นิยายแห่ง..ชีวิต..ธรรม..คำเตี่ยสอน..ตามรอยพ่อหลวง - นิยาย นิยายแห่ง..ชีวิต..ธรรม..คำเตี่ยสอน..ตามรอยพ่อหลวง : Dek-D.com - Writer
×

    นิยายแห่ง..ชีวิต..ธรรม..คำเตี่ยสอน..ตามรอยพ่อหลวง

    ผู้เข้าชมรวม

    1,577

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    28

    ผู้เข้าชมรวม


    1.57K

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    7
    จำนวนตอน :  7 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  20 ก.พ. 60 / 13:55 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    สาเหตุที่จัดทำ นิยายแห่ง..ชีวิต..ธรรม.คำสอนเตี่ย..ตามรอยพ่อหลวง..

         ความพอเพียงของคนแต่ละคนนั้นต่างกัน บางคนความพอเพียงคือฟุ่งเฟือยได้ตามปารถนา แต่บางคนพอเพียงคือมีอยู่กินที่ดี มีข้าวกินครบ 3 มื้อ ได้กินอาหารที่สะอาดมีคุณค่า ได้อิ่มท้อง มีเงินเก็บ สามรารถเลี้ยงดูให้ความรักและความรู้แก่ลูก หลาน ที่เกิดแต่ความรักของตนได้ รวมไปถึง ญาติ พี่ น้อง และ คนรอบข้าง

         นิยายเรื่องนี้ผมเขียนขึ้นเล่าบทชีวิตๆของคนที่แม้ยากจนไม่่ไม่อัปจนหนทาง เพื่อหวังให้เป็นแรงบรรดาลใจแก่ใครหลายๆคนที่มีความทุกข์ ท้อแท้ สิ้นหวัง เกลียดชัง กับชะตาชีวิตที่ทำให้ตนทุกข์ยากลำบากหรือฉิบหาย ได้เข้ามาอ่านแล้วเห็นทางดำเนินชีวิตให้ยืนหยัดต่อไปได้ของตน

         นิยายเรื่องนี้ จะประะกอบไปด้วย คำสอนของเตี่ย พระธรรมคำสอนจากครูบาอาจารย์ และขอพระราชททานอันเชิญเอาพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชมาชี้นำทางประกอบไปด้วย ซึ่งคนไทยทุกคนทั่วประเทศย่อมได้น้อมนำเอาพระราชดำรัสของพระองค์ท่านมาใช้บริหาร ส่งเสริมทักษะ สั่งสอนต่อกัน ทั้งในระดับประเทศ จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว หรือภายในองค์กรต่างๆทั่วประเทศ
         เตี่ยผมนี้ท่านได้นำเอาประสบการณ์ชีวิต พระธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พร้อมทั้งพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบางช่วงบางตอน มาชี้นำสั่งสอนผมตั้งแต่เมื่อผมยังเด็ก ปัจจุบันเตี่ยผมท่านถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ อายุรวม ๙๐ ปี แต่กระนั้นถึงร่างกาย ซุ่มเสียงทุกอย่างของท่านไม่มีอยู่แล้ว เลือนหายไปแล้ว แต่คำสอนของท่านนั้นยังคงอยู่ให้ผมได้เจริญปฏิบัติเอาตัวรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ แล้วการต่อสู้ไม่ย่อท้อแก้ไขปัญหาของผมนั้นก็เป็นอีกคำสอนบทหนึ่งที่จะใช้สอนลูกหลานผมสืบไป
         ซึ่งผมยินดีอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันคำสอนดีๆจาก พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ และ คำสั่งสอนของเตี่ยผม...แก่ท่านทั้งหลายทั้งที่รู้เพื่อเป็นแนวทาง ทั้งท่านที่ประสบปัญหาชีวิตเลวร้าย และ ท่านผู้แวะเวียนเยี่ยมชมทุกๆท่านครับ





