เพราะมันก็แค่เรื่องธรรมดาๆ
บางครั้งทุกสิ่งอาจเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ แต่หลายครั้งที่คนจะมองข้ามมันไป
ผู้เข้าชมรวม
275
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
กิจวัตรประจำวันของผมในทุกๆวันก็เป็นเช่นใครๆ ตื่นประมาณ 5-6 โมง ทำธุระส่วนตัว กินข้าว อาบน้ำ แล้วไปทำงานในฐานะพนักงานบริษัทกินเงินเดือนทั่วๆไป หากถามผมว่าเบื่อมั้ย? แน่นอนล่ะ มีใครบ้างจะชอบชีวิตธรรมดาๆแบบนี้ ผมต้องการอะไรแปลกใหม่ แปลกใหม่มากพอที่จะดึงดูดใจผมได้
เย็นวันอังคารที่ 30 กันยายน สำหรับพนักงานอย่างพวกผม วันนี้คงเป็นวันที่ดีที่สุดของเดือน ช่วงเวลาที่ผ่านมาตลอดหนึ่งเดือนของพวกเราได้รับการตัดสินจากเงินก้อนนี้ และการบริหารจัดการเงินแต่ละเดือนสำหรับใช้จ่ายให้เพียงพอนับว่าเป็นเรื่องยากพอๆกับงานที่เขาให้ผมทำ
ผมค่อยๆก้าวเดินด้วยอารมณ์เบื่อหน่าย ‘ชีวิตแบบเดิมๆอีกแล้ว เหมือนมันหมุนเช่นนี้มาตลอด 6 ปีผ่านมานับแต่วันที่ผมออกจากรั้วมหาวิทยาลัย’ ผมหันมองซ้ายที ขวาทีเหมือนปกติลักษณะของผม...ร้านอาหารไทยยังคงอยู่มุมขวาสุดถนน ร้านขายสินค้าไร้สาระ (มันก็คือร้านที่ขายอุปกรณ์ประดับตัวนั่นแหละ) ยังคงมีกระจายประปรายมากมาย เสื้อผ้าเลียนแบบแบรนด์เนมดังยังคงวางอย่างเกลื่อนกลาดพร้อมเสียงร้องเร่ขายของแม่ค้าริมฟุตบาท บริษัทรับจัดหางานที่ต้มตุ๋นเงินคนรู้ไม่เท่าทันยังคงอยู่ติดกับสถานีตำรวจเช่นเดิม ผมเคยสงสัยว่าทำไมตำรวจไม่จับเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่มาลองคิดอีกที มันก็คงเหมือนประโยคที่ผมเคยได้ยินมาว่า “คงเรามักมองข้ามอะไรที่อยู่ใกล้ตัวเสมอ”
ผมยังคงกวาดสายตาไปเรื่อยๆ จนสะดุดกับบ้านไม่เคยเห็นมาก่อนในละแวกนี้หลังหนึ่ง แน่ล่ะ...คนที่ผ่านทางนี้ทุกวันอย่างผมย่อมต้องสังเกตสิ่งผิดปกติ ผมรู้สึกแปลกๆเล็กน้อยแต่ความสงสัยของผมมีมากกว่า
ผมตรงไปพร้อมเอื้อมมือไปผลักบานประตู
แต่..........
มันเปิดไม่ออก!!!
ผมรู้สึกลิงโลดราวกับเด็กได้ของเล่นใหม่ มันน่าประหลาดพอควรสำหรับผม ผมเริ่มที่จะสำรวจรายละเอียดหน้าประตูแล้วบริเวณโดยรอบ
บานประตูไม้ที่ผมได้ผลักไปมีฝุ่นจับหนา จนปรากฏรอยมือที่ผมเพิ่งประทับไปเมื่อครู่อย่างชัดเจน กระจกบานสองบานด้านข้างที่อยู่ติดกับประตูมีรอยแตกร้าวเป็นบางส่วน มันไม่มากนัก แต่ก็ดูน่ากลัวเกินกว่าจะเชิญชวนใครให้เข้ามา เหนือบานประตูมีโคมไฟดวงเล็กๆที่กระพริบอยู่ตลอด ทั้งหลังสร้างจากไม้ที่มีราคามากทีเดียวแต่ออกจะดูชำรุดไปมาก ทั้งหมดราวกับบ้านโบราณสร้างแบบยุโรปที่หลุดออกมาจากเมื่อ 8 ทศวรรษที่แล้ว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม แต่มันอยู่ที่ว่า
ผมจะเข้าไปข้างในได้อย่างไร???
