ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silent's words ♥ เกิดอาการ "ปิ๊ง" เมื่อใกล้เธอ

    ลำดับตอนที่ #23 : ตอนที่ 21 : ปราสาททรายหลังนั้น... [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 26 มี.ค. 53


     

     

    21

     

     

           ตั้งแต่ที่จำความได้ ฉันเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ข้างบ้านชอบออกมาเล่นที่สนามเด็กเล่นเหมือนกับฉันทุกวันเสาร์ ในตอนนั้นฉันไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไร แต่มีอยู่วันหนึ่งที่ฉันกำลังเล่นบ่อทรายอยู่นั้นเอง เขาก็ทำลูกบอลกลิ้งมาชนจนทรายที่ฉันอุตส่าห์ก่อให้เป็นรูปปราสาทสวยงามได้พังทลายลงไป

                ในตอนนั้นฉันโกรธมากแต่ไม่รู้ว่าใครเป็นตัวการที่ทำลูกบอลนี่กระดอนมาใส่ปราสาททรายอันสวยงามของฉัน จึงได้แต่นั่งจ้องลูกบอลนั้นไม่ไปไหน และในที่สุดตัวการสำคัญก็เดินเข้ามา

                เด็กผู้ชายที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉันอยู่ในเสื้อยืดสีขาวกางเกงสามส่วนสีน้ำตาลเดินมาหยุดอยู่หน้าลูกบอลที่ฉันกำลังจ้องมองอยู่ด้วยความเคือง เขามองหน้าฉันเพียงแว้บหนึ่งและตั้งท่าจะหยิบลูกบอลไป

                นี่! นายน่ะ จะไปไหน!”

                เพราะเสียงแหลมเล็ก ทำให้เขาต้องชะงักและเหลือบขึ้นมามองหน้าฉันอย่างหวาดๆ

                เอ่อ ผม…”

                นายน่ะทำปราสาททรายของฉันพังนะ! เพราะลูกบอลของนายใช่มั้ยล่ะ!”

                เขาลุกลี้ลุกลน ยืนหันซ้ายหันขวาด้วยความตกใจก่อนจะหันกลับมาบอกกับฉัน

                ผม ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ

                งั้นนายก็ช่วยฉันสร้างมันขึ้นมาใหม่ซะสิ!” ฉันตวาดเสียงดังพร้อมกับชี้ไปที่กองทรายที่ก่อนหน้านั้นมันเคยเป็นปราสาทอันสวยงดงามมาก่อน

                ขอโทษนะ แต่ผมไม่มีเวลามากขนาดนั้นเขาพูดและหันซ้ายหันขวาอีกครั้ง

                ทำไมล่ะ! นายทำนายก็ต้องรับผิดชอบซะสิ!”

                ผมผมต้องไปแล้ว

                ไม่! นายจะไปไหน! ห้ามไปเด็ดขาด จนกว่านายจะช่วยฉันสร้างมันขึ้นมาใหม่!”

                เซน! อยู่ไหนน่ะ แม่เรียกตั้งนานแล้วนะ หายไปไหนเนี่ยลูกคนนี้ อ๊ะ!” เสียงของผู้หญิงวัยกลางคนดังขึ้น ไม่นานนักฉันก็เห็นเธอเดินเข้ามาหาเด็กผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าฉัน

                กลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะเซน แม่บอกว่าให้เล่นได้แป๊บเดียวยังไงล่ะ!” เธอพูดพร้อมกับเอื้อมมือลงมาจับข้อมือลูกชาย เอ๊ะ แล้วนี่ใครเนี่ย

                เธอหันมาจ้องหน้าฉันสักพักก่อนจะเอ่ยออกมา อ้าว ลูกสาวของคนข้างบ้านนี่นา

                ฉันไม่เคยเห็นเธอหรอก เพราะว่าตั้งแต่อยู่ที่บ้านนั้นมาก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนเท่าไหร่ เพิ่งจะออกมาก็วันแรกนี่ล่ะ

                เป็นเพื่อนกับเซนเหรอจ๊ะ เธอก้มตัวลงมาถามฉัน

                และฉันก็ส่ายหน้าด้วยความไม่รู้เรื่อง

                อ้าว? งั้นเหรอจ๊ะ เซน กลับบ้านได้แล้วลูก หลังจากที่เธออุทานขึ้นมาก็หันกลับไปมองหน้าลูกของเธอ

