++ ปลายทางโพคารา 26 ++ - ++ ปลายทางโพคารา 26 ++ นิยาย ++ ปลายทางโพคารา 26 ++ : Dek-D.com - Writer

    ++ ปลายทางโพคารา 26 ++

    *-* ปลายทางโพคารา ตอนที่ 26 *-*

    ผู้เข้าชมรวม

    412

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    412

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  7 ก.ย. 49 / 20:05 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                                 ปลายทางโพคารา ตอนที่ 26

           เสียงไก่ขัน  เอ....ที่นี่ไก่ก็ขันด้วยเหรอ  ลมพัดเข้ามาตรงที่มันนั่งหนาวจับใจทีเดียว  มันอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวที่มันรื้อออกมาจากเป้ใบเล็ก  มันควานหาหมวกไหมพรม  มาสวมไว้  จากนั้นก็เอาเป้ใบเดิมสะพายออกไป การได้ออกเดินน่าจะดีกว่าอยู่ที่ห้อง
         คนเมืองนี้แปลกแหะ  เช้าแล้วไม่ยักตื่นกัน   คุณนิสิตอยู่ตรงไหนหว่า....ช่างเหอะ...มันสลัดความคิดทิ้งอย่างรวดเร็ว  มันแต่งงานแล้วอย่าไปสนใจมันเลย  ป่านนี้มันนอนกอด...ยิ่งคิดมันยิ่งหนาว  เลยเอาเป้มากอดไว้  อย่างน้อย  “ลายแทงหัวใจ”  ที่อยู่ในเป้ก็ทำให้มันอบอุ่นใจ  มันเดินกลับไปทางเดิมที่เดินจากมาเมื่อวาน
         ยอดโบสถ์มีไม้กางเขนเด่นเป็นสง่า  ด้านหลังโบสถ์  เจ้าหางปลาต้องแสงตะวันยามเช้า  ดุจใครเอาสีทองไปราดไว้บนยอดหิมะขาวโพลนนั่น  มันเดินมาถึงทางขึ้นโบสถ์  บันไดดินที่ทำไปถึงลานหน้าโบสถ์ปลูกดอกอะไรหว่า  บานสะพรั่งไปหมด  มันเดินดูประตูโบสถ์ยังปิดอยู่เลย  มันเลยเดินดูรอบ ๆ  โบสถ์  จนมาถึงด้านหลัง  นั่นคงเป็นป่าช้าที่คุณนิสิตเคยเขียนบอก  สวยอย่างที่มันโม้ให้ฟังจริง ๆ  แหละ    หลุมศพฝังไล่ไปบนความลาดของเขา  มีต้นไม้ใหญ่ด้วย  ใต้ต้นไม้มีม้านั่งยาว ๆ    มันเดินไปนั่งที่ม้ายาว  หยิบเอาขนมห่อเล็ก ๆ  ที่มันเก็บไว้จากบนเครื่องมาฉีกกิน  มันกระด้างจังเลย  ช่างเหอะ  ค่อย ๆ  กินตามหน้าที่  เพราะท้องมันร้อง  มันไม่ได้กินอะไรมาเกือบยี่สิบชั่วโมงแล้ว  โน่นตรงหลังโบสถ์มีก๊อกน้ำ กินน้ำจากก๊อกก็ได้
         มันเดินต่อเรื่อย ๆ  ไปตามหลุมฝังศพ  บางหลุมใหม่สะอาด แสดงว่าคนในหลุมยังมีคนรัก  หรืออาจจะเพิ่งเสียชีวิตไม่นาน  แต่บางหลุมแม้ป้ายชื่อผุพังกร่อนไปตามกาลเวลา   ทั้งหมดขึ้นอยู่กับ “เวลา”
         มันแน่แก่ใจ...เวลาทำให้ความผูกพันคลายลง  มันยิ้มกับวันเวลาที่ผ่านมา กอดเวลาของมันไว้แน่น  เวลาของมันในเป้ใบนั้นไง
         หนทางพิสูจน์ม้า...เวลาพิสูจน์คน 
         ละอองน้ำเย็นพัดตามสายลมปะทะใบหน้ามัน  ทำให้มันสบายใจขึ้นมา  อย่างน้อย มันเองก็ปล่อยให้ละอองน้ำกลบน้ำตามันได้  น้ำตาหรือน้ำค้างกลางหาวกันแน่  มันเดินกลับมานั่งที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่  เปิดเป้  หยิบจดหมายปึกใหญ่ออกมา  จดหมายจากไอ้บอยในวันนั้น..แต่วันนี้มันคือ คุณนิสิต  มันเรียงวันที่ไว้อย่างเป็นระเบียบ  ทุกฉบับมันอ่านนับครั้งไม่ถ้วน  จนจำได้แทบทุกตัวอักษรเลยกระมัง  แต่มันก็จะอ่าน  เพื่อเทียบกับสิ่งที่มันเห็นอยู่ตอนนี้  สิ่งที่คุณบอยบรรยายไว้  งามเหมือนที่มันเจอด้วยสายตามันเอง  ทั้งยอดหางปลา  ทั้งโบสถ์  ป่าช่า  แล้วซารังก้อตล่ะ อยู่ที่ไหน มันตั้งใจแน่วแน่ต้องไปดู ก่อนกลับ
         มันคลี่จดหมายเบามือ  ถนอมเช่นที่เคยทำมาตลอด  ประหนึ่งนั่นคือสิ่งที่มันรักยิ่งชีวิต    ยิ้มกับข้อความที่เริ่มอ่าน   ความสุขวันเก่าเหมือนน้ำรดหยดลงในหัวใจ