ผมนำเรื่องนี้เก็บไปคิดตลอดทั้งคืน และเป็นสาเหตุทำให้ผมเข้าประทับตราเข้างานสาย ผมถูกดุว่าเล็กๆน้อยๆจากหัวหน้าแผนก แต่มันก็แค่เรื่องธรรมดาๆ
วันนี้ผมเร่งรีบทำงานแต่ล่ะอย่างให้เสร็จตั้งแต่ที่บริษัท เผื่อว่าจะมีเวลามากพอที่จะหาทางเปิดประตูบานนั้น แต่มันไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไร ไม่ว่าผมจะทำอะไร มักจะปรากฏภาพประตูนั้นขึ้นมาขัดเสียทุกทีไป ผมจึงเลือกที่จะเลิกงานก่อนเวลา ผมปิดเอกสารและแฟ้มทุกชนิด แล้วเดินออกมาพร้อมกับเสียงกร่นด่าจากหัวหน้าแผนกของผมมาตลอดทาง
แต่...มันไม่เข้าหูผมสักคำ เพราะมันก็แค่เรื่องธรรมดาๆ
ผมหยุดและยืนตรงจุดที่เมื่อวานผมเห็นบ้านหลังนั้นครั้งแรก พอได้มองมันจากมุมไกล ผมก็เริ่มสงสัยตัวเองว่า เมื่อวานผมเห็นมันได้อย่างไร ในเมื่อมันถูกแสงของตึกบังอยู่เป็นมุมที่กลบมันเสียมิดทีเดียว ผมมองตามเงาทอดบังแสงไปเรื่อยๆจนพบว่า นั่นมันตึกบริษัทผมเอง!!!
ความรู้สึกของผมพุ่งขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ‘ทำไมกัน ทำไมตึกบริษัทผมถึงตั้งอยู่ในที่นั่น ทำไมต้องบดบังความงามของที่นี่’ แม้กระทั่ง ผมโทษว่าเป็นเพราะบริษัทผมทำให้ผมเปิดบานประตูไม่ได้ ซึ่งถ้าผมมาคิดอีกที มันดูเป็นอะไรที่เหลวไหลที่สุด
ผมค่อยๆก้าวเหมือนเช่นเมื่อวาน แต่ผมเดินเร็วกว่าเดิมเล็กน้อยเพราะผมรู้ทิศทางดีแล้ว ผมยังคงจ้องสำรวจรายละเอียดและพยายามหาจุดเล็กๆที่อาจเป็นกุญแจไขเปิดก็เป็นได้ แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ต้องกลับที่พักอย่างไร้ความหมาย
ผมไม่ได้แวะไปที่นั่นอีกเลยจนถึงวันศุกร์ เพราะหัวหน้าแผนกผมมายืนจ้องดูผมเสียตลอดเวลา เขาบอกผมว่า ผมกลับก่อนเวลาไป 3 ชม.เมื่อนับรวมกับเวลาสายอีก ก็ราวๆ 3 ชม.ครึ่ง เขาจึงกำหนดให้ผมชดใช้เป็นเวลา 3 วันครึ่ง!!
