ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ EXO ] Butterfly Effect

    ลำดับตอนที่ #4 : Act III

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 161
      3
      30 พ.ค. 58

    B u t t e r f l y

    E f f e c t




    A c t III


                   ออกทางเดียวกับคราวที่แล้วเลย”

     

                    “แหงอยู่แล้ว ใครมันจะประสาทให้นายออกทางปกติแล้วโดนแฟนคลับทึ้งเล่นกัน แต่คราวนี้จะต่างกับคราวที่แล้วตรงที่นายไม่ได้ออกไปปุ๊ปแล้วขึ้นรถปั๊ปนะ นายต้องไปพบเจ้าหน้าที่ทางจีนก่อน แล้วเขาจะพาพวกเราไปที่พักและจัดการอะไรให้เสร็จสรรพเลย นี่ไม่ได้นั่งเทียนเอานะ แต่เขาบอกมาว่างี้ในเอกสาร”

     

                    “ขนาดนั้นเลยหรอ? เห็นม้ายยยย จงแด คุณเซฮุน บอกแล้วๆว่าคุณลู่หานอะไรนั่นต้องเป็นคนใจดี ทีนี้รู้รึยังว่าไม่ได้มโนไปเอง”

     

                    “จ้าๆ ไม่ได้มโน” เซฮุนพูดกลั้วหัวเราะ ยกมือขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้คนตัวเล็กกว่า “แต่อย่าเพิ่งไปแจกยิ้มหวานแบบนี้ใส่คุณกวางอะไรนั่นตั้งแต่ตอนเข้าไปนะ ทำตัวเรียบร้อยหน่อย..”

     

                    “..เพราะไม่งั้นเดี๋ยวเขาคิดเอาได้ว่าเราอยากได้งานนี้จนเนื้อตัวสั่นเพราะค่าตัวสูง” จงแดปิดประโยคให้ด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “ถ้าเป็นงานเชิงพาณิชย์ล้วนๆในนามบริษัทก็จะปล่อยให้ทำตามใจชอบหรอกนะ แต่นี่มันมาในนามประเทศด้วย ก็..”

     

                    “นี่ไม่เชื่อฝีมือคิม.. เอาใหม่ นี่ไม่เชื่อฝีมือซิ่วหมินคนนี้หรือไงกันเล่า? นี่เจ้าของรางวัลดาราหน้าใหม่ ดารายอดนิยม ดารานู่นนี่นั่นโน่นเชียวนะ ถึงจะดี๊ด๊าเพราะงานนี้เงินดีขนาดไหนก็เถอะ แต่ก็พอจะรู้นะว่าต่อหน้าผู้ใหญ่ควรจะวางตัวยังไง ว่าแต่ คุณกวางนี่ควรจะเป็นผู้ใหญ่ใช่ไหม? เหลือบเห็นตำแหน่งในเอกสารว่าเป็นพลตรี”

     

                    “แหงสิ ฉันว่าเกินสี่สิบอ่ะ ไม่งั้นคงเป็นพลตรีไม่ได้หรอก”

     

                    “เลิกเถียงเรื่องอายุเถอะ เข้าไปเดี๋ยวก็รู้เอง” เซฮุนพูดขึ้นเรียบๆเมื่อพวกเขาทั้งสามเดินมาหยุดตรงหน้าประตูไม้สีเข้มที่มีป้ายสีทองพิมพ์ด้วยตัวหนังสือสีดำเขียนว่า “ห้องรับรองชั้นพิเศษ” อยู่ ชายที่ยืนอยู่หน้าห้องมองพวกเขาอยู่ไม่นานก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยภาษาจีนสำเนียงเมืองหลวงว่า

     

                    “คุณซิ่วหมินกับผู้ติดตามใช่ไหมครับ?” มินซอกเกือบจะพยักหน้าใส่อยู่แล้วแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นกิริยาที่ไม่เรียบร้อยเท่าไหร่เขาเลยเลือกที่จะตอบไปเป็นภาษาจีน (ที่ไม่มีสำเนียงจีนเลยซักนิด.. เอาน่า อย่างน้อยเขาก็ฟังได้พูดเป็นนะ) ว่า “ครับ”

     

                    “เชิญเลยครับ พลตรีลู่กับพันโทหวงรอพบพวกคุณอยู่ในห้องแล้ว” พูดจบเขาก็เปิดประตูให้ทันที มินซอกจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่อีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องด้วยความมั่นใจ

