ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ EXO ] Butterfly Effect

    ลำดับตอนที่ #3 : Act II

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 132
      1
      20 พ.ค. 58

    B u t t e r f l y

    E f f e c t

     

    A c t II

     

                   “มินซอก มินซอกอ่า! อยู่ไหนเนี่ย?”

     

                    “แป๊ปนึงนะ จงแด ฉันอยู่ในห้อง รอแป๊ปเดียวออกไป”

     

                    ร่างเล็กที่ในมือหนึ่งถือสำลี อีกมือถึงโทนเนอร์ตะโกนตอบคนที่ส่งเสียงเรียก เขากลับไปเช็ดหน้าตัวเองอย่างทะนุถนอมอีกครั้ง

     

                    “ไม่ต้องรีบนะ ล้างหน้าอยู่ใช่ไหม ล้างดีๆล่ะ พรุ่งนี้ต้องไปถ่ายนิตยสาร ไม่ใช่ไปเป็นดีเจ โดนแต่งอีกเยอะแน่ ถนอมหน้าหน่อย”

     

                    “พูดอย่างกะฉันเคยปล่อยหน้าโทรมอย่างงั้นแหละ” มินซอกตะโกนกลับออกไปขณะที่ค่อยๆใช้ผ้าขนหนูซับหน้าแล้วเดินออกจากห้องน้ำมายังห้องนอน เขาหยิบเสื้อคาร์ดิแกนมาสวมพลางโต้ตอบกับอีกคนไปเรื่อย “ว่าแต่ฉันว่าฉันเนี่ย โชคดีกว่าผู้หญิงทุกคนในเกาหลี.. ไม่สิ ทุกคนในจีน ทุกคนในญี่ปุ่น ทุกคนบนโลกไปอีกนะ”

     

                    พอพูดจบร่างของคนในเสื้อคาร์ดิแกนสีอ่อนก็โผล่หน้ามายังส่วนของห้องรับแขกที่มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านแคตตาล็อกเครื่องสำอาง เปล่า ผู้ชายคนนี้ไม่ได้อยากซื้อมาแต่งหน้าเองหรอก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นมินซอกคงกลัวมากแน่ๆ และก็คงไม่ได้จะดูเพื่อซื้อไปให้ผู้หญิงคนในด้วยเพราะผู้ชายคนนี้ไม่มีเวลาไปคบผู้หญิงคนไหน ประกอบกับมินซอกมั่นใจมากว่าทุกลมหายใจเข้าออกของคนๆนี้มีแต่เขา

     

                    เปล่าอีกนั่นแหละ ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แฟนเขา ไม่ใช่สโตลกเกอร์ แต่เป็นผู้จัดการส่วนตัวเขาต่างหาก และที่อ่านแคตตาล็อกในมือนั่นก็เพราะเขาไปเป็นพรีเซนเตอร์ (“ที่แต่งออกมาแล้วดูสวยกว่าผู้หญิงบางคน” จงแดว่างี้) ต่างหาก พอมินซอกโผล่ออกมาจงแดก็วางหนังสือลงกลับที่ด้วยท่าทางเคยชิน (แหงล่ะ มานอนที่นี่นับครั้งไม่ถ้วนเลยนี่นา)

     

                    “โชคดียังไง?”

     

                    “โชคดีที่ว่ามีผู้ชายมานั่งรอฉันเช็ดเครื่องสำอางเป็นชาติไง ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นนี่โดนแฟนด่าแล้วบอกเลิกไปแล้วมั้ง”

     

                    “ฉันก็รอได้สิ เพราะฉันเป็นผู้จัดการนาย ไม่ใช่แฟน ถ้าลองเป็นแฟนนะ ฉันจะเอาน้ำสาดหน้านายเป็นการล้างแล้วพาไปเที่ยวเลย ไม่รอให้เมื่อยหรอก”

     

                    “หูย ใจร้ายชะมัด ให้ฉันเอ็นจอยความโชคดีจอมปลอมหน่อยไม่ได้หรือไงเล่า”

     

                    “เลิกเอ็นจอยความโชคดีจอมปลอมแล้วมาสนความโชคดีของจริงดีกว่าครับ คุณมินซอก” จงแดว่าก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารออกมาจากกระเป๋าข้างตัว

     

                    “มาบรีฟงานพรุ่งนี้ให้ฉันฟังหรอ?”

     

                    “ไม่ ฉันว่าฉันบรีฟให้นายฟังไปแล้วนี่ และนายก็เก่งจะตาย บรีฟหนเดียวก็จำได้แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องบรีฟอะไรแล้ว เอาเต็มๆเลยดีกว่า..”

