คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : มาทำความรู้จักกันนะทุกคน
บทที่ 1
มาทำความรู้จักกันนะทุกคน
ฟิ้ววว... ฉับ ฉับ ฉับ เคล้ง
เสียงดาบปะทะกันดังมาอย่างต่อเนื่อง โดยต้นเหตุมาจากร่างสองร่างที่ปะทะกันอยู่กลางสนามซ้อม
“นายหญิงเก่งที่สุดเลยเจ้าคะ รอบนี่ท่านเรย์ต้องแพ้แน่ๆ”
“อยู่แล้วนะไนท์ ข้าเก่งอยู่แล้ว”
“หึหึ อย่าได้ใจไปหน่อยเลยน่าเคลน์ ข้าก็จะไม่แพ้เจ้าเหมือนกัน”
“เอ้า สองคนนี้นิอย่าเอาแต่สนใจคุยสิจะซ้อมดาบกันไม่ใช่เหรอ สนใจหน่อยสิขอรับ”
“เอาน่าวินด์ ไม่เห็นมันจะเสียหายตรงไหนเลยนี่เจ้าคะ”
“ก็ได้ขอรับ แต่ตอนนี้หยุดซ้อมกันได้แล้วนะขอรับ รู้สึกว่าจะถึงเวลาเตรียมตัวไปเรียนแล้วนี่”
เสียงของวินด์หรือก็คือเวียร์เบลวินด์ชายหนุ่มผมสีเดียวกับดวงจันทร์ซึ่งยาวลงมาจนถึงข้อเท้าแล้วมัดรวบไว้หลวมๆเอ่ยขึ้น ข้างๆนั้นมีหญิงสาวผมสีเทายาวถึงกลางหลังยืนอยู่ริมสนามหล่อนก็คือคนที่ถูกเรียกว่าไนท์ หรือชื่อเต็มๆก็คือมิดไนท์แดนเซอร์ โดยภายในสนามนั้นที่ประลองกันไปเมื่อครู่คือเคลนีย่า หญิงสาวผมสีเงินสยายยาวถึงเข่าโดยมีเส้นผมไปบังดวงตาสีรัตติการประกายเงินข้างซ้ายเอาไว้ กับเรย์คัสเซอร์ราเรสชายหนุ่มผู้มีทรงผมดุจกองเพลิงหย่อมๆแล้วดวงตาสีแดงโกเมนนั่นเอง
“ครั้งแรกเลยนะที่จะได้ไปเรียนกับคนอื่น นิสัยจะเป็นยังไงกันบ้างนะ” เคลน์กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่ไม่ทันไรก็โดนขัดโดยวินด์ว่า
“อย่าดีใจไปหน่อยเลย ถึงขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนแต่ก็เป็นโรงเรียนพิเศษที่มีแต่เด็กไม่ธรรมดาไปเรียนกันนะขอรับนายหญิง”
“อย่าพูดแบบว่าเราเป็นผู้ป่วยทางจิตได้ไม้วินด์ ก็แค่มีความสามารถมากกว่าคนอื่นนิดหน่อยแค่นั้นเอง”
“หยุดเถียงกันเถอะเจ้าคะ เดี๋ยวก็สายกันพอดี ไปเตรียมตัวกันได้แล้วไป!”
“ตื่นได้แล้วน่าเมฟ เช้าแล้วนะอยากไปเรียนสายตั้งแต่วันแรกเหรอ!” เสียงของร่างบางที่มีผมสีดำสนิทซึ่งถูกรวบไว้ครึ่งหัวกับดวงตาสีเดียวกันปลุกเพื่อนสาวของตนให้ตื่นจากห้วงนิทรา
“มีอะไรเหรอมักกี้ ปลุกแต่เช้าเชียว” เสียงงัวดังมาจากร่างหญิงสาวผมสีน้ำตาลประบ่าบนเตียง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองไปทางคู่สนทนาอย่างถามไถ่
“แล้วจะไม่ไปเรียนเหรอ ถ้าไม่ไปก็นอนต่อไปได้ แต่ข้าจะไปแล้วนะ” เสียงตอบกลับมาอย่างตัดพ้อของเพื่อนทำให้ร่างบนเตียงต้องรีบหันไปมองนาฬิกาตรงหัวเตียงก่อนจะสะดุ้งตื่นแบบเต็มตาเมื่อสังเกตเห็นเวลาที่เหลือไม่มากแล้วก่อนจะถึงเวลานัด
ร่างบางสองร่างวิ่งมุ่งไปสู่ทางเข้าของปราสาทหลังใหญ่ด้วยอาการเร่งรีบและข้าวของที่พะลุงพะลัง
“ทำไม ไม่ปลุกให้มันเร็วกว่านี้นะมักกี้” เมฟเฟียร์หันไปกล่าวโทษอีกฝ่าย
“ก็ข้าปลุกแล้วแต่เจ้าไม่ยอมตื่นเองนี้ โทษข้าไม่ได้นะ” อีกฝ่ายตอบกลับ