     

                    ตั้งแต่เขาเหยียบเขามาในวงการมายา เขาก็เจอคนมาหลากหลายรูปแบบ ทั้งที่มีชื่อเสียง ทั้งที่มีอำนาจ แม้แต่ที่มีทั้งอำนาจและชื่อเสียงก็เคยเจอ ดังนั้น ตามที่เขาคาดการณ์ ผู้ชายในห้องที่เขากำลังจะไปเจอน่าจะเป็นคนที่มีแค่อำนาจ และน่าจะใจดีด้วย

     

                    แค่นี้เขารับมือได้สบายมาก แล้วจะไม่ให้เดินเข้าไปด้วยความมั่นใจได้ยังไงกันล่ะ

     

     

                    ลู่หานเข้าใจขึ้นมารำไรแล้วว่าทำไมคิม มินซอกคนนี้ถึงเป็นขวัญใจของใครหลายๆคน (รวมทั้งไอ้เด็กที่ยืนกำคลิปบอร์ดในมือแน่นจนพลาสติกดังกร๊อบแกร๊บอยู่ข้างหลังเขาด้วย) ถ้ามองแค่ภายนอกแบบที่คนส่วนใหญ่มองดาราแล้วละก็ เด็กคนนี้มีทุกอย่างที่จะใช้หยุดสายตาคนให้มองมาที่ตัวเองครบถ้วน

     

                    ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่ลู่หานก็ต้องบอกว่าเขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

     

                    เขาเผลอจ้องหน้าเด็กคนนั้นไปเต็มๆอยู่ตั้งครึ่งนาทีเลยล่ะมั้ง?

     

                    คิ้วเข้มๆบนผิวที่ขาวจัดแสดงถึงเชื้อเกาหลีในตัวชัดเจน จมูกที่รับกับโครงหน้า ปากได้รูปสีแดงจิ้มลิ้ม (อย่างที่อี้ฝานบอก) .. และที่สำคัญที่สุดคือดวงตาสีดำสนิทเหมือนตุ๊กตาสวยๆซักตัวนั่น..

     

                    ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าของมั่วชาติจะออกมาดูดีขนาดนี้ได้ด้วย

     

                    “ท่านครับ..” เสียงจื่อเทาที่ถ้าไม่คุ้นเคยกันคงจับไม่ได้ว่ามันสั่นน้อยๆดังขึ้นข้างหลังเขา ลู่หานกระพริบตาแรงๆหนึ่งทีเมื่อได้ยินเสียง นึกโมโหตัวเองนิดหน่อยที่จ้องหน้า.. หน้าสวยๆ? ของเด็กคนนี้นานไปหน่อยจนลูกน้องต้องเรียก เขาชิงค้อมหัวน้อยๆให้กับร่างเล็กกว่าตรงหน้าและความโมโหในใจเมื่อครู่ก็เปลี่ยนไปเป็นความพอใจทันทีเมื่อเห็นมือขาวๆของเด็กคนนั้นที่ยื่นออกมาชะงักกึกก่อนที่เจ้าตัวจะรีบดึงมันกลับไปประสานกันตรงหน้าหลวมๆเหมือนตอนเดินเข้ามา

     

     

                    “ยินดีต้อนรับเข้าสู่ประเทศจีน.. อันที่จริงผมไม่ควรพูดประโยคนี้ซักเท่าไหร่เพราะคุณคงมาบ่อยจนไม่ต้องการคำว่ายินดีต้อนรับแล้ว..”

     

                    มินซอกอยากจะขมวดคิ้วเหลือเกินเมื่อหางเสียงภาษาจีนสำเนียงปักกิ่งแท้ค่อยๆละลายหายไปกับอากาศ แต่ก็นั่นแหละ.. การขมวดคิ้วใส่หน้าผู้ใหญ่ไม่ใช่มารยาทที่ควรกระทำ แต่ผู้ใหญ่ที่พูดติดตลกที่ไม่ตลกซักนิดแบบนี้มันก็..

     

                    จะมากี่ครั้งกี่หนเขาก็อยากได้ยินคำว่ายินดีต้อนรับอยู่ดี! ถึงเขาจะเป็นลูกครึ่งจีนแต่เขาไม่ได้เกิดและโตที่นี่ซักหน่อย จะได้รู้สึกว่ามันเป็นบ้านจนไม่ต้องการคำว่ายินดีต้อนรับน่ะ!