     

                    “อ๋อ จะมาเล่างานช้างงานนั้นให้ฉันฟังสินะ”

     

                    “อย่าเรียกช้างเลย เรียกงานมังกรดีกว่า ออกจะจีนขนาดนี้” จงแดพูดกลั้วหัวเราะแล้วหยิบกระดาษออกมาจากแฟ้ม “งานนั้นนั่นแหละ ตั้งใจฟังนะ..”

     

                    “กินกาแฟไปฟังไปได้ไหม? จะได้ตื่นเต็มตา..”

     

                    “ไม่ได้” เสียงฟังสบายหูของจงแดเปลี่ยนเป็นเสียงดุภายในสิบวินาที “อาทิตย์นี้นายกินเกินโควตาไปแล้ว”

     

                    “จงแดอ่า..”

     

                    “ไม่ต้องอ้อน ให้นายเอาตัวมาพันขาฉัน ฉันก็ไม่ใจอ่อนหรอก บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่ากินกาแฟมันส่งผลต่อกระเพาะ แล้วถ้ากระเพาะไม่ดีมันจะส่งผลเสียต่อผิว แล้ว..”

     

                    “พอ เลิก หยุดบ่น เอางานมาดีกว่า”

     

                    “ก็อย่าทำให้บ่นสิ ฉันไม่ใช่แฟนๆนายนะจะได้กรี๊ดแม้กระทั่งตอนนายทำปากเบะน่ะ เอาล่ะนะ ก็อย่างที่รู้ งานนี้เราไม่ได้เสนอตัว แต่ทางรัฐบาลทั้งสองประเทศ คือเกาหลีกับจีน..”

     

                    “แหงล่ะ ญี่ปุ่นไม่เอาฉันหรอก ไม่มีเชื้อญี่ปุ่นเลยนี่ แค่ไปทำงานที่นั่นก็โดนคนเขม่นตั้งเยอะแล่ว”

     

                    “เขาเจาะจงมาว่าอยากให้นายไปทำงานให้โดยเฉพาะ น่าจะเพราะความข้ามชาติของนายนั่นแหละ”

     

                    “ข้ามชาติ? ใช้คำว่าข้ามฟ้าแบบที่แฟนๆตั้งให้ฉันไม่ได้หรือไง ข้ามชาติมันเหมือนยาเสพติดอย่างไงไม่รู้”

     

                    “แล้วนายไม่เหมือนหรือไง? เห็นกระทู้แฟนคลับนายที่ติดท๊อปในเน็ตหรือยัง? ข้าวของเกี่ยวกับนายนั่นเยอะเท่ากับจำนวนยาเสพติดในโกดังของพวกพ่อค้าเลยมั้ง”

     

                    “ก็เว่อร์ไป” มินซอกว่าแล้วทิ้งตัวลงกับโซฟา แต่มุมปากของเจ้าตัวกับกระตุกเป็นรอยยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ จงแดสั่นหัวนิดๆ

     

                    “ชอบใจก็บอก ไม่ต้องมาฟอร์ม โอเค๊ เป็นความข้ามฟ้าของนายก็ได้ เพราะความข้ามฟ้าของนายที่ไปทั้งจีน ทั้งเกาหลี แล้วยิ่งนายเป็นลูกครึ่งอีก ถ้าฉันเป็นรัฐบาลที่ทำสัญญานี้ฉันก็คงเลือกนายเหมือนกัน”

     

                    “อือ ว่าแต่ไอ้ ทูตสันทวไมตรีนี่เขาทำอะไรกันหรอ? ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เป็นก็เลยไม่เคยคิดไปดูคนที่เคยทำหน้าที่ทำนองนี้จริงๆจังๆว่าเขาทำอะไรกันบ้าง ที่ฉันเห็นก็แค่ไปเป็นสักขีพยานในงานเซ็นสัญญานู่นนี่ บางทีก็ไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อในงานระหว่างสองประเทศ ซึ่งฉันว่านั่นไม่คุ้มเงินค่าจ้างที่กรอกมาให้ฉันเลยซักนิด”

     

                    “แน่น๊อนว่านายไม่ได้ทำแค่นั้นหรอก ไม่ใช่แค่เพราะเงิน แต่เพราะนายด้วย นายเป็นใคร? ไม่ใช่ดารากระจอกงอกง่อยนะ นายคือซิ่วหมิน คือคิมมินซอก คือคนที่ตารางงานหาที่แทรกไม่ได้ตั้งแต่ต้นปียันปลายปี เหนื่อยเกือบตายตอนจัดตารางงานให้นาย..”

