คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 5 : ก็ผมอาศัยอยู่ในห้องนี้คนเดียวนี่ครับ [100%]
5
“หา!! นายบอกว่าอะไรนะ? อะไรพิเศษ?”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
นั่นคือจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์อันแสนวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้…
หลังจากที่คุณพ่อของฉันรู้ว่าฉันไปตกลงกับไซเลนท์ว่าจะหมั้นด้วย เขาก็ดีใจเหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง แต่คุณพ่อไม่มีทางรู้หรอกว่ายัยลูกสาวคนนี้ยอมหมั้นกับหมอนั่นเพราะอะไร ฉันอาจจะดูเหมือนคนประสาทที่สามารถเอานิสัยบ้าๆ ไปแลกกับความเป็นความตาย (เหรอ? -_-;) ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต
ฉันคิดว่ามันไม่ตลกเอาเสียเลยพอมานั่งคิดไตร่ตรองดีๆ หลังจากนั้น ฉันไม่น่าหลุดปากออกไปว่าจะหมั้นกับเขา เพราะนั่นมันเป็นแค่ความคิดชั่ววูบเท่านั้น มันเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและมันทำให้ฉันลืมตัว T_T และฉันเพิ่งจะมารู้เอาทีหลังว่าการหมั้นในครั้งนี้เป็นเพียงพันธะสัญญาที่คุณพ่อให้ไว้กับเสี่ยก่วงก๊วงเรื่องธุรกิจ พวกเราจึงไม่ต้องจัดงานอะไรให้ใหญ่โต เพียงแค่เซ็นรับรองในใบที่เสี่ยกวงเป็นคนจัดทำขึ้นมาเท่านั้น
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…
ฉันต้องไปอยู่บ้านเดียวกับไซเลนท์ในฐานะ ‘ภรรยาที่ดีในอนาคต’ T^T ฉันเกลียดคำๆ นี้เสียจริง ความจริงแล้วมันไม่จำเป็นสักหน่อยว่าฉันจะต้องไปอาศัยร่วมชายคากับหมอนั่น แต่พอฉันพยายามปฏิเสธออกไปก็จะโดนคุณพ่อเอ็ดกลับมาทุกครั้ง TOT ทำให้ฉันยอมแพ้ราบคาบ
แต่ช่างปะไร ยังไงฉันก็ไม่ได้รักเขา แล้วอย่าลืมว่าฉันเคยบอกกับตัวเองไว้ว่าถึงพวกเราจะหมั้นกันเรียบร้อยแล้ว ฉันก็จะเฮฮาไปตามเดิม และหลังจากนั้น…ฉันจะขอตีตัวออกห่างเขาเอง
ข่าวใหญ่ก็คือวันเปิดเทอมใหม่นี้หมอนั่นจะย้ายมาอยู่โรงเรียนเดียวกับฉัน =_=* มันเป็นอะไรที่น่าเกลียดสิ้นดี จะให้ฉันห่างจากมันสักวันนึงไม่ได้เลยเหรอไง กลับบ้านก็ต้องเจอกัน มาโรงเรียนก็ต้องเจอกัน
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณพ่อเรียกฉันให้เข้าไปพบในห้องทำงาน
“เชียร์รู้ใช่มั้ยว่าลูกต้องออกไปอยู่กับเลน”
ฉันพยักหน้าหงึกหงัก
“งั้นลูกก็เตรียมตัวเก็บของได้เลย เพราะวันนี้ลูกจะต้องออกไปอยู่กับเขาแล้ว”
ฉันได้แต่ยืนอึ้ง หา! อะไรกันอีกล่ะ? ไม่เห็นจะมีใครบอกฉันสักคนเลยว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะได้อยู่ที่บ้านหลังนี้
แต่ในที่สุดฉันก็โดนคุณพ่อตะเพิดออกมานอกห้อง T_T และฉันโดนไล่ต้อนให้ขึ้นไปเก็บของ เมื่อเก็บจนเสร็จแล้วคุณพ่อก็ขึ้นมาตามฉันและบอกว่ามีรถมารับแล้ว
รถลีมูซีนสีดำคันใหญ่จอดรออยู่หน้าบ้านฉัน =_=; คงจะเป็นรถของเสี่ยก่วงก๊วงอะไรนั่นล่ะสิ เกิดมาก็เพิ่งจะเคยได้ยลโฉมเป็นครั้งแรกนี่ล่ะนายจ๋า
“ไปดีมาดีนะลูก”
-_-; คุณพ่อส่งยิ้มให้ฉัน ไม่นานนักคุณแม่กับไอ้ชาร์ปน้องชายตัวแสบก็ออกมาส่งฉัน (หรือขับไล่ไสส่งกันแน่เนี่ย T^T)
“อย่าลืมโทรมาหาแม่บ่อยๆ ด้วยนะเชียร์”
“ไอ้พี่บ๊อง! ไปดีมาดีนะพี่ อย่าตื่นสาย อย่ากินจนอ้วนล่ะ!” น้องชายของฉันตะโกนขึ้นจนแม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ทนไม่ได้เลยเอามือตบหัวเขาไปหนึ่งที สะใจริงๆ -.,-^
“โอ๊ย! แม่ทำอะไรผมเนี่ย เจ็บนะ!”