         “บน TG  319  นัท...เพื่อนรัก.เอหรือว่า...(...เติมเอาเองแล้วกัน)....
       
          มันอ่านเรื่อย ๆ  จนถึง... 
         
         “ข้าจะไป Trekking  ลองกำลังขาเสียหน่อยว่ะ  เพราะไม่กี่เดือนจะกลับแล้วจะได้ไปโม้เอ็งถูกว่าหิมะมันเป็นแบบไหน....ถ้าให้ข้าไปเอง  คงไปไม่ถูกแหง แม้จะมีบริษัททัวร์ Trekking  เยอะเต็มโพคาราก็เหอะ  “ยายมาเรีย”  อาสาพาไปว่ะ”

         มันเคยคิด  ไอ้บอยไปกับใครไม่สำคัญ!  มันคิดผิด...ความจริง...สำคัญ...เพราะจากนั้นจดหมายก็หายไป  ไม่น่าเลย  ไม่น่ามาเลย  น่าจะรู้ตั้งแต่ทีแรกแล้ว  มันไม่น่าโง่  แค่ฉลาดน้อยไปนิด
         แต่ตอนนี้มันอยาก...กลับบ้าน
         “บ้าน”  มันหยุดกับคำนี้  มีกับเขาที่ไหนกันล่ะ  ที่กรุงเทพฯ  ก็บ้านเปี๊ยก  เชียงใหม่ ก็ปรับที่ไว้ยังไม่ได้ลงมือสร้างเลย  กลับไปคราวนี้  ต้องเริ่มสร้างบ้าน
         ไม่ไกลจากที่มันนั่งมีหลุมศพหลายหลุมเรียงกัน  ที่มีป้ายชื่อก็บอกให้รู้มีเจ้าของ  มันมองไปรอบ ๆ  เห็นเสียมเล็ก ๆ  มันเดินไปหยิบมา  ขุดหลุมที่ต้นไม้ใหญ่  มันหยิบจดหมายทั้งปึก พร้อม “ลายแทงหัวใจ”  ผูกโบว์ที่มันเก็บจากหลุมศพที่ดอกไม้แห้งแล้ว  มัน  “ฝังหัวใจ”  มันไว้ตรงนั้น  มันหาก้อนหินแถวนั้นมาเรียง  “นวนัท”  แล้ววิ่งไปเอาดอกไม้ที่ริมทางเดินขึ้นโบสถ์มาวางไว้ บนหลุม  “ฝังหัวใจ”  ของมัน
         “ไอ้นัท!  มาทำห่าไรตั้งแต่เช้า”  เสียงเรียกจากด้านหลัง  ทักทายมันเหมือนเก่าก่อน   มันสะดุ้งเล็กน้อย
         “กูหาแทบตาย  ถ้าคนที่มินิมาร์ทไม่บอก  ไม่รู้จะหาที่ไหนเหมือนกัน”  มันเดินเข้ามาไกล้  ไม่ทันสังเกตสิ่งรอบตัว  เพราะหัวใจมันจดจ่อที่นัทคนเดียว
         คนมาไกล ก้มหัว  จ้องมอง  “หลุมศพหัวใจ”  แน่วแน่ 
         “ทำไรนะ   พึลึกจริง ๆ  ”  คนมายืนไกล้ ๆ  งง  กับอากัปกิริยาของมัน
         “ดูหลุมศพ”
         “ดูทำไมหลุมศพ”  คนถามไม่ได้สังเกตมันเลยจริง ๆ  “..เห็นที่เกสต์เฮ้าน์บอกออกมาแต่เช้า”
         “มาเดินเที่ยวนะ  อากาศเช้า ๆ  เย็นสบายดี  ”
         “บ้าป่ะ...  มาเดินเที่ยวในป่าช้านี่นะ”