         นิยายเรื่องนี้คือคำสอนลูก การวางตัวของพ่อแม่ การเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของลูก การปลูกฝังลูก แนวติดสร้างสรรค์ การตัดสินใจ เพื่อที่จะโตมาเป็นคนที่ดี เป็นสุขได้แม้อยู่ในสภาวะหรือฐานะที่ไม่เอื้ออำนวย ซึ่งนิยายเรื่องนี้จะเป็นการปลูกฝังฝึกฝนตนจากสิ่งรอบตัว, บุคคลรอบข้าง นำมากระตุ้นช่วยในการจดจำคำสอนและดึงเอาความรู้ความสามารถทาง สติ สมาธิ ปัญญา อารมณ์ ศีล ธรรม ความฉลาดแก้ไขปัญหาและตัดสินใจมาใช้ ซึ่งสำคัญมากกับเด็กสมัยนี้
         นิยายของเรื่องนี้เป็นเรื่องที่..ผู้ใหญ่อ่านแล้วเห็นธรรม เด็กอ่านหรือฟังแล้วปฏิบัติจะได้ฝึกอบรมจิตตน.. เพราะจะประกอบไปด้วยความฉลาด ๕ ข้อดังนี้ครับ

    EQ : Emotional Quotient ความฉลาดทางอารมณ์
    ความสามารถที่จะเข้าใจ วิเคราะห์และใช้ความรู้สึกเกี่ยวกับอารมณ์ของตนเองและผู้อื่นได้นั่นเอง
    เป็นการพัฒนาอารมณ์ของตนเอง อารมณ์ของตนเอง รู้ว่าอันไหนควรยับยั้ง ควรปล่อย ควรละ ควรวาง อันไหนควรเจริญให้มาก ควรทำให้เกิดขึ้น ควรรักษาไว้ และ เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น มีใจเอื้อเฟื้อแบ่งปันแก่ผู้อื่นมากขึ้น ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ประโยชน์ของ EQ คือ..
              1. สัมพันธ์ คือ จะเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี รู้จักสร้าง และรักษาสัมพันธ์ทีดีต่อตนเองและทุกคน
              2. มั่นคง คือ จะเป็นคนที่รักษาอารมณ์ของตนเองได้เป็นปรกติอย่างรวดเร็ว แม้จะเผชิญกับความเครียด หรือแรงกดดันมาก ๆ ก็ตาม
              3. ตรงเที่ยง คือ เป็นคนที่มีความเป็นกลาง และยุติธรรม
              4. เรียงร้อย คือ เป็นคนที่ใช้คำพูดที่อ่อนโยนกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนเหนือกว่า เสมอกัน หรือด้อยกว่าก็ตาม
              5. ค่อยคิด คือ เป็นคนที่คิดก่อนพูด และแสดงอารมณ์ได้อย่างถูกกาลเทศะ แบบสมวัย สมตำแหน่ง
              6. จิตสูง คือ เป็นคนที่มีจิตใจสงบ นิ่ง เย็น และยังเป็นคนที่สามารถอ่านความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่นได้รวดเร็ว และถูกต้อง
              7. จูงใจ คือ เป็นคนที่สามารถโน้มน้าวคนอื่นโดยไม่ต้องใช้อำนาจ และ
              8. ไม่เครียด คือ เป็นคนที่สามารถสร้างและใช้อารมณ์ขันได้อย่างมีไหวพริบและถูกกาลเทศะ

    CQ : Creativity Quotient ฉลาดใรการคิดริเริ่มสร้างสรรค์
    ความฉลาดในการริเริ่มสร้างสรรค์ มีความคิด จินตนาการหรือแนวคิดใหม่ๆ ในรูปแบบต่างๆ เช่น การเล่น งานศิลปะ การประดิษฐ์สิ่งของ CQ จะสัมพันธ์กับเรื่องการเล่น ถ้าเด็กได้เล่นอย่างอิสระตามความชอบและเหมาะกับวัย เด็กก็จะมีความคิดสร้างสรรค์ 
    การปลูกฝังเรื่องนี้จึงอยู่ที่พ่อแม่มีเวลาเล่นและทำกิจกรรมที่ส่งเสริมจินตนาการกับลูก เช่น การเล่นศิลปะ การหยิบจับของใกล้ตัวมาเป็นของเล่น การเล่านิทาน เป็นต้น 

