ปลายเท้าที่เย็นเยือก - ปลายเท้าที่เย็นเยือก นิยาย ปลายเท้าที่เย็นเยือก : Dek-D.com - Writer

    ปลายเท้าที่เย็นเยือก

    เด็กหญิงวัย 11 ขวบกับเรื่องราวลึกลับ ที่เล่าผ่านบรรยากาศฤดูหนาวของชนบทในแทบอีสาน

    ผู้เข้าชมรวม

    77

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    77

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ต.ค. 60 / 20:44 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ธันวาคมที่บ้านหนู
                   นี่คือเดือนสุดท้ายของปี ๒๕๔๔ ปีนี้หนูอายุได้ ๑๑ ขวบแล้วแต่หนูกลับตัวเล็กเหมือนน้องๆ ป.๑ อาจเป็นเพราะหนูกินแต่ผักบ้านๆที่ขึ้นเองริมรั้ว ไม่ค่อยได้กินนมดีๆเหมือนเด็กในเมืองที่ตัวโตๆ แต่จะให้ทำยังไงได้ ก็บ้านหนูอยู่ไกลจากตัวเมืองตั้ง ๖๐ กิโลฯ กว่ารถส่งนมดีๆจะมาถึง นมก็คงบูดหมดพอดี  เห้อ....

                   ห้าโมงเย็นแล้ว หนูทำการบ้าน หุงข้าว และต้มผักเสร็จแล้ว ตอนนี้ก็ทำได้แค่นั่งอยู่เฉยๆบนชานบ้านชั้นสอง จ้องดูพระอาทิตย์หล่นลงไปหลังไร่ข้าวโพดที่ไกลสุดลูกหูลูกตา  รอพ่อกับแม่กลับมาแต่ก็คงมืดตามเคย  เพราะกว่าเค้าจะเสร็จจากงานไร่  กว่าจะเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ กว่าจะเดินทางด้วยมอไซต์คันเก่าบนถนนลูกรังของบ้านนอกแบบนี้  มันก็คงใช้เวลานานเป็นเรื่องธรรมดา  แต่ว่าทุกวันหนูก็จะพอมีเรื่องให้คลายความเบื่อเป็นเหมือนโฆษณาสั้นที่ขั้นละครยาว  อีกไม่เกิน ๓๐ นาทีย่าก็จะรีบมาเปิดไฟที่ใต้ถุนบ้านให้  ย่าทำแบบนี้เป็นประจำทุกวันถ้าวันไหนพ่อแม่หนูไปทำไร่  แต่ว่าภาพที่ทำให้หนูต้องขำออกมาได้เสมอก็คือเมื่อย่าของหนูกดเปิดสวิตซ์ไฟปุ๊บ  ไฟติดสว่างขึ้นปั๊บมันก็เป็นเหมือนสัญญาณของปืนปล่อยตัวนักกีฬา  ย่าจะถกผ้าถุงขึ้นและวิ่งลืมแก่ออกไปอย่างรวดเร็ว  บางวันหนูวิ่งออกมาจากครัวไม่ทัน  ก็จะไม่ได้เห็นย่าเปิดไฟด้วยซ้ำ  มีแค่ฝุ่นตลบอบอวลที่ย่าทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น   

