ข้าฝันเช่นนี้
ท่ามกลางทุ่งดอกหญ้าอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
มีเพียงข้าและน้องชายข้าอยู่ ณ ที่แห่งนี้ สายลมพัดโบกดอกหญ้าไปมาคล้ายกับว่ากำลังเริงระบำตามเสียงเพลงที่สายลมเป็นผู้บรรเลง
ท้องฟ้าไร้แสงอาทิตย์เหตุเพราะโดนเมฆหมดบังไปหมดสิ้น เส้นผมที่ลูบไล้ตามใบหน้า เสื้อผ้าที่พลิ้วไหวตามแรงลม
ไร้สุ้มเสียงใดๆ
นอกเสียจากเสียงลมที่พัดโบกไปมา บรรยากาศอันเงียบเชียบนี้ล่วงเลยไปนานเท่าใดก็มิอาจทราบได้
จนกระทั่งเสียงคนๆ หนึ่งได้ดังขึ้นมา
“ข้ากำลังจะตาย” น้องชายข้าพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันเป็นปกติ
ไร้การสั่นไหว หรือแม้แต่ความกลัว และไม่แม้จะหันมาสบตากับคู่สนทนา
“ข้ากำลังจะตาย ด้วยน้ำมือของท่าน” บัดนี้ เขาค่อยๆ หันหน้ามาสบตากับข้า
แววตาที่ฉายประกายความเศร้าสะท้อนเงาของข้าจากดวงตาคู่นั้น ข้าสัมผัสได้ถึงความอาลัยอาวรณ์
ความโหยหา ความขมขื่นที่มาจากตัวเขา ถึงแม้มันจะเบาบางเสียจนแทบมลายหายสิ้น
“เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ เก็นจิ?” ข้าฝืนพูดจากลำคออันแห้งเหือด
เพราะความรู้สึกที่ข้ารับรู้นั่น มันทำให้ข้าใจหายวาบ แทบจะไร้เรี่ยวแรงที่จะยืนหรือแม้แต่จะพูด
หากข้าไม่สามารถประคองสติตัวเองให้ดีข้าคงล้มลงไปบนท้องทุ่งดอกหญ้าได้เสียตอนนี้
“ข้าเพียงจะบอกว่า ข้านั้นจะต้องตายด้วยน้ำมือของท่าน ไม่ช้าก็เร็ว เพราะเหตุนี้ข้าจึงอยากมากล่าวลาท่านก่อนที่จะสายเกินไป”
คำพูดเหล่านั้นทำเอาข้าไม่เชื่อหูตัวเอง เหตุใดข้าจึงต้องทำเช่นนี้
เหตุใดข้าจึงต้องฆ่าน้องชายของข้าเอง แทบไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะสมเหตุสมผลเอาเสียเลย
ข้าได้แต่ตกตะลึงในคำพูดนั้น แน่นิ่งไปไม่ต่างกับรูปปั้นที่ตั้งเอาไว้ เพียงจะเปล่งเสียงออกไปก็ไม่สามารถทำได้
ราวกับเสียงของข้าได้กลืนหายลงไปในลำคอเสียหมด
“ข้ารู้ว่าท่านคงตกใจไม่น้อยที่ได้ยินเช่นนี้ หากแต่ชะตาได้กำหนดไว้แล้วคงมิอาจจะเปลี่ยนแปลงได้
‘เมื่อใดที่บุตรตระกูลชิมาดะเป็นพี่น้องสองคน
เมื่อถึงครานั้น สองพี่น้องจะต้องหันดาบฆ่าฟันกันเอง เพื่อหาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
เพื่อสืบทอดตระกูลต่อไป’ เป็นเรื่องที่น่าอดสูเสียจริง
ท่านว่าไหม?” ประโยคคำถามที่ส่งมานั้นเป็นเพียงคำพูดราบเรียบไม่ได้หมายจะถามข้าเพียงนิด