    PQ : Play Quotient ความฉลาดที่เกิดจากการเล่น
    ความฉลาดที่เกิดจากการเล่น เกิดจากความเชื่อที่ว่าการเล่นพัฒนาความสามารถของเด็กได้หลายด้าน ทั้งพัฒนาการด้านร่างกาย ความเฉลียวฉลาด ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์และสังคม PQ จึงเน้น ให้พ่อแม่เล่นกับลูก ถึงกับมีคำพูดที่ว่าพ่อแม่เป็นอุปกรณ์การเล่นที่ดีที่สุดของลูก การที่พ่อแม่ให้ลูกขี่คอ เล่นจ๊ะเอ๋ เล่นซ่อนหา เล่านิทาน สามารถสร้างเสริมพัฒนาลูกได้ดีกว่าของเล่นพัฒนาการแพงๆ เพราะนอกจากพัฒนาการด้านร่างกายและสติปัญญาที่เกิดขึ้นแล้ว ลูกยังได้รับความรู้สึกอบอุ่น มีความสุขไปพร้อมกับคำสอน หลักคิดต่างๆ ที่สอดแทรกระหว่างที่เล่นด้วย
     

    MQ : Moral Quotient ระดับของศีลธรรมในใจคน
    เป็นเรื่องที่ต้องฝึกมาแต่เด็ก ถ้าได้รับการปลูกฝังเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมมาแต่ยังเป็นเด็ก บุคคลก็สามารถพัฒนาพื้นฐาน MQ ของตนขึ้นมาในระดับหนึ่ง (มากน้อยแล้วแต่การปลูกฝัง) และ MQ นี้ก็จะฝังลึกลงไปในจิตให้สำนึกของบุคคลผู้นั้น และจะรอเวลาที่ได้รับการกระตุ้นอีกครั้ง โดยการอบรมสั่งสอน การฟังธรรม และวิธีอื่น ๆ แต่ถ้าบุคคลไม่มี MQ อยู่ในจิตสำนึกดั้งเดิมแล้ว ไม่ว่าโตขึ้นจะได้รับการกระตุ้นอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้บุคคลผู้นั้นกลายเป็นคนดีขึ้นมาได้มากนัก 

    AQ : Adversity Quotient ความฉลาดในการแก้ไขปัญหา
    เป็นความสามารถของบุคคลในการเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ หรือความยากลำบากต่างๆ ในการดำเนินชีวิตด้านต่างๆ กันได้ มีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์หรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นได้ ความสามารถในการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส


         ...ผมปารถนาอย่างยิ่งว่า..นิยายชีวิตเรื่องนี้จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้และเข้าถึงได้กับคนทุกเพศทุกวัย เพื่อปลูกฝังความฉลาดทั้ง ๕ อย่างเหล่านี้ พร้อมทั้งความเอื้อเฟื้อ ซื่อสัตย์ ขยัน อดทน ความต่อสู้ไม่ย่อท้อ การยอมรับความจริง ยอมรับสถานะภาพตนไม่ใช่เพื่อหลีกหนีความจริง แต่เป็นไปเพื่อนำเป็นหลักในการดำรงชีวิตประครองตนให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีประสิทธิภาที่ดี...

         ผมจึงจัดทำนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อสิ่งนี้ เป็นการรวบรวบประสบการณ์จากเตี่ยกิมคุณ เบญจศรีวัฒนา พ่อแท้ๆของผมที่สอนผม จนผมโตขึ้นมาแก้ปัญหาต่างๆได้ ตลอดจนเป็นใช้เป็นบทเรียนสอนลูกหลานสืบไป ซึ่งการสอนลูกหลานในส่วนที่เป็นตัวผม จะรวมทั้งคำสอนเตี่ย พระธรรมของพระพุทธเจ้า คำสอนของพ่อหลวงพระบาทสมเด็จพระปรินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ และ ที่สำคัญการจะทำให้ได้ผลดีนั้นอยู่ที่ตัวเองจะยอมรับมันได้แค่ไหน ซึ่งตรงนี้เด็กแต่ละคนจะต่างกันไป แต่ถ้าเราในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่จะใช้ EQ ของตนเพื่อเข้าถึงลูกหลาน ให้น้อมลงใจจดจำและทำตาม ช่วงเวลานี้ยังเป็นตอนเด็กๆไม่มีอะไรมาก โตขึ้นความรักของวัยรุ่นจะเริ่มมา เพื่อนฝูง อบายมุข เรื่องเรียน เมื่อแต่งงานก็เรื่องความรักผู้ใหญ่ ครอบครั้ว ปัญหาครอบครัว ลูก เมีย พ่อ แม่ ปัจจุบัน อนาคต ฯลฯ เรียกว่าผมรวมชีวิตคนไว้ในนิยายเรื่องเดียวซึ่งจะแบ่งเป็นภาคๆไปครับ เพราะความรุนแรงของปัญญา การปลูกฝัง การแก้ไขปัญหาจะต่างไปตามอายุคน จนที่สุด คือคำว่ารู้จักพอ พอเพียง และ เพียงพอ ซึ่งความพอเพียงของแต่ละคนจะต่างกันไปตามฐานะความเป็นอยู่ แต่หากได้รู้จักแยกแยะว่าสิ่งไหนเกินความจำเป็นหรือสิ่งไหนใช้เพื่อดำรงชีพให้คงอยู่ได้ ความพอเพียงของแต่ละคนก็จัตรงกัน ดังว่า..