“เอ่อๆ ข้าขอโทษข้ามันขี้เซาเองงงงง”
ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงทางเข้าพร้อมกับคนอื่นๆอีกจำนวนสามคน และพอยื่นกันอยู่น่าประตูบานใหญ่ครบห้าคนเมื่อไหร่ประตูก็เปิดออกต้อนรับผู้มาเยือนทันที หลังประตูบานนั้นมีชายหนุ่มในชุดพ่อบ้านคอยยืนต้อนรับพวกตนอยู่
ทุกคนได้แต่มองตาข้างกับสิ่งอลังการที่อยู่หลังประตูบานนั้น ปราสาทหรือจะให้แน่ก็คือพระราชวังหลังใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังดึงดูดความสนใจของบุคคลเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี พวกเขาถูกเชิญให้เข้าไปด้วยร้อยยิ้มอันสดใสของผู้มารับ
“ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ทุกทันสู่พระราชวังหลวงแห่งอาร์คาเดีย นับแต่นี้ไปพวกท่านจะได้พักอาศัยและศึกษาอยู่ที่นี่” เสียงบุคคลดังกล่าวเอ่ยต้อนรับ ชายหนุ่มวัยสิบหกปีผมสีน้ำเงินเข้มสอยสั้นใช้ดวงตาสีเดียวกันมองทุกคนด้วยแววตายินดีก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวเอง “กระผมชื่อแจส เมสเทอร์จะเป็นพ่อบ้านคอยดูแลพวกคุณ ถ้ามีปัญหา หรือต้องการอะไรสามารถมาติดต่อที่ผมได้”
ชายหนุ่มเอ่ยเสร็จก็ผ่ายมือเชิญทุกคนเข้าไปด้านใน เข้าเดินนำผ่านส่วนต่างๆของวังไปยังอาคารใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง
“พวกท่านถือว่าโชคดีมากที่ได้มาศึกษาในรุ่นนี้เพราะว่าองค์หญิงทรงสั่งว่าให้นักเรียนรุ่นนี้พักอยู่ที่อาคารกลาง” แจสเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อมเมื่อพูดถึงผู้เป็นนาย เข้าได้พานักเรียนทุกคนไปยังห้องพักต่างๆที่กำหนดให้ ก่อนจะนัดแนะให้ทุกคนไปเจอกันพร้อมหน้าภายในหนึ่งชั่วโมง ณ อาคารย่อยข้างๆที่ใช้เป็นอาคารเรียนและขอตัวออกไป
“ป่านนี้ท่านหญิงจะแต่งตัวเสร็จหรือยังน้า” ร่างหนาบ่นพึมพำขณะเดินไปตามทางเดินภายในวัง ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องๆหนึ่งพลางยกมือขึ้นเคาะประตูบานดังกล่าวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ท่านเคลน์ ไม่ทราบว่าท่านแต่งตัวเสร็จหรือยังขอรับ”
“เสร็จแล้ว! ท่านเข้ามาไดเลย” เสียงตอบรับดังมาจากภายใน เชิญให้เข้าเดินเข้าไป
แต่ว่าตนได้แต่เพียงเปิดบานประตูให้อ้าออกเท่านั้น เพราะทันทีที่ได้เห็นร่างบางที่อยู่ภายในก็ต้องถึงกับชะงัก ร่างบอบบางที่บัดนี้ได้อยู่ภายใต้เครื่องแบสีดำสนิทขลิบขาวอันประกอบด้วยกระโปรงสั้นเหนือเขานิดหน่อยกับเสื้อสีเทาสวมทับด้วยเสื้อคลุมแขนยาวที่อกข้างส้ายประทับด้วยตราประจำพระราชวังทำให้เข้าถึงกับทึ่งเพราะไม่ค่อยได้เห็นนายสุดแสบของตนได้สวมเครื่องแบบสักเท่าไหร่
“เสร็จแล้วใช่ใหม่ขอรับ” แจสรีบเรียกสติของตนก่อนจะเผลอเสียมารยาทไปให้มันมากกว่านี้