     

                    “เมเนเจอร์จงแดเป็นเมเนเจอร์ที่ดีที่สุดในโลก”

     

                    “..ฉะนั้น งานที่นายทำมันไม่ได้มีแค่นั้นหรอก” จงแดกลับมาเข้าเรื่องอีกครั้งพร้อมดึงกระดาษแผ่นใหม่ออกมาจากแฟ้ม “แน่นอนว่ามีงานธรรมดาแบบที่นายพูดถึงด้วย ไปเป็นสักขีพยาน ไปเข้าร่วมงานระหว่างประเทศ พิเศษขึ้นมาหนึ่งระดับก็เป็นถ่ายโฆษณากับนิตยสารโปรโมทไอ้นู่นไอ้นี่ ออกรายการทีวีที่ควบคุมโดยรัฐบาลของที่นั่นและที่นี่..”

     

                    “..ซึ่งก็หมายความว่าเป็นรายการที่ฉันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากพูดตามสคริปต์” มินซอกกอดอกพึมพำ

     

                    “แหงสิ เขาจ้างนายไปในฐานะทูตสันทวไมตรี บุคคลที่ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของทั้งสองประเทศนะ ถ้าปล่อยให้นายพูดตามใจปากแล้วมันบังเอิญไปทำลายภาพลักษณ์ขึ้นมา เขาจะจ้างนายไปทำแมวอะไร”

     

                    “ได้เงินจากแฟนคลับฉันไง”

     

    “เขาไม่ต้องการแค่เงินไหมเล่า..”

     

    “แต่จากประเภทของงานเนี่ย ฉันว่ามันมีอะไรให้ฉันทำเยอะแน่ นายมั่นใจนะว่าฉันถ่ายได้ ไม่ไปชนกับหนังที่ฉันเซ็นสัญญาไปแล้ว”

     

    “ก็นั่นน่ะสิ ฉันรู้ว่านายไม่อยากทิ้งหนังเรื่องนั้น..”

     

    “ไม่ทิ้งเด็ดขาด! นายก็รู้ว่าบทมันดีขนาดไหน แล้วหนักแสดงที่จะมาเล่นกับฉันก็ดังกว่าฉันไปอีก ถึงจะเป็นบทที่... เอิ่ม.. นั่นแหละ ไปนิด แต่ฉันก็ว่าคุ้ม ถ้าถ่ายเรื่องนั้นฉันต้องดังในจีนมากขึ้นอย่างน้อยสามเท่าอ่ะ”

     

    “แต่นายก็ทิ้งงานนี้ไม่ได้ ทั้งตัวเงินทั้งคำสั่งรัฐบาล.. อย่าห่วงเลย ฉันจะพยายามจัดตารางให้ ยังดีที่ถ่ายที่จีนทั้งหมด น่าจะพอจัดได้ นายนั่นแหละ อย่าป่วยอย่าเป็นอะไรแล้วกัน อืม.. นั่นแหละ ขอบเขตงานนายก็ประมาณนั้น ทีนี้รู้หรือยังว่าทำไมตัวเลขที่กรอกมามันสูง”

     

     “เข้าใจแล้ว ว่าแต่ ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

     

    “เอาสิ”

     

    “เพราะฉันไปทำหน้าที่เป็นทูตสันทวไมตรีระหว่างสองประเทศ งั้น.. ก็จะมีเจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศมาดูแลฉันด้วยใช่ไหม?”

     

    “ช่าย..” จงแดพูดแล้วค้นกระดาษออกมาดูอีกแผ่น “..อืม ทั้งสองประเทศเลย ทางฝั่งเราไม่ต้องเป็นห่วง นายรู้จักเขาดีเลยล่ะ แต่สำหรับฝั่งนั้น.. ไม่คุ้นเลยแฮะ”

     

    “ไม่คุ้นนายแต่อาจจะคุ้นฉันก็ได้นะ บางทีคุณพ่ออาจจะเคยพูดผ่านๆหูให้ฉันได้ยิน ชื่ออะไรอ่ะ?”

     

    “ลู่หาน? พลตรีลู่หาน เจ้าหน้าที่ชำนาญการพิเศษกระทรวงกลาโหม ประหลาดดี ทำไมต้องเอาคนกระทรวงนี้มา มันควรจะเป็นกระทรวงท่องเที่ยวไม่ก็วัฒนธรรมไม่ใช่หรอ?”