    - คนบางกลุ่มที่แทบไม่มีจะกินยังไม่รู้จักความเพียงพอเป็นอย่างไร แต่หวังจะรวยล่นฟ้า พอมีโอกาสมาก็ไม่รู้คุณค่าของมัน ก็กลายเป็นสามล้อถูกหวยร้อยล้าน ไม่มีการเตรียมการ ไม่มีการวางแผนการใช้จ่ายดำเนินชีวิตเพื่อความยั่งยืน แล้วก็ใช้เงินไปไม่ถึงเดือนเงินก็หมดก็กลับมาจนอีก

    - คนบางกลุ่มยากจน แต่รู้จักความพอเพียง แล้วสู้ ขยัน อดทน เพื่อทำให้ตนถึงความพอเพียงที่บริบูรณ์ เขาจะฉลาดใช้ ฉลาดหา ฉลาดอดออม เพียร สู้ รู้จักพอ รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี ที่ตนพึงทำได้ สะสมไปเรื่อยๆ จนถึงความพอเพียง เมื่อถึงความพอเพียงก็จะยีงความพอเพียงให้บริบูรณ์ยั่งยืนนานไม่ลำบากอีก แล้วยังความสุขและร่ำรวยมาให้ในภายหน้า เหมือนคนถูกหวยได้เงินมาแล้วนำไปทำประโยชน์สืบต่อ ต่อยอด ซื้อที่ทาง ทำสวน ค้าขาย จัดแบ่งสันปันส่วนที่พอเหมาะดีงาม เพื่อดำรงชีพสู่ความยั่งยืนยาวนาน เพื่อให้ตนและครอบครัวอยู่ได้ไม่ลำบากสืบไป

