คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ลำดับตอนที่ 1
- ครั้งแรก -
โอ้โห้! ทำไมรถมันแน่นอย่างนี้อ่ะ ยังไงวันนี้ก็ไปโรงเรียนไม่ทันเข้าแถวแน่ๆ คนก็แน่น รถก็ติด ทำไมต้องมาแน่นมาติดอะไรวันนี้ด้วย มิหนำซ้ำยังแทนที่จะได้นั่งดันมายืนโหนหิ้วเหมือนลิงอีก คิดแล้วเซ็ง แต่ เอ่! โชคดีอีกแบบ ดูชายคนที่นั่งตรงข้างฉันสิ แต่ว่าไปแล้วเขาหน้ารักมาก คิวสวย ขนตางอน ผิวขาว ตาตีบๆ ดูแล้วหน้าดีอยู่นะ ผิวพรรณสะอาด สะอาน น่าจะเป็นคนสำอางพอตัวนะนิ คงจะรักการอ่านหนังสือนะสิ ก้มหน้าก้มตาอ่านอยู่ได้ อ่านแล้วสายตาไม่เสียหรือยังไงไม่รู้หรอ การอ่านหนังสือระหว่างรถวิ่ง เนี่ยมันทำให้สายตาเสียได้เคยรู้บางไหมนิ แต่ เอ๋! เขาหันมาทางฉันแล้วอ่ะ อุ้ย! เขาได้ยินเสียบ่นของเราด้วยหรอ ทั้งๆ ที่ นึกอยู่ในใจนะนิ และอีกอย่าง ฉันว่านรีไม่เคยมองชายอื่นก่อน( ทำอย่างกะสวยเลือกได้ ไม่รู้แหละ) ยังไงฉันไม่อยากถูกพูดได้ว่าชอบมองผู้ชาย ตายแล้ว!
“ นี่ เธอ มานั่งตรงนี้สิ ” เขาสะกิดพร้อมลุกขึ้นบอกฉันให้มานั่ง
ว้าว! น่าตาก็ดี มีความเป็นสุภาพบุรุษด้วย หรืออาจจะไม่ใช่อาจเป็นเพราะฉันมองเขา แอบว่าเขาอยู่ในใจ เขาอาจจะละอายใจตัวเองก็ได้ แต่ช่างเหอะอย่างน้อยฉันได้นั่ง ส่วนฉันก็เป็นนางเอกนิสัยดี ยิ้มตอบอย่างงงๆ แล้วก็เดินเข้าไปนั่งหากแต่แล้ว มีหญิงนิรนามที่ไหนก็ไม่รู้เดินตัดหน้ามานั่งชะงัน โอ้! หลอนคนนี้เป็นใครนิ มิบังอาจมานั่งที่ตรงนี้ได้ไง รู้ไหมนายสุดหล่อเขาอุตสาห์เสียสละให้ฉัน เชอะ! รู้จักว่านรี น้อยไปซะแล้ว
“ คุณค่ะ คือตรงนี้มันที่นั่งฉันนะค่ะ” ยิ้มอย่างนางเอกไม่ใช่สิ แกล้งเป็นนางเอก
“อ้าว หรอแล้วทำไมไม่นั่งล่ะ ปล่อยมันเป็นที่ว่างทำไมล่ะ ก็นึกว่าไม่มีคนนั่ง” หลอนตอบอย่างไม่แย้แส
หลอนก็นั่งเชิดหน้าต่อไป โอ้! ยัยคนนี้นิฉันชักจะทนไม่ไว้แล้วนะ แต่ความซวยมาอีกครั้งรถเจ้ากรรมเบรกกะทันหัน แต่แล้วมืออุ่นๆ ของใครสักคนได้ดึงฉันเอาไว้ระหว่างรถเบรก ฉันจึงเสียหลัก ล้มไปที่อกของเขาพอดี โอ้! ที่แท้ก็สุดหล่อของฉันนี้เอง เขาประคองฉันไว้เพื่อไม่ให้ฉันเสียหลัก แล้วเขาก็กระซิบว่า
“ระวังหน่อยนะ ใกล้จะถึงโรงเรียนล่ะ เตรียมตัวลงได้แล้ว”
โอ้! นี่ ฝันไปรึเปล่าฉันอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ กลิ่นน้ำหอมในตัวของเขาตลบอบอวลไปทั่วตัวฉัน นี่ฉันถูกต้องมนต์ เหมือนโลก ทั้งโลกหยุดหมุน โดยที่มีแค่ฉันและเขาเลยล่ะ แต่เดี๋ยวนะ ใกล้ถึงโรงเรียนนะหรอ...เขารู้ได้ไงว่าโรงเรียนฉัน ขนาดที่ฉันกำลัง ที่จะถามต่อนั่น รถโดยสารเจ้ากรรมก็จอดพอดี ฉันก็ถูกมืออุ่นๆ ของเขาลากรถจากรถ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าจับมือฉันลงรถสิ แต่เดี๋ยวจับมือฉันหรอ หน็อยแน่ะ!!! คิดที่จะแตะอั๋ง ว่านรีหรอ เล่นเอาซะเนียมเลยนะ เห็นว่าน่าตาดีถึงขั้นมาแตะเนื้อต้องตัวฉันหรอก็ไม่ใช่ว่าฉันน่าตาดงน่าตาดีนักหรอกนะ แต่ฉันถูกอบรมมาดีต่างหากแตะเนื้อต้องตัวฉันได้ไง เป็นที่มองไม่ดีแน่ฉันจึงรีบสะบันมือออกทันทีเมื่อลงจากรถ ซึ่งทำให้เขาสะดุ้งไม่น้อยเลยล่ะ
“ขอโทษนะ เผลอไปหน่อย รีบไปแหอะเดี๋ยวสาย” เขาพูดน่าตาเฉยๆ ดูเหมือนจะไม่สำนึกสักนิดว่านายล้วงละเมินฉัน (อย่างกะเขาข่มขืน)
“เดี๋ยวนะ รีบไปนายรู้ได้ไง ว่าฉันเรียนอยู่ที่ไหน แล้วทำไมฉันต้องไปกับนายด้วย” ฉันพูดเบ่งนิดหนึ่งเดี๋ยวเขาจะว่าเราเป็นผู้หญิงชอบอ่อย
นายคนนี้ชักจะยังไงแล้วนะ ถามแค่นี้เก๊กหล่ออยู่ได้รู้แล้วน่า นายน่าตาดี อย่างเยอะ! ได้ไหม ชิ!
“แล้วบนอกเธอนะ อะไรล่ะ” เขาพูดพร้อมชี้มาทีอกของฉัน
“ลามก น่าเกียจที่สุด” พูดพอเอามือปิดอก
“อ้าว เอาเป็นว่าฉันถูกด่า ซะงัน ก็บนชื่อเธอก็มีตราโรงเรียนไม่ใช่หรอ” เขาพูดพร้อมหัวเราะและก็เดินตรงยังทางเข้าตรงโรงเรียน
มันก็จริงสิ ฉันนี้ก็ ซื่อบื่ออยู่ได้ ก็อย่างว่า ก็ไม่ได้หลงตัวเองว่ามีหน้าอกคับเบ่อเร่มเทิ่อมหรอกนะ ผู้หญิงอย่างฉันจะไว้ใจใครได้ซะที่ไหนเล่า อ้าว ยื่นงงแค่หนึ่งนาทีนายคนนั้นเดินเร็วจนนำหน้าฉันไปไกลซะงัน
ฉันวิ่งตามเขาไป “เดี๋ยว อย่าบอกว่านายอยู่โรงเรียนเดียวกับฉัน”
“คงงัน มั้ง” เกลียดอีตาคนนี้จังอุ้ย เก๊กหล่ออยู่ได้
“เด็กใหม่หรอ...ทำไม่เคยเห็นหน้า”
“อืม มาเรียนเป็นวันแรก” เขาหยุดซะงักแล้วแล้วยิ้มให้กับฉัน
“เรา ชื่อ โน้ต มาจากกรุงเทพ ยินดีที่รู้จัก เธอ….” โห้! แค่ยิ้มนะเนี่ย น่ารักชะมัดเลย พอได้แล้ว เห็นแล้วจะละลาย
“ ฉะ ฉัน ว่านรี เรียกว่า ว่าน เฉยๆ ก็ได้” น่ารักเป็นบ้า เล่นเอาพูดชื่อตัวเองไม่อ่านเลย ดูสิ นายนั้นขำฉันใหญ่
“ฉันรู้ตัวดี ว่าฉันน่ารัก ไม่ต้องเขินก็ได้ มั้ง” เขายิ้มอย่างสนุก แล้วเดินต่อไป
นายนี่นิ...มีหน้ามาขำฉันอีก โห้! คุณผู้อ่านลองคิดดูสิ มีไอ้บ้าคนไหนที่น่าตาดีแล้วยืนยิ้มต่อหน้า ถ้าเป็นฉัน ฉันก็เขินสิ แม่คุณ!! นายคนนี้นิเล่นเอาฉันไปโรงเรียนไม่ถูกเลยนะนิ
- โอกาสดี –
“ สวัสดีครับ ผมกติโชติ พาณิชย์ชนิล ชื่อเล่น โน้ต ครับ ย้ายมาจากกรุงเทพ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” เขายืนยิ้มอยู่หน้าชั้นอย่างน่าตาระรื่น มีทั้งเสียงกรี๊ดเสียงปรบมือดังสนั่นทั่วทั้งห้อง หลอนพวกนี้ก็เห่อ อยู่ได้เห็นหนุ่มหล่อหน่อย กรี๊ดกันสนั่นลั่นห้อง ขอโทษนะ สำหรับฉันนะหรอก นายนี้น่าตาก็งันๆ แหละ (มั้ง)
“ว่าน ไม่ดีใจหล่อมีเพื่อนใหม่มาห้องเรา และอีกอย่างหล่อด้วย” เสียงใสๆ ที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉัน พูดด้วยน่าตาระรื่น
“อย่าเยอะให้มันมากนักสิยัย ‘แป้ง’ ” ฉันต่อว่าเล็กน้อย
เนี่ยเพื่อนซี้สำหรับฉัน เป็นพวกชอบบ้าของนิยมนอก มีฐานะดี น่าตาสะสวยเลยทีเดียวล่ะ แต่เสียอย่าง หนังสือเรียนไม่เก่งสู้ฉันหรอกนี้แหละเป็นสิ่งที่ฉันชนะยัยแป้งได้ตลอด แต่เชื่อเหอะเรื่องเนื้อคู่ฉันแพ้แป้งตั้งแต่อยู่ในท้องแม่
“ นี่ แป้งแกเห็นฉันเป็นคนบ้าผู้ชายรึไง แกก็รู้นิว่าฉันเป็นคนยังไง”
“แม๊....ก็อย่าจริงจังนักสิ เรื่องความรักนะ โสดอย่างนิดีออก ไม่เหมือนฉัน ถ้าแฟนฉันเห็นนะ เขาอาจจะงอนฉันก็ได้ ไม่เหมือน เธอจะชมคนนั้นคนนี้ก็ทำได้ มีแฟนก็เหมือนตรงนรกแหละแก ” ดูดู๊ พูดเข้า แกไม่ลองมาเป็นฉันแกไม่รู้หรอก ‘แป้ง’