         “อ้าว   ก็.......”  มันละ....ที่เขียนจดหมายบอก..  “...มันแปลกดี เมืองไทยไม่มี  น่านอนดีนะ  เมื่อไหร่กูจะได้นอนว่ะ”
         “ไอ้นี่บ้าใหญ่แล้ว...มีอย่างที่ไหนจะนอนในป่าช้า  กินไรยัง  ไปบ้านกัน”
         มันคล้องแขนหมับเข้าที่คอเพื่อนไว้  เห็นไหม...คุณนิสิต...มันยังมีบ้าน  กลับไป คราวนี้มันต้องมีบ้านให้ได้  ชีวิตมันขาด  “บ้าน”  มานานแล้ว  คนชวนเพิ่งนึกได้ทำท่าอึกอักใจ  ไปบ้านต้องเจอมาเรีย  นัทมันจะทำใจไหวหรือ....
         “ไปดิ..อยากเห็นบ้าน...เหมือนกันแหละ”
         ถ้ามันเป็นดารากวาดรางวัลทุกสถาบันการประกวดแหง  มันคว้าเป้  ที่เบาลง  พร้อมไปข้างหน้า  “เสือ”  เคยเดินถอยหลังที่ไหนล่ะ
         “บ้าน”  ของคุณนิสิต  อยู่บนลาดเนินเหมือนเกสเฮ้าน์ มันได้กลิ่นหอมอาหารเมื่อเดินเข้าไปในบ้าน  มาเรียยิ้มออกมาต้อนรับ  มันยิ้มกว้าง   มาเรียหันไปพูดอะไรกับคุณนิสิต  ภาษาที่มันฟังไม่เข้าใจ
         “มาเรียถามพักที่ไหน  ย้ายมาพักที่บ้านดีกว่า”
         “ไม่ต้องหรอก  พรุ่งนี้ก็กลับกาฐมัณฑุแล้วล่ะ”  มันบอกเสียงราบเรียบ  เอ  มันตัดสินใจกลับตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า
         “อะไรกัน”  คุณนิสิตตกใจ  “ทำไมรีบกลับจัง” คุณนิสิตจ้องไปในแววตาเพื่อน  บอกแล้วมันเก่งการละคร  คุณนิสิตมองไม่เห็นไปถึงหัวใจมันหรอก
         “ก็แวบมา  วันนี้คณะไปปาตัน นากากอด พรุ่งนี้ต้องไปสมทบที่กาฐมัณฑุ  มะรืนไปลุมพินี”  ขอบคุณ  “ด้ายบาง ๆ”  ที่เอาสเกตดวลของทริปนี้ให้มันมาด้วย
         “อยู่ต่ออีกสักวันสองวันไม่ได้หรือ...ยังไม่ได้คุยอะไรกันเลย  คิดถึง...ทุกลมหายใจ”  สายตามันอ้อนวอน
         “อูย...เดี๋ยวคลาดกับคณะ...มีเมียแล้วอย่ามาทำปากดี  เดี๋ยวเมีย...แหกอกกู”
         มาเรียยกขนมปังกับซุปออกมา   มันยิ้มกับผู้หญิงของคนที่มันรักอีกครั้ง  มันมองได้เต็มตาเสมอแหละ 
         มันยิ้ม  มันคุยสนุก  แล้วขยับตัวขอลาเมื่อเห็นว่าได้เวลา  บอยละมือจากจานอาหาร
         “จะไปส่ง...ไปไหนล่ะ”
         มันส่ายหน้าพลางบุ้ยปากไปทางมาเรีย  “อยู่กะเมีย...เหอะ” 