    - คนบางกลุ่มมีฐานะพอใช้ แต่มีขัดสนอยู่บ้าง ยังไม่ถึงความพอเพียงที่บริบูรณ์ ไม่รู้จักความพอเพียง แต่หวังจะรวยใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายสบายใจ มันก็เหมือนคนทำบัตรเครดิตพอมีเงินเยอะก็ใช้จนไม่มีสติหยุดคิดและรู้จักพอพอ เห็นเขามีตนก็อยากมีแล้วติดหนี้เป็นล้านม่ใช้หนี้จนไม่มีเงินจะกินข้าว ยิ่งแสวงหาให้ได้เงินเยอะจนทำทุจริตก็เอา หรือทำงานสุจริตเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพื่อใช้หนี้สิน
    - คนบางกลุ่มบางคนมีฐานะพอใช้ อาจมีขัดสนบ้าง แต่เขารู้จักความพอเพียง เขาจะฉลาดในการประหยัดใช้จ่ายที่พอดี ไม่หลงสิ่งปรนเปรอตนจนเกินความจำเป็น ไม่ฟุ้งเฟ้อ ยังความพอเพียงที่บริบูรณ์ให้เกิดขึ้น เมื่อความพอเพียงที่บริบูรณ์ย่อมน้ำสุขและความร่ำรวยมาให้ ดั่งคำว่าเหลือกินเหลือใช้ก็เอาไว้ขาย แม้จะทำบัตรได้ก็รู้โทษของมันไม่แสวงหาที่จะทำบัตรเครดิต หรือเมื่อทำได้ก็มีไว้เพื่อสำรองจ่ายฉุกเฉินในสิ่งที่จำเป็นจริงๆเพื่องดำรงชีพและอยู่รอด หนี้ก็จะน้อย ปลดหนี้ง่าย และยังฉลาดใช้หนี้ ฉลาดใช้กิน ฉลาดพอใจในสิ่งที่พีงมีพีงทำได้ ฉลาดหาเงิน ฉลาดเก็บเงิน จนถึงอาจทำไปพร้อมๆกันได้ไปพร้อมๆกันได้ แล้วใช้เงินนั้นอย่างคุ้มค่า
    - คนบางกลุ่มร่ำรวยจนล้นฟ้าใช้จ่ายไม่มีหมด แต่ไม่รู้จักความเพียงพอ ก็นำทรพย์สินที่มีไปใช้ในสิ่งที่ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์ เรียกว่าน้ำทรัพย์ไปละลายน้ำเล่น แม้ในปัจจุบันตอนนั้นเขามีกินไม่หมดแต่ทรัพย์ที่ไม่มีการใช้อย่างรู้คุณค่ามีแบบแผนย่อมหมดลงไปเรื่อยๆไม่มีพอกพูนเพิ่มขึ้นหรือเท่าตัวภายหน้าแม้ตัวเขาไม่ลำบากลูกหลานต้องลำบาก สั่งสอนลูกหลานไม่ได้ ไม่มีความรู้ที่จะแก้ไขปัญหา ควบคุมสภาพจิตใจ หรือหากวันหนึ่งเมื่อถึงคราวตกอับก็ไม่อาจจะทนสู้ฝ่าฟันเพื่อให้ตนและครอบครัวอยู่แบบพอเพียงได้ สุดท้ายฆ่าตัวตายก็มี ไปขอทานก็มีเพราะทำอะไรไม่เป็น
    - คนบางกลุ่มร่ำรวยจนล้นฟ้าใช้จ่ายไม่มีหมด แต่รู้จักความพอเพียง ก็จะรู้จักนำเงินนั้นไปใช้ในสิ่งที่ประกอบไปด้วยประโยชน์ ต่อยอด ก็ยิ่งทำให้ตนเจริญยิ่งๆขึ้นไปอีกไม่มีหมด ฉลาดหา ฉลาดกิน ฉลาดใช้ ฉลาดอดออม ย่อมไม่มีวันตกอับไปทั้งชาติเพราะครบพร้อม พร้อมมูล มีคำสอนที่ใช้สอนลูกหลานในการดำเนินชีวิตต่อยอดที่เป็นอยู่ได้

    ซึ่งจะเห็นได้ว่าความสำเร็จของกลุ่มคนบางกลุ่มที่ถึงความสำเร็จที่ยี่งยืนนานทั้งหมดนี้ ล้วนต้องมีความรู้จักพอ และอาศัยความฉลาดทั้ง ๕ ข้อนั้นหนุนประกอบกับ IQ ซึ่งสามารถฝึก เรียนรู้จดจำตามตำรา และนอกตำราได้ จับหลักของวิชานั้นๆได้ พลิกแพลงใช้ได้แบบไม่จำกัดสถานที่ แลไม่จำกัดกาล

    ผมหวังอย่างยิ่งว่า นิยายเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายที่ให้ความกรุณาแวะเยี่ยมชมนิยายผมรับ




    ขอขอบพระคุณทุกท่านอย่างสูงที่แวะชมเยี่ยมเยียนครับ


    --------------------------------------------------------------------------------------





    รูปนี้ไม่เกี่ยวข้องไรๆกับการเมืองทั้งสิ้น
    เพราะบ้านผมเคารพรักศรัทธาใน
    ..พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช..
    รูปนี้ถ่ายเมื่อเทศกาล วันที่ ๕ ธันวามหาราช พ.ศ. ๒๕๕๐ ณ สวนสัตว์ดุสิต(เขาดิน)  กทม.





    เกริ่นนำ..

