรถของพี่ชายยี่หวา
ภายในรถมีกันทั้งหมดสี่คน
มีพี่ชายที่ชื่อว่า เก้า คนนี้พริ้มรู้จัก ไม่มีใครในโรงเรียนอซ.ไม่รู้จักพี่คนนี้ แต่ที่เป็นพี่ชายของยี่หวาน่ะเขาไม่เคยรู้จริง ๆ
พอได้ลอบสังเกตถึงได้เห็นว่ามีส่วนที่คล้ายกันหลายอย่าง
ฝั่งข้างคนขับเป็นผู้ชายตัวเล็ก
ๆ ที่มีใบหน้ายิ้มอยู่ตลอดเวลา พริ้มไม่แน่ใจว่าเป็นเพื่อนหรือน้อง
เพราะใบหน้าดูเด็กมาก แต่กลับพูดเป็นกันเองกับพี่เก้า ส่วนคนข้าง ๆ
เขาก็คือน้องชายเจ้าของรถที่นั่งเงียบมาตั้งแต่เมื่อกี้
เกร็งเป็นบ้าเลย
“บ้านเพื่อนอยู่ไหน?”
พี่เก้าสบสายตากับพริ้มผ่านกระจกมองหลัง
“เอ่อ…อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนครับ
ซอยข้าง ๆ ร้านเกม”
พี่เขาพยักหน้ารับ
ก่อนจะกดเปิดเพลงทำลายบรรยากาศอันแสนอึดอัด แต่มีคนมือบอนกดเปลี่ยนเพลงเล่นไปมาจนพี่เก้าต้องจับมือข้างนั้นเอาไว้
“ก็เราไม่อยากฟัง”
“แล้วจะฟังอะไร”
“เราอยากฟังพี่ลูกตาลร้องเพลง”
“มันจะไปมีได้ยังไงกันล่ะ
นั่งอยู่เฉย ๆ ไปเลย”
บรรยากาศผ่อนคลายทันทีที่คนข้างหน้าพริ้มพูดออกมา
ยี่หวาตัดปัญหาด้วยการเชื่อมเพลงในโทรศัพท์กับตัวเครื่อง แล้วเปิดเป็นเพลงสบาย ๆ
ฟังแทนเสียงข่าว เขาเคยเจอพี่ตัวเล็กคนนี้บ่อยครั้งจนรู้วิธีรับมือ
ถ้าวันไหนให้พี่เก้ามารับก็มักจะเจอพี่เจ้ยนั่งอยู่ด้วยเสมอ
“แล้วนี่จะไปไหนกัน”
ยี่หวาถาม
“จะไปส่งเจ้ยที่ฟาร์ม”
“ฟาร์มเราอยู่ห่างจากบ้านเก้ามาก
ก็เลยต้องไปส่งเราก่อน”
“ตลกละ
ต้องไปส่งคนอื่นก่อนสิ จะวนกลับมาทำไม”
“ยังไงเก้าก็ต้องไปส่งเราอยู่ดี”
“…แล้วมันยังไงล่ะ”
พริ้มแอบขมวดคิ้ว
ไม่เข้าใจที่พี่เจ้ย (น่าจะชื่อนี้) พูดเลยสักนิด เขาเหลือบสายตามองยี่หวาที่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจเหมือนกันกับเขา
บางที…คงจะมีแค่คนพูดล่ะมั้งที่เข้าใจ
“นี่ ๆ
เพื่อนยี่หวาชื่ออะไรหรอ?”
“ชื่อพริ้มครับ”
“หวัดดีพริ้ม
เราชื่อเจ้ยนะ”
พี่เจ้ยเอี้ยวตัวมาหาเขาพลางเกาะเบาะรถเอาไว้
ริมฝีปากบางสวยยกยิ้มกว้างจนแก้มที่มีพองกว่าเดิม พอได้มองใกล้ ๆ แล้วรู้สึกพี่เขาน่ารักมาก
ๆ เลย แต่ติดดื้อไปนิด เพราะไม่ยอมสนใจคำเตือนกับมือของพี่เก้าที่รั้งไหล่พี่เขาให้กลับลงไปนั่งดี
ๆ
“พริ้มเป็นน้องเราหรอ?