         ถึงจะเป็นภาษาไทยแต่มาเรียก็เดาเอาจากอากัปกิริยา  รอยยิ้มกว้าง ๆ  จากผู้หญิงของมัน  จึงยิ้มให้นัทอย่างเต็มที่  มันค่อย ๆ  เดินจากมา  ไม่รีบ  เพราะมันรู้....มีสายตามองตามมันอยู่  เหอะ..มันนะดาราระดับตุ๊กตาทอง  อย่าเห็นว่ามันจะหนี
         หากแต่....มันกระพริบตา  หยอดน้ำฝนมั้งที่ดวงตาของมันแล้วไหลมาเปื้อนแก้ม
         สุดทางเดินจากบ้านเป็นถนนใหญ่  มีม้านั่ง  คงเป็นที่นั่งคอยรถเมล์ตามที่ คุณนิสิตเคยเล่า  โน่นรถเมล์มาพอดี  มันวิ่งโบกมือเหยง ๆ    รถจอดพอดีกับที่มันถึงถนน  มันไปนั่งหอบบนรถชั่วครู่  มันไม่สนหรอกว่ารถจะพามันไปไหนเพราะมัน  “หลงทางหัวใจ”  มาตั้งไกล  ถ้าจะหลงทางอีกจะเป็นไรไปเล่า  รถวิ่งมาราว 20 นาที  จอดที่ชุมชนเล็ก ๆ  มันเห็นป้าย  “Sarangkot”  ลูกศรชี้ไปบนทางเดินเล็ก ๆ  มันลงที่นี่  แวะซื้อน้ำกับขนมปังอีกสองสามอย่าง  มันเดิมตามลายแทงหัวใจที่ฝังในหัวขึ้นไปเรื่อย ๆ  เกือบเที่ยงแต่ไม่ร้อนเลยอากาศดีมาก  มันเดินไปจนถึงยอดเขา  มีที่พักอย่างที่คุณนิสิตเคยบอก  มันนั่งตรงม้านั่งยาวจะใช่กับที่คุณนิสิตเคยมานั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือปล่าวหว่า  แต่มันเห็นเบื้องหน้ามัน Machhapuchhare  สวย....งามกว่าที่มันเห็นเมื่อคืน  อาจเพราะมันเห็นในมุมเดียวกับคุณนิสิตมั้ง  เลยสวย
          “น่าเห็นใจคุณนิสิต”  มันคิดเพราะที่มันมา  มันไม่เจอคนไทยเลยถ้าไม่นับคุณนิสิตของมัน  บอกแล้วไอ้นัทมันสงสารคนอื่นเสมอ
         มันลืมสงสารตัวเองอีกแล้ว
         มันประมาณคร่าว ๆ  จากซารางก้อตไปหน้าด้าน ๆ  ราว 10 กม  ถ้ามันเดินก็ราว 2 ชั่วโมง  มันเลยกะเวลาที่จะเดินกลับ  ไปถึงเกสต์เฮ้าน์น่าจะมืดพอดี  แล้วมันก็กะเวลาถูกแผง  มันไปถึงมืดพอดี
         “โธ่!  ไปไหนมาหาเสียทั่วเมือง”   
         เสียงนั่นไง  ที่มันกะเวลามาค่ำ  แต่มันยังเจอเขา  “รอ”  อยู่ก่อนแล้ว  และน่าจะรออยู่นานแล้วด้วย
         “ไปซารางก้อตมา  ดูพระอาทิตย์ตก  สวยเนอะ  สวยกว่าพระอาทิตย์ที่เมืองไทยอีกว่ะ”
         “ไอ้นัท....”  มันเรียกปนสะอึก  “...การคอยโดยไม่รู้อะไรเป็นความทรมาน  กูรัก...นะ...จนกระทั่งตอนนี้กูก็ยังมั่นใจว่ากูรัก...”  มันกุมมือเพื่อนมาไว้แนบอก
