[SF Zosan] Super Franky - [SF Zosan] Super Franky นิยาย [SF Zosan] Super Franky : Dek-D.com - Writer

    [SF Zosan] Super Franky

    เรื่องราวของเด็กนักเรียนตัวแสบกับพนักงานแคชเชียร์ในมินิมาร์ทคนใหม่ที่เขาไม่ชอบขี้หน้า การพลิกบทจากโจรสลัดมาเป็นคนธรรมดาของเหล่าหมวกฟาง เกิดเป็นเรื่องโรแมนติคสุดคูล ซู!!!เปอร์!!!!!

    ผู้เข้าชมรวม

    704

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    704

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    24
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  17 พ.ย. 57 / 22:55 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    Super Franky!

    Open Now!

    Yaoi

    Zoro x Sanji Ft.Ace


    By Jokswan

     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

        

       

       

       

       

                      เป็นเวลาหนึ่งปีพอดีที่เขาได้มาทำงานเป็นพนักงานขายในร้านสะดวกซื้อ Super Franky แห่งนี้ Super Franky ตั้งอยู่ในเมืองเล็กๆบนเกาะใหญ่ในทะเลอีสต์บลู เขาย้ายมาเพราะที่นี่สงบกว่าเมืองใหญ่ๆ และได้งานที่นี่ทำเพราะร้านนี้กำลังจะมีคนอออกพอดี แล้วก็ได้เจอกับคนคนหนึ่ง เป็นเด็กผู้ชายอายุน้อยกว่าเขาสามสี่ปี ที่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงโดนเด็กคนนั้นจงเกลียดจงชังขนาดนั้น แล้วก็เป็นเรื่องบังเอิญอีกนั่นแหละ ที่บ้านที่เขาเช่าอยู่ อยู่ติดกับบ้านของเด็กคนนั้นพอดี เขาทำงานกะดึก เวลาไปทำงานของเขาคือเวลากลับจากโรงเรียนของเด็กหนุ่ม และเวลาไปโรงเรียนของเด็กหนุ่มก็คือเวลากลับบ้านไปนอนของเขา

                      บางวันที่เดินสวนกันในตอนเช้าที่เขากลับจากเลิกทำงาน ก็จะโดนอีกฝ่ายแกล้งเดินชนบ้าง เรียกให้หันมาแล้วชูนิ้วกลางใส่บ้าง แลบลิ้นพร้อมกับทำหน้ากวนประสาทใส่บ้าง

                      หรือถ้าเจอกันตอนเย็นที่เขากำลังจะไปทำงาน อีกฝ่ายจะวิ่งๆมาแล้วจะขัดขา ซึ่งเขาก็หลบได้ทันตลอด บางครั้งก็โดนแกล้งเตือนว่าระวังขี้หมา พอเขาชะงัก ก็ถูกหัวเราะเยาะว่าเป็นไอ้บื้อ พอวันถัดมาโดนล้อเรื่องขี้หมา แต่คราวนี้เขาไม่เชื่อ กลับเหยียบโดนขี้หมาจริงๆ ก็ยิ่งถูกล้อใหญ่

                      เขาพยายามไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น โดยถือว่าเป็นแค่เด็กที่นึกสนุกไปวันๆ อีกอย่าง ปู่ของเจ้าเด็กนั่นก็ดีกับเขามาก มักให้เขามาทานข้าวเช้าด้วยบ่อยๆเพราะเห็นว่าเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงและเพิ่งย้ายมาใหม่ บางวันก็ได้ร่วมโต๊ะทานด้วยกันกับเจ้าเด็กนั่น ซึ่งไม่มีผลอะไรกับเขามากนัก แต่กับอีกฝ่ายนี่ เอาแต่จ้องเขาแล้วก็กำตะเกียบแทบหัก จนเขากินเสร็จนั่นแหละ ถึงได้รีบโซ้ยแล้ววิ่งไปโรงเรียน

                      เด็กคนนั้นชื่อซันจิ และเขาชื่อโซโล โรโรโนอา โซโล ผู้ชายที่ไม่ชอบจับตำราแต่ชอบจับดาบควงเล่นตั้งแต่เด็กๆ ทั้งที่อุตส่าห์มาหาที่อยู่ใหม่หวังจะได้ใช้ชีวิตแบบสงบสุขก็กลับต้องมาวุ่นวายเพราะซันจิ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ซันจิมาป่วนร้าน

                      “นี่นาย เจ้าหัวตั้ง ไอ้เครื่องกดน้ำนี่มันมีปัญหามาซ่อมหน่อยดิ”

                      “ซ่อมไม่เป็น ต้องรอแฟรงกี้กลับมาจากเมืองเท่านั้น”

                      “เป็นพนักงานภาษาอะไรวะ” ซันจิเดินมาตบเคาท์เตอร์ที่โซโลเช็คของอยู่

                      “...” โซโลมองหน้าแต่ก็ไม่ตอบอะไร

                      ซันจิฮึดฮัดเดินออกไปจากร้านแล้วก็เกือบชนกับลูกค้าผู้ชายที่กำลังจะเข้ามาซื้อของเผอิญเขาหลบทัน แต่ซันจินั้นกะชนทุกอย่างอยู่แล้ว จึงโดนคนคนนั้นด่าตามไล่หลัง  

                      ย้อนไปสักสามร้อยหกสิบห้าวัน เหตุการณ์คล้ายๆกันนี้ เกิดขึ้นกับโซโลและซันจิ

                     

       