                   ทุ่มสี่สิบห้า หนูอาบน้ำเตรียมตัวที่จะมากินข้าวและเข้านอน  น้ำในโอ่งวันนี้เย็นมากๆ  และหนูคิดว่าแผ่นหลังของหนูวันนี้น่าจะแห้งสนิทไม่ทันได้ถูกน้ำอย่างแน่นอน  เสียงมอไซต์ขี่เข้ามาจอดที่ใต้ถุนบ้าน  หนูห่อตัวด้วยผ้าห่มแล้ววิ่งออกมาดูที่หัวบันได  "พ่อกับแม่กลับมาแล้ว"  หนูรีบวิ่งไปยกหม้อข้าวมาวางที่สำรับ  วันนี้แม่หิ้วเนื้อหมูสดมาด้วยสงสัยพรุ่งนี้หนูจะได้กินหมูแดดเดียวแน่ๆเลย  พ่อกับแม่จัดแจงลงนั่งล้อมวงกับข้าว  วันนี้เป็นเมนูเดียวกับสี่วันก่อน คือผักต้มกับน้ำพริกปลาร้า  สภาพผักที่ต้มตั้งแต่เมื่อตอนเย็นตอนนี้มันดูจืดชืดและเหี่ยวไม่น่ากิน  แต่พวกเราสามคนก็กินมันอย่างเอร็ดอร่อย พ่อตักข้าวคำโตๆพร้อมกับผักและน้ำพริกใส่เข้าไปในปาก  เป็นการเพิ่มความอร่อยให้หนูกับแม่ในมื้อนี้ได้เป็นอย่างดี  หนูชอบมองเวลาที่พ่อเคี้ยวข้าวคำโตเพราะมันเรียกน้ำลายหนูได้  ทำให้หนูอยากตักรีบตักข้าวกับผักเข้าปากตาม    "อิ่มแปล้"
                   วันนี้หนูต้องงอแงขอแม่ไม่ล้างจานในคืนนี้หนูไม่อยากจุ่มมือลงในกะละมังที่มีน้ำเย็นเฉียบ เพราะมันทำให้หนูปวดมือไปหมด  ดีนะที่แม่ยอมให้เก็บจานไปล้างพรุ่งนี้ได้  หนูรีบมุดตัวเข้ามุ้งและแทรกตัวลงไปในผ้านวมหนาๆ  หนูชอบการนอนในฤดูหนาวมากที่สุดเพราะมันสบาย  สบายจนไม่อยากตื่น  หนูนอนขดตัวค่อยๆปล่อยให้ตัวเองได้หลับไป  แต่หูก็ยังคงฟังเสียงละครจากทีวีเครื่องเล็กที่พ่อเปิดดูทุกคืน  ทีวีถูกตั้งไว้ที่ใต้ถุนบ้านเพราะพ่อไม่อยากให้มันมารบกวนการนอนของหนู  ชั้นบนของบ้านเราจึงมืดสนิทมีเพียงแสงของหลอดไฟและทีวีลอดผ่านช่องไม้กระดานขึ้นมาเท่านั้น  และแสงนี้มันทำให้ชั้นสองของบ้านเราในตอนกลางคืนมีลำแสงเล็กๆโผล่ขึ้นมาตรงโน้น ตรงนี้เยอะแยะไปหมด  เวลาที่มีใครเดินข้างล่างลำแสงเล็กๆเหล่านี้ก็จะดับๆติดๆวูบวาบดูสวยดี  และบ้านของเราก็ไม่ได้มีห้อง  เรานอนร่วมกันที่โถงใหญ่ๆของบ้านแยกกันด้วยมุ้งบางๆเท่านั้น  เวลาหนูนอนและมองไปที่ปลายเท้า  หนูก็จะเห็นมุ้งของพ่อกับแม่กางอยู่ให้หนูได้อุ่นใจ แต่หนูก็ไม่ค่อยอยากจะมองมันหรอก  เพราะตรงมุมที่แม่ผูกมุ้ง  ตรงนั้นมันคือเหลี่ยมมุมของบ้านพอดี  เป็นมุมที่ไม่มีแสงส่องถึงและทุกครั้งที่หนูมองไปตรงมุมมืดๆมุมนั้น  หนูก็จะรู้สึกว่ามีใครบางคนยืนอยู่เสมอ...  