งั้นก็เป็นเพื่อนกับพุดซาน่ะสิ”
“พ…พรุทราหรอครับ?”
“ใช่ ๆ ดีเนอะ
เราก็อยากเป็นเพื่อนกับน้องพุดซา แต่ว่าเราเกิดก่อน เลยเป็นได้แค่พี่”
…ไม่รู้จะตอบยังไงเลยแฮะ
ในตอนที่พริ้มขมวดคิ้วยุ่ง
คิดหาคำตอบให้กับประโยคที่เขาไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไร
เสียงบางอย่างที่คล้ายกับเสียงหัวเราะก็ลอยเข้าใบหูข้างขวามาอย่างแผ่วเบา
ดวงตาเล็กเหลือบมองคนด้านข้างที่อาจจะเป็นเจ้าของเสียงนั้น
แต่เขาก็ไม่พบอะไรนอกจากใบหน้าที่นิ่งเฉย
“พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”
พี่เก้าละมือออกจากพวงมาลัยไปขยี้หัวคนช่างจ้อ
“เราพูดรู้เรื่องนะ”
“พูดแบบนี้นี่ได้เช็คหน้าคนฟังหรือยัง”
ระหว่างทางจนถึงบ้านพริ้ม
พี่เจ้ยก็เอาแต่พูดเรื่องนู้นเรื่องนี้ไม่หยุด โดยมีพี่เก้าคอยตอบรับอยู่ตลอดทาง ถึงแม้พี่เขาจะติดเหนื่อยใจอยู่นิดหน่อยที่คุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง
แต่กลับไม่ละเลยเสียงของคนข้าง ๆ เลยสักคำเดียว
จากตอนแรกที่บรรยากาศครึ้มเพราะสองพี่น้องไม่ใช่พวกแสดงออกถึงรังสีเป็นมิตร
แต่พอพี่เจ้ยเริ่มพูด ก็เหมือนมีลมพัดก้อนเมฆครึ้มฝนออกไป
รถยนต์จอดอยู่หน้าบ้านพริ้มในเวลาทุ่มสิบห้า
แสงจากไฟสาธารณะส่องสว่างไม่ให้ถนนเส้นนี้ต้องเปล่าเปลี่ยว พริ้มเปิดประตูรถลงมาพร้อมกับยี่หวา
แปลกใจนิดหน่อยที่อีกฝ่ายตามลงมา แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร
ร่างสูงหยุดยืนที่หน้ารั้วพลางมองเข้าไปยังบ้านที่มืดสนิท
“เรื่องชมรม”
“อ่า…หมดสัญญามาสคอตแล้วนี่นะ”
“ถ้านายอยากอยู่ต่อก็ไม่มีปัญหา
แต่ถ้าอยากจะออกก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน”
“…”
“แต่ฉันแนะนำว่าให้อยู่ต่อ”
พริ้มไม่ได้เตรียมใจมาเพื่อฟังอะไรแบบนี้…เพราะแบบนั้นเลยตื่นเต้นจนมือชื้นเหงื่อ
เขารู้สึกใจหายตั้งแต่ตอนที่รถกระบะของลุงกุนขับออกไปพร้อมชุดปูส้มที่นอนแอ้งแม้งบนนั้น
ภายในหัวมีเสียงพูดย้ำให้เขารู้ตัวว่าเวลาความสุขมันได้จบลงแล้ว
เขาไม่ใช่คนของชมรมวอลเล่ย์บอลมาตั้งแต่แรก หลังจากนี้คงต้องกลับไปใช้ชีวิตดังเดิม…
แต่ยี่หวาก็ได้ยื่นโอกาสมีความสุขให้พริ้มอีกครั้ง
…เป็นคนคนนี้อีกแล้ว
“เรา…อยู่ต่อได้หรอ”
“อืม”
“ได้จริง ๆ
น่ะหรอ”
“ถ้านายออก…ตำแหน่งซักผ้าก็ว่างน่ะสิ”
พริ้มหลุดหัวเราะเบา
ๆ ในลำคอ
“ขอบคุณนะ”
“อืม”
“แล้วนี่…”
คนตัวเล็กหลุบตามองมือของยี่หวาที่ยื่นบางสิ่งบางอย่างมาให้
มันมีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมสามสี่อัน หน้าตาเหมือนแผ่นอะไรสักอย่างในกล่องปฐมพยาบาล…
“พลาสเตอร์?”
