++ ปลายทางโพคารา 23 ++
*-* ปลายทางโพคารา ตอนที่ 23 *-*
ผู้เข้าชมรวม
335
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ปลายทางโพคารา ตอนที่ 23
ไอ้นัทมันท่อง “ลายแทงหัวใจ” จนขึ้นใจ มันทวนให้เปี๊ยกฟังอย่างคล่องแคล่ว “หนทางอยู่กับปากกลัวทำไมว่ะ” มันบอก หากแต่เพื่อนที่เจ้ากี้เจ้าการกลับบอกว่า
“ที่โน่นไม่ได้พูดภาษาไทยนะ...”
“โด่กลัวที่ไหน ไอ้อินเดียมันเคยเป็นอาณานิคมอังกฤษ คนเนปาลมันก็น่าจะได้ภาษามาบ้างล่ะว้า กูก็พกดิกไปด้วยสิ กลัวทำไม”
มันกล่าวอ้างประเทศที่มีพรมแดนติดกันเฉยเลย ใครจะพูดยังไงก็ช่าง มันรู้แล้วกันว่ามันจะไปตามหัวใจมันได้ที่ไหน ไอ้เปี๊ยกก็แสนดีกุลีกุจอหาเสื้อผ้าหนา พร้อมทั้งเป้ใบโตแบบฝรั่งข้าวสาร
“เอาไปหมดนี่แหละ ที่โน่นอากาศหนาว ช่วงนี้ปลายหนาวของที่โน่นด้วย อาจติดลบได้นะ... ยิ่ง...กับอากาศหนาวยังกับไทยกับพม่าอยู่ด้วย”
มันรู้แม้กระทั่ง ว่าเพื่อนมันแพ้อะไร
“แหม กูรู้ละน่า ...ทำอย่างก๊ะเคยไป”
“อ้าวไอ้นี่ ถึงกูไม่เคยเหยีบเนปาล แต่ เกาหลี ญี่ปุ่น ปักกิ่งนี่แม่กะพ่อกูพาไปตะลุยมาหมดแล้วนะ... เวลาหนาวนี่มันจับขั้วหัวใจเลยล่ะ” คนมีประสบการณ์มาก่อนอวดสรรพคุณ
“กูก็นอนกอดไอ้บอยมันดิ กลัวไรที่ไหน....” พูดออกไปแล้วเห็นเพื่อนหน้าเสีย “..เหมือนที่กูกอด...ที่เชียงใหม่ไง หนาวแล้วนอนกอดเพื่อนอุ่นดี”
“เออ...แล้ว...จะรู้สึก กูไม่ได้ขู่นะ... เนปาลนะมันที่ตั้งยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกนะเว้ย ไม่เคยได้ยินเหรอยิ่งสูงยิ่งหนาว ที่จริง...น่านัดไอ้บอยมารับที่กาฐมัณฑุ”
เปี๊ยกมัน “คิด” ว่า ไอ้หน้าทะเล้น คิ้วเข้ม ตาเศร้า จะเขียนจดหมายไปบอกเพื่อนแล้ว ใครจะนึกคนเกลียดกลัวเครื่องบิน จะกล้าหาญชาญชัยบินไปในประเทศที่เครื่องลงจอดยากที่สุดในโลกประเทศนึง
นัทหมายมั่น “ไอ้บอย” ต้องดีใจเป็นนักหนา
พอเจอหน้ามันจะบอกเพื่อนรักมันว่า “เขียนทำไมว่ะ จดหมายรู้ทั้งรู้กูลายมือหยั่งกับไก่หากิน เปลืองค่าส่งปล่าว ๆ มานั่งคุยกับ...ที่นี่ดีกว่า ไหนว่ะไอ้ยอดหางปลาที่...เคยเล่า”
นานเท่าไหร่แล้วนะที่มันไม่ได้เจอหน้ากัน