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะแก เบื่อกับเรื่องนี้ที่สุด ว่าแต่นกไปไหนล่ะนิ” คนชื่อนกที่ว่าเป็นเพื่อนชี้ฉันอีกคนเหมือนกัน นกเนี่ยเป็นคนที่มีอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนฉันมาก เมื่อมีปัญหาอะไรฉันก็ชอบปรึกษานกนี่แหละ
“ก็เห็นว่าไปหาพี่มาส สงสัยยังเคลียร์กันไม่เสร็จ มั้ง โน้ต โน้ต มานั่งตรงนี้ ตรงนี้ว่าง” คุยกับฉันยังเสร็จก็เบี่ยงเบนไปสนในไอ้ตาบ้านั่นจนได้ ไปหาพี่มาสหรอ นี่แหละแฟนของนกเป็นรุ่นพี่ ม. หก คู่นี้มีปัญหากันเงียบทะเลาะกันบ่อยพอควรก็เท่าที่นกเล่าให้ฟังนะ ดูสิยิ้มจนปากจะฉีดถึงหูอยู่แล้วหุบยิ้มบ้างก็ได้นะ นายโน้ต รู้สึกท่าทางนายนี้จะถูกหมั่นไส้แล้วล่ะ พวกผู้ชายในห้องมองกันใหญ่ โดยเฉพาะเป้ ใครๆ ก็รู้ว่านายคนนี้มีอำนาจใหญ่พอควรของห้องฉันแต่เป้นี่ จะไม่วางอำนาจรังแกสาวๆ ในห้องหรอกนะ แต่ก็ดูหน่อยสิทั้งสายตาอันเจ้าชู้กับรอยยิ้มอันเป็นเสน่ห์ของนายโน้ตเล่นเอาสาวๆ ในห้องกรี๊ดกันใหญ่ มิหน้ำซ้ำยัยแป้งคุยกะนายนั่นสนุกกันเป็นยกใหญ่เห็นแล้วหมั่นเขี้ยว ขอไม่มองน่านายนี้สักแปปแล้วกันไงก็ไปเข้าห้องน้ำดีกว่า ฉันลุกเดินออกมากะว่าจะให้ยัยแป้งสนใจเพื่อนสักหน่อย ยัยแป้งไม่สนใจฉันสักนิด แต่กลับเป็นเสียงนายนั่นถามฉันซะงัน
“ว่าน ไปไหนหรอ”
“ไปเข้าห้องน้ำ” ฉันตอบพร้อมเดินออกไป แต่ฉันก็ได้ยินเสียงแว้วของเพื่อนตัวแสบว่า
“ปล่อยมันไปเหอะ ไม่มีใครฉุดมันหรอ โน้ต +!@!_)*&^^ ”
ห่วงเพื่อนจังนะ แป้ง และฉันเดินเม้นปากออกไปเข้าห้องน้ำ เมื่อฉันไปปลดทุกข์เบาๆ เสร็จแล้วก็เดินมาล้างมือที่อ่างล้างมือระหว่างที่ล้างมือฉันก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยคุยอยู่ในห้องน้ำห้องข้างๆ
“อะไรกัน พี่มีอะไรกับนกแล้ว พี่จะไม่รับผิดชอบนกใช่ไหม พี่ทำยังงี้ได้ไง ฮื่ออ~~~” เสียงพูดด้วยความโมโหปนด้วยน้ำตาหลั่งไหลออกมา และเสียงคุยโทรศัพท์ก็เงียบลง ฉันพอจับใจความของเรื่องได้ถึงกับช็อกในสิ่งที่ได้ยิ่งกับหูตัวเอง แต่หวังว่าคงไม่ใช่เพื่อนฉันนะ ฉันได้ภาวนา แต่ ไม่นานเขาก็เปิดประตูออกมาฉันตกใจไม่ใช่น้อยเพราะคนที่ออกมาคือ นก นั่นเอง ไม่ใช่แค่ฉันที่ตกใจ นกตกใจและสะดุ้งนิดหน่อยที่เห็นฉัน แต่....เขากับกระโดดกอดฉันแน่นและร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร ฉันก็ได้กอดเขาและปลอบเบาๆ
“ว่าน ฉันจะทำอย่างไงดี ฮื่อ~~ ฉันเสียให้พี่มาสไปแล้ว” นกพูดพร้อมระบายความรู้สึกออกมา
“เรื่องแบบนี้ ควรที่จะคุยกันดีๆ นะ นก อยากเครียดนะ” ฉันปลอบนกพอลูบผมเธอเบาๆ
ฉันนั่งคุยกับนกสักพักเราทั้งคู่ก็กลับเข้าห้องเรียน นกนั่งเรียนโดยที่ไม่พูดไม่สนใจในสิ่งที่ครูสอนเลยหากได้แต่นั่งเหม่อลอย ทั้งๆ ที่ นกเป็นคนสนใจในด้านการเรียนมากๆ โถ่! เพื่อนหากรู้จักยับยั่งใจ สักนิดเธอคงไม่เป็นแบบนี้แน่ แต่จะว่านกคนเดียวก็ไม่ได้อย่างนี้ต้องไปพูดกับพี่มาสด้วยถึงจะถูก!!!