       

       

       

       

                      //// ตื้อดือ

                      “สวัสดีวีวี่จัง โรบินจัง เอสขอเป๊ปซี่ขวดดิ วันนี้ได้เหงื่อเยอะเลยร้อนชะมัด”

                      เสียงทุ้มนุ่มของเจ้าของเสียงที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเหน็บลูกฟุตบอลมาจากสนามกีฬา สั่งมาตั้งแต่เปิดประตูร้านสะดวกซื้อ Super Franky เข้ามา เขาทุ่มบอลดังปึงปึงไปหยุดอยู่ที่หน้าแผงซีดีเพลง เขาอายุน้อยกว่าคนทั้งสองแต่เขาเรียกทั้งสองว่า วีวี่จัง และโรบินจังเพราะเอสเรียกทั้งคู่แบบนั้น

                      “ซันจิคุง คือวันนี้น่ะ เอสคุงเขา..” วีวี่กำลังจะบอกบางอย่างแต่เหมือนซันจิจะไม่ได้ยิน

                      “เอสสสส เป๊ปซี่ขวด”

                      “ซันจิคุง เอสคุงเขามะ...”

                      “ว้าวววว อัลบั้มนี้มาแล้วหรือ ไม่เห็นมีใครบอกฉันเลยแฮะ เท่าไหร่เนี่ย อ๊ะ! แพงโคตร” =_=

                      โรบินเห็นว่าไม่ได้ผลจึงละจากการจัดขนมปังแล้วเดินเข้าไปหาซันจิ

                      “ซันจิคุง”

                      “ครับ?” เขาตอบโดยที่ตายังคงจ้องปกอัลบั้มนั้นอยู่

                      “เอสคุงเขาไม่อยู่ที่นี่หรอก”

                      “หมอนั่นมาทำงานสายเหรอ”

                      “เปล่า เขาแค่..”

                      “ดีแล้วล่ะที่ไม่มาสาย 555 คิดดูสิถ้ามาสาย แฟรงกี้คงไม่ยอมแน่ๆ 5555

                      “เขาไม่มาแล้ว” โรบินเสียงดังขึ้นหน่อยนึง

                      “ฮะฮะฮะ ว่าไงนะ?

                      “เขากำลังจะไปเรียนต่อที่เมืองอื่น เขาลาออกจากที่นี่ เขาจะเดินทางพรุ่งนี้”

                      “ล้อกันเล่นใช่ไหม ไม่เนียนเลยนะโรบินจัง”

                      “โรบินไม่ได้ล้อเล่นหรอกนะ ซันจิคุง”

                      “ทุกคนใจร้ายมากเลยนะ ต้มผมซะเปื่อย ผม ผมจะไปถามหมอนั่น และผมแน่ใจว่าคำตอบคือเขาแค่ล้อเล่น ถ้าหมอนั่นไป แล้วใครจะดูร้านช่วยทุกคนล่ะ”

                      ซันจิวางแผ่นซีดีลงกับแผงอย่างเรียบร้อย แล้วรีบวิ่งออกทางประตูอย่างรีบร้อน จนไม่ทันเห็นคนที่กำลังขนลังขนมปังเข้ามาในร้าน

                      “เฮ้ยยย!

                  โครมมม ขนมปังส่วนหนึ่งกระจัดกระจายตกเต็มพื้น ซันจิก้นจ้ำเบ้า ลูกฟุตบอลกระดอนเด้งไปในชั้นวางของ โรบินกับวีวี่ปรี่เข้ามาประคองซันจิอย่างเป็นห่วง ส่วนอีกคนนั้นล้มหงายหลังจมกองขนมปังอยู่ที่พื้น

                      “โอ๊ยยย เจ็บๆๆ ทำไมไม่ดูทางฟร่ะ” ซันจิลุกขึ้นปัดก้น แล้ววิ่งไปหยิบลูกฟุตบอล

                      “ซันจิคุง ใจเย็นๆสิ” วีวี่พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

                      โรบินเห็นวีวี่ตามซันจิไป จึงเดินออกมาช่วยคนที่โดนลังขนมปังทับตัวอยู่ และประคองเขาขึ้นมา

                      “เป็นอะไรหรือเปล่า คุณโซโล”

                      “ไม่เป็นไรหรอก แต่แฟรงกี้ต้องหักเงินเดือนฉันแน่” โซโลลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัวแล้วเก็บขนมปังใส่ลัง

                      “น นาย นายเป็นใคร! ทำไมใส่เสื้ออย่างกับ..อย่างกับ” ซันจิที่เดินกลับมาเห็นโซโลก็โวยวายยกใหญ่

                      “เอออออ พนักงานใหม่ยังไงล่ะ”

                      “ม ไม่มีทาง ที่นี่ไม่มีตำแหน่งว่าง แฟรงกี้ไม่มีทางรับเด็กส่งของหรืออะไรเพิ่มแน่”

                      “...” โซโลไม่ตอบ เอาแต่มองซันจินิ่งๆ จนอีกฝ่ายเริ่มโกรธขึ้นมาจริงๆ

                      “อึก หลบไปซะเจ้าบ้า!