     

    “นั่นสิ ฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกัน”

     

    “สรุปนายคุ้นชื่อคนคนนี้ไหม?”

     

    “ไม่เลยซักนิด แต่ลู่นี่แปลว่ากวางนะ ถ้าให้ฉันเดาจากชื่อ เขาคงเป็นคนที่ตาสวยและใจดีมากแน่ๆเลย”

     

     

                    “นี่ ลู่หาน ตอนนี้นายไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบ ไม่ต้องทำหน้าเข้มถึงขนาดนั้นก็ได้ เด็กเสิร์ฟมันทำท่ากล้าๆ กลัวๆ เวลามาเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะเราแล้ว รู้ไหม?”

     

                    คริสที่(ทน)นั่งดูลู่หานทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตั้งแต่ตอนเดินเข้ามายันอาหารจานแรกเสิร์ฟบ่นขึ้นอย่างเหลืออด ลู่หานถอนหายใจหนักๆก่อนจะพูด “ก็ฉันบังคับให้ตัวเองหยุดคิดเรื่องงานทันทีหลังจากถอดเครื่องแบบไม่ได้แบบนายนี่”

     

                    “ฉันเห็นนายเก็บเรื่องงานเอามาคิดตั้งหลายครั้ง แต่ไม่เห็นมีครั้งไหนเลยที่หน้านายจะเหมือนหมาปักกิ่งโดนประตูหนีบแบบนี้..”

     

                    “เลิกเปรียบเทียบฉันกับหมาปักกิ่งซักทีได้ไหม..”

     

                    “งั้นเอาเป็นหมาชิบะโดนประตูหนีบ..”

     

                    “ถ้าจะเปลี่ยนเป็นหมาญี่ปุ่นก็เอาเป็นหมาจีนแบบเดิมเถอะ นี่อย่าพูดถึงญี่ปุ่นให้ฉันฟังตอนนี้ได้ไหม เกาหลีด้วย ได้ยินแล้วฉัน..” ลู่หานกระแทกช้อนลงไปในถ้วยน้ำซุปตรงหน้าแรงๆ  “..อารมณ์เสีย”

     

                    “มีปัญหาทางชายแดนอะไรรึไง? เท่าที่ฉันดูๆก็ไม่มีนี่”

     

                    “บางทีถ้ามีปัญหาตรงชายแดนมันอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ ฉันน่าจะดูแลปัญหาชายแดนได้ดีกว่าปัญหาของคนคนเดียว

     

                    อี้ฝานหรี่ตามอง ปะติดปะต่อความคิดในหัวอยู่ไม่กี่วิก็พูดออกมา “เรื่องของขวัญใจจื่อเทามันล่ะสิท่า”

     

                    “จะมีใครซะอีก เฮอะ สร้างความวุ่นวายให้สนามบินยังไม่พอ นี่จะมาสร้างความวุ่นวายให้ฉันอีก ชักจะเป็นคนสำคัญมากเกินไปแล้ว แล้วนั่นวางช้อนทำไม? นายเป็นคนชวนฉันมากินนะ”

     

                    “เดี๋ยวกินน่า กินตอนนี้ก็ไม่อร่อยหรอก จิตใจมันไม่ได้อยู่ที่ของกิน มันอยู่ที่พ่อดาราข้ามฟ้าซิ่วหมินนั่นต่างหาก ไหนเล่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เอาเฉพาะข้อมูลที่เล่าได้นะ”

     

                    “ฉันไม่เล่าอะไรที่เล่าไม่ได้ให้นายฟังหรอก” ลู่หานว่าก่อนจะวางช้อนของตัวเองลงบ้าง “ที่ฉันอารมณ์เสียน่ะ ก็เพราะ หนึ่ง.. นายว่ามันใช่หน้าที่ของเจ้าหน้าที่กลาโหมหรอ? ที่ต้องไปดูแลดาราเนี่ย”

     

                    “หึ ม่าย แต่ฉันก็คิดว่ามันต้องมีเหตุผลอยู่แหละ ผู้ใหญ่ในรัฐบาลเขาไม่สั่งอะไรมั่วๆหรอก.. มั้ง?”

     

                    “เหตุผลก็คือว่า เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เรามีโครงการเอาบุคคลภายนอกมาทำงานเกี่ยวกับข้อมูลภายในประเทศชองเราแบบนี้ เขาก็เลยอยากได้คนที่รู้ข้อมูลภายในประเทศมากพอซักคนไปคอยดู คอยมองว่าอะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้..”

