ข้อมูลเบื้องต้น
ธันวาคมที่บ้านหนู
นี่คือเดือนสุดท้ายของปี ๒๕๔๔ ปีนี้หนูอายุได้ ๑๑ ขวบแล้วแต่หนูกลับตัวเล็กเหมือนน้องๆ ป.๑ อาจเป็นเพราะหนูกินแต่ผักบ้านๆที่ขึ้นเองริมรั้ว ไม่ค่อยได้กินนมดีๆเหมือนเด็กในเมืองที่ตัวโตๆ แต่จะให้ทำยังไงได้ ก็บ้านหนูอยู่ไกลจากตัวเมืองตั้ง ๖๐ กิโลฯ กว่ารถส่งนมดีๆจะมาถึง นมก็คงบูดหมดพอดี เห้อ....
ห้าโมงเย็นแล้ว หนูทำการบ้าน หุงข้าว และต้มผักเสร็จแล้ว ตอนนี้ก็ทำได้แค่นั่งอยู่เฉยๆบนชานบ้านชั้นสอง จ้องดูพระอาทิตย์หล่นลงไปหลังไร่ข้าวโพดที่ไกลสุดลูกหูลูกตา รอพ่อกับแม่กลับมาแต่ก็คงมืดตามเคย เพราะกว่าเค้าจะเสร็จจากงานไร่ กว่าจะเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ กว่าจะเดินทางด้วยมอไซต์คันเก่าบนถนนลูกรังของบ้านนอกแบบนี้ มันก็คงใช้เวลานานเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าทุกวันหนูก็จะพอมีเรื่องให้คลายความเบื่อเป็นเหมือนโฆษณาสั้นที่ขั้นละครยาว อีกไม่เกิน ๓๐ นาทีย่าก็จะรีบมาเปิดไฟที่ใต้ถุนบ้านให้ ย่าทำแบบนี้เป็นประจำทุกวันถ้าวันไหนพ่อแม่หนูไปทำไร่ แต่ว่าภาพที่ทำให้หนูต้องขำออกมาได้เสมอก็คือเมื่อย่าของหนูกดเปิดสวิตซ์ไฟปุ๊บ ไฟติดสว่างขึ้นปั๊บมันก็เป็นเหมือนสัญญาณของปืนปล่อยตัวนักกีฬา ย่าจะถกผ้าถุงขึ้นและวิ่งลืมแก่ออกไปอย่างรวดเร็ว บางวันหนูวิ่งออกมาจากครัวไม่ทัน ก็จะไม่ได้เห็นย่าเปิดไฟด้วยซ้ำ มีแค่ฝุ่นตลบอบอวลที่ย่าทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น
ทุ่มสี่สิบห้า หนูอาบน้ำเตรียมตัวที่จะมากินข้าวและเข้านอน น้ำในโอ่งวันนี้เย็นมากๆ และหนูคิดว่าแผ่นหลังของหนูวันนี้น่าจะแห้งสนิทไม่ทันได้ถูกน้ำอย่างแน่นอน เสียงมอไซต์ขี่เข้ามาจอดที่ใต้ถุนบ้าน หนูห่อตัวด้วยผ้าห่มแล้ววิ่งออกมาดูที่หัวบันได "พ่อกับแม่กลับมาแล้ว" หนูรีบวิ่งไปยกหม้อข้าวมาวางที่สำรับ วันนี้แม่หิ้วเนื้อหมูสดมาด้วยสงสัยพรุ่งนี้หนูจะได้กินหมูแดดเดียวแน่ๆเลย พ่อกับแม่จัดแจงลงนั่งล้อมวงกับข้าว วันนี้เป็นเมนูเดียวกับสี่วันก่อน คือผักต้มกับน้ำพริกปลาร้า สภาพผักที่ต้มตั้งแต่เมื่อตอนเย็นตอนนี้มันดูจืดชืดและเหี่ยวไม่น่ากิน แต่พวกเราสามคนก็กินมันอย่างเอร็ดอร่อย พ่อตักข้าวคำโตๆพร้อมกับผักและน้ำพริกใส่เข้าไปในปาก เป็นการเพิ่มความอร่อยให้หนูกับแม่ในมื้อนี้ได้เป็นอย่างดี หนูชอบมองเวลาที่พ่อเคี้ยวข้าวคำโตเพราะมันเรียกน้ำลายหนูได้ ทำให้หนูอยากตักรีบตักข้าวกับผักเข้าปากตาม "อิ่มแปล้"
วันนี้หนูต้องงอแงขอแม่ไม่ล้างจานในคืนนี้หนูไม่อยากจุ่มมือลงในกะละมังที่มีน้ำเย็นเฉียบ เพราะมันทำให้หนูปวดมือไปหมด ดีนะที่แม่ยอมให้เก็บจานไปล้างพรุ่งนี้ได้ หนูรีบมุดตัวเข้ามุ้งและแทรกตัวลงไปในผ้านวมหนาๆ หนูชอบการนอนในฤดูหนาวมากที่สุดเพราะมันสบาย สบายจนไม่อยากตื่น หนูนอนขดตัวค่อยๆปล่อยให้ตัวเองได้หลับไป แต่หูก็ยังคงฟังเสียงละครจากทีวีเครื่องเล็กที่พ่อเปิดดูทุกคืน ทีวีถูกตั้งไว้ที่ใต้ถุนบ้านเพราะพ่อไม่อยากให้มันมารบกวนการนอนของหนู ชั้นบนของบ้านเราจึงมืดสนิทมีเพียงแสงของหลอดไฟและทีวีลอดผ่านช่องไม้กระดานขึ้นมาเท่านั้น และแสงนี้มันทำให้ชั้นสองของบ้านเราในตอนกลางคืนมีลำแสงเล็กๆโผล่ขึ้นมาตรงโน้น ตรงนี้เยอะแยะไปหมด เวลาที่มีใครเดินข้างล่างลำแสงเล็กๆเหล่านี้ก็จะดับๆติดๆวูบวาบดูสวยดี และบ้านของเราก็ไม่ได้มีห้อง เรานอนร่วมกันที่โถงใหญ่ๆของบ้านแยกกันด้วยมุ้งบางๆเท่านั้น เวลาหนูนอนและมองไปที่ปลายเท้า หนูก็จะเห็นมุ้งของพ่อกับแม่กางอยู่ให้หนูได้อุ่นใจ แต่หนูก็ไม่ค่อยอยากจะมองมันหรอก เพราะตรงมุมที่แม่ผูกมุ้ง ตรงนั้นมันคือเหลี่ยมมุมของบ้านพอดี เป็นมุมที่ไม่มีแสงส่องถึงและทุกครั้งที่หนูมองไปตรงมุมมืดๆมุมนั้น หนูก็จะรู้สึกว่ามีใครบางคนยืนอยู่เสมอ...