                      ซันจิผลั่กโซโลออก แต่โซโลไม่ขยับแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้เขาฉุนเข้าไปใหญ่ ในหัวตีกันตื้อไปหมด ทั้งโกรธท่าทีของโซโล แล้วก็ต้องหลอกตัวเองไม่ให้ยอมรับความจริงเรื่องเอส

                      “ซันจิ”

                      “ห้ะ” เสียงหนึ่งตรงหน้าเขาทำให้เขาหยุดกึก

                      “ฮี่ๆ” คนตรงหน้ายิ้มกว้าง

                      “อ เอส..” ซันจิเสียงค่อย แต่แล้วน้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวแทน “ฮึ่ย! บ้ากันไปแล้ว! ทุกคนนั่นแหละ!

                      “ซันจิ คือฉัน..”

                      “คิดจะบอกฉันเมื่อไหร่กัน!!

                  ปึก ซันจิโยนลูกฟุตบอลใส่กลางลำตัวของเอส แล้ววิ่งผ่านเอสไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว โซโลมองเด็กผมทองที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกแต่กลับทำตัวเหมือนเด็กมีปัญหาคุณป้าไม่รักด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และคำถามที่โผล่ขึ้นมาในหัวคือ เขาผิดอะไร เด็กนั่นถึงร้องไห้ออกมาขนาดนั้น \\\\

       

       

       

       

                      โซโลคิดแล้วก็ถอนหายใจ ยังไงก็ยังไม่รู้จริงๆว่าทำไมถึงโดนโกรธ เขาหันไปมองลูกค้าผู้ชายที่เกาะประตูร้าน แล้วตะโกนด่าซันจิ

                      “ไอ้เจ้าซันจิเด็กเกเร พ่อแม่ไม่สั่งสอน”

                      “พ่อแม่คืออะไรไม่มี มีแต่ปู่เฟ้ยยยยยยยยยยยย” ซันจิตะโกนกลับมา

       

       

                      โซโลเคยสงสัยว่าไปว่าซันจิแบบนั้นเขาไม่โกรธแย่เหรอ แต่ก็ได้คำตอบกลับมาว่า ‘5555 คนรุ่นฉันแถบนี้ก็เรียกหมอนั่นอย่างนี้กันทั้งนั้น ไม่ยักหมอนั่นโกรธใครซักคน เจ้าหมอนั่นคงจะชินแล้วล่ะ ก็เล่นเรียกเจ้านั่นอย่างนั้นบ่อยพอๆกับชื่อเขานั่นแหละ

                     

                     

       

                      ใครว่าซันจิไม่โกรธล่ะ เขาโกรธมาก โกรธมากเลย ที่ทุกคนพูดถึงพ่อแม่ เขาอุตส่าห์จะไม่คิดถึงเรื่องนั้นแล้วแท้ๆ อยากจะกลับไปชกหน้า แต่ก็กลัวกลับบ้านไปจะโดนปู่เขาเล่นงานอีก คนเมื่อกี๊ไม่ได้มีความผิดแค่นี้ คนคนนั้นยังทำให้เขาคิดถึงเหตุการณ์เดียวกันกับที่โซโลคิดเลย พอคิดถึงเรื่องนั้นก็จะคิดถึงเอส หลังจากที่เขาวิ่งกลับบ้านไป เอสก็มาหาเขาที่บ้านในตอนเย็น

       

       

       

       

       

                      //// ที่บ้านซันจิ

                      “ครับ เดินทางพรุ่งนี้แต่เช้า ซันจิอยู่ข้างบนไหมครับ”

                      “อืม เจ้าเด็กอ่อนหัดนั่นไม่ยอมออกมากินข้าวเลย เนื้อตัวก็มอมแมม ถ้าทำได้ ลากมันให้ไปอาบน้ำด้วยล่ะ”

                      “ฮะฮะ ครับลุง”

                      เอสมาที่บ้านซันจิ เขาเจอปู่ของซันจิที่กำลังทำอาหารอยู่ ก็บ้านนี้ชั้นล่างเป็นร้านอาหารนี่นา ตอนนี้คนก็เยอะสุดๆ ชายชราเลยไม่มีเวลาไปดุด่าหลานชายหัวดื้อ เลยต้องเพิ่งคนสนิทอย่างเอส เขาเองก็พอรู้ว่าที่ซันจิวิ่งปึงปังทำคนในร้านตกอกตกใจเป็นเพราะอะไร เรื่องเอส คนแถวนี้ก็รู้กันหมด รู้กันหมดยกเว้นซันจิ

                     

       

                     

                      หน้าห้องซันจิ เอสชั่งใจอยู่นาน ว่าจะเคาะประตูหรือจะเปิดเข้าไปเลยดี แต่พอลองเปิดดูแล้ว พบว่าล็อก เลยเคาะประตู

                      “ไปให้พ้น!

                      “อ่ะ เดี๋ยวสิ ให้ฉันได้พูดอะไรบ้างสิ”

                      “สิ่งที่นายควรพูดมันไม่มีอีกแล้ว ถ้าคิดว่ามันควรพูด นายก็ควรพูดให้เร็วกว่านี้!

                      “อย่าเพิ่งโกรธสิ นาย ใจเย็นๆก่อนนะ”

                      ซันจิวิ่งมากระชากประตูเปิด ประจันหน้ากับเอส

                      “แล้วนายคิดจะพูดมันตอนไหน ห้ะ! พรุ่งนี้เหรอ ตอนนายขึ้นรถเหรอ ตอนนายยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างรถแล้วโบกมือพร้อมตะโกนบอกว่า ฉันไปแล้วนะ จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกแล้วอย่างงั้นเหรอ!