     

                    “ก็ถูกของเขานี่”

     

                    “แต่นั่นก็ให้ฉันเช็คขอบข่ายและข้อมูลของงานอยู่ในห้องทำงานก็ได้ไม่ใช่รึไง? ทำไมต้องให้ฉันเข้าร่วมทุกงานที่ดาราคนนั้น..”

     

                    “เขามีชื่อนะ ชื่อซิ่วหมิน”

     

                    “นั่นไม่ใช่ชื่อจริงซักหน่อย ชื่อในพาสปอร์ตหมอนั่น ซึ่งเป็นพาสปอร์ตเกาหลี คือคิม มินซอกต่างหาก จะมีชื่อจีนทำไมถ้าไม่ใช่คนจีน”

     

                    “เขาก็มาทำงานที่จีนบ่อยไหม? ช่างเถอะ ฉันไม่อยากรู้เรื่องชื่อเขาหรอก ต่อๆ”

     

                    “เออ  ซิ่วหมินก็ได้ แล้วทำไมต้องให้ฉันเข้าร่วมทุกงานที่ซิ่วหมินมาทำภายใต้โครงการนี้ด้วย.. วะ! ลู่หานกระแทกเสียงอย่างพื้นเสียจนคริสหน้าเสียเพราะกลัว หน้าหวานๆของมันนี่ไร้ค่าไปเลยครับเมื่อโดนความโมโหเข้าครอบงำ “ยัง ยังไม่พอ ฉันต้องดูแลซิ่วหมินในระหว่างที่อยู่ภายใต้โครงการด้วย ทำไม? ผู้จัดการส่วนตัวอะไรนั่นไม่มีหรอ? ถึงไม่มีก็ไม่น่าเป็นไรนี่ นั่นอายุยี่สิบสามนะ ไม่ใช่สามขวบ..”

     

                    “เด็กกว่าพวกเราสี่ปีแน่ะ? ไม่เบาๆ บางทีอาจจะมีเงินเก็บมากกว่าพวกเราก็ได้นะ”

     

                    “ฉันไม่เห็นว่ามันจะเป็นเงินที่มีศักดิ์ศรีเท่าไหร่เลย..”

     

                    “บางทีศักดิ์ศรีมันก็กินไม่ได้นะ.. ไม่เอาๆ ฉันไม่เถียงกับนายเรื่องนี้หรอก ว่าแต่นายไม่รู้สินะ..”

     

                    “ไม่รู้อะไร? ฉันว่าฉันรู้เรื่องซิ่วหมินแทบจะทุกอย่างแล้วนะ เฮอะ เหมือนโดนบังคับให้เป็นแฟนคลับไปซะอย่างนั้น”

     

                    “ไม่ นายยังรู้ไม่หมดหรอก” อี้ฝานหัวเราะเบาๆ “นายรู้แต่ข้อมูลแง่ทางการ ไม่ได้รู้ข้อมูลแง่แฟนคลับนี่”

     

                    “นายรู้ว่างั้น?”

     

                    “หน้าห้องนายน่ะแฟนคลับตัวยงเลยนะ ฉันชวนคุยด้วยเรื่องซิ่วหมินนิดหน่อยนี่พูดไม่หยุดอ่ะ ไม่หยุดจนฉันต้องขอให้หยุด ได้เห็นเจ้านั่นมุมเด็กๆแบบนั้นก็ตลกดี”

     

                    “จื่อเทาว่าไงบ้างล่ะ?”

     

                    “ก็ว่าซิ่วหมินน่ะดังไม่ใช่เล่นๆ ดังแบบ... ดังจนเป็นความหมายที่แท้จริงของคำว่าดัง จื่อเทาว่าซิ่วหมินน่ะแฟนคลับเยอะมากกกกกกก ทั้งในจีน เกาหลี ญี่ปุ่นเลย แฟนคลับเยอะอย่างเดียวไม่พอ ไอ้เยอะๆนั่นรักสุดชีวิตอีกต่างหาก พวกนักข่าวสายบันเทิงเขาเรียกว่าลัทธิซิ่วหมินเลยเถอะ”

     

                    “พวกนักข่าวก็เกินจริงไปเรื่อยแบบนั้นแหละ”

     

                    “การที่เป็นลัทธิได้เนี่ย แสดงว่าแฟนคลับของซิ่วหมินต้องหลงมาก รักมาก คลั่งมาก ฉะนั้น หมอนี่พูดอะไรออกมานี่แฟนคลับจะถือเป็นจริงเป็นจังหมด ถ้าเรา.. หมายถึงรัฐบาล ปล่อยให้ซิ่วหมินถูกดูแลแบบทิ้งๆขว้างๆละเกิดหลุดปากบ่นไปนะ ภาพลักษณ์ของรัฐบาลเรานี่..”

