ปลายทางโพคารา ตอนที่ 25
ถนนสายนั้น...ยาว...ไกลแค่ไหนมันไม่รู้หรอก เพราะร่างที่มันเดิน ริมถนนตอนนี้มันมีสมองซะที่ไหน ภาพคนในชุดทักซิโด้ยังตามมาหลอกหลอนมันอยู่เลย โชคดีที่ถนนไม่มีรถวิ่งมากมายเหมือนที่บ้านเรา ช่วยให้มันเดินได้เร็วขึ้น มันเดินเร็ว ๆ มันกำลังหนี...
หนีหัวใจตัวเอง...อย่างนั้นหรือ...แล้วข้างในอกซีกซ้ายมันมีหัวใจหรือปล่าวหว่า มันตอบตัวเองไม่ได้เช่นกัน สองข้างทางมีไม้เมืองหนาวขึ้นดาษดื่น มันรู้จักแค่ต้นสน อากาศที่นี่หนาวเสียเหลือเกิน มันหนาวแปลก ๆ
คล้าย ๆ มีใครเอาน้ำแข็งมาแช่ร่างมันไว้!
มันเดินกอดเป้ริมฝีปากสั่นระริก เดินย้อนกลับไปตามถนนที่คนที่เกสต์เฮ้าน์พามันมานั่นแหละ ความหนาวเป็นอย่างไรมันรู้แล้วล่ะ หากแต่มันรู้สึกอุ่นที่ดวงตา ก่อนที่จะอุ่นลงมาเป็นทางตามแก้มของมัน เสียงรถจากด้านหลังไกล ๆ
หรือ..คุณบอยจะตามหา...มันยังคิด
บอกแล้วหัวใจมันคือคุณบอย
แต่เป็นใครก็ช่างหัวมันเถอะ ในตอนนี้มันต้องการอยู่คนเดียวกับความเหงาที่เป็นเพื่อนแท้ของมัน มันหลบเข้าป่า เมื่อเสียงรถเริ่มไกล้เข้ามา “เสือหลบเลียแผลตัวเองเสมอ” คำพ่อมันสอนมันจำแม่น มันจำต้องหลบเลียแผลใจอีกครั้ง พอเดินเข้าป่า มันเริ่มมืด เพราะไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านบดบังแสงยามเย็น เงามืดหม่นมัว เหมือนหัวใจมันตอนนี้ที่หม่น ๆ ยังไงไม่รู้ ใบไม้แห้งที่หล่นทับถมทำให้เดินนุ่ม สมองมันเริ่มคิดทบทวนเรื่องรวที่ผ่านมา
ตอนที่อยู่เชียงใหม่....ใกล้ใจแม้ไกลตัว...เพราะคุณนิสิตเล่นร่อนจดหมายหามันทุกอาทิตย์ ถ้ามันตอบก็น่าจะดีมิใช่น้อย บัดนี้มันอยู่ที่โพคารากลับ....ใกล้ตัว...แต่ไกลหัวใจเหลือเกิน เพราะหัวใจมันนะหรือโดนพันธะทางประเพณีไปเรียบร้อยแล้วล่ะ
มันเดินเรื่อย ๆ ลงไปถึงลำธารเล็ก ๆ ที่ขนานไปกับถนน โดยมีป่ากั้นอยู่ระหว่างถนนกับลำธาร มันค่อย ๆ ทรุดลงที่ก้อนหินริมน้ำ ลำธารไม่ลึก น้ำไหลออกสีเขียวมรกต คงเกิดจากหิมะบนภูเขาละลาย ธารสายเล็ก ๆ นี่มันไหลไปสิ้นสุดที่ไหนหว่า....มหาสมุทร มันตอบในใจ มันเอามือกวักน้ำเพื่อจะล้างคราบบางอย่างบนใบหน้า....น้ำเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง ก้อนหินรูปต่าง ๆ โดนน้ำกัดเซาะ
“น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน แต่หัวใจอื่น ๆ จะเหลือเหลือ”