- จุดเริ่มต้น -
อากาศยามเลิกเรียนไปอะไรที่ร้อนอบอาวมากแต่ก็อย่างว่าแหละ อย่างไงฉันก็ได้ขึ้นรถเมล์กลับบ้านทั้งคนก็เยอะ อากาศก็ร้อน ฉันรู้ว่ายังไงก็คงเจออากาศที่เลวร้ายกว่านี้แน่นอนระหว่างการเดินทางกลับบ้านครั้งนี้
“ว่าน กลับบ้านยังไง” แป้งตะโกนถามพร้อมเดินมาหาฉันพร้อมโน้ต มาใหม่ไม่ทันไรเดินไปด้วยกันอยู่นั่นแหละ
“กลับรถเมล์นะ” ฉันพูดเสียงเหนื่อยๆ
“อ้าว พ่อไม่หวงลูกสาวแล้วหรอเห็นทุกวันมารับ มาส่ง” ดูหล่อนแซ่วสิ
“อืม พ่ออยากให้ไปไหนมาไหนด้วยตัวเองนะ แกละกลับยังไง”
“อ่อ เป็ดมารับนะ นั่นไงมาพอดี” หลอนพูดพร้อมชี้ให้ดู “กลับก่อน นะโน้ต” หล่อนพูดพร้อมหันหลังโบกมือให้ นายคนนั้นก็ได้แต่ยิ้มๆ แล้วโบกมือเชิงลา
ส่วนแป้งก็ซ้อนท้ายแฟนหนุ่มของตัวเองกลับบ้านไป ส่วนนกนะหรอ ตั้งแต่เลิกเรียนก็ไม่เห็นนก ถามใครก็ไม่มีใครเห็นนึกแล้วก็เป็นห่วง ส่วนฉันก็คงต้องได้กลับบ้านกับนายโน้ตแน่ล่ะ ก็ไปรถเมล์สายเดียวกันนิ ส่วนนายนั่นก็ยิ้ม ยิ้ม ไม่รู้จะยิ้มอะไรนักหนา ยิ้มตั้งแต่แรกจน ณ ตอนนี้
“ยืนยิ้มอีกนานไหมคะ คุณโน้ต” ฉันทำหน้ายียวนกวนเขานิดหน่อย
อีตานั้นหัวเราะขำใหญ่ ขำอะไรกันนักหนา และเราสองคนก็เดินมาที่ป้ายรถเมล์ ระหว่างที่เรารอรถอยู่ ก็มีพวกผู้ชายห้องฉันเองแหละเดินมาเป็นเป็นกลุ่มอย่างกับจะไปตีใคร เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ วานรีผู้เป็นนางเอกก็มักไปทักด้วยรอยยิ้ม ( ไม่ใช่หรอ ก็แค่อยากรู้เรื่องชาวบ้านอะนะ )
“นี่ เป้ พวกนายจะไปไหนกันอ่ะ มากันทั้งห้องเปล่านิ” ฉันพูดพร้อมส่งยิ้มหวานๆกวนๆให้
“ก็มาที่นี้แหละ ว่าจะมาคุยกับเด็กใหม่เป็นการส่วนตัว” เป้พูดพร้อมมองมาที่โน้ต ขอย้ำนะ คำว่า ส่วนตัว แสดงว่าฉันไม่เกี่ยวดูเหมือนทั้งคู่จะมีปัญหากันนะ ดูจากสายตาเป้ ท่าทางเป็นเรื่องน่ากลัวได้ทีเดียวเลยล่ะ ฉันก็ได้แต่ยืนมองลูกผู้ชายเขาคุยกันอย่างห่างๆ ส่วนสมองอันเจ้าปัญหาก็คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำไมเป้ต้องมาคุยกับโน้ตด้วยสีหน้าที่จริงจังขนานนี้ ไม่นานนัก โน้ตก็เดินมาหาฉันแล้วโน้มตัวมากระซิบที่หูของฉันว่า
“กลับบ้านก่อนเถอะ ไม่ต้องรอ ขอเมล์หน่อยดิ” พูดพร้อมยื่น iPad มาให้ให้ฉัน สมัยนี้มีแต่สื่อเทคโนโลยีที่กว้างไกลและทันสมัย ถึงฉันไม่รวยนักแต่เครื่องไอ้นี้ฉันก็ใช่มันเป็นอยู่นะ เมื่อฉันแจกเมล์เรียบร้อยแล้วก็ยื่นคืนให้เขา ฉันก็ถามด้วยความเป็นห่วงก็จะไม่ให้ห่วงได้ไงเล่าเด็กมาใหม่ มีปัญหาซะแล้ว
“นาย มีอะไรรึเปล่า” เขาส่ายหน้าแล้วส่งยิ้มอันหวานให้กับฉัน
เห็นรอยยิ้มอันหวานนี้แหละใจจะละลาย เฮ้ย!! ไม่เอาน่า ฉันจะทำไงต่อไปล่ะจ๊ะก็ต้องขึ้นรถกลับบ้านนะสิ ทั้งที่ฉันก็ไม่อยากกลับหลอกเพราะในใจฉันตอนนี้ทั้งอยากรู้ว่าเป้คุยอะไรกับโน้ตและโน้ตทำให้อะไรให้เป้ไม่พอใจ หรืออะไรหลายๆ อย่าง ที่จริงฉันควรบอกโน้ตว่า ฉันยังไม่กลับขออยู่เป็นเพื่อนเขาอะไรประมาทนี้น่าจะดีนะ
- ใกล้ความจริง -
หนึ่งเดือนแล้วสินะที่ฉันได้รู้จักกับโน้ต จากเหตุการณ์ในวันที่โน้ตมาวันแรกฉันยังไม่หายข้องในเหตุการณ์ในวันนั้นเลย เรื่องนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของฉันตลอดหนึ่งเดือน แต่แปลกนักฉันถามเรื่องนี้กับโน้ตทีไรเค้าก็ตอบว่า “มันเรื่องของลูกผู้ชายนะ ไม่มีอะไรหรอก” ลูกผู้ชาย มันมีอะไรนักหนาที่ลูกผู้หญิงอย่างฉันจะรู้เรื่องไม่ได้ คิดเรื่องนี้ทีไรกังวลทุกทีเหมือนเป็น “ห่วง” ไม่เอาน่า คิดมากแล้วเราตั้งแต่เริ่มรู้จักกับโน้ตฉันก็เริ่มไปไหนมาไหนด้วยกันกลับบ้านก็กลับพร้อมกันมาโรงเรียนก็มาพร้อมกัน ที่สำคัญนะ จะเล่นเฟชด้วยกันก่อนนอนทุกคืน ฉันชักจะสงสัยแล้วสิ ว่านายนี่คิดไรกับฉันรึเปล่า