นัทนั่งไล่นิ้วดู 10 เดือนแล้วว่ะ ถ้าเป็นสาวท้องก็คลอดพอดี ไม่นานหรอกมันจะได้เจอเพื่อนซี้ของมันแล้ว บางทีมันอาจเจอที่ป้ายรถเมล์ที่มันนั่งเศร้าอย่างกับที่มันเคยเล่า หรือมันอาจเจอเพื่อนที่หน้าโบสถ์ หรือป่าช้าดีหว่า...มันตื่นเต้นเสียจนนอนไม่หลับ
“แม่...ดูไอ้นัทมันด้วยนะ ไอ้นี่มันปอด ๆ เครื่องบินอยู่ด้วย” เปี๊ยกกำชับหญิงวัยกลางคนที่หุ่นยังเช้งกระเด๊ะ
“รู้แล้วน่า สั่งเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วมั้ง...แล้วไม่ไปเสียเองล่ะ”
“ว่าจะอยู่เหมือนกัน.....แต่เอาเป็นทัวร์ยุโรป 10 ประเทศดีมะแม่ สงกรานต์ปีนี้ จะได้ลาล่วงหน้าไว้เลย”
เปี๊ยกมันเสนอ แน่นอน ชีวิตมันโรยด้วยไรดีหว่า....มันอยากได้ต้องได้แน่นอน มันเข้ามากอดแม่หอมขวาทีซ้ายที แล้วไม่วายกำชับอีกก่อนที่แม่มันจะเข้าไปตรวจหนังสือเดินทาง
“ไอ้นัทมันกลัวเครื่องนะแม่...ดูมันด้วย” บอกแล้วนัทมันเจอเพื่อนดี
มันผ่านการตรวจคนเข้าเมือง แล้วนั่งรอ มันนั่งมองเครื่องขึ้นลงลำแล้วลำเล่า ถามว่ามันกลัวหรือ มันตอบไม่ เพราะไรนะหรือ เพราะมันต้องไป ไปตามหาหัวใจของมันไง
เสียงเรียกประกาศขึ้นเครื่องเป็นภาษาอังกฤษ..เอาแล้วสิ..มันทำหน้าเลิกลั่ก ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง....แม่งพูดเร็วอย่างกับขบวนรถสปินเตอร์ใครจะฟังทันวะ...มันเถียงในใจ แต่มันก็เดินตามแม่เปี๊ยกกับคณะไป มันหยิบเอาเป้ใบเล็ก ที่ภายในมีเสื้อผ้าสองสามชุดกับวอร์คแมนและซีดีเพลงที่เปี๊ยกยัดเยียดมา
“ไว้...มีเพลงฟังกันเหงาวะ เวลาเดินทาง”
ที่ขาดไม่ได้ “ลายแทงหัวใจ” ของมัน จดหมายไอ้บอยทุกฉบับ รวมทั้งที่มันถอดจากจดหมายมาเขียนคร่าว ๆ ว่าต้องต่อเครื่องยังไง ต่อรถที่ไหน ลงที่ไหน โอ้ยจิปาถะของมัน
“จะนั่งริมหน้าต่างมั้ยลูกนัท” แม่เพื่อนอารีไม่แพ้เจ้าตัว ถามเมื่อเห็นมันชะเง้อออกนอกหน้าต่าง
“ไม่ดีกว่าแม่ เดี๋ยวเครื่องขึ้นน่ากลัว”