         ณ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔
         มีครอบครัวๆหนึ่ง มีพ่อกับแม่และลูก 8 คน มีลูกสาว 6 คน ลูกชาย 2 คน ผู้เป็นพ่อเป็นคนจีน ลูกๆเรียกท่านว่าเตี่ย ท่านทำงานเป็นเสมียนอยู่โรงน้ำปลามีรถจักรยานปั่นไปกลับที่ทำงานซึ่งห่างกันประมาณ 3.5 กม. รวมไปกลับ 7 กม. ส่วนผู้เป็นแม่เป็นคนไทยจังหวัดสกลนคร ลูกๆเรียกท่านว่าแม่ ท่านเปิดร้านขายส้มตำไก่ย่าง สมัยนั้นส้มตำถุงละ 3 บาท ไก่ไม้ใหญ่ ไม่ละ 10 บาท เช่าบ้านเป็นห้องแถวของคนจีนอยู่หลังหนึ่งเดือนละ 500 บ. มีฐานะไม่ได้ร่ำรวยเช้าชามเย็นชาม แต่เพราะความไม่ร่ำรวยนี้แหละ ทำให้เข้าใจความพอเพียง และ ฝึกฝนตนเองให้ครอบครัวนี้เป็นคนต่อสู้ปัญญา ไม่หนีปัญหา มีความ เอื้อเฟื้อ ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน แล้วกค่อยๆก่อร่างสร้างเนื้อสร้างตัวถึงความพอเพียงได้


    --------------------------------------------------------------------------------------



    บทเรียนเริ่มเรื่อง...ความทรงจำหลักในคำสอนเตี่ย

    ก่อนอื่นผมขอแจ้งรายละเอียดตัวละครก่อนนะครับ ผมจะเป็นลูกคนสุดท้อง ชื่อ ก๊กเฮง เพื่อดำเนืนเรื่องราวในบท..นิยายแห่ง..ชีวิต..ธรรม..คำเตี่ยสอน..ตามรอยพ่อหลวง.. นี้ครับ

         "ผมชื่อก๊กเฮง แซ่โง้ว ..ก๊กเฮง แปลว่า ดาวประจำเมือง หรือ ความเจริญของบ้านเมือง เตี่ยตั้งเป็นชื่อจีนให้ 

    เตี่ยผมท่านชื่อกิมคุณ  เตี่ยจะพูดภาษาไทยกับลูกๆ
    แม่ผมท่านชื่อซ่อนกลิ่น แม่จะพูดภาษาอีสานกับลูกๆ

    ผมมีพี่น้องอยู่ด้วยกันรวมผมเป็น 8 คน มี พี่สาว 6 คน พี่ชาย 1 คน คือ
    1. เจ้ตุ๋ย
    2. เจ้ต๋อย
    3. เจ้จิน
    4. เจ้นุช
    5. เจ้โม
    6. เจ้นิด
    7. เฮียตี๋
    8. ผมเป็นน้องคนสุดท้อง

         เตี่ยผมอายุมากกว่าแม่ 20 ปี ผมเกิดขึ้นมาตอนเตี่ยอายุประมาณจะเกือบ 60 ปีแล้ว แม่ผมก็อายุประมาณเกือบจะ 40 ปีแล้ว ผมอายุห่างจากพี่คนที่ 7 ประมาณ 10 ปี ตอนผมเกิดมาทางบ้านก็เริ่มจะพยุงครอบครัวให้มีอยู่พอกินพอใช้กันได้แล้ว เพราะทุกคนรู้ประหยัด ขยันทำงาน อดออมเงิน หารายได้เสริมอยู่เสมอๆ
         เตี่ยผมมักจะสั่งสอนผมอยู่เสมอๆว่า..บ้านเราไม่ใช่คนรวยเมื่อก่อนแทบจะไม่มีอยู่ไม่มีกิน ใช้เวลาอยู่นานจนวันนี้เริ่มอยู่กินแบบพอเพียง ที่เป็นแบบนี้ได้เพราะทุกข์คน มีความรู้จัก "เอื้อเฟื้อแบ่งปัน, ซื่อสัตย์, ขยัน, อดทน"  จึงทำให้บ้านเรามีฐานะดีขึ้นอยู่กินดีขึ้น เราเป็นลูกคนจีนต้องยึดข้อนี้ไว้ให้มั่น ดังนั้นก๊กเฮงก็ต้องปฏิบัติเจริญรอยตามเพื่อตัวก๊กเฮงเองไม่ใช่ใครอื่น ก๊กเฮงเกิดมาในช่วงที่บ้านมีกินที่ดีขึ้นแล้วเป็นลูกคนสุดท้องที่เจ้ๆและอาเฮียรัก แต่ก๊กเฮง "อย่าลืมตัว จะต้องรู้จัก กตัญญูกตเวทีรู้บุญคุณคน, มีปกติอ่อนน้อมมถ่อมตัว, รู้จักใช้จ่ายอย่างประหยัดพอเพียง, อดออม"  เพราะวันหนึ่งต้องเป็นที่พึ่งของทุกคนในบ้านจำไว้ให้ดีนะลูกวันหนึ่งเมื่อก๊กเฮงมีครอบครัว มีลูก สิ่งที่ก๊กเฮงปฏิบัติประสบการณ์ที่ควรค่ายิ่งของก๊กเฮงนั้นแหละจะเป็นคำสอนของลูกสืบไป