“เสร็จแล้วจ้า แล้วเจ้าละไปต้อนรับคนอื่นๆเสร็จแล้วเหรอ”
“เสร็จแล้วขอรับ ข้านัดทุกคนให้ไปเจอกันที่อาคารเรียนเลยขอรับ แล้วท่านจะเสด็จไปเลยรึเปล่า”
“แจสนี้ เจ้าไม่เคยจำเลยเนาะว่าข้าไม่ชอบให้เจ้าใช้คำราชาศัพท์กับข้า ถ้าจะใช้ให้ไปใช้กับท่านอาแฟนนู่น”
“รับทราบขอรับ”
“ยังอีก ยังจะมาทำเป็นนอบน้อมจัดอีกเจ้าเนี่ยไม่ไหวเลยจริงๆ”
“คร้าบ แล้วเราจะไปกันได้หรือยังละคร้าบเจ้าหญิงสุดส่วย” แต่เสียงตอบรับครั้งนี้ไม่ได้ดังมาจากปากของพ่อบ้านหนุ่มแต่กลับมาจากชายหนุ่มหัวแดงแทน
“อ้าวเรย์เจ้าก็เสร็จแล้วเหรอ? ชุดนี่ก็เหมาะกับเจ้าดีนี่” เธอหันไปทักผู้มาใหม่ที่สวมเครื่องแบบ แบบเดียวกันเพียงแต่เป็นกางเกงขายาวไม่ใช่กระโปรงด้วยรอยยิ้ม
“ขอบใจ แต่ข้าว่าตอนนี้เราน่าจะไปที่อาคารเรียนกันได้แล้ว เป็นเจ้าบ้านไม่สมควรไปสายสะเองนะ” เรย์เอ่ยเร่งอีกฝ่าย
“จ้าเสร็จแล้วจ้า แจสเจ้าก็ไปแจ้งกับอาจารย์ฟรันซิสนะว่าพวกเราพร้อมแล้ว”
“รับทราบขอรับ”
เสียงพูดคุยเบาๆดังออกมาจากห้องเรียนพิเศษแห่งอาร์คาเดียที่บัดนี้มีนักเรียนอยู่ทั้งหมดแปดชีวิต ทำให้ร่างของผู้มาใหม่ต้องหยุดชะงักก่อนจะครี้ยิ้มบางเบา แต่รอยยิ้มก็อยู่ได้ไม่นานก่อนจะถูกเปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบเฉย
“สวัสดีครับผมนักเรียนทุกคน ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวก่อนนะสำหรับคนที่ไม่รู้จัก กระผมคืออาจารย์ฟรานซิส แกรนเดียอาจารย์ผู้สอนเกือบทุกวิชาให้กับพวกคุณทุกคน” ชายวัยกลางคนนัยน์ตาสีเหลืองผมสีครีมพูดแนะนำตัวเองก่อนจะทำถ้าทางผ่ายมือไปทางนักเรียนคนแรกเป็นนัยให้กล่าวแนะนำตัวเองบ้าง
“สวัสดีครับเทเนส เครตัสครับ” คนแรกที่เอ่ยแนะนำตัวเองคือชายหนุ่มผมสีม่วงอ่อนดวงตาสีชมพูบนใบหน้ามีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่เกือบตลอดเวลา ต่อมาหญิงสาวผมสีขาวเหลือบฟ้าตาสีฟ้าอ่อนเอ่ยแนะนำตัวเองบ้าง
“ข้าชื่อสตาฟฟี่ เมสที่ ชอบฤดูหนาวที่สุด”
“ฉันเมฟเฟียร์ เพรฟเฟอร์ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ” เมฟเอ่ยแนะนำตัวเองบ้างก่อนจะหันไปทางมักกี้ซึ่งก็รีบเอ่ยแนะนำตัวเองทันที
“ฉันชื่อมักกี้ เมสเซอร์ค่ะทุกคน”
“ผมชื่อเคสเทอร์ ฟิลเลสครับ” ชายหนุ่มผมสีฟ้าครามเหมือนกับนัยน์ตาตัวเองเป็นคนต่อไป
“ตาผมสิแล้วนะครับ ผมชื่อเรย์คัส เซอร์ราเรสครับ ส่วนนี้น้องชายฝาแฝดซาคัส เซอร์ราเรสยินดีที่จะทำความรู้จักกับทุกคนครับ” เรย์เอ่ยแนะนำตัวเองก่อนจะชี้ไปทางซาคัสที่มีนัยน์ตาสีส้มผมสีส้มอ่อน
“ส่วนชั้นคือเคลนีย่า เฟเลน่า ดิอาร์คาดจ้าทุกคน ฝากตัวด้วยนะแล้วไม่ต้องทำตัวสุภาพเป็นพิเศษกับฉันหรอกเรียกฉันสั้นๆว่าเคลน์ก็แล้วกันนะทุกคน” รอบนี้เคลน์แนะนำตัวเองป็นคนสุดท้าย เรียกความสนใจจากทุกคนได้เป็นอย่างดีเนื่องจากชื่อของเธอมันเป็นชื่อของ...