“…เอาไว้เปลี่ยน”
ร่างสูงขยับมือเล็กน้อยเพื่อให้คนตรงหน้ารับไป
พริ้มเก้ ๆ กัง ๆ รับมันมาด้วยมือที่สั่นเทา เขาลืมไปเลยว่าตัวเองเจ็บที่แก้ม…ลืมเรื่องราวแย่
ๆ ในตอนนั้นไปเสียสนิท เขาเริ่มจำความเจ็บปวดไม่ได้เมื่อได้ยืนต่อหน้ายี่หวา
ทำไมถึงได้…มีอิทธิพลมากมายขนาดนี้
“เรา…”
“?”
“ไม่มีอะไร
ขอบคุณมาก ๆ เลยนะ”
“งั้นฉันกลับก่อน”
วูบหนึ่งที่ความเห็นแก่ตัวครอบงำ…พริ้มก็เกือบทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองไปเสียแล้ว
เขายืนอยู่ตรงนี้มาหลายนาที ตั้งแต่รถยังอยู่จนตอนนี้หายลับไปแล้ว
ยืนกัดปากอดกลั้นความรู้สึกที่แทบจะล้นทะลักออกมาเป็นคำพูด…
เพราะความรู้สึกของพริ้ม…พองโตขึ้นทุกวัน
#พริ้มเพียงหวา
(วันเดียวผ่านไป 3 ตอน เป็นวันที่ยาวนานจริง ๆ)
เสียงเรียกร้องให้พริ้มกับเจ้ยมาเจอกันเยอะมากจนต้องเซอร์วิสให้สักหน่อยค่ะ ประจวบเหมาะกับหวาต้องให้พี่เก้ามารับพอดี และเก้าเจ้ยนั้นเป็นปาท่องโกตัวหนึ่งที่โดนกาวตาช้างแปะติดกันเอาไว้
หนูเจ้ยลูก นอกจากหนูจะตามคนอื่นไม่ทัน หนูก็ยังทำให้คนอื่นตามไม่ทันด้วยนะคะ5555 สงสารน้องพริ้ม ไม่รู้จะตอบพี่เจ้ยยังไงเพราะไม่เข้าใจว่าพี่เขาพูดอะไร
ขอมา Q&A เล็กน้อยคั้บ
Q : พริ้มเพียงหวาจะมีประมาณกี่ตอน?
A : 20 - 25 คั้บ ประมาณนี้ แต่ไม่มากไปกว่านี้ ถ้ามากกว่านี้ก็คือจะเป็นตอนที่ 26 27 28 29 ...
Q : จะรวมเล่มตอนไหน?
A : ไม่แน่ใจเดือน แต่เป็นปีหน้าค่ะ
Q : จะรีปริ้นเจ้ยหรือเพลิงตอนไหน? (ขอเพิ่มเข้ามาเผื่อมีคนอ่านเจ้ยเพลิงในนี้)
A : ยังไม่มีแพลนเลยค่ะ คาดว่าก็จะยังไม่มีแพลนต่อไป
Q : มีอะไรจะสารภาพมั้ย?
A : ภาคมหาลัย ถ้าไม่ได้แต่งลงเด็กดี ก็อาจจะแต่งลงในเล่มเป็นสเปค่ะ
ถ้าหากมีคำถามสงสัยสามารถ Ask.fm มาถามได้ที่ Jarlynniestyle ค่ะ ถ้าเม้นถามและเราไม่ลืม จะมาตอบให้ในตอนหน้านะคะ ขอบคุณมาก ๆๆๆ อยากให้รู้สึกถึงมันจริง ๆ ว่าเรารู้สึกขอบคุณอยู่เสมอ
ขอบคุณที่รักพริ้ม รักหวา รักคาลันโช
ความคิดเห็น