                เด็กผู้ชายคนนั้นยืนมองหน้าฉันอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจหยิบลูกบอลไปกอดไว้ในแขน ก่อนที่คุณแม่ของเขาจะจูงมือลูกชายออกไปจากตรงนั้น

                ฉันหันไปมองเขาที่กำลังเดินลับตาไปด้วยความโมโห ทำลายข้าวของๆ คนอื่นแล้วไม่ยอมรับผิดชอบนี่ไม่ดีเอาเสียเลย

                แต่ในขณะที่เขากำลังเดินไปก็ได้หันหลังกลับมามองหน้าฉัน นั่นเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่ฉันคิดว่าแววตาของเขาเศร้าสร้อยเหลือเกิน

     

                ในวันเสาร์ถัดไป ฉันก็ยังคงมาเล่นที่สนามเด็กเล่นเพียงคนเดียวเช่นเคย และฉันก็เห็นเขาเหมือนเคย เด็กผู้ชายคนนั้นกำลังนั่งกอดลูกบอลอยู่ที่ชิงช้า ขาซ้ายของเขาเตะทรายที่พื้นจนมันฟุ้งขึ้นมา

                วันนี้ฉันต้องให้เขามารับผิดชอบกับปราสาททรายของฉันให้ได้

                หลังจากที่คิดได้อย่างนั้นแล้วฉันก็เดินตรงดิ่งไปหาเขา นี่! นายน่ะ คราวที่แล้วยังไม่ยอมสร้างปราสาททรายให้ฉันเลยนะ!”

                เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉันที่กำลังยืนเท้าเอวทำจมูกฟุดฟิดด้วยความไม่พอใจ

                เอ่อ ผมขอโทษ วันนี้ผมจะช่วยเธอสร้างนะ

                งั้นก็ไปสร้างตอนนี้ซะเลยสิ!” ฉันพูดพร้อมกับชี้ไปที่กองทรายที่เพิ่งก่อเป็นปราสาทไปได้เพียงครึ่งเดียว

                ผม ผมสร้างไม่เก่งหรอกนะ

                ทำไมล่ะ!”

                “…”

                ฉันไม่สนหรอกว่านายจะทำเก่งหรือไม่เก่ง! ยังไงๆ นายก็ต้องมาช่วยฉันสร้างอยู่ดี!” ฉันพูดแล้วเดินฉับฉับไปที่กองทรายนั้นและนั่งลง หลังจากนั้นก็หันมาทำตาขวางใส่เขา มาช่วยฉันสิ มัวแต่นั่งทำอะไรอยู่ได้!”

                อาจเป็นเพราะเสียงแหลมเล็กของฉันทำให้เขารีบวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรนและนั่งลงข้างๆ ฉัน

                สร้างยังไงเหรอเขาเอ่ยถามขึ้น

                หา! นี่นายสร้างปราสาททรายไม่เป็นเหรอ

                อืม

                เนี่ย ก็แบบนี้ เนี่ยเห็นมั้ยเอามือโปะๆ ไปแบบนี้

                อืม

                ฉันนั่งสอนเขาก่อปราสาททรายเป็นเวลาเกือบชั่วโมง และในที่สุดพวกเราก็ได้รู้จักชื่อซึ่งกันและกัน ฉันบอกเขาว่าฉันชื่อบลู และฉันก็ไม่เคยชอบชื่อของตัวเองเลย แต่เขาบอกว่าชื่อฉันน่ารักดี

                ส่วนเขาชื่อเซน ออกจะเป็นชื่อที่ประหลาดเหมือนกัน

                อ๊ะ!”

                เขาเผลอเอามือไปชนกับปราสาททรายจนทำให้มันล้มลง ฉันที่เป็นเด็กอยู่ในตอนนั้นก็เกิดอาการโมโหขึ้นมา

                นี่! วันหลังถ้าทำไม่เป็นก็อย่าไปจับมันมากสิ!”