“ท่านหญิง/เจ้าหญิงเฟเลน่า” เกือบทุกชีวิตภายในห้องพากันประสานเสียงก่อนจะทำถ้าทางตกใจเมื่อรู้ตัวว่าตนเผลอเสียมารยาทลงไปยกเว้นก็แต่
“ท่านคือเจ้าหญิงเฟเลน่าจริงๆหรือขอรับ” เทเนสเอ่ยออกมาแบบไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
“บอกว่าให้เรียกเคลย์ไง ส่วนเจ้าอย่ากจะให้เราเป็นใครละจ้ะเทน” เคลน์ตอบ
“เปล่าขอรับ ผมแค่ส่งสัยว่าผู้ที่ปกติจะไม่เผยตัวตนน่อหน้าประชาชนอย่างเจ้าหญิงจะมาแนะนำตัวเองง่าๆอย่างนี้เลยเหรอขอรับ”
“นั่นสิ เพราะเหตุนี้แหละที่ทุกคนที่นี่ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะ แล้วก็ต่อไปนี้ทุกคนที่นี่จะเป็นสมาชิกของหน่วยพิเศษอาร์คาเดส แห่งอาร์คาเดีย แต่ก่อนอื่นต้องเป็นเพื่อนเรียนด้วยกันหนึ่งปีก่อนนะจ้ะ”
“อะไรนะ หน่วยพิเศษเหรอ ไม่เห็นมีใครพูดถึงเรื่องนี้เลยตอนพ้เรามา” อีกครั้งที่เกือบทุกคนพร้อมใจกันประสานเสียง
“ไม่ได้เป็นอย่างนี้ทุกรุ่นหรอกครับ จะมีพิเศษเฉพาะรุ่นเดียวกับเจ้าหญิงเท่านั้น” เรย์ออกมาอธิบายแทนเจ้าหญิงที่ตอนนี้เริ่มทำหน้าไม่สบอารมณ์
“อะ พอได้แล้วครับเด็กๆเดี๋ยววันนี้ก็ไม่ได้สอนกันพอดี” เสียงของอาจารย์ที่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องมานานพอควรดึงสติของนักเรียนไปยังหน้าห้องเพื่อรับรู้บทเรียนแรกที่ตนจะได้เรียนณ สถานที่แห่งนี้
“วันนี้ครูจะเริ่มสอนเกี่ยวกับบัดดี้ของทุกคน ซึ่งนั้นก็คืออาชานั่นเอง ครูเชื่อว่าเกือบทุกคนในห้องนี่มีคู่กันหมดแล้วใช่ไม้ครับนักเรียน เหรอว่ามีใครที่ยังไม่มี?”
ไม่มีใครยกมือขึ้น แสดงให้เห็นว่านักเรียนในห้องนี้มีบัดดี้กันครบทุกคนแล้ว เรียกรอยยิ้มจากอาจารย์ผู้สอนได้เป็นอย่างดี
“ถ้างั้นก็ข้ามเรื่องการหาหรือข้นพบบัดดี้ของตัวเองไปได้เลยเพราะครูผ่านมันมากันหมดแล้วนะทุกคน เรื่องต่อไปที่จะสอนคือความสำคัญของบัดดี้
บัดดี้นั้นเปรียบเสมือนคู่หูของเราที่ไม่ว่าเราจะทำอะไรจะอยู่กับเราโดยตลอด ด้วยการเชื่อมต่อของสร้อยแห่งจิตวิญญาณที่เราชาวอาร์คาเดียโดยทั่วไปไม่สามารถเอาไว้ห่างกายได้เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงเพราะนั่นหมายถึงชีวิตของพวกเรา
บัดดี้คือส่วนหนึ่งของชีวิตเราเพราะพวกนั้นโดยธรรมชาติไม่ได้มีพลังมหาศาลอะไรแต่กลับสามารถเก็บรักษาพลังได้เป็นจำนวนมากต่างจากพวกเราที่มีพลังอันมหาศาลแต่ร่างกายกลับไม่สามารถทนรับเก็บไว้ที่ตัวได้เป็นเวลานานเพราะเหตุนี้เราจึงต้องคู่กันเพื่อให้เราได้สามารถถ่ายโอนพลังไปเก็บไว้ที่บัดดี้ของเราได้โดยวิญญาณจะเชื่อมกันแล้วนั่นมีความหมายอีกนัยว่าหากเรายังไม่สิ้นชีพแต่บัดดี้เราบาดเจ็บอาการสาหัสเพียงใดก็ไม่เป็นไรเพราะสามารถถ่ายโอนพลังชีวิตให้กันได้ ตรงข้ามก็เช่นเดียวกันถึงแม้ว่าตัวเราเองจะบาดเจ็บสาหัสเพียงไหนก็จะไม่ศูนย์เสียชีวิตของตัวเอง
นี่แหละคือความสำคัญของบัดดี้ต่อพวกเรา”
กริ้งงงงงงงงงงงงงงงงงง
หลังจากอาจารย์พูดคำสุดท้ายจบเสียงกริ่งหมดเวลาก็ดังขึ้นพอดี
“เอาละเด็กๆไปพักกันได้แล้วตอนบ่ายเจอกันที่สนามฝึกซ้อมดาบกลางนะ”