มันเริ่มเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นมา ก็จากโลกใบนี้แหละ คุณบอยมันไม่ผิดที่แต่งงาน มันควรจะยินดีกับคุณบอย ใบไม้ปลิดปลิวจากขั้วร่วงหล่นมาบนผิวน้ำแล้วล่องลอไปตามน้ำ เหมือนชีวิตคน ที่ต้องมีการพลัดพราก หัวใจเหงา ๆ ของมันค่อย ๆ ชื้นขึ้น อย่างน้อยมันก็เคยเป็นเพื่อนเป็นคนรู้ใจกันมาก่อน อากาศเริ่มมืดความหนาวเหน็บค่อย ๆ เกาะกินเนื้อมันทีละน้อย มันต้องเดินต่อ เกสต์เฮ้าน์มันอยู่แค่เอื้อม...แค่เอื้อมจริง ๆ เพราะคนที่อยู่หน้าเกสต์เฮ้าน์มันจำได้ดี แต่มันเอื้อมไม่ถึงคนนั้นเลยจริง ๆ
มันต้องรีบปรับสีหน้า....มันจะให้เพื่อนเห็นร่องรอยบาดเจ็บได้อย่างไร
คุณบอยคงมองเห็นมัน คุณบอยวิ่งมาหามัน แววตามันรวดร้าวไม่แตกต่างจากนัท
“หายไปไหนมา เป็นห่วงแทบแย่ มาคอยนานแล้วนะ” มันถามเสียงละห้อยแบบครั้งก่อน
“ไปเดินเที่ยวมางัย” นัทตอบเสียงแจ่มใส เท่าที่มันทำได้
“ขับรถตามทั่วเลย อยากเจอ...อยากกอดให้หายคิดถึง” ประโยคท้ายมันละห้อยหายิ่งนัก
นัทอยากให้ระยะทางระหว่างมันกับ..คุณนิสิต...ห่างออกไป แต่..อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดน่า...อดทน...อดทนอีกไม่นานมันจะกลับบ้าน อย่างน้อยตอนนี้มันยังเหลือ “ด้ายบาง ๆ” อีกเส้น “ฟางเส้นสุดท้าย” ของมันหลุดมือไปแล้วล่ะ เพราะมันไปเอาห่วงอีกอันมาแขวนคอเสียแล้ว
นัทยิ้ม เดินเข้าไปไกล้มันอีกนิด...มันก้าวขึ้นเวที “เวทีชีวิต” ของมัน แต่คุณนิสิตกลับทำหน้ามุ่ย สีหน้าอมทุกข์ไม่สมกับเป็นวันมงคลของมันเลย
“ตามมาทำไม...ก็ไม่รู้” มันยานเสียง “..บอกว่าพักที่นี่ แล้วกินเลี้ยงเสร็จแล้วหรือ?” มันยิ้มหรือปากมันฉีกยิ้มไปเองหว่า
“ช่างหัวมันเหอะ! จะไปพูดถึงเรื่องอื่นทำไม” น้ำเสียงมันหงุดหงิดไม่น้อย
“หนีกลับมาก่อนทำไม ไม่เห็นใจหาย” มันเปลี่ยนโทนเสียงอีกครั้ง
“อ้าว....หนีกะผีอะไร ใครคุยอะไรกันฟังรู้เรื่องที่ไหน อากาศหนาวนะ เย็นดีเดินมาจากงานเลี้ยงมานี่ไม่ร้อนเลย” มันเฉไฉ
“นัท....” คุณนิสิตคว้าข้อมือมันมากุมไว้ด้วยสองมือ ดวงตามันแปลกเหมือนกำลังเค้นหาอะไรสักอย่างจากคนมาไกล
“...ทำไมวะ..ทำไม ...ไม่มาเร็วกว่านี้..แค่...แค่วันเดียวเอง” มันตัดพ้อคนไกลด้วยสายตา
“ขนาดนั่งเครื่องมาสองต่อแล้วนะเนี่ย มาทันพอดี”
“ไม่....” มันดึงเพื่อนมากอดเอาไว้ “ไอ้นัท...” มันละห้อยหา “....อยากเชือดคอ......ให้ตาย...” มันสะอึกเบา ๆ
บอยมันยังไม่รู้ มันฆ่า คนที่มันรักไปเสียแล้ว “ตายทั้งเป็น” ไง