                อืม ผมขอโทษ

                และในวันนั้น ปราสาททรายหลังนั้นก็ไม่เสร็จสมบูรณ์เหลือเพียงชั้นแรกของปราสาทเท่านั้น ฉันจึงคิดว่าจะปล่อยมันทิ้งไว้แล้ววันเสาร์หน้าจะมาสร้างต่อ

    แต่เพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจ ทำให้วันเสาร์ต่อมาเกิดฝนตก ปราสาททรายที่ฉันสร้างเอาไว้ก็ได้ถูกชะล้างไปกับสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง

                ฉันได้แต่นั่งมองปราสาททรายหลังนั้นที่กำลังพังลงมาด้วยความเสียใจผ่านกระจกบานใสในห้องนอน น้ำอุ่นๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ฉันใช้มือทั้งสองปาดน้ำตาทิ้งไปและลงไปนอนบนที่นอน

                หวังว่าเสาร์หน้าฉันคงจะได้กลับไปสร้างมันต่อ

     

                วันเสาร์ถัดมาอากาศดีมาก แสงแดดส่องผ่านต้นไม้ที่อยู่ในสนามเด็กเล่นรำไร ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองพระอาทิตย์ผ่านร่องมือทั้งสองข้างด้วยความดีใจ

                และในวันนี้ฉันก็ได้พบกับเซนอีกครั้ง เขายั่งคงนั่งแกว่งชิงช้าอยู่เหมือนเคย

                สวัสดีเซนฉันกล่าวทักทายเขาก่อน

                เซนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองฉัน อ้าวบลู

                วันนี้นายต้องมาช่วยฉันสร้างปราสาททรายให้เสร็จนะฉันพูดพลางเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าถ้าฝนไม่ตกคงจะไม่มีอะไรมาขัดขวางอีก

                อืม ผมจะช่วยจนเสร็จเลย

                หลังจากนั้นพวกเราก็ลงมือก่อปราสาททรายด้วยกัน และสิ่งที่ฉันไม่คาดฝันสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยก็มาถึง

                เซน! อยู่ไหนน่ะ แม่ตามหาเรานานแล้วนะ เซน! อยู่ไหนตอบแม่หน่อย เสียงคุณแม่ของเซนดังขึ้นทำให้เขาสะดุ้งสุดตัวในขณะที่กำลังโกยทรายเข้ามาในมือ

                อยู่ไหนน่ะ! อ๊ะ! เจอแล้ว อยู่นี่ๆ เอง เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงข้างของพวกเรา เซนรีบกลับบ้านเถอะ แม่เคยบอกว่าจะให้เวลาลูกเล่นแค่แป๊บเดียวใช่มั้ย

                เพราะน้ำเสียงจริงจังของคุณแม่ ทำให้เขาถอนหายใจและลุกขึ้นยืนปัดทรายที่เปรอะเปื้อนเสื้อผ้าออกไปและหันมาบอกกับฉัน

                ไว้คราวหน้าผมจะมาช่วยใหม่นะ

                ในตอนนั้นฉันก็รู้สึกเคืองหน่อยๆ แหละ แต่ทำไงได้ในเมื่อคุณแม่ของเขามาตามถึงที่นี่ ฉันก็ต้องปล่อยเขาไปอยู่ดี

                อื้ม! ไว้คราวหน้านะ

                งั้นผมไปก่อนนะ บ๊ายบาย

                เซนโบกมือลาให้ฉันและหันหลังเดินคู่ไปกับคุณแม่ของเขาจนลับสายตาไป

                และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ปราสาททรายของฉันสร้างไม่เสร็จเหมือนเคย

     

                วันเสาร์ถัดมา ฉันรีบออกมาจากบ้านด้วยความกระฉับกระเฉงเพื่อจะมาก่อสร้างปราสาทต่อให้เสร็จ ความหวังของฉันในวันนี้คือมันต้องเสร็จสมบูรณ์ไร้ข้อกังขา

                วันนี้เซนก็ยังคงนั่งอยู่ที่ชิงช้าอันเดิม ฉันรีบวิ่งเข้าไปหาแทบจะทันที

                เซน! วันนี้เรามาสร้างปราสาททรายให้เสร็จกันนะ

                อืม

                ฉันนั่งลงตรงข้ามกับเขาโดยมีกองทรายกั้นอยู่ตรงกลาง พวกเราค่อยๆ โกยทรายขึ้นมาด้วยมือเล็กทั้งสองข้างก่อนจะปล่อยให้มันไหลผ่านร่องมือลงไปจนซ้อนกันเป็นชั้นๆ