     

                    “อี้ฝาน อย่าเกินจริงตามนักข่าว แล้วก็อย่าเกินจริงตามจื่อเทาจะได้ไหม?”

     

                    “จะว่าฉันเว่อร์ก็ได้ แต่นี่ฉันกำลังมองแบบที่ผู้ใหญ่ที่เขาสั่งนายมามองอยู่ กันไว้ดีกว่าแก้ไม่ใช่รึไง? พลตรีลู่ผู้ละเอียดรอบคอบไม่คิดแบบผมบ้างหรอครับ?”

     

                    “....”

     

                    “สรุปก็คือการที่นายต้องไปดูแลเขาตอนทำงานแล้วก็ตอนอื่นๆด้วยก็เพราะเขาต้องการให้นาย.. ที่เป็นคนละเอียด ไปดูแลเนื้อหาของงานอย่างใกล้ชิดและป้องกันไม่ให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหายเพียงเพราะคำพูดของเด็กอายุยี่สิบสามคนเดียวไงล่ะ”

     

                    “ฉันควรจะดีใจที่ผู้ใหญ่ไว้วางใจให้ฉันทิ้งงานประจำมาทำงานแบบนี้สินะ” ลู่หานพึมพำ

     

                    “ใช่ ก็นายน่ะนะ นอกจากจะละเอียด รอบคอบแล้วก็ยังพูดภาษาเกาหลีคล่องอีกต่างหาก แถมถ้าแต่งตัวให้เข้าเทรนด์นายก็จะเหมือนคนเกาหลีด้วย น่าจะสร้างความสบายใจให้ซิ่วหมินไม่มากก็น้อย เฮ้ ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”

     

                    “ฉันไม่ต้องการเหมือนคนเกาหลี”

     

                    “โอเค๊.. เอ้ย.. ก็ได้” อี้ฝานวางส้อมกับมีดลงอีกครั้งแล้วยกมือเป็นเชิงยอมแพ้ “..เอาเป็นว่าตามที่ผู้ใหญ่มอง นายน่าจะเป็นคนที่ทำให้เขาสบายใจได้ที่สุด แต่ถ้าตามที่ฉันมอง ฉันว่าเขาได้อึดอัดตายแน่ถ้าให้นายดูแล”

     

                    “....”

     

                    “ทำไมวะ ลู่หาน แค่เพราะซิ่วหมินไม่ใช่คนจีนเนี่ยนะ?”

     

                    “ไม่ใช่คนจีนแท้ แถมเป็นลูกครึ่งเกาหลี แล้วไปโตที่ญี่ปุ่นเนี่ยนะ ไม่เห็นจะเหมาะกับโครงการเกี่ยวกับประเทศของเราเลยซักนิด”

     

                    “อาจจะเป็นอย่างที่นายว่าก็ได้ แต่ฉันว่าอุปสรรคที่นายต้องเจอในการทำงานนี้มันไม่ใช่ไอ้ความไม่เหมาะสมอะไรที่นายคิดหรอก ทัศนคติของนายต่างหาก”

     

                    “....”

     

                    “โลกมันเปลี่ยนไปแล้วนะ นายจะยึดติดกับอะไรเดิมๆไปถึงไหน? ฉันรู้ว่านายยึดได้แต่ก็เพลาๆลงหน่อยเถอะ โตได้แล้ว”

     

                    “ฉันโตมากพอแล้ว” ลู่หานว่าก่อนจะก้มหน้าใส่อาหารเพื่อเป็นการจบบทสนทนาแต่ก็ไม่วายทิ้งท้าย “แล้วไม่ต้องห่วงเรื่องการทำงานของฉันหรอก ฉันจะพยายามเก็บทัศนคติส่วนตัวชองฉันกับพวกมั่วชาติแบบนั้นไว้ลึกๆ แล้วก็ยิ้มใส่ดาราคนนั้น.. ซิ่วหมิน.. ให้ดีตั้งแต่งานแรกที่ต้องไปรับที่สนามบินเลย ฉันรู้แหละว่าการสร้างความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันน่ะ มันสำคัญ”

     

     

                “คุณเซฮุน!