“อะแฮ่ม นั่งคิดถึงฉันอยู่รึไง เหม่ออยู่ได้” เขาเดินยิ้มเก๊กหล่อแล้วมาสะกิดที่ไหล่ฉัน
“หลงตัวเอง เกินไปรึเปล่าย่ะ!” นายนี่คนนี้นิ กำลังนินทาอยู่เชียว ตายยากจริงนะ
ระหว่างที่เรากำลังจะกัดกันอยู่นั่น กลุ่มของเป้ก็เดินเข้ามาหาอย่างน่าตากวน พอควร
“ห้าโมงเจอกัน ที่เดิมนะมึง” เป้พูดพวกชี้หน้ามาที่โน้ต และก็เดินออกไป
ฉันซึ่งกำลังคุยกันอย่างสนุกๆ ก็ต้องตกตะลึงเป็นธรรมดา ทุกคนในห้องต่างรู้กันดีว่าเป็นเป้นักเลงแถวหน้าของโรงเรียน ถ้าเป้ยิ่งมาชี้หน้าขนานนี้มันคงไม่ใช่เรื่องธรรมดา ฉันได้แต่นั่งงงแล้วหันมามองหน้าโน้ต โน้ตไม่ยิ้ม และร่าเริงเหมือนตอนที่เข้ามาตอนแรก มันก็เรื่องธรรมดาแหละ ถ้าเรามีเรื่องใครจะไปยิ้มออกไหมล่ะ ถามได้ แต่แล้วมีความรู้สึกแปลกๆเหมือนมีคนมาจ้องหน้า ถูกเพล้ง เมื่อหันหน้ามามองก็เห็นว่า โน้ตกำลังจ้องหน้าฉันนิ่ง นายจะจ้องอีกนานไหมฉันเกร็งเหมือนกันนะ
“จะจ้องอีกนานไหม จะพูดอะไรก็พูด” ฉันพูดขำๆ แต่โน้ต กลับไม่ขำด้วย
“วันนี้เธอกลับบ้านคนเดียวนะ ไม่ต้องรอฉัน” เขาพูดพร้อมหันหน้าเดินออกไปจากห้อง
ยิ่งเขาพูดยังนี้ฉันยิ่งงงไปใหญ่มันเกิดอะไรกันขึ้น แต่นั้น !!! รู้แล้วแหละว่าฉันจะถามใคร สายตาอันแหลมคมของฉันดันไปเห็นผู้ชายที่เป็นเพื่อนเป้ประมาณสามคนอยู่ตรงมุมห้อง คนที่นั่งตรงที่ติดหน้าต่างนะชื่อ กองทุน ชื่อมันนี้แม่มันเป็นคนตั้งชื่อซึ่งได้มาจากการลงทุนทางธุรกิจ ช่างสันหาตั้งชื่อ จริงๆ สองคนที่นั่งบนโต๊ะ ชื่อเบสท์ เป็นนักดนตรีโรงเรียน ที่จริงฉันไม่สนิมกับคนนี้นักหรอกหากแต่นายคนนี้เคยคบกับแป้ง แต่มีหลายอย่างที่ที่เบสท์รับไม่ได้กับนิสัยเพื่อนฉันเขาทั้งสองจึงไปกันไม่รอด ส่วนคนสุดท้ายกำลังนั่งเล่นกีตาร์อยู่นั่น ชื่อชิน คนเนี่ยเพื่อนฉันสมัยอนุบาลสนิทมากแต่ตอนนี้นะหรอ มันเปลี่ยนไปมากและเราก็ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะชินมักไปไหนมามาไหนกับเป้อยู่ตลอด และทั้งสามนั้นเป็นเพื่อนที่ฉันสนิมพอควร ฉันหวังว่าถ้าถามพวกนี้คงได้คำตอบแน่ ฉันจึงเดินเข้าไปถาม
“นี่พวกนายทำไรกันอ่ะ” ฉันเดินเขาไปถามด้วยรอยยิ้ม
ชินซึ่งกำลังเล่นกีตาร์อยู่นั่นก็เหงยน้าขึ้นมาดู แล้วก็ก้มไปเล่นกีตาร์เหมือนเดิมพร้อมพูดว่า
“กำลังนอนนะ มีอะไรรึเปล่า ว่าน” พูดเสร็จ กองทุนกับเบสท์ หัวเราะขำฉันเป็นยกใหญ่ ที่จริงก็ไม่อยากถามหรอกนะ ก็แค่ตามมารยาทเท่านั่นแหละย่ะ
“อ้าวหรอ (ตอบไปแบบหน้าเหวอๆ) นี่พวกนายถามไรหน่อย”
“ว่ามาสิ” กองทุนเริ่มจะสนใจฉันแล้วละ
“ห้าโมงนี้ นายนัดอะไรกับโน้ตหรอ ฉันรู้ว่าพวกนายรู้นะ บอกฉันหน่อยสิ” พอพูดเสร็จสายสายตาอันคมกริบทั้งสายคู่เริ่มมองมาที่ฉันพร้อมกัน และมองกันทุกคนอย่างนี้ฉันพูดอะไรผิดหรอ
กองทุนตั้งสติได้ก็บอกว่า “พวกฉันไม่รู้หรอ ว่าแต่เธอถามทำไม” ตอบแบบไม่จริงจังเท่าไหร่
ชินมองฉันได้ไม่นานก็ก้มลงไปเล่น กีตาร์เหมือนเดิมแล้วพูดว่า “เธออย่ายุ่งกับมันดีกว่านะ ฉันเห็นแก่การเป็นเพื่อนของเรา”