                หวังว่าวันนี้คงจะเสร็จเนอะ

                อืม

                พวกเราต่างคนต่างตั้งใจทำเป็นการใหญ่โดยมีความหวังว่าวันนี้ปราสาททรายจะเสร็จเสียทีหลังจากผลัดมาหลายอาทิตย์แล้ว

                แต่แน่นอนว่าความหวังของฉันก็ได้พังทลายลง

                เซน! เซนอยู่ไหน! ได้ยินพ่อมั้ยตอบด้วยลูก!” เสียงของผู้ชายดังขึ้น เขาแทนตัวเองว่าพ่อกำลังตะโกนเรียกเด็กผู้ชายตรงหน้าฉันอยู่ด้วยน้ำเสียงรีบร้อน

                แต่เซนก็ไม่ได้ตอบอะไรจนกระทั่งพ่อของเขาตามตัวจนพบ เขานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าลูก อยู่นี่ๆ เองเซนลูกต้องตามพ่อมาเดี๋ยวนี้เลย…”

                เซนทำหน้างง แววตาของเขาแฝงไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ทำไมเหรอครับพ่อ

                คุณพ่อของเซนมีสีหน้าไม่ดีเท่าไหร่นัก เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะบอกสิ่งที่ทำให้แม้แต่ฉันที่เป็นคนนอกครอบครัวตกใจมาก

                แม่กำลังป่วยหนักอยู่ คุณหมอบอกว่าแม่จะอยู่ได้ถึงสี่ทุ่มของวันนี้เท่านั้น…”

                หลังจากที่พ่อของเซนพูดจบ เขาก็ยืนนิ่ง ดวงตาเบิกโพลง

                แม่เป็นอะไรครับพ่อ! แม่เป็นอะไร!”

                คุณพ่อของเซนส่ายหน้า แม่เป็นโรคร้ายมาหลายปีแล้ว แต่แม่ไม่เคยบอกกับพวกเราเลย

                ฉันเห็นน้ำตาหยดใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเด็กชายที่อยู่ตรงหน้า เขาดูสับสนและเสียใจมาก

                ลูกต้องรีบไปโรงพยาบาลกับพ่อนะ ไปหาแม่เป็นครั้งสุดท้าย

                เขาพยักหน้าตอบรับทันที แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาหาฉันด้วยแววตาเศร้าเสียใจ

                บลู ผมขอโทษนะที่ช่วยสร้างปราสาททรายไม่เสร็จอีกแล้ว

                อื้ม ไม่เป็นไรหรอก นายรีบไปหาคุณแม่เถอะนะ

                งะ งั้นผมไปก่อนนะ

                อืม

                หลังจากนั้นเขาก็รีบเดินตามคุณพ่อของเขาไป ปล่อยให้ฉันนั่งเปล่าเปลี่ยวอยู่กับกองปราสาททรายที่ยังสร้างไม่เสร็จเหมือนเคย

               

                วันเสาร์ต่อมา ฉันเดินลงไปที่หน้าบ้านและมองเข้าไปในบ้านของเซนที่ตอนนี้ถูกปิดไว้นานเกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว

                ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่เริ่มครึ้มด้วยเมฆฝนพลางคิดในใจว่าจะสร้างปราสาททรายให้เสร็จคนเดียวภายในวันนี้

                เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันก็ลงมือทำทันที

                เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ฉันก่อขึ้นมาจนถึงชั้นบนสุด อีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะเสร็จ แต่ก็ต้องรู้สึกว่าเม็ดฝนกำลังหยดลงมาใส่ใบหน้าของฉัน

                ดวงตาทั้งสองข้างของฉันจ้องกลับไปที่ท้องฟ้าทันที

    ฟ้ามืดมาก

    และแน่นอนว่าฝนตกลงมาแล้ว

    ปราสาททรายที่ฉันอุตส่าห์สร้างจนเกือบเสร็จ เหลือแค่ปักธงเท่านั้นก็ได้สิ้นสุดลง ฉันถูกคุณแม่เรียกตัวให้กลับเข้าบ้าน

    บลู! อยู่ไหนเนี่ยลูก กลับเข้าบ้านได้แล้ว ฝนเริ่มตกหนักแล้วนะ!”