     

                    เมื่อเห็นร่างผอมสูงของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในระยะสายตา มินซอกก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้นุ่มในห้องรับรองวีไอพีของสนามบินเกาหลีทันที เจ้าของชื่อรีบเดินเข้ามาพร้อมยิ้มตาหยี “ไม่เจอกันตั้งนานเลยนะ มินซอกอ่า”

     

                    “ถึงว่าทำไมจงแดปิดไม่ให้ผมรู้ว่าใครเป็นเจ้าหน้าที่ของทางเกาหลีที่จะตามไปดูแลผม กะให้ผมเซอร์ไพร์สนี่เอง”

     

                    “แล้วเซอร์ไพร์สไหมล่ะ?”

     

                    “มากกกกกกกกกก” มินซอกลากเสียงยาวแล้วยิ้มกว้างอย่างดีใจ “ทีนี้ผมก็น่าจะทำงานได้อย่างสบายใจขึ้นเย้ออออ”

     

                    “จุ๊ๆ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจอะไรแบบนั้นสิ แค่เจ้าหน้าที่ทางเราถูกใจนายไม่ได้หมายความเจ้าหน้าที่ทางฝั่งนั้นจะเป็นเหมือนกันหรอกนะ ดีไม่ดีอาจจะเป็นมนุษย์ลุงน่าโมโหก็ได้ ใครจะไปรู้”

     

                    “ไม่หรอก ถ้าเป็นมนุษย์ลุงก็น่าจะเป็นมนุษย์ลุงใจดีแน่ๆ เพราะเขาแซ่ลู่ ลู่แปลว่ากวาง เป็นกวางก็น่าจะใจดีสิ”

     

                    “อย่าไปขัดมโนมินซอกเขาเลย คุณเซฮุน” จงแดที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ (ที่แน่นอนว่าพาดหัวข่าวบันเทิงก็เป็นเรื่องของมินซอกกับการเดินทางไปทำงานที่จีนครั้งนี้ พร้อมกับความคิดเห็นของแฟนคลับที่มีแต่คำว่าคิดถึงกับโชคดีนะเต็มไปหมด) “เขาคิดภาพคนจากนามสกุลตั้งแต่วันแรกที่ผมบอกชื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายนั้นให้รู้แล้ว”

     

                    “งั้นหรอ โอเค๊ ไม่ขัดก็ได้ แต่ฉันก็ว่าน่าจะเป็นคนใจดีแหละ ใครจะเอาคนใจร้ายมาดูแลผู้ทรงอิทธิพลอย่างคิมมินซอกล่ะ? ใช่ไหม?” เซฮุนว่าแล้วก้มลงมองมินซอกอย่างเอ็นดู ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมายิ้มแป้นให้อีกครั้ง

     

                    “ถึงคุณเซฮุนจะเว่อร์ไปหน่อย แต่ผมว่าก็ใช่นั่นแหละนะ”

     

                    “คิดในแง่บวกไว้ก็ไม่เสียหายอะไรนี่เนอะ ไปขึ้นเครื่องกันเถอะ ไปหาคุณลู่ผู้น่าจะใจดีตามที่มินซอกคาดไว้กัน”

     

     

                    “จื่อเทา”

     

                    “ครับ?”

     

                    “ฉันรู้ว่านายตื่นเต้น ฉันรู้ว่า.. พ่อขวัญใจนายและวัยรุ่นครึ่งเอเชียตะวันออก..” อันนี้พูดตามที่นักข่าวเขียนนะ โดยส่วนตัวแล้วลู่หานว่ามันโคตรเกินจริง “..กำลังจะมา แล้วนายก็จะได้เจอเขาใกล้ๆ เผลอๆจะได้พูดด้วยเพราะฉันขี้เกียจคุยกับเขา แต่ขอเถอะ นายอยู่ในเครื่องแบบ แล้วมาในนามของรัฐบาล ช่วยสำรวมหน่อยได้ไหม?”

     

                    “ขอโทษครับ” จื่อเทาพูดเสียงอ่อยแล้วก้มหน้า เขาโดนเจ้านายดุบ่อยจนชิน แต่ดุและทำหน้าจริงจังขนาดนี้เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก ทำไงได้ คนมันตื่นเต้นนี่..