อะไรของเขา ทำไมชินถึงต้องบอกว่าห้ามยุ่งมันร้ายแรงขนานที่ฉันรู้ไม่ได้เลยหรอ
แต่แล้วก็มีเสียงอันคุ้นหูมาขัดจังหวะพูดแทรกขึ้นระหว่างการสนทนา
“ว่านๆ มานี้ เร็วๆ” เสียงยัยแป้งตะโกนเรียกฉันอยู่ข้างนอก ชอบขัดจังหวัดอยู่เรื่อยเลยนะเพื่อนฉัน
“รีบไปสิ เพื่อนเธอเรียก” นายเบสท์พูดย้ำอีกครั้ง พร้อมหันหน้าไปคุยกับกองทุนต่อ สงสัยคงยังแค้นเรื่องราวในอดีตที่ทำให้เบสท์ต้องเจ็บจึงทำให้เขามีสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนักเมื่อเจอแป้ง
ฉันก็ต้องจำใจเดินออกไป ทั้งที่ยังถามไม่รู้เรื่อง ยัยเพื่อนคนนี้ ถ้าไม่สำคัญจริงฉันจะชี้หน้าด่าสามวันสองคืนเลยล่ะคอยดู
- ห่วงใย -
“อะไรนะ นก ทำไมแกถึงเลิกล่ะ อย่าลืมว่าแก...” ฉันพูดเสียงดังเพราะความตกใจจากการได้ที่นกได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พร้อมเรื่องที่เลิกกับพี่มาส ถ้าทำแบบนี้นกเสียหายคนเดียวทั้งนั้น
“แกจะพูดเสียงดังทำไม อยู่ใกล้กันแค่เนี้ย ทีหลังมีอะไรก็พูดกับฉันด้วยไม่ใช่รู้อยู่กันสองคน คิดว่าฉันจะช่วยพวกแกไม่ได้หรอ” แป้งพูดอารมณ์ที่น้อยใจ
“มันไม่ใช่เวลามางอนกันนะ แล้วแกจะเอาไงต่อนก” ฉันพูดพร้อมมองมาทางนก
ทุกคนเงียบไม่มีพูดอะไรขึ้นมาเลย นี้มันเกิดอะไรกันขึ้นนกและพี่มาสได้ตกเป็นของกันและกันแล้ว แต่ทำไมนกถึงได้บอกเลิกกะพี่มาสทั้งๆที่นก รักพี่มาสหมดหัวใจ แต่แล้วเราก็ต้องสะดุ้งขึ้นเมื่อ นกร้องตะโกนเสียงดังออกมาพร้อมสายน้ำอันบริสุทธิ์ได้ไหลออกมา จากดวงตาอันร้อนผ่าวของนก สภาพของนกตอนนี้เหมือนคนเสียสติควบคุมอะไรไม่ แป้งซึ่งตกตะลึงอาการที่ไม่เคยเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้มาก่อนจึงได้โผนเข้าไปกอดไว้อย่างแน่นทำให้วินาทีตอนนั้นเป็นเหมือนซีนอารมณ์ที่มีแต่น้ำตา ส่วนฉันก็ได้แต่ร้องไห้เพราะสงสารเพื่อนตัวเองที่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เมื่อผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ ได้ พวกเราจึงตัดสินใจไม่เข้าเรียนกันทั้งวันเลยเพราะเป็นห่วงนกมาก ณ วินาทีนี้ ฉันคิดว่าเรื่องคงจบไม่ดีขืนคาดคั่นถามเอาคำตอบกับนกแค่คนเดียวมีหวังนกคงพูดออกมาไม่เป็นคำพูดฉันปรึกษากับแป้งแล้วว่าแป้งจะคอยดูนกอย่างใกล้ชิดแล้วโดยพานกไปรอที่บ้านแป้งเพราะพ่อกับแม่ของนกยังไม่รู้เรื่องนี้จึงยังไม่อยากบอกเพราะกลัวจะเกิดปัญหาเรื่องใหญ่จนนกรับสภาพต่างๆไม่ได้แล้วสุดท้ายก็จะกลายเป็นเสียสติ และที่สำคัญที่สุดแป้งให้ฉันไปคุยกับพี่มาสเพราะคำพูดฉันน่าเชื่อที่สุดภาระอันหนักอึ้งและความกดดันก็ตกมาที่ฉันคนเดียว จนถึงเวลาเลิกเรียน
“โอเคนะแก เดี๋ยวเค้าจะรอฟังคำตอบนะเพื่อน” แป้งกำลังใจให้ฉัน ก่อนที่จะพานกกับบ้านไปพักผ่อน
นี้มันก็เวลาเลิกเรียนแล้วฉันจะไปหาพี่มาสอยู่ที่ไหนล่ะนิ ฉันเดินวนไปวนมารอบโรงเรียน และสุดท้ายก็มาหาพี่มาสที่สระว่ายน้ำของโรงเรียน เพราะทุกเย็นพี่เขาจะซ้อมว่ายน้ำเพราะว่าพี่แกเป็นตัวแทนว่ายน้ำของโรงเรียนจึงต้องมาซ้อมทุกเย็น ฉันยืนรอแกซ้อมว่ายน้ำ จึงได้สังเกตพฤติกรรมระหว่างนั่น ซึ่งดูท่าทางแกจริงใจกับการซ้อมนี้มากเพราะสีหน้าเกิดดู ซีเรียสมาก พี่มาสเป็นหนุ่มฮอตลำดับต้นๆ ของโรงเรียน ไม่แปลกที่จะมีคนมาแอบชอบมากมายหากแฟนที่แท้จริงนั่นคือเพื่อนฉันที่ซึ่งไม่ใช่สาวสวย มีเสน่ห์ หากเป็นแค่ผู้หญิงที่บ้าด้านการเรียน ทั้งสองนี้เจอกันก็ตอนที่พี่มาสมีปัญหาด้านการแข่งว่ายน้ำแล้วนกเป็นคนไปเคลียร์ปัญหาช่วย นับแต่นั้นทั้งสองเดินปลูกต้นรักมาด้วยกันตลอด