     

                    “..ผม พลตรีลู่หาน เจ้าหน้าที่พิเศษจากกระทรวงกลาโหม มีความยินดีเป็นอย่างมากที่ได้รับหน้าที่ดูแลคุณครับ” พูดจบก็ค้อมหัวให้มินซอกอีกทีหนึ่ง มินซอกรีบค้อมกลับ (ดีนะที่ไม่ยื่นมือออกไปให้จับอีกหน) ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและแนะนำตัวเองบ้าง

     

                    “เป็นเกียรติของผมเหมือนกันฮะที่ได้รับการดูแลจากคุณ ผมซิ่วหมิน..”

     

                    “คิม มินซอก?” เออ.. นอกจากจะคือซิ่วหมินแล้ว เขาก็คือคิม มินซอกด้วยน่ะแหละ สงสัยถามเพื่อความมั่นใจมั้ง?

     

                    “ครับ นั่นก็ด้วย แต่คุณลู่หานเรียกผมว่าซิ่วหมินก็ได้ ไหนๆผมก็จะมาทำงานที่นี่แล้วนี่เนอะ มีชื่อจีนไว้ก็สะดวกดีนี่ครับ” พูดจบมินซอกก็ยิ้มน้อยๆให้อีกฝ่ายไป.. ซึ่งผลที่ได้กลับมาก็ทำเอาเข้าอึ้งไม่น้อย ผลที่ได้คือพลตรีลู่หานยังทำหน้าเหมือนเดิมเป๊ะ

     

                    นี่มันบ้าชัดๆ มีคนเห็นยิ้มของซิ่วหมินคนนี้ตรงๆแล้วไม่ยิ้มตอบอยู่บนโลกนี้ด้วย!

     

                    “ครับ ถ้ามีไว้แค่ให้สะดวกผมก็ว่าไม่น่าจะเสียหายอะไร” ลู่หานตอบกลับไปเสียงเรียบๆ ความละเอียดลอออันขึ้นชื่อของเขาทำให้เขาจับกิริยาของเด็กคนนี้ได้บางส่วน

     

                ตลกดีเหมือนกัน คิดว่าทุกคนต้องยิ้มตอบนายด้วยหรือไง?

     

                    หน้าตาเหมือนเด็กไม่พอ ความคิดยังง่ายๆเหมือนเด็กอีกต่างหาก นี่เป็นผู้ใหญ่อายุยี่สิบสามหรือเด็กอายุสิบสามกันแน่? และถ้าเป็นข้อหลังเขาก็ไม่อยากอยู่ด้วยเท่าไหร่หรอกนะ รีบตัดบทให้จบๆไปน่าจะดีที่สุด “คุณคงจะเหนื่อย..”

     

                    “ไม่ขนาดนั้นหรอกฮะ เกาหลีกับที่นี่เวลาต่างกันแค่สองชั่วโมงเอง”

     

                    “แต่คุณก็เดินทางมาอยู่ดี” ลู่หานชะงักไปครู่หนึ่งเพราะเสียงสดใส (คิดคำอื่นไม่ออก ขอใช้คำนี้แล้วกัน) เมื่อครู่เปลี่ยนไปเป็นเสียงนิ่งๆกะทันหัน จะกล่าวหาว่าไร้มารยาทก็ไม่ได้ซะด้วย เพราะมันเป็นแค่เสียงนิ่งๆ ไม่ใช่เสียงห้วนๆ “ดังนั้น ทางเราจะพาคุณไปพักผ่อนที่โรงแรมก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเริ่มงานกัน หวังว่าคงไม่ขัดข้องใช่ไหมครับ?”

     

                    “ครับ ไม่ขัดข้องอะไรอยู่แล้ว เพราะผมก็ไม่ได้มาที่นี่ครั้งแรก พอจะรู้อยู่เหมือนกันแหละครับว่าต้องทำยังไง” พูดจบก็แจกยิ้มให้ลู่หานอีกหนหนึ่ง เป็นยิ้มที่เหมือนเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน แต่ลู่หานก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเขารู้สึกไม่สบายใจพิกลเมื่อเห็น

     

                    ทั้งๆที่เมื่อกี้เขาก็คิดว่ามันก็ดูได้แท้ๆนะ..