    วันหยุดของพ่อแม่
           บ่ายสามโมงครึ่งเป็นเวลาเลิกเรียนของหนู  หนูรีบกลับบ้านและก็ไม่แวะเล่นกับเพื่อนเหมือนทุกครั้ง  เพราะวันนี้หนูรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่ได้ไปทำไร่  หนูเดินร้องเพลงมาคนเดียวไปบนถนนเล็กๆผ่านต้นข้าวโพดที่สูงท่วมหัว  ถนนถูกแบ่งออกเป็นสองสีเพราะแสงแดด  เงาของต้นข้าวโพดพาดผ่านกึ่งกลางถนนพอดี หนูเดินมองเงาตัวเองเหมือนกับว่าเป็นเพื่อนที่เดินมาส่งที่บ้าน  บ้านหลังเดียวกลางไร่ที่ไกลจากบ้านของคนอื่น  ระยะทางประมาณเกือบ ๑ กิโลฯได้  ย่าหนูคงมีกล้ามขาเหมือนนักวิ่งแน่ๆถ้าต้องวิ่งวันละ ๑ กิโลฯทุกวัน  แต่วันนี้นักกีฬาวิ่งประจำบ้านของหนูก็จะได้พักบ้าง เพราะพ่อกับแม่หนูอยู่  เสียงสับหมูดังลอยมาแต่ไกล หนูรู้เลยว่าวันนี้แม่ต้องทำเมนูอร่อยให้กินแน่ๆ  "ร้อยเมตรสุดท้ายขอโชว์พลังขาหน่อยแล้วกัน"  หนูวิ่งเข้าบ้านและตรงดิ่งไปที่ครัว  แล้วก็จริงๆด้วย  แม่กำลังทำผัดบวบใส่หมู และก็มีหมูแดดเดียว  หนูขออาสาช่วยงานแต่ก็โดนแม่ไล่ให้ไปอาบน้ำทำการบ้านเพราะเดี๋ยวน้ำจะเย็นแล้วจะวิ่งผ่านน้ำเหมือนทุกที  หนูหยิบผ้าขนหนูวิ่งลงจากชั้นสองไปที่ห้องน้ำที่ห่างจากตัวบ้านไปเล็กน้อย  หนูต้องเปิดประตูอาบน้ำเพราะห้องน้ำที่บ้านมันมืดมาก  ระหว่างที่หนูทำใจที่จะราดน้ำลงไปบนตัว  หนูเห็นแม่เดินมาที่ชานบ้านแล้วโยนเศษเนื้อหมูลงมาที่พื้นชิ้นหนึ่งและขมุบขมิบปากพูดบางอย่าง  หนูเดาว่าแม่ต้องเรียกแมวมากินแน่ๆ  แต่ว่า...แมวที่บ้านมันหายไปนานแล้ว  แม่เค้าคงคิดว่ามันจะกลับมาถ้าได้กลิ่น ถึงได้โยนเนื้อหมูไปแบบนั้น  เอ้า!  ราดน้ำ!!  อ้าาาาาเย็นนนนน!!!!

                   วันนี้กินข้าวเร็วกว่าทุกวัน  หนูเบิ้ลข้าวไปสองจานเลยกินหมูแดดเดียวจนราบคาบ  พุงนี่กลมดิ๊กเหมือนกับลูกแตงโม  คืนนี้สงสัยนอนไม่หลับแน่ๆ  ห้าทุ่มกว่าแล้วหนูยังอึดอัดท้องอยู่เลย  หนูได้แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนที่นอน  พ่อกับแม่ก็นั่งดูละครจนจบหนูก็ยังนอนไม่ได้  เสียงพ่อปิดทีวีและเดินขึ้นมาบนบ้านกับแม่  แม่เดินมาที่มุ้งหนูจากนั้นก็ดันหน้าตัวเองผ่านมุ้งเข้ามาดูว่าหนูหลับหรือยัง  หนูต้องแกล้งหลับตาไม่งั้นจะโดนแม่ด่า  แม่หลงกลแล้วก็เดินตามพ่อเข้ามุ้งไป  หนูนอนมองพ่อกับแม่ผ่านความมืดสลัวของบ้าน  แต่ทันใดนั้นหนูกลับรู้สึกถึงบางอย่าง  เหมือนกับว่ามีใครบางคนกำลังเดินอยู่บนบ้านของเรา  ฝีเท้าที่ค่อยๆกดลงไปบนพื้นไม้กระดาน  เสียงไม้ออดๆ แอดๆดังเบาๆ  ฝีเท้านั้นกำลังค่อยๆย่องลงจากบ้าน  หนูไม่กล้าหันไปมองได้แต่เงี่ยหูฟังว่าเสียงนั้นจะไปตรงไหนของบ้าน  เท้านั้นค่อยๆเดินลงบันไดไปอย่างช้าๆและเงียบหายไปในที่สุด  หนูรู้สึกเย็นไปทั้งตัวโดยเฉพาะที่ปลายเท้าหนู  มันรู้สึกเสียววูบวาบที่เท้ามาก  หนูค่อยๆดึงปลายเท้าหุบเข้ามาใต้ผ้าห่มและไม่กล้าที่จะกระดิกตัว  หนูหลับไปแบบนี้จนเช้า...