         ผมก็เจริญปฏิบัติตามคำสอนที่เตี่ยสอนนี้เสมอมาเรื่องนี้สืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ผมจะหาเช้ากินค่ำ มีพอกินบ้าง ไม่พอกินบ้าง กินได้อิ่มบ้าง ทำพลาดพลั้งบ้างแต่ด้วยคำเตี่ยสอนที่ผมจดจำมาจนถึงทุกวันนี้ได้ประครองให้ชีวิตผมไม่อับจนตกอับ...

         บทเรียกนี้แบ่งเป็น ๒ ภาคการเรียนดังนี้
         ๑. "ภาคการเรียนที่ ๑. เตี่ยสอนก๊กเฮง"
    ..เป็นเรื่องราวคำสอนสมัยที่ผมยังเด็ก จนเรียนจบ ทำงาน
    (ปัญหาและคำสอนในภาคเรียนที ๑ นี้ จะเกิดมีต่างๆนาๆซึ่งปัญหาในแต่ละช่วงอายุและวัยก็จะต่างกันไป ซึ่งเริ่มจากเด็กที่เรียบง่ายไม่ประสีประสาอะไร ไม่คิดอะไรมาก อยู่กับปัจจุบันมากกว่าความคิดอ่าน นอนหลับตื่นมาก็ลืม พูดและฟังง่ายๆตามประสาเด็ก ตลอดไปจนถึงเมื่อเจริญวัยปัญหาก็จะเริ่มหนักขึ้นๆเรื่อยๆ มัธยมต้น เรียนช่าง ที่สุดจนถึงเมื่อตอนทำงานก่อนที่จะแต่งงานซึ่งจะหนักมากขึ้นไปอีกตามช่วงเวลา)
         ๒. "ภาคการเรียนที่ ๒. ปะป๊าสอนเป๋าเป่า"
    ..เป็นเรื่องราวคำสอนของก๊กเฮงที่สอนลูกชายเพียงคน้เดียว คือ อั่งเปา จากประสบการณ์ชีวิตความผิดพลาด โชคชะตา การแก้ไขปัญญา ความตั้งมั่นริเริ่ม ความเพียรกระทำที่ยึดมั่นคำสอนของเตี่ย พระธรรมของพระพุทธเจ้า และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ ที่ทำให้พยุงตนเองผ่านจากความฉิบหายมาได้ จนสามารถเลี้ยงดูอั่งเปามาได้จนถึงทุกวันนี้ ด้วยเงินเดือนเพียง 8,900 บาท ตั้งแต่ปี 2549 - กลางปี 2559 และ เพิ่ง ได้เงินเดือน 11,000 เมื่อประมาณกลางปี 2559 นี้เอง แต่ไม่เคยเคียดแค้นท้อใจที่ตนนั้นไม่มีโอกาสเหมือนคนอื่น ไม่ร่ำรวยเหมือนเขา ยิ่งกลับภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกเตี่ยและแม่ เป็นพ่อ เป็น สามี เป็นน้องของพี่ๆทั้ง ๗ คน เพราะมันคือปัจจัยสำคัญให้เราโตและเป็นพ่อที่น่าภาคภูมิใจในภายหน้า
    (ซึ่งปัญหาในช่วงนี้จะหนักมากๆในฐานะพ่อ-สามี-ความเป็นลูกของเตี่ยและแม่ ความเป็นน้องคนสุดท้องของพี่ๆ ต้องอาศัยองค์ประกอบมากมายก้าวข้ามผ่านพ้นไป โดยเฉพาะ สติ ปัญญา และความเพียร แต่เมื่อผ่านมาได้นี่แหละคือบทเรียนที่ดีที่เราใช้สอนลูกในภายหน้า)


         มาเริ่มบทเรียนใน ภาคการเรียนที่ ๑. จากเกับผมกันได้เลยครับ...



    --------------------------------------------------------------------------------------



    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น