                ค่ะ!”

                เพราะขัดคำสั่งของคุณแม่ไม่ได้ ฉันจึงต้องเดินคอตกเข้าบ้านไปอย่างเสียดาย

                หลังจากนั้นฉันก็เดินเข้าไปในห้องนอน และจ้องมองปราสาททรายที่กำลังล้มลงเพราะแรงลมและสายฝนด้วยความเสียใจ

                ในที่สุดปราสาทที่ฉันสร้างก็ไม่เสร็จ คงจะต้องถอดใจได้แล้ว

                ฉันจึงล้มตัวลงบนที่นอนและคิดอะไรเพลินๆ จนผล็อยหลับไป

     

                เช้าวันรุ่งขึ้นในขณะที่กำลังยืนรอรถของคุณแม่หน้าบ้านเพื่อจะไปโรงเรียน ฉันก็เหลือบมองไปที่บ่อทรายด้วยความเสียดาย แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า ปราสาททรายได้สร้างขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อย!

                ฉันรีบวิ่งข้ามถนนเพื่อไปยังสนามเด็กเล่นแห่งนั้น

                ปราสาททรายถูกประดับตกแต่งด้วยธงสีน้ำเงินด้านบนที่กำลังโบกไสวอยู่น้อยๆ ฉันก้มตัวและนั่งลงจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะเหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งเสียบไว้อยู่ด้านใน

                มือขวาของฉันเอื้อมไปหยิบมันออกมาจากปราสาททราย ไม่รอช้าฉันรีบคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกมาเพื่ออ่านแทบจะทันที

                ลายมือขยุกขยุยถูกเขียนลงไปบนกระดาษทำให้อ่านยาก แต่ฉันก็พยายามจะอ่านมันให้ได้

                เนื้อความเขียนไว้อยู่ว่า

     

    ถึง : บลู

     

                ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมคงต้องย้ายบ้านไปอยู่เมืองอื่นกับคุณพ่อแล้วเพราะว่าคุณแม่เพิ่งจากไปได้ไม่นานและไม่มีใครดูแลบ้านหลังนี้ เพราะว่าผมอาศัยอยู่กับคุณแม่เพียงสองคนเท่านั้น อ้อ ใช่แล้ว

                ผมหวังว่าเธอจะเห็นกระดาษใบนี้และหยิบมันขึ้นมาอ่าน

                ปราสาททรายหลังนี้ ผมมาช่วยสร้างให้เมื่อวานตอนกลางคืนคนเดียวจนเสร็จแล้วนะ คงทำให้เธอดีใจไม่น้อยเลยใช่มั้ยล่ะ ทรายเปียกน่าดูเลย ฝนคงตกแน่ๆ ตัวผมเปื้อนไปหมด

                ผมดีใจนะที่ได้เป็นเพื่อนกับเธอ เพราะที่ผ่านมาผมไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นด้วยเลย

                ผมอาจจะไม่ได้เจอเธออีกแล้วนะบลู และผมอยากจะขอบคุณอีกครั้งที่คอยชวนผมไปสร้างปราสาททราย ผมสนุกมากเลยล่ะ

                แต่ถ้าพวกเราได้เจอกันอีกที เธออย่าลืมผมนะบลู สัญญานะ

                ลาก่อน

     

                                                                                                                            จาก : เซน

     

                เมื่ออ่านจบฉันก็รู้สึกว่ามีน้ำอุ่นๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ถึงจะเป็นเด็กอยู่ก็เถอะ แต่มันก็ทำให้ฉันรับรู้ถึงมิตรภาพแรกที่เกิดขึ้นภายในชีวิต

                มือของฉันขยำกระดาษจนยับยู่ยี่ ฉันจ้องมองปราสาททรายที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลายอย่างบอกไม่ถูก

     

     

     

     

     

    เอามาลงให้เลย แถมๆๆๆๆ

     

    นั่งแต่งเพลิน ฮ่าๆๆๆๆ

     

    หวังว่าจะมีคนคอมเม้นให้นะจ๊ะ ^____^

     

    อดีตของบลูยังไม่จบอยู่แค่นี้จ้า โปรดติดตามตอนต่อไป 55+

    Loma_ p

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×