วันหยุดของพ่อแม่
บ่ายสามโมงครึ่งเป็นเวลาเลิกเรียนของหนู หนูรีบกลับบ้านและก็ไม่แวะเล่นกับเพื่อนเหมือนทุกครั้ง เพราะวันนี้หนูรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่ได้ไปทำไร่ หนูเดินร้องเพลงมาคนเดียวไปบนถนนเล็กๆผ่านต้นข้าวโพดที่สูงท่วมหัว ถนนถูกแบ่งออกเป็นสองสีเพราะแสงแดด เงาของต้นข้าวโพดพาดผ่านกึ่งกลางถนนพอดี หนูเดินมองเงาตัวเองเหมือนกับว่าเป็นเพื่อนที่เดินมาส่งที่บ้าน บ้านหลังเดียวกลางไร่ที่ไกลจากบ้านของคนอื่น ระยะทางประมาณเกือบ ๑ กิโลฯได้ ย่าหนูคงมีกล้ามขาเหมือนนักวิ่งแน่ๆถ้าต้องวิ่งวันละ ๑ กิโลฯทุกวัน แต่วันนี้นักกีฬาวิ่งประจำบ้านของหนูก็จะได้พักบ้าง เพราะพ่อกับแม่หนูอยู่ เสียงสับหมูดังลอยมาแต่ไกล หนูรู้เลยว่าวันนี้แม่ต้องทำเมนูอร่อยให้กินแน่ๆ "ร้อยเมตรสุดท้ายขอโชว์พลังขาหน่อยแล้วกัน" หนูวิ่งเข้าบ้านและตรงดิ่งไปที่ครัว แล้วก็จริงๆด้วย แม่กำลังทำผัดบวบใส่หมู และก็มีหมูแดดเดียว หนูขออาสาช่วยงานแต่ก็โดนแม่ไล่ให้ไปอาบน้ำทำการบ้านเพราะเดี๋ยวน้ำจะเย็นแล้วจะวิ่งผ่านน้ำเหมือนทุกที หนูหยิบผ้าขนหนูวิ่งลงจากชั้นสองไปที่ห้องน้ำที่ห่างจากตัวบ้านไปเล็กน้อย หนูต้องเปิดประตูอาบน้ำเพราะห้องน้ำที่บ้านมันมืดมาก ระหว่างที่หนูทำใจที่จะราดน้ำลงไปบนตัว หนูเห็นแม่เดินมาที่ชานบ้านแล้วโยนเศษเนื้อหมูลงมาที่พื้นชิ้นหนึ่งและขมุบขมิบปากพูดบางอย่าง หนูเดาว่าแม่ต้องเรียกแมวมากินแน่ๆ แต่ว่า...แมวที่บ้านมันหายไปนานแล้ว แม่เค้าคงคิดว่ามันจะกลับมาถ้าได้กลิ่น ถึงได้โยนเนื้อหมูไปแบบนั้น เอ้า! ราดน้ำ!! อ้าาาาาเย็นนนนน!!!!
วันนี้กินข้าวเร็วกว่าทุกวัน หนูเบิ้ลข้าวไปสองจานเลยกินหมูแดดเดียวจนราบคาบ พุงนี่กลมดิ๊กเหมือนกับลูกแตงโม คืนนี้สงสัยนอนไม่หลับแน่ๆ ห้าทุ่มกว่าแล้วหนูยังอึดอัดท้องอยู่เลย หนูได้แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนที่นอน พ่อกับแม่ก็นั่งดูละครจนจบหนูก็ยังนอนไม่ได้ เสียงพ่อปิดทีวีและเดินขึ้นมาบนบ้านกับแม่ แม่เดินมาที่มุ้งหนูจากนั้นก็ดันหน้าตัวเองผ่านมุ้งเข้ามาดูว่าหนูหลับหรือยัง หนูต้องแกล้งหลับตาไม่งั้นจะโดนแม่ด่า แม่หลงกลแล้วก็เดินตามพ่อเข้ามุ้งไป หนูนอนมองพ่อกับแม่ผ่านความมืดสลัวของบ้าน แต่ทันใดนั้นหนูกลับรู้สึกถึงบางอย่าง เหมือนกับว่ามีใครบางคนกำลังเดินอยู่บนบ้านของเรา ฝีเท้าที่ค่อยๆกดลงไปบนพื้นไม้กระดาน เสียงไม้ออดๆ แอดๆดังเบาๆ ฝีเท้านั้นกำลังค่อยๆย่องลงจากบ้าน หนูไม่กล้าหันไปมองได้แต่เงี่ยหูฟังว่าเสียงนั้นจะไปตรงไหนของบ้าน เท้านั้นค่อยๆเดินลงบันไดไปอย่างช้าๆและเงียบหายไปในที่สุด หนูรู้สึกเย็นไปทั้งตัวโดยเฉพาะที่ปลายเท้าหนู มันรู้สึกเสียววูบวาบที่เท้ามาก หนูค่อยๆดึงปลายเท้าหุบเข้ามาใต้ผ้าห่มและไม่กล้าที่จะกระดิกตัว หนูหลับไปแบบนี้จนเช้า...