     

                    “งั้นตามผมมาเลยครับ รถของเราจอดรออยู่ด้านนอกแล้ว สัมภาระของพวกคุณจะตามไปทีหลัง รับรองว่าถึงมือคุณปลอดภัยครบทุกชิ้นแน่”

     

                    “ไม่ต้องกังวลเรื่องสัมภาระของพวกเรามากขนาดนั้นหรอกครับ มันก็แค่กระเป๋าเดินทางของคนธรรมดา ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอก” รอยยิ้มน้อยๆถูกจุดขึ้นที่มุมปากสีสดอีกครั้ง และแน่นอนว่าลู่หานเองก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอีกครั้งเช่นกัน

     

     

                    มินซอกนั่งอยู่ที่เบาะหลัง ตรงกลางระหว่างจงแดกับคุณเซฮุน ด้านหน้าคือนายพลลู่หานคนนั้น ส่วนคนขับรถก็คือผู้ชายตัวสูงในเครื่องแบบทหารอีกคนที่อยู่ในห้อง มินซอกรู้แค่ว่าเขาชื่อพันโทหวงจากการแนะนำตัวด้วยเสียงสั่นๆนิดหน่อย ถ้าจะให้มินซอกเดาแล้ว เขาก็คิดว่าพันโทหวงนี่ต้องเป็นแฟนบอยเขาแน่ๆ (ไม่ตกใจหรอกนะว่าทำไมถึงมีผู้ชายชอบเขาน่ะ เรื่องปกติพอๆกับพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเลย) ดังนั้น เขาก็เลยคิดว่าเขาสมควรตีสนิทพันโทที่หน้าเหมือนตุ๊กตาหมีแพนด้าคนนี้ไว้เยอะๆ จะได้มีคนจีนซักคนไว้คุยด้วย

     

                    ตอนแรกก็กะจะตีสนิทพลตรีลู่อยู่หรอกนะ เพราะสนิทกับคนที่ยศสูงกว่าก็น่าจะมีผลประโยชน์มากกว่า แต่จากบทสนทนาสั้นๆในห้องวีไอพีที่สนามบินเมื่อครู่ทำให้มินซอกเปลี่ยนใจได้ไม่ยากนัก

     

                    เขาจะไม่เชื่อสกิลการมโนของตัวเองไปอีกนานเลย ลู่แปลว่ากวางก็เลยน่าจะเป็นคนใจดีบ้าอะไรกัน คนใจดีที่ไหนทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวยิ่งกว่าใส่เสื้อขนเฟอร์คันยุ่บยั่บแบบนี้

     

                    แว่บแรกที่เขาเห็นหน้าตาของพลตรีลู่เนี่ย เขาแอบยิ้มในใจเลยซะด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะอายุผิดคาดหรือหน้าตาดีๆที่ไม่สมควรมาถูกเก็บอยู่ในคณะรัฐบาลจีนหรอก แต่เพราะตาสวยๆคู่นั้นต่างหาก ตาที่มินซอกสบด้วยแวบแรกแล้วรู้สึกดี แต่พอสบครั้งที่สองเท่านั้นแหละ มินซอกก็รู้เลยว่าคำว่าเข้าใจผิดจริงๆมันเป็นอย่างไง แพขนตาที่หนายาวเหมือนผู้หญิงนั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันเหมือนม่านที่ปิดความคิดของผู้ชายคนนี้ไม่ให้แสดงออกมาทางดวงตามากจนเกินไปต่างหาก และความคิดที่ว่านั่นก็น่าจะเป็น ผู้ชายคนนี้ไม่ชอบเขาเอามากๆเลย

     

                    เขามั่นใจว่าผู้ชายคนนี้เห็นมือเขาที่ส่งออกไป แต่ก็เลือกที่จะไม่จับ แล้วก็ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาอะไรซักอย่างกับชื่อจีนของเขา ยิ้มให้ก็ไม่ยิ้มกลับ..

     

                    ถึงขนาดนี้แล้วมินซอกก็ไม่สมควรเป็นมินซอกเด็กดีแล้วมั้ง?

     

                    ช่างหัวพลตรีลู่ ไม่อยากสนิทกับเขาก็ไม่เป็นไร เขาสนิทกับพันโทหวงก็ได้ ดูน่ารักและใจดีกว่าตั้งเยอะ ขัดกับหน้าตาลิบลับเลย (พอๆกับหน้าและนิสัยของพลตรีลู่นั่นแหละ) “ผมเองก็มาทำงานที่นี่หลายครั้งแล้วนะครับ พันโทหวง..”