    เย็นนี้หนูไม่อยากอยู่คนเดียว
                   หนูเดินกลับจากโรงเรียนคนเดียวพร้อมกับใจที่เต้นแรง  ยิ่งรู้ว่าจะใกล้ถึงบ้านหนูยิ่งเริ่มรู้สึกไม่ดี วันนี้คงเป็นวันแรกที่หนูหวาดกลัวบ้านตัวเองแบบสุดๆ  พ่อกับแม่ไปไร่คงจะกลับมามืดเหมือนเดิม  หนูรีบอาบน้ำก่อนเป็นอันดับแรกในขณะที่ฟ้ายังสว่างอยู่  หนูหุงข้าวและเอาการบ้านไปนั่งทำที่ใต้ต้นไม้หน้าบ้านเพื่อรอย่า  หนูทำการบ้านจนเสร็จแล้วก็นั่งเล่นอยู่ตรงนั้น  ห้าโมงครึ่งย่าก็มา หนูไม่เคยดีใจที่ได้เห็นหน้าของย่าขนาดนี้มาก่อน  หนูวิ่งไปหาย่าและย่าดูจะตกใจเล็กน้อยที่หนูวิ่งพรวดไปแบบนั้น  ย่าเปิดไฟเสร็จและแกเตรียมตัวจะวิ่งแต่แกก็หยุดชะงัก  เพราะคงเห็นหนูยืนมองด้วยแววตาเศร้าอยู่  หนูขอให้ย่าอยู่เป็นเพื่อนหนูก่อนรอจนกว่าพ่อกับแม่กลับมาแล้วค่อยไป  ย่าอารมณ์เปลี่ยนเป็นหงุดหงิดทันทีพอหนูพูดไปแบบนั้น  ย่าบอกต้องรีบกลับไปเปิดไฟบ้านตัวเองเหมือนกัน  หนูได้แต่ทำหน้าจ๋อยเสียใจเพื่อให้ย่าสงสารแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ย่าเปลี่ยนใจได้เลย  ย่าออกวิ่งทันทีหนูตกใจเลยวิ่งตามย่า  ย่าวิ่งไปด้วยพร้อมด่าหนูไปด้วยย่าไล่ให้หนูกลับบ้านไป  แต่หนูไม่ยอมหรอกยังไงหนูจะวิ่งไปกับย่า  "ไม่น่าเชื่อย่าจะวิ่งเร็วขนาดนี้" เสียงจั๊กจั่นดังสนั่นไปทั่วไร่  หนูกับย่าตั้งหน้าตั้งตาวิ่งโดยไม่พูดอะไรกัน  ทำไมหนูรู้สึกสนุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกแต่รู้สึกสนุกก็อยู่ได้เพียงครู่  เมื่อหนูรู้สึกว่ามีเสียงฝีเท้าอีกคู่กำลังเร่งตามหลังหนูกับย่ามาติดๆ  หนูไม่กล้าที่จะหันกลับไปดู  หนูทำได้แค่เรียกย่า  แต่ย่าก็เอาแต่ตั้งหน้าตั้งวิ่งไม่สนใจเสียงเรียกหนูเลย  เราสองคนวิ่งจนถึงหมู่บ้านโดยไม่หยุดพัก  หนูมองเห็นบ้านย่าแล้ว  เราสองคนค่อยๆลดความเร็วของฝีเท้าลงช้าๆอย่างมืออาชีพ  หนูเอามือแตะราวบันไดบ้านย่าเหมือนกับว่ามันคือเส้นชัย หนูหันกลับไปมองที่ถนนและไม่พบใคร  มีเพียงความสงสัยที่ทิ้งไว้กับฝุ่นจำนวนมากเหล่านั้น  ย่าพอเห็นหนูวิ่งมาจนถึงบ้านแกก็เลยบอกว่าคืนนี้ให้นอนที่นี่ได้  ดึกๆพ่อแม่ก็คงจะมารับกลับ  หนูเดินไปล่างเท้าเพื่อจะขึ้นบ้านและหนูก็พบว่าฝ่าเท้าของหนูมันพองเป็นตุ่ม  นี่คงเป็นผลงานของการวิ่งแบบไม่คิดชีวิตนั้นแหละ 