“ อ้าว ว่านมารอใครหรอ” ฉันหันไปมองต้นเสียง นึกว่าใครที่แท้ก็ประธานชมรมว่ายน้ำ พี่ต๊อก รุ่นพี่ ม.๖ ที่เป็นหนุ่มที่มาแรงพอๆกับพี่มาส แต่แกจะฮอตมากกว่าพี่มาสเพราะแกไม่มีแฟน พี่แกถือว่าหล่อเลยที่เดียว ตาตีบ ผิวขาว เรียนดีป็นที่หนึ่ง เป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั่วไป หนึ่งในนั่นก็มีฉันคนหนึ่งเหมือนกัน
“อ่อ รอพี่มาสนะคะ มีธุระจะคุยนิดหน่อย” ฉันตอบไปอย่างเป็นมิตร อ่อไม่ต้องแปลกใจทำไมพี่เขารู้จักฉันก็เพราะว่าพี่ต๊อกเป็นเพื่อนกับพี่มาสจึงทำให้ฉันพลอยรู้จักกันไปด้วยเลยล่ะ
“อ่อ อีกนานหน่อยนะ วันนี้มันซ้อมใหญ่นะเพราะจะมีแข่งขันครั้งใหญ่ในอีกสองวันนะ” พี่เขาตอบน่ารักมาก ยิ่งเวลาที่พี่แกยิ้ม ตาพี่เขาแถบจะไม่เห็นแล้วละ
“อ่อ คะ งันพี่ต๊อกก็แข่งด้วยนะสิคะ แล้วแข่งที่ไหนคะ” ส่วนฉันก็เก๊กสวยตอบ
“ครับ พี่ก็แข่งเหมือนกัน แข่งที่ POPO อย่าลืมไปเชียร์พวกพี่ละ แล้วนี้มานานยังละ ทำไมไม่เข้าไปนั่งดีๆ ล่ะ”พี่เขาบอกพร้อมชี้ไปทางม้านั่งของนักกีฬา
“ก็ว่านไม่ใช่นักกีฬานิคะ ไม่กล้าไปนั่งหรอกคะ”
“งันไปนั่งเถอะพี่อนุญาต” แล้วพี่ต๊อกเดินนำพาฉันไปนั่ง
ระหว่างที่นั่งรอพี่มาสซ้อมเสร็จอยู่นั่น ก็ได้นั่งคุยกับพี่ต๊อกอย่างสนุกสนาน จากเขาเป็นคนป๊อบมากเมื่อได้มาสัมผัสพูดคุยกับพี่เขาเป็นกันเองโคตรไม่เหลือเค้าโครงแห่งการหยิ่งยโสแม้แต่น้อย จนเวลาได้ล่วงเลยจนมาถึงเวลาเกือบห้าโมงพี่มาสก็ขึ้นมาจากสระ ละก็เปลี่ยนไปเป็นพี่ต๊อกไปซ้อมแทน
“ไอ้มาสมันซ้อมเสร็จล่ะ หวังว่าเราคงได้คุยกันต่อนะ” พี่เขาส่งยิ้มให้กับฉันแล้วเดินสวนทางกับพี่มาส เมื่อพี่มาสเดินขึ้นมาจากสระน้ำแล้วพี่แกก็นั่งลงที่เก้าอี้ข้างฉัน พลางเช็คเนื้อเช็คตัวไปด้วย ฉันจึงเอ่ยถามพี่เขาทันที
“พี่มาส ไม่ถามว่านหน่อยหรอว่า ว่านมาหาพี่ทำไม”ฉันพูดพร้อมมองที่ไปหน้าเขา พี่เขาก็หันมามองหน้าฉัน
“เรื่องนกหรอก พี่ยังขอบอกนะว่าพี่ไม่ได้พูดอะไร นกตีความไปเองทั้งนั่น” พี่เขาพูดโดยที่สีหน้าหม่องเล็กน้อย
“พี่ก็รู้ นกคิดมากจะตาย ทำไมพี่ไม่พูดให้มันเคลียร์ ตอนนี้นกดูไม่เป็นผู้เป็นคนแล้วนะ” ฉันเริ่มจริงจังและเสียงดังมากขึ้น
“แล้วจะให้พี่ทำยังไง ไม่ใช่แค่นกหรอกนะที่คิดมากคนเดียวพี่ก็คิดทั้งเรื่องนกและเรื่องแข่ง” พี่เขาพูดด้วยเสียงสั่นเครือและเดินออกไปที่อาบน้ำ
“พี่มาส พี่โตกว่านกพี่คิดได้มากกว่าพี่ก็ควรพูดกับนกให้ดีๆ และให้ความสำคัญกับนกด้วยสิคะ อย่าลืมสิ พี่พรากอะไรไปจากนก” ฉันเริ่มพูดด้วยอารมณ์โกรธเล็กน้อย พี่เขามองหน้าฉันเหมือนรู้สึกผิดเล็กน้อย
ฉันพูดกับพี่มาสเป็นเวลาพอสมควร เราพูดกันด้วยอารมณ์และความรู้สึก จนสุดท้ายพี่มาสกลั้นน้ำใสๆ จากดวงตาอันหม่องหม่นไมไหว น้ำอุ่นๆ ปนความรู้สึกผิดได้ไหลรินออกมาเป็นสายน้ำตา จนฉันเห็นเองยังน้ำตาคลอ ที่จริงพี่มาสไม่ได้ที่จะตัดความสัมพันธ์นั้นจริงหากเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบจึงทำให้พี่มาสต้องพูดไปอย่างนั้น ที่จริงแล้วพี่มาสรักนกมาก ห่วงนกมากหากแต่เพราะด้วยอาการกดดันระหว่างการแข่งขันด้วย จึงทำให้มีแต่ปัญหาสำหรับพี่มาสมาก