     

                    “อ่า.. เรียกผมว่าจื่อเทา.. หรือเทาเฉยๆก็ได้ครับ พวกเราคงต้องเจอกันอีกหลายครั้ง เรียกผมแบบนั้นมันน่าจะขัดๆปากไปซักหน่อย..” แล้วเขาต้องเรียกผู้ชายหน้ากวางแต่นิสัยอย่างกะเสือ (หรือเปล่า?) คนนั้นว่าพลตรีลู่ไปอีกนานแค่ไหนละนั่น.. จนจบโปรเจคต์นี้เลยรึเปล่า?

     

                    “งั้นก็ได้ครับ.. ผมเองก็มาทำงานที่นี่หลายหนแล้ว..”

     

                    “ครับ ผมซื้อทุกเล่มที่คุณมาถ่ายที่นี่ เอ่อ..”

     

                    มินซอกอมยิ้ม โดยก่อนที่เขาจะยิ้มนั่นเขาก็ทำให้ตัวเองมั่นใจก่อนว่าหน้าของเขานั้นอยู่ในรัศมีที่กระจกมองหลังตรงกลางรถจะส่องเห็นพอดี พันโทหวง.. เอ่อ ไม่ใช่.. คุณจื่อเทาจะได้เห็นเขาอมยิ้มด้วย “หรอครับ? ขอบคุณมากนะครับ สงสัยว่าบางเล่มผมต้องขอซื้อต่อจากคุณแน่ๆเลย..”

     

                    “ซื้อต่อ..” ไวเท่าความคิด เท้าในรองเท้าผ้าใบคู่สวยของมินซอกเหยียบลงไปบนเท้าของเมเนเจอร์ตัวเองเต็มแรง จงแดอ้าปากค้างพูดไม่จบ ร้องโอ้ยแบบไม่มีเสียงเพราะมินซอกเหล่ตาไปมองแบบที่รู้กันระหว่างเขากับจงแด คนโดนเหยียบเท้าเลยยกขาเขาออกและปล่อยให้เขากับคุณจื่อเทาคุยกันแค่สองคนต่อ

     

                    “คุณไม่ได้เก็บงานของตัวเองไว้หรอครับ?”

     

                    “เก็บเฉพาะเล่มที่เก็บทันครับ” ถ้าให้เขาไปเก็บเองก็คงไม่ทันซักเล่ม งานรัดตัวขนาดนี้ แต่ถ้าให้จงแดไปเก็บน่ะ.. ทัน.. แล้วเขาก็ให้จงแดไปเก็บตลอดเลยด้วย

     

                    ตอนแรกมินซอกก็คิดว่าดีนะที่กระจกมองหลังของรถมันติดอยู่ในมุมที่สะท้อนเห็นหน้าเขาและคนที่นั่งเบาะหน้าทั้งสองคนละครึ่งหน้า แต่ตอนนี้มินซอกว่ามันไม่ดีแล้วล่ะ.. เพราะเขาเห็นรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากของลู่หานน่ะสิ

     

                    ถ้าจะยิ้มแบบนี้ก็ไม่ต้องยิ้มเหมือนเดิมก็ได้นะ!

     

                    “คงยุ่งน่าดูสินะครับ ถึงขนาดไม่มีเวลาเก็บงานตัวเองเนี่ย ยังไงก็.. พักผ่อนมากๆนะครับ”

     

                    “ผมก็อยากพักครับ ยังไงพวกคุณก็ช่วยเห็นใจเด็กตาดำๆด้วยนะครับ อย่าใช้งานผมจนไม่มีเวลาไปเก็บงานตัวเองเลย”

     

                    “ได้ยังไงกันล่ะครับ” เสียงนุ่มๆน่าฟังของพลตรีลู่ดังขึ้นขัด มินซอกเห็นตาของตัวเองจากภาพสะท้อนที่เมื่อกี้กำลังโค้งด้วยอารมณ์ดีเปลี่ยนเป็นรูปตาปกติกะทันหัน

     

                    ต้องตั้งการ์ดให้ตัวเองสูงขนาดไหนนะเวลาผู้ชายคนนี้พูดเนี่ย..