                   สามทุ่มเสียงมอเตอร์ไซต์ที่คุ้นเคยก็ขี่มาจอดหน้าบ้านของย่า  พ่อกับแม่มารับหนูอย่างที่ย่าพูดไว้จริงๆ  แม่มองหนูด้วยสีหน้าไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ดุด่าอะไร  หนูเดินไปที่รถมอเตอร์ไซต์แทรกตัวเข้าไปที่ระหว่างแขนของพ่อที่เป็นคนขับ  หนูนั่งที่ปลายเบาะด้านหน้าอันน้อยนิดแต่เพียงพอสำหรับหนู  พ่อขี่มอเตอร์ไซต์ไปช้าๆ บนถนนที่มีแต่สีดำ  หนูมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่ต้นข้าวโพด  ไฟหน้ารถพ่อมันก็เลือนรางเอามากๆ  พอรถมาจอดถึงบ้านหนูก็เดินดิ่งไปที่มุ้งเลยทันที  แม่เรียกกินข้าวหนูก็ไม่อยากกิน  ไม่มีคำพูดดุด่าจากแม่สักคำ  แม่ปล่อยให้หนูนอนตามที่หนูต้องการ  คืนนี้หนูหลับไปโดยไม่รู้ตัวคงเป็นเพราะเพลียจากการวิ่งกับย่าเมื่อตอนเย็น  แต่ทว่าหนูดันมารู้สึกตัวตื่นเอาตอนดึกมากๆด้วยอาการเจ็บที่ฝ่าเท้า  หนูลืมตาขึ้นมาโดยไม่รู้ว่านี่มันดึกมากแค่ไหน  รู้แค่ว่าพ่อกับแม่ได้เข้านอนเรียบร้อยแล้ว  หนูรู้สึกตึงที่ฝ่าเท้าและรู้สึกเจ็บเอามากๆ  แผลมันเหมือนจะมีน้ำเหลืองไหลออกมาด้วย  เท้าหนูขยับไปตรงไหนมันก็ติดกับผ้าห่มดูเหนอะหนะไปหมด  หนูมองไปที่ปลายเท้า  พยายามมองดูว่าพ่อหรือแม่  ว่ามีใครที่ตื่นเหมือนกันหรือเปล่า  แต่ดูแล้วจะไม่มี หนูดึงผ้าห่มขึ้นมาเยอะๆเพื่อให้พ้นปลายเท้าที่กำลังระบม  หนูพยายามข่มตาให้หลับไปอีกครั้งแต่มันก็ไม่มีทีท่าจะหลับได้เลย  หนูนอนมองไปที่มุ้งของพ่อแม่จากนั้นมันก็มีอะไรบางอย่างดลใจให้หนูต้องมองไปที่มุมมืดมุมนั้น  หนูจ้องอยู่สักพักก็รู้สึกเหมือนมีอะไรขยับอยู่ในความมืดตรงมุมนั้น  ความรู้สึกเย็นวาบแทรกเข้ามาในผ้าห่มอย่างรวดเร็ว หนูรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูกหนูอยากย้ายไปนอนรวมกับพ่อแม่มาก  หนูจึงตัดสินใจเรียกแม่  และยังไม่ทันสิ้นเสียงก็มีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมมืดในทันที  ร่างของหนูแข็งและขยับไม่ได้ หัวใจเต้นรัวราวกับว่าหนูกำลังจะขาดใจตาย  ในความมืดสลัวแต่ก็พอจะทำให้มองร่างของผู้หญิงคนนั้นได้ เธออยู่ในชุดผ้าถุงยาวเสื้อสีเข้มแขนยาวเหมือนกับชุดที่ย่าชอบใส่ไปทำบุญที่วัด  เส้นผมของเธอยุ่งเหยิง  เธอจ้องนิ่งมาที่หนู  หนูหรี่ตาแกล้งว่าหลับอยู่  แต่แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เดินจ้ำเข้ามาที่ปลายเท้าหนู พื้นไม้กระดานสะเทือนส่งเสียงดัง แต่มันก็ไม่ทำให้พ่อกับแม่รู้สึกตัวขึ้นมาได้  เธอหยุดนิ่งที่ปลายเท้ามองมาที่หนู  หนูมองหน้าเธอผ่านมุ้งเก่าๆทำให้เห็นหน้าของเธอไม่ชัด  กลิ่นสาบจากตัวเธอเหม็นคลุ้งไปทั่ว หนูค่อยๆหดขาเข้ามาอย่างช้าๆแต่ด้วยผ้าห่มที่หนูตลบขึ้นมาสูง ทำให้ปลายเท้าหนูโผล่ออกมาได้อยู่ดี หนูค่อยๆยกมือที่สั่นเทาขึ้นมาเพื่อจะพนมไหว้และสวดมนต์ แต่หนูคงทำได้แค่คิด เพราะทันทีที่หนูเอามือทั้งสองข้างมาประกบกัน ร่างของผู้หญิงคนนั้นก็ผลุบทะลุผ่านพื้นไม้กระดานของบ้านลงไปที่ใต้ถุนอย่างรวดเร็ว เธอใช้เล็บลากผ่านฝ่าเท้าข้างที่กำลังเจ็บ หนูสำผัสถึงหนังเท้าที่เป็นตุ่มพองได้ฉีกออกตามแรงกดของเล็บเธอ  และทันใดนั้นหนูก็วูบหลับไป...จนเช้า