                      เอสเงียบไม่ตอบเขามองคนตรงหน้าที่ตาบวมแดง ขนตาเปียกชื้น ปากสั่นน้อยๆเหมือนพยายามข่มอะไรเอาไว้ เอสดึงซันจิมากอดแนบอก โดยที่ซันจิไม่รู้ตัว

                      “ปล่อยนะเฟ้ย”

                      “ไม่ปล่อย จนกว่านายจะฟังฉัน”

                      “ฟังนายเหรอ เฮอะ!” ซันจิผลักเอสออก “ฉันรอฟังนายอยู่ตลอดแหละ มีแต่นายที่ไม่อ้าปากบอกอะไรกับฉัน”

                      “ก็จริง ฉันไม่บอกนาย แต่ฉันมีเหตุผลนะ”

                      “...”

                      “การได้ไปเรียนต่อที่เมืองนั้น มันเป็นสิ่งที่ทั้งฉัน ทั้งครอบครัวฉันต้องการ ขนาดลูฟี่ยังยอมเลย แต่ถ้าฉันบอกนาย ฉันคิดว่านายต้องไม่ดีใจแน่ๆ นายจะไม่ร่าเริง ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ และที่กลัวที่สุด นายอาจจะขอร้องให้ฉันไม่ไป ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันอาจจะไม่ไปจริงๆก็ได้”

                      ซันจิทรุดลงนั่งกับพื้น ยกแขนปาดปาดน้ำตาที่ไหลริน เขาสะอื้นอย่างเสียไม่ได้ มือทั้งสองกำแน่น

                      “เจ้าบ้า ฮึก คิดว่าฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนั้นเลยเหรอ น นายใจไปเรียน เหรอจะไปสอนอะไร ฉันไม่ห้าม แต่ช่วยบอกให้รู้ จากปากนายเอง ไม่ได้เหรอ”

                      เอสย่อตัวลงตรงหน้าซันจิ เขามองซันจิเด็กที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก จนโตเป็นหนุ่ม แต่คนตรงหน้ายังคงทำตัวเป็นเด็กขี้แยเอาแต่ใจ เอสยิ้มออกมาเล็กน้อย เขายื่นแขนไปจับแก้มซันจิใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง

                      “ฮี่ๆ เจ้าเด็กเลี้ยงแกะ นายโกหก”

                      “อืม ฉันโกหก”    

       

       

       

       

                      หน้าบ้านเอส

                      “ไปงี้ซันจิไม่โกรธแย่เหรอ”ลูฟี่ถามพี่ชายที่ขนกระเป๋าใบสุดท้ายขึ้นรถลุง ที่เป็นพาหนะในการย้ายที่อยู่ครั้งนี้

                      “ไม่เป็นไรหรอก ว่าจะให้ลุงอ้อมไปทางบ้านซันจิน่ะ”

                      “อ๋อ”

                      “เอสสสสสส” อุซบวิ่งมาร้องไห้มาด้วย “นายแน่ใจนะว่าจะไม่เอาของพวกนี้ไปใช้” อุซบยื่นกล่องออกไปให้เอสดูเครื่องมือต่างๆที่เขาประดิษฐ์ขึ้น

                      “ไม่ดีกว่า นายเก็บไว้ใช้เถอะ” เอสดันกล่องกลับ

                      “แต่ฉันอยากให้นาย หยิบไปสักชิ้นเถอะ อย่างน้อยก็ดูต่างหน้าเวลาคิดถึงฉัน” อุซบสูดน้ำมูกฟืดใหญ่หลังจากพูดเสร็จ

                      “ก็ได้งั้นไอ้นี่ละกัน หนังสติ๊ก”

                      เอสขึ้นรถด้วยรอยยิ้มของลูฟี่และน้ำตาของอุซป              รถเคลื่อนไปช้าๆ และจอดลงที่หน้าบ้านซันจิ

                      “ซันจิ ซันจิอยู่ไหม” เอสลงจากรถเดินเข้าไปในบ้านซันจิ  

                      “มันบอกว่ามันจะรอนายอยู่ร้านแฟรงกี้น่ะ”

                      “อ๋อ ขอบคุณครับลุง” เอสกลับไปขึ้นรถ

                      ชายชรายิ้มพร้อมกับกางหนังสือพิมพ์อ่าน แล้วก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมมืดของบ้าน

                      “จุ้นจ้านจริงตาแก่งี่เง่า ไม่ขอบคุณหรอกนะ”

                      “เออ” เป็นอันรู้กันของหลานปู่คู่นี่ว่านั่นคือคำขอบคุณจากคนพูดไม่เก่ง

                      ถัดจากบ้านซันจิมาประมาณร้อยกว่าเมตร ก็จะเป็นร้านสะดวกซื้อแฟรงกี้ เอสมาลาทุกคนรวมทั้งซันจิที่เขาคิดว่าน่าจะอยู่นี่จากคำกล่าวของปู่เขา

       

       

                      “ซันจิไม่อยู่เหรอ”

                      “ซันจิคุงเหรอ ยังไม่เห็นเลยจ้ะ” วีวี่ตอบ

                      “อ้าว ก็ลุงเซฟบอก ช่างเถอะ งั้นลาล่ะนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง นาย นายคนใหม่น่ะ ดูแลทุกคนด้วยนะ ขอเตือนอย่าง ระวังเจ้าตัวแสบของฉันล่ะ เตรียมรับมือให้ดี..” โซโลตอบแค่อืมพร้อมผงกหัว เอสหัวเราะ “..ฮี่ๆ โชคดีทุกคน”