     

                    “เราจ้างคุณมานี่ไม่ใช่ถูกๆนะครับ ตอนผมเห็นตัวเลขผมนี่นิ่งไปเลย คุณหารายได้จากการเซ็นสัญญาแค่ครั้งเดียวได้มากกว่าผมทำงานครึ่งปีอีก” เซ็นสัญญาครั้งเดียวก็จริง แต่งานที่ตามมามันยาวยิ่งกว่าแม่น้ำฮันอีกไหมครับคุณ? คุณอาจจะทำงานหนักแต่อย่างน้อยคุณก็รู้ว่าตัวเองจะได้นอนตอนไหน ไม่เหมือนผมละกัน!

     

                    “เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากได้งานไหนก็บอกผมละกันครับ ผมจะไปซื้อมารอเลย แลกกับลายเซ็นของคุณบนงานที่ผมซื้อก็พอ” เมื่อเห็นท่าไม่ดีจื่อเทาเลยรีบพูดแทรกขึ้นมา

     

                    โดนนายด่าทีหลังก็ไม่เป็นไรวะ ทำตามที่คุณคริสบอกก่อนละกัน (..นี่ทำตามคำสั่งคุณคริสจริงๆนะ ไม่ได้ติ่งส่วนตัวแต่อย่างใด เชื่อสิ)

     

                    “ถ้าคุณจื่อเทารับปากอย่างนั้นผมก็สบายใจครับ โชคดีจังที่มาทำงานใหญ่ครั้งนี้แล้วมีคนดีๆอย่างคุณ.. แล้วก็คุณลู่หาน.. ดูแล” มินซอกหยุดไปเพื่อยิ้มอีกที คราวนี้เล็งให้ยิ้มคัวเองอยู่ในกระจกหนักกว่าคราวที่แล้วอีก “ผมแค่อยากจะบอกว่าผมมาบ่อยก็จริง แต่มาทุกทีก็งานยุ่งมากๆ ผมไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนเลยฮะ ขนาด..”

     

                    ทุกคนมองตามนิ้วเล็กๆที่ชี้ออกไปยังวิวนอกหน้าต่างรถอัตโนมัติ “..จตุรัสเทียนอันเหมินผมยังไม่เคยเหยียบเลย ไม่ต้องพูดถึงพวกกำแพงเมืองจีนหรือพระราชวังต้องห้ามเลยครับ”

     

                    “ไม่ยักรู้นะครับว่าดาราดังแบบคุณจะสนใจประวัติศาสตร์ด้วย”  ต้องยกการ์ดขึ้นอีกแล้วสินะ ว้อย!

     

                    “ทำไมจะไม่สนใจล่ะครับ นอกจากจะเป็นดาราผมก็เป็นนักเรียนด้วย แถมมีเชื้อจีนอยู่ตั้งครึ่งหนึ่งแน่ะ” มินซอกพูดแล้วยิ้มกว้าง

     

                    “งั้นหรอครับ ผมนึกว่าคุณจะอยู่ที่เกาหลีมากกว่าจนไม่เหลือพื้นที่ไว้สนใจประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ซะอีก”

     

                    “ถ้าพูดถึงประเทศที่ผมอยู่เยอะน่าจะเป็นญี่ปุ่นมากกว่านะครับ ผมเพิ่งมาอยู่ที่เกาหลีก็หลังจบมอต้นจากญี่ปุ่น..”

     

                    “แบบนั้นยิ่งน่าตกใจใหญ่เลยที่คุณสนใจประวัติศาสตร์จีนเนี่ย..”

     

                    “เอาเป็นว่าถ้าคุณซิ่วหมินมีเวลาว่าง ผมหมายถึงถ้ามี..” จื่อเทารีบพูดแทรก โดนนายด่าอีกหนเพราะพูดแทรกก็ยอมวะ! “..ก็มาบอกผมได้นะครับ ถ้าผมบังเอิญมีเวลาว่างตรงกับคุณ ผมจะได้พาคุณเที่ยว”

     

                    “นายแน่ใจหรอว่านายทำได้ หื้ม? พันโทหวง” อะไรอีกล่ะเนี่ย!

     

                    “ทะ.. ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ?”