    เช้าที่ไม่เหมือนเดิม
          เช้านี้หนูเป็นไข้ไม่สามารถไปโรงเรียนได้  แม่ต้องอยู่ดูแลหนูที่บ้าน  และปล่อยให้พ่อออกไปทำไร่เพียงคนเดียว  แม่พอเห็นหนูรู้สึกตัวก็เข้ามาดูหนูพร้อมกับพยุงตัวหนูขึ้นเพื่อให้กินข้าวต้มๆเปล่าๆใส่น้ำปลา  หนูกินข้าวต้มได้สองสามคำก็กินไม่ลง  แม่แกะยาลดไข้ราคาไม่กี่บาทออกจากแผงให้หนูกิน  หนูกินยาแล้วเอนตัวลงนอนที่เดิม  แม่บ่นเรื่องที่หนูนอนไม่ห่มผ้าจนทำให้ป่วยและไปเรียนหนังสือไม่ได้  แต่หนูรู้ดีว่ามันไม่ใช่สาเหตุนั้น  และหนูก็ยังคงจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้ทุกรายละเอียดไม่มีวันลืม  แม่เก็บชามข้าวต้มและกำลังจะออกไปจากตรงนี้  หนูตัดสินใจบอกแม่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อคืน  แม่นั่งฟังด้วยสีหน้านิ่งจนหนูเดาอารมณ์แม่ไม่ออก  หนูเล่าไปแล้วร้องไห้ไปด้วยความหวาดกลัว  พอเล่าจนจบแม่ก็เอื้อมมือเข้ามาเช็ดน้ำตาที่แก้มให้หนู แล้วพูดกับหนูว่า "ทีหลังก็อย่าดื้อวิ่งหนีพี่เค้าไปแบบนั้นอีก มีพี่เค้าอยู่ด้วยแม่จะได้สบายใจ"  แม่พูดจบก็ห่มผ้าให้หนูแล้วเก็บชามข้าวต้มเดินออกไป  หนูนอนนิ่งอยู่บนที่นอน  มองไปที่มุมนั้นของบ้าน และหนูก็รู้เลยว่า  พ่อกับแม่รู้มาโดยตลอดว่ามีใครบางคนอยู่ในบ้าน  หรือว่าแม่  จะเลี้ยงผีไว้คอยเฝ้าบ้านและดูแลหนู.....
    มีผีอยู่ด้วยแม่จะได้สบายใจ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×