                      รถเคลื่อนออกไป เอสยังคงมองกระจกมองหลังเผื่อว่าจะเห็นเด็กผมทองวิ่งออกมาจากไหนสักแห่งแล้วก็ตะโกนบอก โชคดีนะ หรือรักษาตัวด้วยนะอะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่มี

                      รถเคลื่อนห่างจากร้านออกไปเรื่อยๆ พนักงานร้านแฟรงกี้ยังคงยืนส่งเอสอยู่ แล้วโรบินก็ได้ยินเสียงเหมือนฝีเท้าคน ที่วิ่งมาอย่างเร็ว ตึกตึกตึก ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาหันไปดูก็ปรากฏว่าเป็นซันจิที่วิ่งถือลูกฟุตบอลมาทางนี้อย่างเร็ว

                      “ทันเดอร์! ชู้ตตตตต!” ซันจิวิ่งมาถึงหน้าร้านแฟรงกี้ โยนลูกฟุตบอลไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วเตะด้วยหลังเท้าดังปังเหมือนเสียงปืนใหญ่ ลูกโด่งไปตกใส่กระโปรงรถดังปึงงง

                      รถหยุดทันที เอสลงจากรถไปเก็บลูกฟุตบอลมาแล้วหันมาทางร้านอย่างรู้ใจ ซันจิยืนหายใจหอบเขาสูดลมหายใจเต็มปอดแล้วตะโกนออกไป

                      “ฉันให้นายยืมเฉยๆนะเฟ้ย! เอากลับมาคืนฉันด้วยตัวเองล่ะเจ้าบ้า!!” พูดจบก็รีบวิ่งกลับบ้าน

                      “ฮะๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ ฉันจะคิดถึงนายซันจิ!

                      เอสโบกมือให้ซันจิ แต่ซันจิไม่แม้แต่จะหันไปมองเอสเลย เขากลัว เขารู้อยู่แกใจว่าถ้าทำมากกว่านี้ เขาอาจจะเจาะยางรถ โรยตะปูเรือใบไว้ตามถนน ล้อคล้อรถไว้ แล้วเอสก็จะไม่ได้ไปไหน ซึ่งนั่นมันไม่ดีต่อเอสแน่ เขาจึงไม่กล้าลาแบบใกล้ๆตัวจึงต้องทำอย่างนี้

                      “ฮึฮึฮึ ซันจิคุงนี่ร่าเริงจังเลยนะ” โรบินหัวเราะเบาๆ

                      “ยังไงก็ทำได้นี่นา” วีวี่พูดจบก็หันไปมองซันจิ

                      “ยุ่งยากชะมัด อ่อนหัดทั้งคนไปคนอยู่” โซโลพึมพำคนเดียวโดยที่โรบินกับวีวี่ไม่ได้ยิน \\\\

                     

       

       

                      ซันจิอยู่ที่สนามฟุตบอลที่ศูนย์กีฬากลางหมู่บ้านกับลูฟี่และอุซบ เขาเล่นฟุตบอลได้ดีทีเดียว จึงมักจะเป็นคนทำประตูอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ได้มีแค่ฟุตบอลที่เขาถนัด กีฬาอย่างอื่น เช่น บาสเกตบอล หรือเบสบอลเขาก็ทำได้ดีเช่นกัน เขาชอบมาที่นี่ เพราะที่นี่ไม่มีใครเรียกเขาว่าไอ้ลูกไม่มีพ่อมีแม่

                      “เฮ้ ซันจิส่งมาดิ”เสียงลูฟี่ตะโกน

                      แต่ซันจิกลับเหม่อจนถูกแย่งลูกไป ลูฟี่วิ่งมาเอามือทาบแก้มซันจิแล้วถูๆๆ

                      “เฮ้ย! ทำอะไร”

                      “ก็นายเหม่ออ่ะ”   

                      “โทษที หิวน้ำจัง อยากดื่มอะไรไหม”

                      “โคล่า!

                      “โคล่าอยู่แล้ววว”

       

                      ซันจิวิ่งไปที่ตู้กดน้ำ กดโคล่ามา 3 กระป๋อง เขาหันกลับไปก็พบว่าลูฟี่กับอุซบกำลังคุยกับใครสักคน พอเพ่งมองก็เห็นว่าเป็นรองหัวหน้าพ่อครัวที่ร้าน เขาเลยกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปทางกลุ่มนั้น

                      “บาตี้! ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้..”

                      “ซันจิ! เกิดเรื่องแล้ว!

                      “อะไร!?

                      “โอนเนอร์ โอนเนอร์เขา..อยู่ดีๆก็”

       

       

                      “ปู่!! ปู่!! เปิดประตูนะ!! ปู่!!!” ซันจิทุบประตูห้องฉุกเฉิน

                      “ซันจิ ใจเย็นๆ เดี๋ยวประตูก็พังหรอก” อุซปปรามในขณะที่ช่วยลูฟี่ล็อกตัวซันจิไว้

                      “ปล่อยยย ปล่อยฉัน!

                      “ซันจิหยุด!” ลูฟี่ตะคอก

                      “ปล่อย! อย่ามายุ่งกับฉัน!

                      “ซันจิ!