“รับทราบคะ/ครับ อาจารย์” ทุกคนพร้อมใจกันประสานเสียง ก่อนจะลุกขึ้นเก็บของและบิดขี้เกียจเพื่อคลายความเมื่อยที่นั่งเรียนมานานสามชั่วโมงก่อนจะทยอยออกจากห้องกันเพื่อไปยังโรงอาหารที่ทางวังจัดไว้ให้
ร่างบางเดินตรงไปยังห้องๆหนึ่งใจกลางวังหลวงอย่างชำนานทาง ก่อนจะหยุดอยู่หน้าห้องๆหนึ่งเพื่อเคาะขออนุญาตที่จะเข้าไปในห้องและเปิดประตูหายเข้าไปทันทีเมื่อมีเสียงเอ่ยตอบกลับมา
“สถานการณ์ในตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะท่านอาแฟน”
“ไม่ค่อยที่จะดีสักเท่าไหร่หรอกเคลนี แต่ก็ยังพอประคองไว้ได้แล้วหลานละ เป็นยังไงบ้างได้ข่าวว่าวันนี้เจอกับสมาชิกของหน่วยเป็นครั้งแรกแล้วยังได้เรียนด้วยกันอีก”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีมากคะท่านอา ท่านไม่ต้องกังวล ส่วนเรื่องนั้นหนูขอฝากท่านดูแลไปก่อนนะคะ แล้วหน่วยนี้พร้อมเมื่อไหร่หนูจะรีบมาช่วยทันที”
“ดีมากหลานรัก ทำได้ดีแล้วแหละไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้หรอกเดี๋ยวอาดูแลเองหลานไปอยู่กับเพื่อนๆเถอะ”
“คะ”
“หลานมีอะไรอีกหรือเปล่า ทำไมสีหน้าดูไม่ดีเลย”
“พักนี้หลานฝันแปปลกๆคะท่านอา ฝันถึงอีกโลกหนึ่งที่ไม่ใช่ที่นี่ ถึงบ้านหลังใหญ่ที่มีคนขุ้นหน้ามากมายแต่หนูกลับคิดไม่ออกว่าเป็นใคร มันคือรางอะไรหรือเปล่าคะ”
“จะถึงเวลานั้นแล้วเหรอ”
“อะไรนะคะท่านอาหนูฟังไม่ชัดคะ”
“เปล่าไม่มีอะไรหรอก หลานกลับไปหาเพื่อนๆเถอะเดี๋ยวพวกเขาจะสงสัยเอานะว่าหลานหายไปไหนนาน”
“คะท่านอา แล้วหนูจะมาใหม่”
ทันทีที่ร่างบางหายออกไปจากห้องนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏออกมาที่มุมห้อง
“ชาเร ถ้าเจ้ามาคราวหน้าต้องระวังตัวมากว่านี้นะเพราะว่าเด็กคนนั้นนะไม่ใช่เด็กๆอีกต่อไปแล้ว เชื่อสิว่าหล่อนรับรู้ได้ถึงการมาของเจ้า”
“ขอรับท่านแฟนตาเซียคราวหน้าข้าจะระวังตัวให้ดีกว่านี้ขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี แล้วภารกิจละ”
“ในตอนนี้หน่วยทหารได้ทำการเฝ้าระวังตามขอบชายป่ามูนไลท์เอาไว้แล้ว แต่ยังไม่พบสิ่งผิดปกติอะไรเลนขอรับ” คำกล่าวของทหารคนสนิทเรียกสีหน้าเคร่งเครียดของผู้เป็นนายได้เป็นอย่างดี
“มันเงียบจนเกินไปสินะ เพราะช่วงเวลาปกติจะต้องมีเจ้าพวกนั้นออกมาข้างนอกไม่มากก็น้อย แต่นี่มันกลับเงียบหายกันไปเลย”
“ขอรับ”
“งั้นเจ้าก็ไปเตรียมการให้พร้อม อีกไม่นานสงครามและแผ่นการชั่วๆของไอ้พวกนั้นคงเริ่มต้นอีก”
“ขอรับ” นายทหารก้มหัวรับคำก่อนจะหายตัวไปทางหน้าตาห้องที่เปิดอ้าไว้
“คุณเรย์คัสสนิทกับเจ้าหญิงเหรอคะ” ร่างบางเจ้าของดวงตาสีฟ้าเอ่ยถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆตัวเอง
“อย่าเรียกเธอว่าเจ้าหญิงเลยเธอไม่ได้อยากได้การยกย้องในต่ำแหนงนั้นหรอกครับคุณสตาฟฟี่ เอ่อขอเรียกคุณว่าสตาฟเชยๆได้ไม้” ชายหนุ่มหัวแดงตอบกลับ ทำให้ร่างบางทำหน้าครุ่นคิดแปบนึงก่อนจะพยักหน้าอนุญาต
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เรียกผมว่าเรย์นะครับ”