“หยุดพูดจาแบบนั้นใส่พี่เค้าได้แล้ว”
ฉันแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ไอ้ชาร์ปแล้วถือกระเป๋าเดินทางไปหน้าบ้าน คนขับรถรีบลุกออกมาช่วยฉันถือสัมภาระทั้งหมด เขาใส่มันไว้ในกระโปรงหลังรถ
นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้อยู่พร้อมตาพร้อมตากับคุณพ่อคุณแม่และไอ้น้องชายตัวแสบ
“พร้อมรึยังครับ” คนขับรถถามฉัน
“ขอเวลาเดี๋ยวนะคะ”
ฉันยืนโบกมือลาครอบครัวและเดินขึ้นรถไป ภาพที่เห็นครั้งสุดท้ายก็คือฉันโดนไอ้น้องชายตัวแสบชูนิ้วกลางใส่ แต่ก็โดนคุณแม่เขกหัวไปอีกสองสามที -_-;^
“นั่งให้สบายนะครับ คงอีกนานกว่าจะถึงที่พัก”
“ค่ะ ขอบคุณมาก”
นี่ฉันจะต้องไปอยู่กับหมอนั่นแล้วเหรอเนี่ย! ไม่มีทางเป็นอันขาด!
นั่นคือความคิดสุดท้ายที่ฉันนึกขึ้นได้ก่อนจะง่วงและผล็อยหลับไป
“คุณหนูครับๆ ตื่นได้แล้วครับ ถึงที่พักแล้ว”
ฉันค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของคนขับรถร้องเรียกและเดินออกมาจากรถด้วยความงัวเงีย ง่วงก็ง่วง หัวก็ยุ่ง ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว -_-;
“ผมเอาของลงมาให้แล้วนะครับ”
คนรับรถพูดขึ้นอีกรอบ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันใส่ใจฟังเขาเลยสักนิดเพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี่ต่างหากที่ทำให้ฉันตกใจและดึงดูดความสนใจเอามากๆ
นี่มันอะไรกัน! มันไม่ใช่บ้านของหมอนั่นอย่างแน่นอน มันคือ…มันคือคอนโดมีเนียม!
ตึกสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าฉันเฉลี่ยแล้วคงจะมีประมาณสี่สิบชั้น ตัวตึกเป็นสีขาว มีห้องรับรองอยู่ด้านล่างพร้อมพนักงานที่เคาน์เตอร์
ช่วยบอกฉันทีว่านี่มันคืออะไร =_=^
“ลุงคะ ที่นี่ใช่สถานที่ๆ หนูต้องมาจริงๆเหรอคะ” ฉันหันไปถามคนขับรถที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ใช่ครับ คุณท่านสั่งให้ผมพาคุณหนูมาที่นี่”
-_-^ อย่าบอกว่าบ้านของหมอนี่เป็นคอนโดมีเนียมหรูหราใจกลางเมือง
“แล้วหนูต้องขึ้นไปถึงชั้นไหนล่ะคะเนี่ย”
คุณลุงคนขับรีบหยิบแผ่นกระดาษยับๆ ใบหนึ่งที่ยื่นออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขาคลี่ออกมา ในนั้นมีตัวอักษรเขียนไว้มากมาย
“คุณหนูต้องขึ้นไปชั้นสิบแปดครับ ห้องสามสี่หนึ่ง”
โอ้…นี่ฉันต้องลากสังขารขึ้นไปถึงชั้นสิบแปดเลยเหรอเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าต้องขึ้นไปถึงชั้นที่สามสิบ -_-;
ฉันบอกลาคุณลุงคนขับรถและเดินลากกระเป๋าเดินทางใบโตเข้าไปในตัวอาคาร ยัยพนักงานต้อนรับรีบเข้ามาขวางทางทันทีเมื่อหล่อนเห็นว่าฉันมีท่าทีจะเดินขึ้นลิฟต์ไปโดยไม่บอกกล่าว =_=^
“ขอประทานโทษค่ะ ไม่ทราบว่ามาพบใครคะ”
-_-; ฉันไม่จำเป็นต้องบอกเธอใช่มั้ย
“ย้ายมาอยู่ที่นี่วันแรก”
“ไม่ทราบว่าย้ายมาอยู่ห้องไหนคะ”
“ห้องที่ว่าที่สามีในอนาคตของฉันอาศัยอยู่”
คำตอบของฉันทำเอายัยพนักงานต้อนรับหน้าเหวอไปเลยทีเดียว ก็ยัยนี่อยากเรื่องมากซักถามคนอย่างฉันก่อนเองนี่นา
ฉันเดินไปกดลิฟต์ เมื่อลิฟต์เปิดออกก็รีบยกกระเป๋าที่มีน้ำหนักไม่ต่ำกว่ายี่สิบกิโลเข้าไปด้วยความยากลำบาก ฉันไล่สายตาไปตามปุ่มกดเลือกชั้นและกดลงบนเลขสิบแปด แล้วทำไมสาวน้อยผู้น่ารักและแสนร่าเริงอย่างฉันต้องมาตกระกำลำบากอยู่ในสถานการณ์อันโหลยโท่ยแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ =_= แต่ฉันจะโทษคนอื่นไม่ได้หรอกเพราะว่าตัวเองเป็นคนหลุดปากไปว่าจะหมั้นกับหมอนี่ T^T
ติ๊ง!