                  ผัวะ ลูฟี่ต่อยซันจิเข้าเปรี้ยงหนึ่งจนซันจิหงายหลัง

                      “ล ลูฟี่ ทำอะไรของนายน่ะ” อุซปรีบไปดูอาการซันจิ

                      “ปล่อยมัน! มันเป็นหมาบ้า”

       

                      อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ซันจินั่งกัดนิ้วโป้งโดยมีอุซปลอบอยู่ข้างๆ และลูฟี่ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่อีกฝั่ง ยังไม่มีใครออกมาจากห้อฉุกเฉินทั้งนั้น มีแต่พยาบาลที่เดินมาถามอาการซันจิและมาทำแผลให้

                      “ไม่เป็นไรนะซันจิ ลุงเซฟต้องไม่เป็นไร” ลูฟี่เดินมาข้างหน้าซันจิ

                      “ใช่ๆ นายเองก็ต้องใจเย็นๆ หน้าที่รักษาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอ นายเข้าไปก็เกะกะเปล่าๆ” อุซปว่าพลางตบบ่าซันจิเบาๆ

                      ซันจิเริ่มร้องไห้หนักขึ้น แต่ไม่มีเสียงอะไรเล็ดรอดออกมายกเว้นเสียงสะอื้น ซันจิกัดฟันแน่น

                      “ฉัน ฉะฉันไม่รู้ ว่า ต้องทำไง ถ้าเกิด ฮึก ถ้าเกิดว่า..”

                      “ลุงเซฟไม่เป็นไรหรอกน่าซันจิ” อุซปพูดตัด

                      “ฮึก ฮึก”

                      “หมอ หมอออกมาแล้ว” ลูฟี่ชี้ไปทางประตูห้องฉุกเฉิน

                      ซันจิลุกพรวดไปหาหมอ อุซปเดินตามไปปรามซันจิไม่ให้กระชากคอเสื้อหมอ

                      “ปู่ หมอ ปู่ผม ป เป็นไง บอกมานะ แล้วเขาจะหายเมื่อไหร่ บอกมาสิ!

       

       

       

                      อุซปกับลูฟี่เดินมาส่งซันจิที่บ้านตอนสามทุ่ม เขากลับมานอนที่บ้านเพราะต้องไปโรงเรียน ส่วนปู่ของเขามีปาร์ตี้ไปเฝ้าไข้แล้ว ซันจิทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มในห้องเขา พยายามข่มตาให้หลับอยู่นานเชียว แต่วันนี้ภายในห้องเงียบเหลือเกิน  เงียบจนเสียงนาฬิกายังดังจนน่ารำคาญ

                      เวลาห้าทุ่ม ซันจิลุกไปอาบน้ำในที่สุด เขาลงมาชั้นล่างพร้อมกับหยิบมือถือกับกระเป๋าสตางค์แล้วออกจากบ้าน เขาเดินไปตามทางเดิน ลมเย็นพัดเอื่อยๆเข้าหน้า แต่นัยน์ตากลับรู้สึกร้อนผ่าว เขาเดินก้มหน้ามองจังหวะเท้าการเดินของตัวเองไปเรื่อย จนลืมสังเกตว่า มีน้ำใสๆหยดลงบนรองเท้าผ้าใบคู่เก่งของเขาไปกี่หยดแล้ว

                      พอเงยหน้าอีกทีก็เดินมาถึง Super Franky ซะแล้ว ในจังหวะเดียวกัน โซโลกำลังขนอุปกรณ์ออกมาเช็ดกระจกนอกร้าน

                      “นาย ร้องไห้เหรอ”

                      “อะ อะไรกันเล่า ไม่ใช่ซักหน่อย” ซันจิปาดน้ำตาลวกๆ แล้วหันหน้าหนีโซโล

                      “อ้อเหรอ แล้วกำลังจะไปไหน”

                      “เรื่องของฉันน่า” ซันจิกำลังจะเดินหนีแต่โซโลก็พูดขึ้นก่อนว่า

                      “สนามกีฬาหรือโรงพยาบาลล่ะ”

                      ซันจิหยุดเดินทันที แล้วเปลี่ยนทิศเลี้ยวเข้ามาในร้านแทน “ถอยไป ฉันมาซื้อของ”

                      โซโลเขยิบให้ซันจิเข้าไป แล้วมองตามหน่อยนึง

                      “ฉันก็แค่หิว มีปัญหาอะไรมั้ย”

                      โซโลไหวไหล่เนือยๆแล้วเดินไปเช็ดกระจก เขารู้เรื่องลุงเซฟเข้าโรงพยาบาลจากแฟรงกี้ และเขาก็รู้ดีว่าเด็กเลือดร้อนอย่างซันจิต้องกระวนกระวายอยู่ไม่สุขแน่ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อเขาเห็นซันจิเดินสะอื้นมาหยุดอยู่หน้าร้าน เขาเลือกที่จะพูดให้ซันจิอยากเอาชนะโดยการเดาว่าซันจิจะไปไหน เพราะยังไงๆซันจิก็จะเลือกทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่เขาพูดแน่ๆ

                      “อะไรฟร่ะ เจ้าบ้าแฟรงกี้ ฉันเป็นลูกค้านะเฟ้ย” ซันจิเดินบ่นออกมาจากร้านพร้อมกับน้ำผลไม้กระป๋องและมาม่าคัพ

                      โซโลมองเข้าไปในร้าน เห็นแฟรงกี้บ่นงึมงำพร้อมกับเก็บของบางอย่างกลับเข้าที่เก่า

                      “นี่นายจะซื้อบุหรี่เหรอ”

                      “ทำไม มันไม่เกี่ยวกับนายหรอกน่า” ซันจิเดินมานั่งที่ม้านั่งหน้าร้านแล้วกินมาม่า

                      “ทำตัวอย่างนี้ เดี๋ยวก็กลายเป็นเด็กมีปัญหาจริงๆหรอก”