เย็นนี้หนูไม่อยากอยู่คนเดียว
หนูเดินกลับจากโรงเรียนคนเดียวพร้อมกับใจที่เต้นแรง ยิ่งรู้ว่าจะใกล้ถึงบ้านหนูยิ่งเริ่มรู้สึกไม่ดี วันนี้คงเป็นวันแรกที่หนูหวาดกลัวบ้านตัวเองแบบสุดๆ พ่อกับแม่ไปไร่คงจะกลับมามืดเหมือนเดิม หนูรีบอาบน้ำก่อนเป็นอันดับแรกในขณะที่ฟ้ายังสว่างอยู่ หนูหุงข้าวและเอาการบ้านไปนั่งทำที่ใต้ต้นไม้หน้าบ้านเพื่อรอย่า หนูทำการบ้านจนเสร็จแล้วก็นั่งเล่นอยู่ตรงนั้น ห้าโมงครึ่งย่าก็มา หนูไม่เคยดีใจที่ได้เห็นหน้าของย่าขนาดนี้มาก่อน หนูวิ่งไปหาย่าและย่าดูจะตกใจเล็กน้อยที่หนูวิ่งพรวดไปแบบนั้น ย่าเปิดไฟเสร็จและแกเตรียมตัวจะวิ่งแต่แกก็หยุดชะงัก เพราะคงเห็นหนูยืนมองด้วยแววตาเศร้าอยู่ หนูขอให้ย่าอยู่เป็นเพื่อนหนูก่อนรอจนกว่าพ่อกับแม่กลับมาแล้วค่อยไป ย่าอารมณ์เปลี่ยนเป็นหงุดหงิดทันทีพอหนูพูดไปแบบนั้น ย่าบอกต้องรีบกลับไปเปิดไฟบ้านตัวเองเหมือนกัน หนูได้แต่ทำหน้าจ๋อยเสียใจเพื่อให้ย่าสงสารแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ย่าเปลี่ยนใจได้เลย ย่าออกวิ่งทันทีหนูตกใจเลยวิ่งตามย่า ย่าวิ่งไปด้วยพร้อมด่าหนูไปด้วยย่าไล่ให้หนูกลับบ้านไป แต่หนูไม่ยอมหรอกยังไงหนูจะวิ่งไปกับย่า "ไม่น่าเชื่อย่าจะวิ่งเร็วขนาดนี้" เสียงจั๊กจั่นดังสนั่นไปทั่วไร่ หนูกับย่าตั้งหน้าตั้งตาวิ่งโดยไม่พูดอะไรกัน ทำไมหนูรู้สึกสนุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกแต่รู้สึกสนุกก็อยู่ได้เพียงครู่ เมื่อหนูรู้สึกว่ามีเสียงฝีเท้าอีกคู่กำลังเร่งตามหลังหนูกับย่ามาติดๆ หนูไม่กล้าที่จะหันกลับไปดู หนูทำได้แค่เรียกย่า แต่ย่าก็เอาแต่ตั้งหน้าตั้งวิ่งไม่สนใจเสียงเรียกหนูเลย เราสองคนวิ่งจนถึงหมู่บ้านโดยไม่หยุดพัก หนูมองเห็นบ้านย่าแล้ว เราสองคนค่อยๆลดความเร็วของฝีเท้าลงช้าๆอย่างมืออาชีพ หนูเอามือแตะราวบันไดบ้านย่าเหมือนกับว่ามันคือเส้นชัย หนูหันกลับไปมองที่ถนนและไม่พบใคร มีเพียงความสงสัยที่ทิ้งไว้กับฝุ่นจำนวนมากเหล่านั้น ย่าพอเห็นหนูวิ่งมาจนถึงบ้านแกก็เลยบอกว่าคืนนี้ให้นอนที่นี่ได้ ดึกๆพ่อแม่ก็คงจะมารับกลับ หนูเดินไปล่างเท้าเพื่อจะขึ้นบ้านและหนูก็พบว่าฝ่าเท้าของหนูมันพองเป็นตุ่ม นี่คงเป็นผลงานของการวิ่งแบบไม่คิดชีวิตนั้นแหละ