เสียงลิฟต์ดังขึ้น ฉันรีบกดปุ่มเปิดและใช้ขาถีบกระเป๋าเดินทางอันแสนหนักอึ้งให้ออกไปนอกลิฟต์ มันดูเหมือนว่าเป็นการกระทำที่อุบาทว์สิ้นดี แต่ฉันจำเป็นต้องทำมันจริงๆ นะ T_T
ห้องสามสี่หนึ่ง…สามสี่หนึ่ง…
ฉันเดินลากกระเป๋าเดินทางไปตามทางเดินที่ปูด้วยพรมสีแดงเลือดนก จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้าห้องพักที่สามสี่หนึ่ง
ครืด…
กระเป๋าเดินทางใบเท่าช้างแมมมอธถูกลากลงไปกับพื้น ฉันหยุดยืนหน้าห้องและเริ่มกดกริ่งด้านนอก
กริ๊งงงง…
ไม่มีคนออกมาเปิดให้ฉันสักคนเดียว =_=^
กริ๊งงงงงงงงงง…
ฉันเริ่มกดนานขึ้น
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงง…
ไม่มีคนออกมาเปิดให้ฉันอยู่ดี
หน็อย…! ไอ้ครอบครัวนี้มันอะไรกันนักกันหนา มีกันอยู่กี่คนจะออกมาเปิดให้ฉันหน่อยไม่ได้เลยรึไง!
กริ๊ง…กริ๊ง…กริ๊ง…~~~~
ฉันรู้สึกรำคาญจึงเริ่มกดกริ่งเป็นเสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ไอ้คนข้างในห้องน่ะ ไม่ออกมาเปิดก็ให้มันรู้ไป!
ก็ยังไม่มีคนออกมาเปิดให้ฉันอยู่ดี! ฉันจะนับหนึ่งถึงสามแล้วกัน ถ้าไม่มีคนออกมาเปิดให้ฉันอีก ฉันจะถล่มประตูเข้าไป!
ฉันยกขาขวาขึ้น ตั้งท่าถีบประตูบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับนับเป็นจังหวะในใจ
หนึ่ง…
สอง…
สาม…
“ย้ากกกกกกกกกกกกกกก…!!!!! ระวังไว้ให้ดี! หญิงเหล็กมาแล้วววว…!!”
แกร๊ก! แอ๊ดดด…
“กรี๊ดดดดดดดดด…!!!!!”
“เฮ้ย…!!!”
โครมมมมมมม!
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด! นี่มันอะไรกันเนี่ย เจ็บชะมัด T^T
ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาทีละนิด และรู้ตัวว่าตัวเองล้มลงไปกองกับพื้น แต่ทำไมมันไม่รู้สึกเจ็บล่ะเนี่ย -_-;
“ช่วยลุกออกไปทีครับ”
เสียงอะไร -_-
“ช่วยลุกออกไปจากตัวผมทีครับ”
ฉันค่อยๆ มองเหล่ลงไปข้างล่าง และต้องพบว่าฉันกำลังทับอยู่บนตัวหมอนั่น!!
“*&%!@&!$@%^$!%*(“
“…”
และเขา…ใส่แค่ผ้าเตี่ยวผืนเดียว O.,O! (ความคิดแกอุบาทว์จริงๆ ความจริงมันเป็นผ้าเช็ดตัว)
ไม่สิ! ในเวลานี้ผู้หญิงอย่างฉันควรจะกรี๊ดด้วยความตกใจและเสียสายตามากกว่าที่จะมานั่งชื่นชมลายของผ้าเตี่ยว =[]=^
“ทำไมนายถึงไม่ใส่เสื้อผ้า! แล้วทำไมถึงใส่แค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวล่ะเนี่ย!”
เขาจ้องมายังใบหน้าของฉัน
“ก่อนอื่นช่วยลุกออกไปจากตัวผมก่อนดีกว่านะ”
=_=^ ลืมไปเสียสนิท
ฉันลุกขึ้นยืนแล้วเอื้อมมือไปจับที่ถือกระเป๋าเดินทางไว้
“ทำไมนายถึงไม่ใส่เสื้อผ้า แล้วทำไมถึงออกมาเปิดประตูให้ฉันช้าขนาดนี้ ทั้งบ้านมีตั้งกี่คน ไม่ออกมาเปิดให้ฉันสักคนนึงล่ะ” ฉันพูดพล่ามออกไปอย่างรวดเร็ว
เขายืนเกาหัวแกรกๆ แล้วมองฉันที่ยืนอยู่นอกห้องพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบโต
“อ้าว? ก็ผมอาศัยอยู่ในห้องนี้คนเดียวนี่ครับ”
___________________________________________
อิอิ จบไปอีกตอนนึงแล้ว
Loma_ p
ความคิดเห็น