ความยุติธรรมมันอยู่ตรงไหนกัน!!! แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะมันก็แค่เรื่องธรรมดาๆ
ยังคงไม่มีอะไรมาฉุดรั้งความคิดของผมออกจากบานประตูนั้นได้ แต่ผมก็คงต้องกลับบ้านไปก่อน พร้อมความมุ่งหมายว่าจะมาดูและถามรายละเอียดให้ถี่ถ้วนในวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันเสาร์พอดี ถึงมันอาจไม่ดีสักเท่าไร ก็คงดีกว่าการทรมานฝืนสังขารเพื่อตอบสนองต่อความอยากรู้อยากเห็น
ผมตื่นสายเล็กน้อยจากการอดนอนอย่างติดต่อกันหลายวันมานี้ที่หัวหน้าใช้งานผมเสียหนัก ผมรีบลุกไปทำกิจวัตรของผมอย่างรวดเร็ว มองซ้ายขวาเพื่อสำรวจตนเองก่อนเดินออกไป
ผมยังคงทำพฤติกรรมเหมือนสองวันนั้นที่ผมมาที่นี่ มองสำรวจเหมือนเช่นเดิม แต่คราวนี้ผมเริ่มซักถามบุคคลซึ่งอยู่ในละแวกนั้น ไม่ว่าจะบริกรร้านอาหารไทยตรงมุมขวาสุดถนน เจ้าของร้านขายสินค้าไร้สาระ แม่ค้าตามฟุตบาท หรือแม้กระทั่ง...
เอ๋???....บริษัทจัดหางานต้มตุ๋นหายไปไหนเสียล่ะ
ตอนนี้ประเด็นของผมเปลี่ยนจากเรื่องบ้านหลังนั้นเป็นบริษัทต้มตุ๋นไปสักครู่ใหญ่ๆ คราวนี้ผมสามารถหาข้อมูลได้รวดเร็วเกินคาด
“อ๋อ...โดนตำรวจจับไปแล้วน่ะค่ะ เห็นว่ามีคนไปแจ้งความ เลยถูกค้น” คำให้การจากบริกรหญิงในร้านอาหารหลังจากที่ผมแงะปากเธอด้วยเมนูอาหารที่ราคาเฉียด 300!!!
“เห็นว่าคนทำเหนื่อยมั้ง เลยลาหยุดไปก่อนแล้วค่อยกลับมาทำน่ะพ่อหนุ่ม ว่าแต่จะรับกางเกงยีนส์ออกใหม่สักตัวไหมจ๊ะ”คำให้การจากแม่ค้าแบรนด์เนม
“นั่นไม่ใช่บ้านธรรมดาๆเหรอ” คำให้การจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา
ว่าแต่...สรุปแล้วมันเป็นยังไงกันแน่??
ทางเลือกสุดท้าย สถานที่ที่ผมไม่อยากเหยียบเข้าไปมากที่สุด สถานีตำรวจ!! ให้ตายเถอะ ผมเกลียดเป็นบ้าอะไรที่ต้องเกี่ยวข้องกับกฎหมาย หรือข้าราชการเนี่ย
“มันเคยมีอะไรติดอยู่กับสถานีตำรวจด้วยเหรอ เดี๋ยวผมลงไปสำรวจให้ละกันนะครับ”
นี่คือคำพูดก่อนที่จ่าคนหนึ่งจะเดินลงไป
“อ๋อ...ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน มันเป็นหน้าที่ที่ผมต้องจำทุกอย่างที่อยู่ละแวกนี้เหรอครับ?”