                      ซันจิหยุดเป่าเส้นมาม่าแล้วหันมาทางโซโล “ถ้าฉันจะกลายเป็นเด็กมีปัญหาจริงๆแล้วนายเดือดร้อนอะไรด้วยล่ะ”

                      “ก็ไม่หรอกนะ แค่สงสารคนแก่ที่ต้องมาทำงานเป็นกุ๊ก แล้วเหนื่อยทุกวันเพื่อสิ่งที่เสียเปล่า”

                      ซันจิเงียบไปเสียดื้อๆ ทั้งๆที่ถ้าเป็นปกติต้องสวนกลับอย่างรวดเร็วแท้ๆ

                      “เอ่อ ขอโทษ”

                      “ไม่ต้องมาสั่งสอนฉันหรอกน่า แค่นี้ก็กลัวจะแย่อยู่แล้ว”

                      “กลัวอะไร”

                      “เฮ้อ นายไม่ต้องรู้หรอกน่า” ซันจิพูดแล้วก็วางถ้วยมาม่าไว้ข้างตัวแล้วหยิบน้ำผลไม้ขึ้นมาดื่ม

       

       

                      โซโลเช็ดกระจกจนเสร็จแล้วเก็บของกำลังจะเข้าร้าน โซโลก้าวขาเข้าร้านแล้วแต่ถอยกลับออกมา

                      “ดูทำหน้าหน้าเข้า ไม่เห็นจะเข้ากับนายเล้ย”

                      โซโลใช้นิ้วจิ้มหน้าผากซันจิทีนึงก่อนเดินเข้าร้านโดยไม่สนใจซันจิที่กัดฟันจ้องเขม็งมาทางเขา

       

                      เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ โซโลเช็คของไปเรื่อยๆก็ได้ยินแฟรงกี้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

                      “เจ้าหมอนั่นมันจะไปไหนของมันอีกนะ ดึกป่านนี้แล้ว”

                      โซโลยืนขึ้นแล้ว มองออกไปนอกร้านเห็นซันจิเดินไปอีกทาง ที่ไม่ใช่ทางกลับบ้าน โซโลเห็นดังนั้นจึงวิ่งตามออกไปอย่างไม่รู้ตัว แฟรงกี้มองตามโซโลครู่นึงแล้วก็ก้มลงสมุดเช็คบัญชีต่อไป แต่ปากกลับฉีกยิ้มน้อยๆ

       

       

                      “เฮ้! นาย เจ้าคิ้วม้วน จะไปไหนน่ะ”

                      “...” ซันจิไม่ตอบเขาก้าวยาวๆเดินต่อไปไม่สนใจโซโลที่ กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาให้ทันเขา

                      “อย่าทำตัวมีปัญหาได้ไหม”

                      “แล้วนายมายุ่งทำไมเล่า”

                      “ก็... ไม่รู้ แต่นายต้องกลับไปกับฉัน” โซโลคว้าข้อมือซันจิ ทำให้ซันจิหยุดเดินแล้วหันมาถลึงตาใส่ก่อนสะบัดมือโซโลออก

                      “อะไรของนายวะ! ไอ้หัวสาหร่าย ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน”

                      “งั้นบอกฉันได้ไหมล่ะว่าจะไปไหน”

                      “เรื่องอะไรฉันต้องบอกนาย”

                      “ถ้าไม่บอกฉันก็ไม่กลับ”

                      “เรื่องของนาย”

                      ซันจิเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆโดยมีโซโลเดินตามมาติดๆ มีบ้างซันจิหันกลับมามองโซโลว่ากลับไปยัง โซโลเห็นอย่างนั้นก็ถามว่าถึงแล้วเหรอ สิ่งที่ได้กลับมาคือหน้าโกรธของซันจิและถูกสะบัดบ๊อบใส่ เขาก็ได้แต่เดินตามซันจิต่อไปจนมาถึงที่ที่หนึ่ง ซึ่งก็อยู่ในการคาดเดาของเขาอยู่แล้ว สนามกีฬานั่นเอง

                      “จะมาที่นี่ทำไม ไม่เห็นมีใครเลยนา”

                      “เฮ้! เล่นบอลกันหน่อยมะ”

                      “หือ โอ๊ะ!” โซโลไม่ทันระวัง ซันจิส่งบอลมาสูงเขาเกือบรับพลาด แต่ก็สามารถพัดอกแล้วเดาะบอลส่งคืนไปได้

                      ทั้งสองเริ่มแย่งบอลกัน แต่เหมือนซันจิจะเหนือกว่าอยู่หน่อยๆ แต่โซโลก็ไม่มีช่องโหว่ให้ซันจิได้ทำแต้ม พวกเขาเล่นฟุตบอลโดยที่ไม่พูดอะไรกันเลยซักคำ ได้ยินแค่เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากรองเท้าผ้าใบของทั้งคู่ และเสียงหอบหายใจบ้าง

                      “นายรู้ไหม ทำไมฉันถึงเกลียดนาย” ซันจิพักบอลด้วยเท้าขวาแล้วหยุดถามโซโลที่กำลังตั้งท่ารับ

                      “ไม่รู้สิ”

                      “เพราะนายมาแทนเขา นายมาแทนเอส”

                      “เอส? พนักงานคนก่อนหนานี้น่ะเหรอ”