พี่มาสบอกว่าขอเวลาแข่งขันเสร็จก่อนแล้วจะเคลียร์ทุกอย่างด้วยตัวของพี่เขาเอง ฉันก็ไม่มีสิทธิ์อะไรมากแค่มีสิทธิ์ให้โอกาสพี่เขาแก้ตัว และสุดท้ายฉันก็เดินออกมาจากโรงยิมเพื่อที่จะกลับ ไม่รู้อะไรเข้าสิงทำให้ฉันไปดูนาฬิกาซึ่งอย่างบอกว่าฉันไม่ใช่คนชอบดูเวลาเพราะกลัวเวลามันจะเดินทรยศกลับความรู้สึก แต่ก็ช่างเหอะ เอาเป็นว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงครึ่งได้ ถ้างันก็.... จริงสิ เป้นัดโน้ตตอนห้าโมงนิ พอดีเลย แอบไปดูดีกว่าว่าแต่อยู่ที่ไหนกัน
จากที่ฉันได้พูดกับพี่มาสเสร็จเมื่อเดินออกมาจากโรงยิมไม่เท่าไร ก็มีความรู้สึกหวิวๆ อย่างไงก็ไม่รู้ เหมือนจะเป็นลางอะไรสักอย่าง ไม่เอาน่า ว่านรีคิดอะไรของเธอ แต่แล้วใจเจ้ากรรมก็อย่างไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน ไม่สิ ไม่ใช่เรื่องชาวบ้านเรื่องนายโน้ตต่างหาก คนกันเองทั้งนั้นว่าแต่เดินมาต้องนานแล้วยังไม่เห็นวี่แววของโน้ตกับเป้เลย ว่าไปแล้วบรรยายการยามเย็นของโรงเรียนก็เย็นดีเหมือน เอาเป็นว่าพรุ่งนี้กลับบ้านสักหกโมงดีกว่าอีกอย่างเราก็ไม่ต้องขึ้นรถที่มีคนแน่น บรรยากาศร้อนๆ ชวนโน้ตกลับเป็นเพื่อนดีกว่า
“นี่ มึงคิดว่ามึงแน่หนักหรอ” เสียงหนักทุ้ม ด้วยอารมณ์ที่ท้าทาย ดังมาจากสนามบาส ไม่ทันไรก็มีเสียง
“ ตุ๊บ ตั๊บ ๆๆๆ” ดังต่อเนื่องมาเป็นระยะ ใจของฉันหลุดลงไปที่ตาทุ่มเหมือนคนหมดแรง เมื่อฉันเดินไปอีกหน่อยก็พบร่างชายคนหนึ่งนอนฟุบที่พื้น งอตัวไปมา ท่าทางจะทรมานน่าดู ถัดอีกสักหน่อย ชายร่างสูงใส่ชุดนักกีฬายืนยิ้มอย่างสะใจ เมื่อฉันเดินไปใกล้อีกนิด ชายร่างสูงนั่นก็หันมา
“เป้…..” ชายที่มีรอยยิ้มที่สะใจคนนี้ก็คือเพื่อนร่วมห้องนั่นเอง นั่นหมายความว่าคนที่นอนอยู่ก็คือ ฉันรีบวิ่งไปดู ‘โน้ต’ สภาพของโน้ตนะตอนนี้ มีรอยซ้ำที่ปลายคิ้ว ที่มุมปากมีเลือดออกมา ฉันโมโหมาก ไม่นึกว่าคนห้องเดียวกันแท้ๆทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย ฉันหันไปมองน่าเป้ด้วยสายตาที่ดูหมิ่น “ ทำไมนายทำแบบนี้ นี้เพื่อนห้องเดียวกันนะ” ชายร่างสูงที่ยืนตรงหน้าแสร้งยิ้มที่มุมปากแล้วตอบว่า “ เราไม่เคยนับมันเป็นเพื่อนหรอก ว่านรี เพราะไอ้ ‘หมา’ ที่มันกินเศษเหลือจากคนอื่น เราไม่เคยนับมันเป็นเพื่อนหรอก ว่าน” แปลกจริง ที่ฉันรู้จักเป้มา เป้ไม่เคยโกรธใคร เกลียดใครขนาดนี้ แต่ทำไมวันนี้เป้เปลี่ยนไป “ เป้...นายบ้าไปแล้วรึไง เขาทำอะไรผิด เขาเป็นเด็กใหม่นะ” ณ ตอนนั่น ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย เพราะในหัวของฉันนะตอนนี้มีคำถามเยอะมาก อาจเป็นเพราะฉันรู้จักเป้ไม่มากพอ เขากลับไม่สนใจที่จะตอบฉัน เขาเดินไปยิ้มกระเป๋ากับเพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างสนามก่อนที่เขาจะเดินออกไป เขาหันหลับมาพูดว่า “ วันนี้แกโชคดีไปที่ได้หลบซ่อนในผ้าถุงผู้หญิง วันหน้าแกเละแน่จำวัน” เขาพูดพร้อมชี้หน้า ด้วยอารมณ์ที่โกรธแค้น ถ้าไม่ติดคนที่บาดเจ็บอยู่ได้ก็ ฉันคงจะเดินตามเป้แล้วถามทุกอย่างที่ฉันสงสัยนั่นให้ได้ แต่ทว่าคนป่วยที่อยู่ในอ้อมแขนของฉันกับจับมือฉันไว้เพื่อนพูดแห้งเหือดว่า “ อย่าบอกเรื่องนี้กับใครนะ รับปากผมสิ” แล้วเขาก็สลบไป
โอ๊ย! เจ้ากรรมจะเอายังไงต่อไปนี้ จะพาไปพักฟื้นที่ไหนดีล่ะ ตัวก็หนัก ตะวันก็จะลับฟ้า จะทำไงดีละที่นี้ L
ความคิดเห็น