“คะคุณเรย์ แล้วทำไมเธอถึงไม่อยากได้การยกย่องเกียรติแห่งเจ้าหญิงเหรอคะ”
“เพราะเธอคิดว่าตัวเองยังไม่คู่ควรและยังไม่อาจรับตำแหน่งนั้นมาได้จนกว่าจะช่วยดินแดนแห่งนี้ให้กลับมาสงบได้นะ” เรย์เอ่ยอธิบายออกมายาวเยี่ยดโดยไม่รู้ตัวเลยว่าบุคคลในบทสนทนาได้มายืนอยู่ข้างหลังตัวเองแล้ว
“มีอะไรเหรอเรย์คัส เซอร์ราเรส” น้ำเสียงเย็นเชียบทำให้ร่างหนาสดุ้งก่อนจะหันไปเห็นรอยยิ้มแย่ๆของสตาฟแล้วหันไปเจอกับร้อยยิ้มแสยะของเคลน์
เธอทำประกายตาดุใส่เค้าก่อนจะทำเป็นไม่สนใจแล้วหันไปพูดกับทุกคน
“ข้ามีเรื่องจะถามคือ อาจารย์ฟรานซ์ฝากมาบอกว่าให้เราเลือกหัวหน้าซึ่งก็จะเป็นหัวหน้าหน่วยด้วยให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ ข้าจึงขออาสามาจัดการก่อนแล้วในอีกห้าวันเราค่อยมาตัดสินใจกันอีกทีทุกคนตกลงไม้” เคลน์กล่าวเสร็จก็หันไปมองทุกคน และพอไม่มีใครคัดค้านตัวเองจึงยิ้มรับ
“งั้นก็ไปสนมฝึกกันได้แล้วจะได้เลือกอาวุธกันก่อนด้วยสำหรับคนที่ไม่มีใครมีแล้วก็ให้เอาของตัวเองไปด้วยนะ แล้วเจอกัน” เคลน์พูดจบก็เดินออกจากห้องไปเพื่อไปเตรียมตัวฝึกภาคปติบัด
ทุกคนทยอยกันเดินออกจากห้องเพื่อไปเตรียมตัวเหลือไว้แต่ชายหนุ่มผมครามที่มองไปรอบๆห้องอย่างสำรวจอีกทีพอแน่ใจว่าไม่มีใครหลงเหลืออยู่แล้วตนจึงผิวปากเบาๆเรียกร่างของม้าน้อยสีชมพูอ่อนออกมา
“เป็นไงบ้างเลิฟ บินสำรวจไปทั่วหรือยัง” เค้ากล่าวด้วยรอยยิ้มเมื่อมองม้าน้อยเท่าฝามือที่บินมาเกาะที่ไหลแผงคอสีเข้มกว่าขนหน่อยๆโบกสะบัดอยู่เกือบตลอดเวลา มันเงยหน้าขึ้นมามองผู้เป็นนายก่อนจะส่งเสียงตอบกลับมาว่า
“ยังไม่ทั่วเลย มันแปลกๆเหมือนมีม่านพลังปกคลุมอยู่ทุกที่เลยได้แต่บินอยู่รอบนอกนะเจ้าคะ”
“อย่างนั้นเหรอ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกเรายังได้อยู่ที่นี่กันอีกนาน แต่ก็สมกับเป็นวังหลวงป้องกันๆได้แน่นหนาดีมากสินะ”
“คงเป็นอย่างนั้นแหละ โชคดีที่เราไม่ใช่โจรนะเจ้าคะ”
“นั่นสิ” ชายหนุ่มเอ่ยรับแล้วหันไปเกาหัวให้กับเลิฟ “งั้นเจ้าก็ไปพักเถอะเลิฟลี่เผื่อบ่ายนี้เค้าจะเรียกใช้งานบัดดี้กัน”
เลิฟลี่ส่งเสียงขานรับเบาๆก่อนจะกระโดดขึ้นบินออกจากห้องไป ชายหนุ่มผมครามมองตามบัดดี้ของตนอีกสักพักก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อไปยันลานฝึกบ้าง
ที่ลานฝึกคนอื่นมากันพร้อมแล้วเหลือแต่เค้าคนเดียวจึงต้องรีบก้มหัวขอโทษและเดินไปรวมกับคนอื่น ช่วงบ่ายดำเนินไปด้วยการสอนเกี่ยวกับอาวุธแล้วทดสอบความถนัดของแต่ละคนทำให้ได้อาวุธที่เหมาะกับแต่ละคนที่สุด แล้วอาวุธที่ใช้กันมากที่สุดคงไม่พ้นดาบ ไม่ว่าจะดาบยาวหรือดาบคู่ ก่อนที่จะมาถึงเวลาส่วนท้ายของคาบสุดท้าย
“นักเรียนทุกคนครูอย่ากให้เรียกบัดดี้ของตัวเองออกมาเพื่อให้ทำความรู้จักกันไว้ เริ่มที่เจ้าก่อนเลยเคลน์” อาจารย์พูดพร้อมกับหันไปมองหน้าลูกศิษย์ตัวเอง ทำให้หญิงสาวเจ้าของชื่อต้องออกมายืนข้างหน้าแล้วผิวปากเป็นจังหวะเบาๆสองที