                      “ใช่! ตำแหน่งของนาย ทำให้ฉันคิดถึงการที่เขาไม่อยู่ ถ้าเขาไปโดยไม่มีตัวแทนล่ะก็ ฉัน.. ฉันคงไม่คิดถึงเขาหรอก!” สิ้นเสียงซันจิเตะฟุตบอลเฉียดหน้าโซโลเข้าไปตุงตาข่ายอย่างแรง

                      “เฮ้ มันก็ไม่ใช่ความผิดของฉันไม่ใช่เหรอ”

                      “ไม่ ไม่ ยังไงมันก็เพราะนายนั่นแหละ นายเป็นตัวแทนที่ไม่เอาไหน นายไม่เหมือนเขา! ไม่เหมือนเขาเลยสักนิด ถึงมันจะดูเหมือนฉันเห็นแก่ตัว แต่ ยังไงฉันก็ทนไม่ได้ที่ฉันยังเจ็บใจทุกครั้งที่ฉันยังหวังว่านายจะเป็นเขา!

                      “อืม นายมันเห็นแก่ตัวจริงๆแหละ” โซโลเดินเข้ามาหาซันจิ

                      “นายมันบ้า นายมาที่นี่ทำไม” ซันจิกำหมัดแน่นแล้วกัดฟันก้มหน้า

                      “มาคิดๆดูแล้ว นี่นายกำลังคาดหวังในตัวฉันอยู่งั้นเหรอ”

                      “ห้ะ ไม่ใช่ เอ่อ ก็ใช่ แต่ฉัน...” ซันจิสีหน้าเปลี่ยน

                      “นายเกลียดฉันจริงๆอย่างงั้นเหรอ”

                      “ก็ใช่ดิ”

                      “แล้วถ้าฉันเกิดเหมือนหมอนั่นขึ้นมาล่ะ” โซโลเดินมาประชิดตัวซันจิ

                      “ไม่ น นายทำไม่ได้หรอก” ซันจิถอยสามก้าวตั้งหลัก

                      “หมอนั่นทำอะไรให้นายประทับใจซะล่ะ” โซโลแกล้งถามโดยไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์อะไร แต่มันกลับมี

                     

                      “เมื่อก่อนที่นายจะมาที่นี่น่ะ ฉันสนิทกับพวกเอสมาก แล้ววันหนึ่งตาแก่ก็เกิดป่วยกะทันหันเหมือนครั้งนี้ ฉันกลัวแทบบ้า กลัวมาก กลัวตาแก่จะเป็นอะไร ตอนนั้นยังเด็กกว่านี้มาก ฉันเอาแต่ร้องไห้ แล้วเอสก็ลากฉันมาที่สนามบอล เขาเตะฟุตบอลอัดหน้าฉันให้ฉันได้สติ แล้วจากนั้น... อั่ก!” ซันจิหงายเงิบลงไปนั่งกับพื้น เขาจับหัวแล้วทำหน้าเหวอเพราะถูกฟุตบอลกระแทกศีรษะ “...ทำบ้าอะไรฟร่ะ! อยากตายเรอะ! ไอ้หัวมอส!

                      “พลาดจมูกรึเนี่ย”

                      “หน็อยแก! ซันจิกัดฟันกรอดๆ

                      โซโลเดินเข้ามานั่งยองๆแล้วเอื้อมมือไปวางโปะบนหัวของซันจิ

                      “ฉันเป็นหมอนั่นของนายไม่ได้หรอกนะ ฉันจะเป็นฉันนี่แหละ เป็นฉันคนนี้ก็ปลอบนายได้นาเจ้าเด็กคิ้วม้วน”

                      ซันจินิ่งเงียบไป โซโลฉุดแขนซันจิให้ลุกขึ้น เขาเดินนำซันจิออกจากสนามฟุตบอลไป พอพ้นเขตสนามกีฬา ซันจิเร่งฝีเท้ามาให้ทันโซโล เขากระตุกเสื้อโซโลสามที

                      “คือ...”

                      โซโลหยุดเดินแล้วหันมามองซันจิที่ก้มหน้าก้มตาคิดอะไรบางอย่าง อย่างหนัก เหมือนกำลังหาคำพูดที่เหมาะจะพูดกับเขาอยู่อย่างงั้น แล้วโซโลก็เดาได้อีกแหละว่าซันจิจะพูดว่าอะไร

                      “จะกลับ?...” ซันจิพยักหน้าหงึกๆ “...ให้ไปส่งไหม”

                     

       

                      “อือ”

       

       

       

                      แฟรงกี้ที่เช็คสมุดบัญชีเสร็จ ปิดบัญชีลง เก็บใส่ลิ้นชักแล้วเดินอ้อมเคาน์เตอร์ออกมาหน้าร้าน กระจกหน้าร้านดูสะอาดแบบไร้ที่ติมาก มองป้ายร้านก็พบว่าสะอาดขึ้นเหมือนกัน ทั้งๆที่เขาไม่ได้สั่ง เลยพึมพำเบาๆคนเดียวว่า

                      “โซโลมันไม่เคยเช็ดป้ายเลยนี่หว่า แล้วไหงวันนี้เช็ดล่ะ อยู่ๆก็เกิดขยันเป็นพิเศษเรอะ เหอะๆ เป็นคนที่คูลดีเหมือนกันนะเนี่ย” แฟรงกี้เอื้อมมือไปจัดป้ายให้ตรง ป้ายร้านมินิมาร์ทเล็กๆ

                       ‘Super Fanky’

                     

                      

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×