“ท่านน่ะพรั่งพร้อมไปเสียทุกอย่าง ทั้งยิงธนู ฟันดาบ หรือแม้แต่อาวุธใดๆ
ท่านก็สามารถใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว นับเป็นพรสวรรค์อันแสนวิเศษทีเดียว แต่ข้านี่สิ
เป็นถึงน้องชายของท่านแท้ๆ กลับทำตัวเหลวเหลก ทำชื่อเสียงตระกูลเสื่อมเสีย ไร้ความสามารถไปหมด
ลึกๆ ท่านคงเกลียดข้าไม่น้อยทีเดียว” คราวนี้
น้ำเสียงนั้นกลับแฝงด้วยความเศร้าสร้อย ความน้อยเนื้อต่ำใจ เปล่าเลย เก็นจิ
ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นกับเจ้า เจ้าเป็นถึงน้องชายสุดที่รักของข้า ใยข้าจะเกลียดเจ้าลง
ข้าได้แต่เพียงคิดมิได้พูดออกไปเพราะเสียงอีกคนที่แทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ท่านไม่ต้องพูดอะไรหรอก ข้ารู้ดีว่าท่านรู้สึกอย่างไร” ในที่สุดเขาก็หันมาประจันหน้ากับข้าตรงๆ เดินเข้ามาหาข้าช้าๆ
พร้อมน้ำตาที่ร่วงหล่นตามใบหน้าอันอ่อนเยาว์ สองแขนได้โอบกอดข้าอย่างอ่อนโยน ช่างเป็นความอบอุ่นที่ข้าโหยหามาเนิ่นนาน ความอบอุ่นเช่นนี้อยู่ใกล้กับข้าแค่นี้เองหรือ
ไฉนข้าถึงมองข้ามไปตราบจนถึงตอนนี้ ตอนที่ข้าเพิ่งจะได้รับรู้
“ข้ารักท่าน ฮันโซ หากวันนั้นมาถึง ขอให้ชาติหน้า หรือไม่ว่าชาติไหนๆ
ขอให้เราได้เกิดมาเป็นพี่น้องที่ไม่ต้องเข่นฆ่ากันเช่นนี้เถอะ” ภาพตรงหน้าที่ค่อยๆ
เลือนหายไป เหลือเพียงแต่สัมผัสอันอบอุ่นที่คงเหลือไว้ บัดนี้
ความฝันนั้นกลับย้อนคืนมาในหัวของข้า เสียงหยดของเลือดจากปลายดาบอันเย็นเฉียบในมือของข้า
ร่างไร้วิญญาณของบุคคลที่ข้ารักที่สุดนอนท่ามกลางกองเลือดในมุมหนึ่งของห้องในปราสาทตระกูลชิมาดะ
ดูเหมือนคราวนี้
ความฝันแบบที่เจ้าเคยบอกข้านั่นช่างเหมือนจริงเสียจนข้าไม่อยากจะเชื่อเลยล่ะ
หรือว่านี่เป็นความจริงกันเล่า แต่คราบเลือดในมือบอกข้าได้อย่างชัดเจนทีเดียว ข้าเค้นเสียงหัวเราะออกมาอย่างยากลำบาก น้ำตาที่หยาดรินไปตามใบหน้า
ดวงตาที่พร่ามัวไป
ความรู้สึกสูญเสียที่ข้าไม่สามารถนำกลับมาได้อีกถาโถมเข้ามาอย่างจัง เสียงสายฝนที่โปรยปรายดังเข้ามาในโสตประสาท
ยามเม็ดฝนตกกระทบพื้นราวกับเสียงหัวใจที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งความรู้สึกผิดบาปและไม่น่าให้อภัยเป็นที่สุด
ตราบาปที่เขาทำไว้นั้นดูเหมือนจะไม่หายไปจนกว่าจะได้รับการลงทัณฑ์อย่างสาสมตามที่ตนได้ทำเอาไว้
“ข้ารักเจ้า
เก็นจิ ข้ารักเจ้า...”