     

                    “ก็ได้แหละ แต่คงไม่ครบถ้วน เพราะนายไม่ใช่คนปักกิ่งแท้ๆ” ลู่หานว่าก่อนจะเหลือบตาของตัวเองไปสบตาตุ๊กตาในกระจกแว่บหนึ่ง “เรื่องเที่ยวชมสถานที่ในปักกิ่งปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันดีกว่า”

     

                    “นี่คุณลู่หาน..” ไม่ให้เรียกก็จะเรียกอ่ะ เรียกพลตรีลู่นี่มันยาวไปไหม “..เป็นคนปักกิ่งหรอครับเนี่ย ถึงว่า.. ดูเป็นคนเมืองหลวงจัง”

     

                    ลู่หานต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ขมวดคิ้ว เป็นคนเมืองหลวงแล้วมันเป็นอย่างไง “งั้นหรอครับ? ไม่เห็นรู้ตัวมาก่อนเลย”

     

                    “คนที่เป็นคนเมืองหลวงแต่กำเนิดเองส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ตัวหรอกครับ แต่กับผมที่ไม่ได้เป็นคนเมืองหลวงแต่กำเนิดถึงจะไปอยู่มาแล้วสามประเทศ..”

     

                    “เยอะจริงๆเลยนะครับ”

     

                    “..รู้สึกครับ” มินซอกจบประโยคโดยไม่สนใจเสียงที่แทรกชึ้นมาเบาๆ “คนเมืองหลวงน่ะ มักจริงจังเกินไป รีบร้อนเกินไป ไม่สนใจความรู้สึกอีกฝ่ายมากเกินไป..”

     

                    ไม่ทันที่ลู่หานจะขมวดคิ้วเพราะโดนด่าอย่างสุภาพ เงาสะท้อนของเจ้าเด็กหน้าตุ๊กตาในกระจกก็พูดต่อทันทีว่า “..ซึ่งผมคิดว่าคุณลู่หานคงไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก ใช่ไหมฮะ?”

     

                    ถึงจะเป็นเด็กแต่ก็เป็นเด็กที่เจ้าเล่ห์พอตัวเลยล่ะ.. ต้องเจ้าเล่ห์ล่ะมั้ง ไม่งั้นคงไม่อยู่ในวงการสามประเทศมาจนทุกวันนี้โดยที่ชื่อเสียงไม่ด่างพร้อยแบบจะๆเลยไม่ได้ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รบกวนคุณซิ่วหมินช่วยตัดสินให้หน่อยละกันนะครับ”

     

                    “ตอนนี้คงยังตัดสินไม่ได้หรอกครับ รอให้ผมรู้จักคุณมากกว่านี้ก่อนได้ไหมครับ?” เพราะผมไม่ใช่คนชอบตัดสินคนทันทีที่เห็นหน้าแบบคุณน่ะครับ หึ

     

                    “ได้อยู่แล้วครับ เรายังมีเวลารู้จักกันอีกตั้งนาน” แต่แค่นี้ฉันก็ว่าฉันรู้จักนายไปเยอะแล้วนะ ไอ้เด็กมั่วชาติจอมเจ้าเล่ห์

     

                    “ถึงโรงแรมแล้วครับ” จื่อเทาพูดหยุดการสนทนาของเจ้านายและขวัญใจของตัวเองรอบที่ร้อย ขอบคุณพระเจ้าที่ถึงซะที

     

                    “งั้นเดี๋ยวนายส่งฉันกับพวกคุณซิ่วหมินหน้าโรงแรมก็ได้ แล้วเอารถไปจอด เดี๋ยวฉันพาคุณๆเข้าที่พักเอง”

     

                    “ได้ครับ” ตายโหงแล้วไง.. รู้งี้ขับวนอีกซักสามรอบท่าจะดี เจ้านายกับคุณซิ่วหมินไปอยู่ในห้องเดียวกันนี่น้องๆสงครามโลกเลยรึเปล่าวะเนี่ย! ไม่น่ารีบถึงรีบทำให้สงครามเกิดเลย!

     

                   

    “ที่พักพวกคุณมีสองห้องนะครับ ไม่ทราบว่าโอเคไหม?”

     

                     “โอเคครับ เดี๋ยวผมกับคุณเซฮุนแบ่งห้องกันนอนได้ ไม่มีปัญหา” จงแดพูดแล้วยิ้มให้นายทหารยศสูงตรงหน้าที่เลิกคิ้วก่อนจะถาม

     

                    “ขอโทษที่ละลาบละล้วงนะครับ แต่ผมแค่แปลกใจ ตอนแรกผมนึกว่าคุณจะแบ่งห้องนอนกับคุณซิ่วหมินเพราะคุณเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขา..”