โบอิ้งลำโตค่อย ๆ แท็กซี่ออกมาจากเกทพร้อม ๆ กับที่จอฉายการปฏิบัติกิจต่าง ๆ แล้วแบนหัวไปทางทิศเหนือของสนามบิน มันมองผ่านแม่เพื่อนไปนอกหน้าต่าง อาคารผู้โดยสารค่อย ๆ ไกลขึ้น ๆ ใจมันเต้นอย่างกับกลองเพล นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วไว้ เมื่อไปสุดสนาม เครื่องแบนหัวกลับมาทางทิศใต้ แล้วค่อย ๆ เร่งเครื่องเสียงครางกระหึ่ม มันกำที่พักแขนไว้แน่น แม่เปี๊ยกเอามือมาแตะหลังมือมันไว้ มันอุ่นใจขึ้น ก่อนที่แรงขับเครื่องยนต์จะพาเครื่องออกไปอย่างรวดเร็ว เครื่อง Take Off ไปอย่างสบาย มันค่อยคลายมือจากการกุมที่พักแขน แม่หันมายิ้ม
“ไม่มีไรแล้ว เครื่องไต่ระดับแล้ว ก็จะนั่งสบาย เว้นแต่มันจะตกหลุมอากาศ แต่ไม่บ่อยนาน ๆ ครั้ง บางไฟล์ไม่มีเลย”
มันยิ้มรับกับความรู้ใหม่ของมัน แอร์เริ่มมาเสริฟอาหาร ที่นั่งมันอยู่ด้านหน้า เปี๊ยกมันบอก “กูจองบิวซิเนสเลยนะ... เพราะแม่กูขี้เมื่อยนั่งชั้นประหยัดไม่ได้ แถมไม่นั่งรอยัลเนปาลด้วยนะ อยากนั่งทีจี”
มันรู้แล้ว ชั้นนั่งบนเครื่องต่างกันยังไง บิวซิเนส ก็น่าจะประมาณ VIP 24 ที่นั่ง บนรถปรับอากาศของมัน ส่วนประหยัดก็ ทัวร์ 42 ที่นั่งมั้ง เพราะมองไปมันนั่งกันแคบชิบเลย
แม่เปี๊ยกก็แสนจะใจดีเหลือหลาย เพราะเมื่อแอร์มาเก็บถาดอาหาร ก็ลุกเปลี่ยนให้คนกลัวเครื่องที่เริ่มชินกับสภาพมานั่งที่ริมหน้าต่าง มันมองออกไปไม่เห็นอะไรหรอก โน่น...เมื่อไกล้ถึงนั่นแหละมันถึงตื่นตาตื่นใจ ภาพยอดเขาที่ขาวโผลนของเอเวอร์เรสมาทักทายอาคุนตุกะ ที่มากับทีจีเที่ยวบินนี้ ส่วนเบื้องล่างก็เต็มไปด้วยเขา เครื่องค่อย ๆ ลดระดับลงช้า ๆ บินวนมา บางครั้งมันรู้สึกเสียวแปล๊บก็เอามือกุมพนักพิง แต่เพียงชั่วครู่มันก็เริ่มชินกับสภาพ แล้วเครื่องก็แลนดิ้งพามันลงสู่จุดหมายอย่างปลอดภัย
“ลูกนัท...ตอนกลับนี่มาเจอกันที่โรงแรม....ที่ทาเมลนะ” แม่เปี๊ยกสั่ง เพราะต่อจากนี้ มันต้องเดินทางคนเดียวแล้ว
“ครับผม”
มันยิ้มให้แม่เพื่อนก่อนจากกัน เออ อากาศที่นี่หนาวจริง ๆ แหละ ขนาดตอนเที่ยงอย่างกับอากาศเช้าที่เชียงใหม่มันปรับนาฬิกาให้เข้ากับเวลาใหม่ของดินแดนที่หัวใจมันมาอยุ่ตั้งแต่ปีกลาย มันแบกกระเป๋าใบโตพร้อมทั้งหิ้วใบเล็ก แล้วไปเช็คอินภายในประเทศต่อไป ห่วงเล็ก ๆ ที่โยงใยมันกับคนไทยหายไปแล้ว
ตอนนี้...โลกมีแต่คนแปลกหน้าสำหรับมัน
สิ่งที่หล่อเลี้ยง...ให้ความหวัง คือการเดินทางเข้าไกล้ไอ้บอยไปทุกที ไอ้นัทมันยังไม่เข้าใจกับคำบางคำ....