ทันใดนั้นก็มีอาชาขนาดเท่าฝามือบินมาสองตัวก่อนจะมาหยุดอยู่เบื้องหน้าผู้เรียกตัวหนึ่งขนสีเงินประกายแวววาว แผงคอและหางสีเดียวกับดวงจันทร์ที่ยาวสยายงดงามเหมือนมีลมพัดอยู่รอบๆเกือบจะตลอดเวลา ที่คอมีอัญมณีสีเหลี่ยมข้าวหลามตัดสีขาวบริสุทธิ์ห้อยอยู่ก่อนจะมีลมหมุนกำเนิดรอบตัวของมันแล้วมีอาชาลักษณะเดียวกันแต่กลับดูสง่างามมายืนอยู่แทนที่ เช่นเดียวกันกับม้าจิ๋วอีกตัวที่มีขนสีดำสนิทเป็นประกายงดงามเหมือนมีดาวงดาวส่องประกายระยิบระยับ และหางกับแผงคอมีสีเทาอ่อนที่ยาวสยายถึงจะไม่เท่ากับของอีกตัวที่คอมีอัญมณีสีดำดุจรัตติการห้อยอยู่ต่างกันแค่มันไม่มีลมหมุนแต่กลับมีประกายสีเงินระยิบระยับแทน
ทั้งสองตัวมองวนทุกคนก่อนหนึ่งรอบจึงจะแนะนำตัวเองโดยตัวสีดำพูดขึ้นมาว่า
“ข้าชื่อมิดไนท์แดนเซอร์เป็นอาชาธาตุดวงดาว ส่วนเจ้านั้นชื่อเวียร์เบลวินด์เป็นอาชาธาตุลม เราสองตัวเป็นบัดดี้ของนายหญิงเคลนียินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ...” แต่ว่าไนท์ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคดีก็มีเสียงเอ่สแทรกขึ้นมาว่า
“เดี๋ยวก่อนนะ เท่าที่ข้าเคยได้ยินมาว่าบัดดี้มีกันได้แค่ตัวเดียวไม่ใช่เหรอ”
คำทักท้วงนั้นเรียกรอยยิ้มของเจ้าของบัดดี้ที่เกินมาได้เป็นอย่างดี ก่อนที่ร่างบางจะเอ่ยอธิบายเหตุผล
“ไม่มีที่ไหนเค้าเคยกำหนดหรอกว่าบัดดี้มีกันได้แค่คนละตัว มันอยู่ที่ว่าเราจะไปตรงกับตัวไหนแต่คนส่วนใหญ่มีบัดดี้กันแค่คนละตัวมันจึงดูเหมื่อนว่ามันกำหนดได้แค่คนละตัวเท่านั้น และบังเอิญข้าไปตรงกับสองตัวนี้ทั้งคู่ข้าจึงมีบัดดี้สองตัวไง” พอพูดเสร็จคนพูดก็ยิ้มแล้วหลบไปข้างๆให้คนต่อไปได้เรียกบัดดี้ของตัวเองบ้าง โยบัดดี้ของแต่ละคนมีกันดังนี้
-เรย์คัส ม้าตัวสีแดงจัดตามตัวมีลวดลายสีแดงเข้มงดงาม แผงคอและหางเป็นเหมือนไฟแต่คนรอบข้างไม่อาจรับรู้ได้ถึงไอร้อน แน่นอนว่าเป็นอาชาธาตุไฟที่ทรงพลังมีชื่อว่าแคนดี้ หรือชื่อเต็มๆว่าไฟร์แคนดี้
-ซาคัส ม้าตัวสีทองสว่างสดใส แผงคอกับหางสีส้มอ่อนๆเหมือนมีออร่าเจิดจ้าอยู่รอบๆ เป็นอาชาธาตุแสงสว่าง ชื่อว่าซันไชน์
-เมฟเฟียร์ ม้าสีช็อกโกแลตนมมีรอยเหมือนช็อกโกแลตสีเข้มเคลือบทับที่หลังและขา แผงคอและหางที่ไม่ยาวมากสีดำเป็นอาชาธาตุดิน ชื่อช็อกโก้ หรือเต็มๆว่าเอิร์ธช็อกโกแล็ต
-มักกี้ ม้าสีดำสนิทแข็งแรงกำยำดูตัวใหญ่กว่าตัวอื่นๆ แผงคอและหางเป็นลอนยาวสีดำสนิท มีชื่อว่าแบล็คสตาร์ ธาตุความมืดแต่กลับดูใจดีเรียบร้อย
-เคสเทอร์ ม้าสีชมพูอ่อน แผงคอและหางสีเข้มกว่าสีขนหน่อยๆ เป็นอาชาที่ดูน่ารักมากธาตุลม ชื่อว่าเลิฟลี่
-เทเนส ม้าขนสีขาวบริสุทธิ์ แต่แผงขอกับหางที่ยาวสยายอย่างพอประมาณไม่มากหรือน้อย จนเกินไปกลับเป็นสีดำขลับตัดกันอย่างสิ้นเชิงทำให้มันดูงดงามแบบแปลกๆ ใช้ชื่อว่าซิสเซียร์เป็นอาชาธาติเสียง
-สตาฟฟี่ เป็นม้าสีขาวดุจหิมะตั้งแต่หัวจรดปลายหาง ทั้งตัวไม่มีสีอื่นปนอยู่แม้นิดเดียวทำให้บางทีมันดูเจิดจ้าจนแสบตาด้วยซ้ำ เป็นอาชาธาตุน้ำแข็ง ชื่อโสนว์บอล