นี่คือคำพูดหลังจากที่จ่าคนนั้นกลับขึ้นมา แถมยังเพิ่มท้ายด้วยความไม่รับผิดชอบอีกเสียงั้นแหละ
ดูท่าทางวันนี้ผมต้องเลิกแผนงานที่เหลือทั้งหมดเสียแล้ว เพราะข้อมูลน้อยเกินไป (ตอนนี้ผมลืมเรื่องบ้านหลังนั้นไปเสียสนิท)
วันนี้ผมก็นำเรื่องนี้เก็บไปไปคิดตลอดคืนเช่นเคย แต่ในเรื่องบริษัทต้มตุ๋นนั่นแทนที่จะเป็นประตูบานเดิม โชคยังดีที่พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ วันว่างอีกวันสำหรับคนโสดไร้ญาติอย่างผม
ผมพาตัวเองกลับมาจุดเดิมเป็นครั้งที่สี่ และครั้งสุดท้าย คราวนี้ผมเริ่มสำรวจถนนตลอดเส้นทางพร้อมสอบถามไปเรื่อยๆ บางคนถึงกับถามผมเป็นภาษาอังกฤษ เพราะคิดว่าผมเป็นคนต่างชาติหลงเข้ามา ผมได้แต่ยิ้มๆและพูดภาษาไทยกลับไป
วันนี้ประตูบานหายไปแล้ว เหลือเพียงทางเข้าโล่งๆทันทีที่ผมสังเกตเห็น ผมแทบจะวิ่งเข้าใส่ทีเดียว ผมถามคนละแวกนั้นอีกครั้งว่าใครเป็นผู้เปิด แต่ก็ได้คำตอบว่าไม่รู้เช่นเดิม
ผมหยุดหน้าประตูก่อนสูดลมหายใจอีกครั้ง ผมค่อยๆกวาดตามองเข้าไปภายใน ด้านในค่อนข้างมืดสนิท มีเครื่องเรือนประดับบ้างในลักษณะบ้านโบราณทุกประการ
สักพักผมเริ่มสังเกตเห็นเงาเคลื่อนไหวภายใน ผมจึงตัดสินใจที่จะร้องทักไปตามมารยาท แล้วเงานั้นก็เคลื่อนหยุดและเปลี่ยนทิศมาหาผมทันที
ผมรู้สึกตกใจมากทีเดียวที่ผมว่า คนนั้นคือ เจ้าของบริษัทต้มตุ๋นหลังนั้น!!
ผมเริ่มเปิดใจนั่งคุยกับเขา เขาบอกว่าที่จริงเขาไม่อยากทำ แต่เพราะเขาอยากรักษาบ้านหลังนี้ที่ตกทอดมาอย่างยาวนานจนถึงรุ่นเขา (นี่ทำให้ผมรู้ว่า สิ่งไม่ดีที่กระทำบางครั้งอาจมีเหตุผลอันสมควรก็เป็นได้)
และที่เขาเลือกจะหลอกหาที่ทำงานผู้คน เพราะเขาคิดว่า หากไม่มีคนเหล่านี้ ตึกรามบ้านช่องคงไม่ต้องพัฒนาจนกลบบ้านเขาเสียหมด (นี่ทำให้ผมรู้ว่า อาฆาตคนเนี่ยบางทีมาจากเรื่องเล็กๆน้อยๆนี่เอง เขายังแอบบอกผมด้วยว่า ที่เขาไม่โดนตำรวจจับกุม เพราะจ่าคนนั้นสมรู้ร่วมคิดกับเขา)
ผมรู้สึกประหลาดใจอยู่พอควรกับเรื่องนี้แต่มันก็แค่เรื่องธรรมดาๆ แต่ที่ไม่ธรรมดาเนี่ยสิ
ผมจีงถามเขาเป็นอย่างสุดท้ายว่า ทำไมบ้านหลังนี้ถึงเปิดไม่ออก
เขายิ้มพร้อมบอกว่า
“แน่ล่ะ ก็นั่นไม่ใช่ประตู แต่เป็นอิฐก้อนล้วนๆ ผมเพิ่งหาช่างมาเจาะมันได้เมื่อคืนนี้เอง”
ผมรู้สึกว่าการอยากจะคว้าอะไรที่มันแปลกใหม่ แต่สุดท้ายเรื่องแปลกใหม่ก็แค่เรื่องธรรมดาๆที่เรามองข้ามมันไป ก็แค่นั้น...
ผลงานอื่นๆ ของ ๑ตยาคี๑ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ๑ตยาคี๑
ความคิดเห็น