“มาไกล้ตัว..แต่ไกลหัวใจ”
มนุษย์เรา...บางครั้งระยะที่ห่างกันแม้ไกลสุดขอบฟ้าไม่ร้ายเท่า มาอยู่แค่หน้า แต่ใจมันไกลกันเสียลิบลับ การได้ยินได้ฟังจากผู้อื่นไม่เท่าการได้เจอกับตัวเอง
บทเรียนของชีวิต ย่อมได้มาจากการใช้ชีวิตในแต่ละวัน บอกแล้วเวลาเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย
“โพคารา” เมืองตากอากาศของที่นั่น คราวไอ้บอยไปมันต้องไปทางรถยนต์ แต่คราวนี้ไอ้เปี๊ยกมันกลัวเพื่อนเหงาถ้าเดินทางนานเลยให้เด็กที่บ้านมันติดต่อตั๋วเครื่องภายในให้ “คอสมิค แอร์” เครื่องภายในมันลำเล็กมาก เครื่องใบพัดมี 19 ที่นั่ง ตอนที่นัทมันเดินขึ้นเครื่องมันยังทำหน้างง ๆ ก็เมื่อครู่ใหญ่มันเพิ่งลงจากโบอิ้ง สามร้อยกว่าที่นั่ง แต่ตอนนี้คนร่วมทางของมันมีแค่ 19 ที่นั่งเอง แล้วแต่ละคนก็ฝรั่งทั้งนั้น มันเลยต้องเก็บปากเก็บคำเพราะไม่รู้จะพูดกับใคร
โพคารา สวยสมคำที่ไอ้บอยมันคุยไว้ ทะเลสาปเฟว่ากลางเมืองมีเรือหลากหลายสีแบบลูกกวาดจอดเรียงราย ฉากหลังเป็นเขาน้อยใหญ่สลับกันไปมา อันไหนหว่า.... Machhapuchhare อ๋อ อันนั้นมั้ง...หรืออันโน้นหว่า มันพยายามมองหายอดที่สูงที่สุดของเมือง ในขณะที่แท็กซี่พามันไป Nadanda รถค่อย ๆ วิ่งออกนอกเมือง ไปหาภูเขา...หัวใจมันเหรอ....วิ่งลิ่วไปข้างหน้าแล้วล่ะ เอ..หรือว่าหัวใจมันมากับไอ้บอยมาตั้งแต่ปีที่แล้วก็ไม่รู้
ประเทศนี้สวยงามไปเสียหมด..
ภูเขาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ สวยกว่าที่เชียงใหม่อีก ภูเขาลูกไหนหว่า...ที่ไอ้บอยมันไปนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้น ต้องให้มันพาไปชมเสียหน่อย แต่ไอ้บอยมันไม่รู้นี่หว่า....
คนที่มันคิดถึง เดินเข้ามาไกล้มันทุกที....แค่เอื้อม ก็จะถึงมันแล้ว
ถนนที่พาหัวใจมา แม้จะไกลแสนไกล แม้มันจะยากลำบากสักปานไหน แต่นัทมันพยายามเดินมา มันอยากบอกไอ้บอย....แต่รอให้ไอ้บอยรู้เองดีกว่าว่า
มนุษย์รู้เสมอว่าหัวใจตัวเองอยู่ที่ไหน.....
....แล้วร่างกายก็จะตามไปอยู่กับหัวใจมันจนได้แหละน่า เหมือนที่มันกำลังเอาร่างกายมาหาหัวใจมันตอนนี้ไง
เกือบสี่โมงเย็นแท็กซี่พามันมาจอดที่หน้าเกสต์เฮ้าน์แห่งหนึ่ง...แต่มันต้องเดินขึ้นเขาเล็ก ๆ ไป เพราะถนนตัดไปไม่ถึงตัวเกสต์เฮ้าน์ มันยืนหมุนตัวไปมา เมืองนี่แปลกหว่า....ผู้คนหายไปไหนกันหมด เงียบสงบดีแท้ มิน่าไอ้บอยถึงบอก....กูเหง้า....เหงา... มันก็น่าจะเหงาอยู่หรอก คืบก็ภูเขาศอกก็ภูเขา