“วะ...นี่ .....มาหาดี ๆ จะฆ่ากูเลยหรือ กลับเมืองไทยก็ได้” มันค่อย ๆ ปลดพันธนาการจากอ้อมแขนเพื่อน
“ไม่...ไม่...ไม่ให้กลับ” แววตามันแดงก่ำแม้จะมืด แต่แววตามันกลับระยิบระยับด้วยน้ำที่เอ่อออกมา
เสียงรถ....แล่นขึ้นมาบนเกสต์เฮ้าน์ “มาเรีย” นั่นเองที่จอดรถหน้าเกสต์เฮ้าน์ “คนของมัน” มาตามแล้ว นัทแกะมือคุณนิสิตออก “พรุ่งนี้ค่อยเจอกัน..อยากอาบน้ำแล้วว่ะ”
นัทยิ้มก้มหัวให้มาเรียเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินผ่านประตูเกสต์เฮ้าน์ ตรงดิ่งไปยังห้องพักมันทันที มันทิ้งตัวลงบนที่นอน เอาวอร์คแมนที่เพื่อนยัดเยียดมาเสียบหูฟัง เสียงแผ่นหมุนแกรก ๆ
“...ฟ้าก็ฟ้าเดียวกัน แต่จันทร์ดูคล้ายลำเอียง ส่องแสงลงมาเพียงเสี้ยว ฉันคนเดียวที่หมอกเมฆบัง ไม่เคยเห็นจันทร์ที่เขาชม ไม่เคยสมใจสักครั้ง ความรักที่เฝ้าใฝ่ฝันคนห่วงใยฉันไม่มีไม่มี...”
มันกดเพลงหยุด มีสิ คนห่วงใยมันยังมี อย่างน้อยก็ “ด้ายบาง ๆ” ที่เมืองไทยไง เอาน่า...ลองกดเพลงใหม่ดูดิ มันกดเดินหน้า
“....รักของเธอที่เธอให้ฉันมันเต็มหัวใจ ฉันคือคนไม่มีเยื่อใยทิ้งให้เธออ้างว้าง และวันนั้นเธอคงเสียใจจนสุดทางจึงกลับหลังจากฉันไปทั้งน้ำตา แล้วความจริงกลับทำให้ฉันต้องมาเสียใจ ยิ่งนานไปยิ่งคิดถึงเธอคิดอย่างน่าละอายอยากได้เธอคืนมาจะหาเธอได้ที่ไหน เพิ่งจะรู้ว่าฉันทำลายหัวใจตัวเอง แค่คำว่าฉันเสียใจ ทดแทนกันไม่ได้ สิ่งที่ฉันทำไว้เธอคงไม่ให้อภัย อยากให้เธอรู้แค่เพียงวันนี้ฉันร้องให้เมื่อได้เห็นภาพเธอเดินไปกับเขา แค่เสี้ยวนาทีที่เธอนั้นเดินจากไปลับตา ก็รู้ทันทีว่าคงไม่มีวันที่เธอกลับมา คนที่จูงมือเธอคนนั้นควรจะเป็นฉันหากวันนั้นถ้าฉันเข้าใจหัวใจตัวเอง....”
มันร้องให้ไปกับเสียงเพลง แล้วมันก็ล๊อคเพลงนี้เอาไว้เล่นซ้ำไปซ้ำมาจนมันเผลอหลับไป รอยน้ำตายังเปื้อนแก้มมันอยู่เลย มันสะดุ้งตื่นขึ้นมา ห้องมันมืดมิด แต่มันยินดีที่จะอยู่กับความมืด ค่อย ๆ ไปนั่งลงพิงระเบียงเล็ก ๆ จันทร์กระจ่างฟ้า นั่น....ภูเขาหิมะต้องแสงจันทร์นวลละออ ไอ้ยอดสามเหลี่ยม ๆ นั่น มันยอดหางปลาแหง เพราะมันดูคล้ายหางปลา มันยิ้มกับภาพที่มันวาดไว้ตามจดหมายคุณนิสิต
เอ...มันไม่ได้กินอะไรมานานแค่ไหนหว่า ลองนับดูตั้งแต่บนเครื่องจากกรุงเทพฯ เกือบวัน แต่มันไม่ยักหิว น้ำสักหยดยังไม่อยากกินเลย มันไม่อยากทำอะไรนอกจากนั่งมองเจ้ายอดหางปลาต้องแสงจันทร์นวล...
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น