     

                    ..และเขาก็ว่าเจ้านายเขาอารมณ์เสียกับเขาแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นแหละ อีกเจ็ดสิบน่ะเพราะคนที่กำลังมาชัดๆ สงสัยต้องเก็บเอาคำพูดคุณคริสมาคิดให้หนักๆซะแล้ว

     

                    “ฝากดูลู่หานมันด้วยนะ จื่อเทา อย่าให้มันเอาความชาตินิยมของมันไปสาดใส่หน้าขวัญใจนายจนไม่ประทับใจประเทศเราตั้งแต่แรกพบล่ะ”

     

                    งานยากแล้วล่ะครับ คุณคริส

     

                    “ไฟล์ทที่ดาราคนนั้น.. ซิ่วหมิน นั่งมานี่น่าจะถึงสนามบินแล้วใช่ไหม?”

     

                    จื่อเทายกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “ครับ น่าจะถึงแล้ว อีกไม่นานน่าจะมาที่ห้องนี้แล้วล่ะครับ”

     

                    “งั้นฉันก็ต้องเตรียมตัวสินะ” ลู่หานว่าก่อนจะหันไปที่ผนังกระจกใกล้ๆแล้วจัดเครื่องแบบให้เรียบร้อยก่อนจะยืนขึ้น อันที่จริงก็คิดแหละว่าการที่เขาต้องยืนต้อนรับคนที่ทำอาชีพเต้นกินรำกินแถมมั่วชาติแบบนั้นมันออกจะเกินไปหน่อย แต่ให้ทำไงได้ ผู้ใหญ่ก็ย้ำหนักย้ำหนาว่าต้องทำให้หมอนั่นรู้สึกดีตั้งแต่ตอนมาไว้

     

                    นี่ก็ชักจะสงสัยแล้วเหมือนกันว่าดาราหรือลูกชายประธานาธิบดี!

     

                    “มากันแล้วล่ะครับ คนที่จะมาห้องนี้มีสามคน น่าจะเป็นผู้จัดการ เจ้าหน้าที่ของทางฝั่งนั้น แล้วก็ตัวมินซอกเอง” จื่อเทาที่เอามือจับหูฟังอยู่พูดขึ้นมา ลู่หานเหลียวมองเงาตัวเองในกระจกเพื่อเช็คความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะยืนนิ่งๆ ไม่ได้ทำท่าโกยอากาศเข้าปอดเพราะกลัวตื่นเต้นจนตายแบบจื่อเทาแต่อย่างใด

     

                    ก็บอกแล้ว เขาไม่ใช่พวกบ้าดารา และไม่มีทางเป็นด้วย ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องตื่นเต้น..

     

                    ..แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่อยากจะเห็นหน้าจริงๆของคนที่เป็นขวัญใจของใครหลายๆคนและทำให้เขาต้องวุ่นวายแบบไม่ใช่ในรูปถ่ายและปราศจากผ้าปิดปากหรอกนะ อยากจะรู้ว่านอกจากตากลมๆเหมือนตุ๊กตานั่นแล้ว มีอะไรอย่างอื่นอีกไหมที่ทำให้เป็นเจ้าของฉายาดาราข้ามฟ้าได้

     

                    ก๊อกๆ

     

                    “เชิญเข้ามาเลยครับ” เขาได้ยินเสียงตัวเองตอบกลับไปอย่างนั้น คำพูดที่หลุดออกจากปากนั่นน่าจะเป็นไปตามความเคยชินมากกว่าตั้งใจ เพราะตอนนี้ความตั้งใจทั้งหมดของเขาทุ่มไปทางสายตาที่กำลังจ้องไปยังประตูที่ค่อยๆเปิดออกต่างหาก

     

                    รองเท้าผ้าใบที่สดใสก้าวเข้ามาในห้อง แล้วลู่หานก็เลื่อนสายตาตัวเองไปยังใบหน้าที่ไร้ผ้าคาดปากปิดนั่น

     

     

    tbc.

     

    สวัสดีทุกคนครั้งที่สองค่า กลับมาต่อแล้ว <3

     

    หวังว่าตอนนี้จะสนุก และได้รู้เรื่องราวของทั้งสองฝ่ายมากขึ้นนะคะ จะพยายามให้ตอนหน้าสนุกมากขึ้นนะคะ! >.<

     

    แล้วก็ขอบคุณมากๆสำหรับคอมเม้นท์ ติดแท็ก (#butterflylumin) ในทวิตค่ะ เป็นกำลังใจได้อย่างดี มีกำลังใจเข็นตอนต่อๆไป ฮึ้บบบบบ

     

     

    เจอกันตอนหน้าค่า ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการติดตาม ฮี่

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×