ถนนหน้าเกสต์เฮ้าน์ไปสิ้นสุดที่ไหนหว่า มันมองซ้ายมองขวา ราวกับถนนร้าง ตรงหน้าคือภูเขาทั้งนั้นว่ะ สลับสล้างกันไป บ้างสูงบ้างต่ำ เขียวชะอุ่มในที่ต่ำหากที่สูงกลับขาวโพลน น่าสงสารไอ้บอยจัง มันโดนส่งมาดูงานหรือมาเข้าคุกเปิดกันแน่นี่ “รู้อย่างนี้” เขียนจดหมายมาหามันตั้งแต่ฉบับแรกก็ดี เป็นใครก็น่าจะเหงา แม้เมืองมันจะสวยก็เหอะ
รู้อย่างนี้...พูดออกมาทีไรหมายถึงสายเกินไปเสียแล้ว
ช่างเหอะ....มันตัดบท เพราะรู้ว่ามันย้อนไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เข้าไปติดต่อที่พักก่อนแล้วค่อย ๆ ถามเอาจากคนแถวนี้ คงมีคนรู้จักไอ้บอยมั้งแหละ มันหยิบเป้ขึ้นสะพายหลัง แล้วเดินขึ้นเนินเล็ก ๆ หากแล้วมันกลับได้ยินเสียงระฆังกังวาน ผ่านทิวเขา แมกไม้ แทรกซึมเข้าไปถึงในหัวใจของมัน
“คงเป็นเสียงจากโบสถ์ที่ไอ้บอยเคยเล่าให้ฟังแหง...” คนอาจไปโบสถ์กันหมด เมืองมันถึงเงียบ ขนาดนี้ แล้วมันก็เดินมาถึงเกสต์เฮ้าน์ นั่นไง ด้านหลังมีถนนอ้อมลงไปยังถนนที่แท็กซี่พามันมาส่ง โดนหลอกให้เดินเสียขาลากเลย มันเดินเข้าไปในเกสต์เฮ้าน์ แปลกจัง คนไปไหนหมดหว่า
เอ.....จะเหมือนโรงแรมผีสิงเหมือนที่เมืองไทยซะละมั้ง!
“อิกคิ้วมี...” มันตะโกนถามเข้าไป มันยืนหมุนคว้าง เปลี่ยวหัวใจยังไงก็ไม่รู้ มันต้องพักที่นี่ก่อน แล้วค่อยออกตามหาหัวใจ ที่ไอ้บอยเขียนลายแทงเอาไว้ เพราะไอ้บอย มันอยู่แถวนี้แหละ มันบอกไม่ไกลจากโบสถ์ แต่จะเป็นเขาลูกไหนหว่า เพราะมันมีแต่เขาทั้งนั้น กรรมของ......ไอ้นัท ที่เสือกอยากไม่เขียนจดหมายมาบอกมันก่อน
สักพักมีชายหนุ่มอายุไม่น่าเกินยี่สิบโผล่ออกมาจากหลังเคาเตอร์ ยิ้มให้มัน มั่นค่อย ๆ ใจชื้น อืม....มีคน
“ยูเฮฟเดอะรูม พลีส พลีส” มันพูดเท่าที่คิดว่าจะทำได้ ภาษามันไม่กระดกเลยนี่หว่า เด็กนั่นน่าจะเข้าใจแหละน่า เพราะอย่างน้อยก็น่าจะดูเอาจากสภาพของมันได้ ไอ้เป้ใบโต ๆ ที่กองข้างมันคงบอกได้ดีกว่าที่มันพูด เพราะเด็กหนุ่มนั่นกุลีกุจอมาช่วยมันยกกระเป๋าเข้าไป ยังชั้นสองของที่พัก เพียงแค่เปิดประตูเข้าไป มันก็รู้ ลมเย็นโชยผ่านหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้เข้ามา เหมือนไอ้บอยบอกจริง ๆ “ประเทศนี้รวยว่ะ ติดแอร์ทั้งประเทศ” ห้องพักมันติดด้านหน้าถนนที่จะลงไปถนนใหญ่ มันเดินออกไปที่ระเบียงแคบ ๆ มองตามถนนที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาไปเรื่อย ๆ ราวกับจะมองหาว่าหัวใจมันอยู่ที่ไหน
ถนนสายชีวิตมันก็คดลดเลี้ยวเหมือนกันแหละ ไม่มีอะไรจะแน่นอน?
ผลงานอื่นๆ ของ Panziren ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Panziren
ความคิดเห็น