พอทุกคนแนะนำบัดดี้ของแต่ละคนให้รู้จักกันจนครบก็หมดเวลาเรียนพอดี อาจารย์ฟรานซิสได้สั่งการบ้านให้แต่ละคนไปฝึกและปรับปรุงการใช้อาวุธประจำตัวเพิ่มเติมก่อนจะปล่อยให้เด็กๆแต่ละคนใช้เวลาอิสระได้อย่างเต็มที่โดยให้มารวมตัวอีกทีก็คือตอนเวลาอาหารเย็นในอีกสามชั่วโมงข้างหน้า
“เฮ้อ...เหนื่อยหน่อยนะ แต่ก็สนุกดีนะสำหรับวันแรก หรือว่าเจ้าว่าไงเรย์” เคลน์หันไปพูดกับเรย์คัสที่กำลังลูปหัวของแคนดี้ซึ้งกลายเป็นม้าขนาดเท่าฝามือดังเดิมแล้วบินมาเกาะไหลเล่น
“นั่นสิ เหนื่อยแต่ก็สนุกดี ทุกคนก็นิสัยดีกันทั้งนั้น”
“ใช่ หวังว่าพวกเราทุกคนจะกลายเป็นหน่วยที่ดีได้นะ”
“ไม่ต้องหวงเรื่องความสามารถแล้วอย่างหนึ่งแล้วกัน เพราะเก่งกันทุกคน”
“อาชาก็น่ารักกันทุกตัวด้วย อยากให้ไปบินเล่นพร้อมกันทุกตัวจัง คงสวยน่าดู” เคลน์ยิ้มขณะที่มองบัดดี้ของตัวเองกลายเป็นคนสองคนที่คุ้นหน้ากันดี
“ว่าไงวินด์ ไนท์วันนี้ได้พักกันเต็มที่เลยนี่ ยังเหลือเวลาก่อนอาหารเย็นอีกตั้งนานไปบินเล่นกัน” ทั้งสองคนหันไปมองหน้าผู้พูดก่อนจะทำสีหน้าอ่อนใจ แต่ก็จำยอมกลายเป็นอาชาที่สง่างามให้นายหญิงของตัวเองได้ขึ้นนั่งแต่โดยดี
เคลน์กระโดดขึ้นหลังของวินด์ด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนจะหันไปโบกมือให้เรย์แล้วหนึ่งคนกับสองอาชาก็หายออกไปจากสายตาของชายหนุ่ม
เขาใช้สายตามองส่งอีกสักพักก่อนจะก้มหน้าถอนใจ ทำไมเค้าจะไม่รู้ว่ารอยยิ้มเมื้อกี้มันเสแสร้ง เขารู้ดีว่าเพื่อนตัวเองในตอนนี้เครียดขนาดไหนเกี่ยวกับดินแดนแห่งนี้ แล้วที่ไปเมื่อกี้ไม่ได้แค่ไปบินเล่นเฉยๆแน่นอนแต่ไปบินสำรวจรอบๆเมืองต่างหาก
“อีกไม่นานแล้วนะแคนดี้ที่ความทุกข์นี้จะหยุดลงของการเป็นแค่คนที่ช่วยอะไรไม่ได้ หน่วยนี้จะต้องเข็งแรง เข็งแกร่งไม่กลัวการศูนย์เสียเพื่ออาร์คาเดียจะได้กลับมาสงบอีกครั้ง”
“อยู่แล้วเจ้าคะ อีกไม่นานเราก็จะช่วยกันทำในสิ่งที่เธอคนนั้นไม่อาจทำได้ด้วยเพียงตัวคนเดียวให้สำเร็จไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ตาม” ม้าน้อยบินจากไหล่ชายหนุ่มมาอยู่ในระดับสายตาก่อนจะเอาหัวไปถูกับแก้มของเจ้านายตัวเองเบาๆอย่างให้กำลังใจเต็มที่
เรย์ตอบรับด้วยการเอามือลูบตัวมันเบาๆก่อนที่แคนดี้จะกลายเป็นอาชาที่สง่างามพร้อมให้ชายหนุ่มหัวแดงได้กระโดดขึ้นบนหลังของมันก่อนที่ทั้งคู่จะทะยานตามคนที่เดินทางไปก่อนหน้าอย่างลับๆโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเหตุการณ์ทั้งหมได้อยู่ในสายตาของใครอีกคน
พ่อบ้านหนุ่มเดินก้าวออกมาจากร่มไม้ก่อนจะเรียกหาบัดดี้ของตัวเองที่เป็นม้าสีฟ้าอ่อน แผงคอและห่างสีน้ำเงินม้วนเป็นเกลียวคลื่นงดงาม
“เราก็ไปกันบ้างเถอะวอร์เทอร์บอล ยังมีงานอีกเยอะที่เราต้องเตรียมให้พร้อม”
“เจ้าคะท่านแจส แล้วเริ่มที่ไหนก่อนเหรอเจ้าคะ”
“ก็ต้องไปเตรียมของให้เจ้าหญิงก่อนอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็ไปดูแลเรื่องอาหารเย็นของทุกคนและอีกเพียบ ต้องรีบทำให้เสร็จกันด้วยนะ”
“ฮี้~” วอร์เทอร์บอลขานรับก่อนที่จะทะยานไปยังส่วนกลางของวังในทิศทางเดียวกันกับที่ตั้งของห้องเจ้าหญิง
ความคิดเห็น