สามทุ่มเสียงมอเตอร์ไซต์ที่คุ้นเคยก็ขี่มาจอดหน้าบ้านของย่า พ่อกับแม่มารับหนูอย่างที่ย่าพูดไว้จริงๆ แม่มองหนูด้วยสีหน้าไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ดุด่าอะไร หนูเดินไปที่รถมอเตอร์ไซต์แทรกตัวเข้าไปที่ระหว่างแขนของพ่อที่เป็นคนขับ หนูนั่งที่ปลายเบาะด้านหน้าอันน้อยนิดแต่เพียงพอสำหรับหนู พ่อขี่มอเตอร์ไซต์ไปช้าๆ บนถนนที่มีแต่สีดำ หนูมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่ต้นข้าวโพด ไฟหน้ารถพ่อมันก็เลือนรางเอามากๆ พอรถมาจอดถึงบ้านหนูก็เดินดิ่งไปที่มุ้งเลยทันที แม่เรียกกินข้าวหนูก็ไม่อยากกิน ไม่มีคำพูดดุด่าจากแม่สักคำ แม่ปล่อยให้หนูนอนตามที่หนูต้องการ คืนนี้หนูหลับไปโดยไม่รู้ตัวคงเป็นเพราะเพลียจากการวิ่งกับย่าเมื่อตอนเย็น แต่ทว่าหนูดันมารู้สึกตัวตื่นเอาตอนดึกมากๆด้วยอาการเจ็บที่ฝ่าเท้า หนูลืมตาขึ้นมาโดยไม่รู้ว่านี่มันดึกมากแค่ไหน รู้แค่ว่าพ่อกับแม่ได้เข้านอนเรียบร้อยแล้ว หนูรู้สึกตึงที่ฝ่าเท้าและรู้สึกเจ็บเอามากๆ แผลมันเหมือนจะมีน้ำเหลืองไหลออกมาด้วย เท้าหนูขยับไปตรงไหนมันก็ติดกับผ้าห่มดูเหนอะหนะไปหมด หนูมองไปที่ปลายเท้า พยายามมองดูว่าพ่อหรือแม่ ว่ามีใครที่ตื่นเหมือนกันหรือเปล่า แต่ดูแล้วจะไม่มี หนูดึงผ้าห่มขึ้นมาเยอะๆเพื่อให้พ้นปลายเท้าที่กำลังระบม หนูพยายามข่มตาให้หลับไปอีกครั้งแต่มันก็ไม่มีทีท่าจะหลับได้เลย หนูนอนมองไปที่มุ้งของพ่อแม่จากนั้นมันก็มีอะไรบางอย่างดลใจให้หนูต้องมองไปที่มุมมืดมุมนั้น หนูจ้องอยู่สักพักก็รู้สึกเหมือนมีอะไรขยับอยู่ในความมืดตรงมุมนั้น ความรู้สึกเย็นวาบแทรกเข้ามาในผ้าห่มอย่างรวดเร็ว หนูรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูกหนูอยากย้ายไปนอนรวมกับพ่อแม่มาก หนูจึงตัดสินใจเรียกแม่ และยังไม่ทันสิ้นเสียงก็มีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมมืดในทันที ร่างของหนูแข็งและขยับไม่ได้ หัวใจเต้นรัวราวกับว่าหนูกำลังจะขาดใจตาย ในความมืดสลัวแต่ก็พอจะทำให้มองร่างของผู้หญิงคนนั้นได้ เธออยู่ในชุดผ้าถุงยาวเสื้อสีเข้มแขนยาวเหมือนกับชุดที่ย่าชอบใส่ไปทำบุญที่วัด เส้นผมของเธอยุ่งเหยิง เธอจ้องนิ่งมาที่หนู หนูหรี่ตาแกล้งว่าหลับอยู่ แต่แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เดินจ้ำเข้ามาที่ปลายเท้าหนู พื้นไม้กระดานสะเทือนส่งเสียงดัง แต่มันก็ไม่ทำให้พ่อกับแม่รู้สึกตัวขึ้นมาได้ เธอหยุดนิ่งที่ปลายเท้ามองมาที่หนู หนูมองหน้าเธอผ่านมุ้งเก่าๆทำให้เห็นหน้าของเธอไม่ชัด กลิ่นสาบจากตัวเธอเหม็นคลุ้งไปทั่ว หนูค่อยๆหดขาเข้ามาอย่างช้าๆแต่ด้วยผ้าห่มที่หนูตลบขึ้นมาสูง ทำให้ปลายเท้าหนูโผล่ออกมาได้อยู่ดี หนูค่อยๆยกมือที่สั่นเทาขึ้นมาเพื่อจะพนมไหว้และสวดมนต์ แต่หนูคงทำได้แค่คิด เพราะทันทีที่หนูเอามือทั้งสองข้างมาประกบกัน ร่างของผู้หญิงคนนั้นก็ผลุบทะลุผ่านพื้นไม้กระดานของบ้านลงไปที่ใต้ถุนอย่างรวดเร็ว เธอใช้เล็บลากผ่านฝ่าเท้าข้างที่กำลังเจ็บ หนูสำผัสถึงหนังเท้าที่เป็นตุ่มพองได้ฉีกออกตามแรงกดของเล็บเธอ และทันใดนั้นหนูก็วูบหลับไป...จนเช้า
เช้าที่ไม่เหมือนเดิม
เช้านี้หนูเป็นไข้ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ แม่ต้องอยู่ดูแลหนูที่บ้าน และปล่อยให้พ่อออกไปทำไร่เพียงคนเดียว แม่พอเห็นหนูรู้สึกตัวก็เข้ามาดูหนูพร้อมกับพยุงตัวหนูขึ้นเพื่อให้กินข้าวต้มๆเปล่าๆใส่น้ำปลา หนูกินข้าวต้มได้สองสามคำก็กินไม่ลง แม่แกะยาลดไข้ราคาไม่กี่บาทออกจากแผงให้หนูกิน หนูกินยาแล้วเอนตัวลงนอนที่เดิม แม่บ่นเรื่องที่หนูนอนไม่ห่มผ้าจนทำให้ป่วยและไปเรียนหนังสือไม่ได้ แต่หนูรู้ดีว่ามันไม่ใช่สาเหตุนั้น และหนูก็ยังคงจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้ทุกรายละเอียดไม่มีวันลืม แม่เก็บชามข้าวต้มและกำลังจะออกไปจากตรงนี้ หนูตัดสินใจบอกแม่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อคืน แม่นั่งฟังด้วยสีหน้านิ่งจนหนูเดาอารมณ์แม่ไม่ออก หนูเล่าไปแล้วร้องไห้ไปด้วยความหวาดกลัว พอเล่าจนจบแม่ก็เอื้อมมือเข้ามาเช็ดน้ำตาที่แก้มให้หนู แล้วพูดกับหนูว่า "ทีหลังก็อย่าดื้อวิ่งหนีพี่เค้าไปแบบนั้นอีก มีพี่เค้าอยู่ด้วยแม่จะได้สบายใจ" แม่พูดจบก็ห่มผ้าให้หนูแล้วเก็บชามข้าวต้มเดินออกไป หนูนอนนิ่งอยู่บนที่นอน มองไปที่มุมนั้นของบ้าน และหนูก็รู้เลยว่า พ่อกับแม่รู้มาโดยตลอดว่ามีใครบางคนอยู่ในบ้าน หรือว่าแม่ จะเลี้ยงผีไว้คอยเฝ้าบ้านและดูแลหนู.....
มีผีอยู่ด้วยแม่จะได้สบายใจ
ความคิดเห็น