         คำถามนี้มันเคยเจอ  “ครั้งแรก”  มันไม่ยอมแปล  แต่ครั้งนี้  มันแปล  มันรู้เพื่อนกำลังตัดพ้อมัน  ไม่ใช่ที่มันหายไปวันนี้แต่มันหมายถึงเรื่องที่มันไม่ยอมตอบจดหมาย  มันก้มหน้าลงต่ำสำนึกผิด
         “ก็มีเวลาไม่มาก  เที่ยวเสียหน่อย  กูเพื่อน...ไง ถ้า...ไม่รักกูก็พิลึกล่ะหว่ะ”
         “ไปกินอะไรกัน...”  ประโยคนั้นรวดเร็ว  “..ไม่ใช่ที่บ้านหรอก”
         “กินที่นี่ได้ไหม เดินมาทั้งวันเหนื่อยจัง”  มันทำท่าเมื่อย  มีหรือที่คนอย่างคุณนิสิตจะลากมันไป อีก  สุดท้ายก็นั่งสั่งอาหารที่เกสเฮ้าน์
         “ทำไมไม่ตอบจดหมายเลย?”
         “...ทำเหมือนไม่รู้จักกู  กุเขียนเป็นที่ไหนเล่า”    แน่ะ  มันตอบแบบง่าย ๆ
         “รู้ไหมการคอยหาย....คอยหาย....คนคอยรู้สึกอย่างไร  กูเหงา  กูคิดถึง...  กูต้องนั่งมองพระอาทิตย์ตกทุกวัน  เพราะกูคิดว่า...ก็กำลังมองมันอยู่  กูอยากนั่งมองกับ...”   มันพูดน้ำตามันไหล  ดีนะที่มุมที่มันนั่งหลบสายตาผู้คนพอสมควร  คนฟังรู้สึกผิดก้มหน้าเงียบ
         “ตอนนี้ทำงานที่ไหน?”  เสียงมันอบอุ่นเหมือนเดิม  นัทอยากเดินไปกอดมันไว้  แต่มันทำไม่ได้  ตอนนี้คุณนิสิต  เขาไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือยเหมือนเก่าก่อน
         นัทบอกชื่อบริษัทที่มันทำ  บอยมันไม่กินอะไรเลยนอกจากเบียร์  มันดื่มราวกับน้ำผิดวิสัยของมัน
         “พรุ่งนี้กลับจริง ๆ  หรือ มันเอื้อมมือมากุมมือเพื่อนไว้แน่น”
         “จริงสิวะ   ตามโปรแกรมนี่ไง”   มันเอาสเกตดวลมาโชว์
         “จะไปส่งที่กาฐมัณฑุนะ”
         “อย่า...อย่า  แค่โพคาราก็พอแล้วเพื่อนเอ๋ย  กลับบ้านเหอะ  พรุ่งนี้ไปส่งที่โพคาราแล้วกัน  ไปให้ทันไฟล์ที่สองล่ะกัน”
         เพราะถ้ามันไม่ให้ไปส่งบอยมันต้องแอะใจ  เอาน่า...อีกนิดน่า  เอ็งจะได้กลับบ้านแล้ว  พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรไม่รู้  ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า


      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×