     

                    จงแดยกมือขึ้นโบกไปมาก่อนจะยิ้มจนตาเหลือแค่เส้นขีด “เคยลองแล้วครับ ไม่เวิร์คเท่าไหร่ คุณเซฮุนเองก็รู้ดีเพราะรู้จักมิน.. เอ่อ.. ซิ่วหมินมานาน รายนั้นนอนกับใครไม่ได้หรอกครับ ระเบียบจัดจนน่าเวียนหัวเลย”

     

                    หน้าตุ๊กตาแบบนั้นน่ะนะ? “งั้นก็ตามสบายครับ.. งั้นเราขึ้นไปที่ห้องกันเลยดีไหม?”

     

                    “ดีครับ ดูท่าผมจะต้องรีบทำอะไรๆให้เสร็จแล้วบังคับให้ซิ่วหมินกินข้าว จะได้รีบนอน.. เขานอนแค่สี่ชั่วโมงมาสามวันแล้ว ถ้านอนแบบนั้นอีกวันหน้าได้โทรม สุชภาพได้พังแล้วก็ถ่ายงานให้พวกคุณไม่ได้กันพอดี”

     

                    “ขนาดนั้นเลยหรอครับ?” เกินไปรึเปล่าเนี่ย..

     

                    “ครับ มินซอก คุณเซฮุน ไปกันเถอะ” จงแดหันไปตะโกนเรียนคนตัวเล็กผิวขาวกับคนตัวผอมผิวซีดที่กำลังเดินดูนู่นนี่ในล็อบบี้อยู่ให้เดินมาสมทบ ลู่หานกดลิฟต์รอแต่หางตาก็ไม่วายชำเลืองไปมองคนที่แต่งตัวสีแสบกว่าใคร

     

                    เด็กเป็นบ้า ไหนบอกว่าเป็นดาราดังเดินทางไปทำงานมาหลายที่ไง ทำไมทำท่าเหมือนเด็กไม่เคยเจอโรงแรมไปได้..

     

                    ลิฟต์มาถึงพอดีกับที่ซิ่วหมินและเซฮุนเดินกลับมา ทั้งสี่ก้าวเข้าไปในลิฟต์ ก่อนที่เสียงใสๆของคนตัวเล็กสุดจะทำลายความเงียบ “โรงแรมสวยมากเลยนะครับ ขอบคุณที่จัดที่พักให้ดีขนาดนี้”

     

                    “ไม่เป็นไรครับ มันเป็นเรื่องที่ทางเราสมควรต้องทำอยู่แล้ว เราไม่อยากโดนเปรียบเทียบกับเจ้าภาพชาวเกาหลีหรือชาวญี่ปุ่นหรอกนะครับว่าจัดที่พักให้คุณได้ไม่สมฐานะ”

     

                    “ฐานะอะไรกันล่ะครับ ที่จริงผมเป็นคนไม่มีฐานะนะ แฟนๆผมให้ฐานะผมมาทั้งนั้นแหละ” เสียงสดใสดูจะนุ่มนวลขึ้นมาเมื่อพูดถึงแฟนๆ แสดงละครให้แฟนคลับดูแบบนี้นี่เอง แฟนคลับเลยรักชนิดหัวปักหัวปำ

     

                    “มินซอกของพวกเราไม่มีฐานะตรงไหน?” เซฮุนพูดขึ้นมา “มินซอกของพวกเราออกจะทำงานหนัก สร้างฐานะมาด้วยตัวเองเหมือนกันนี่นา นี่จงแดฟ้องฉันแล้วนะว่าเมื่อวานไม่ยอมกินมื้อเย็น..”

     

                    “ก็น้ำหนักมันขึ้นอ่า คุณเซฮุนก็รู้ว่าผมเวลาอ้วนมันดูออกง่าย และนี่ก็ต้องถ่ายงานตั้งนาน จะมาตกม้าตายเพราะมีรูปอ้วนๆนี่ก็ไม่ใช่เรื่องนะ!

     

                    “..เนี่ย ออกจะทำงานหนักแล้วก็ห่วงภาพลักษณ์ขนาดนี้ ไม่เรียกว่ามีฐานะโดยความพยายามของตัวเองได้ยังไงกัน?”

     

                    “คุณเซฮุนไม่ต้องมาชมผมเลย” มินซอกพูด ในขณะที่ประตูลิฟต์ค่อยๆเปิดออก “จะจีบผมไปทำงานให้อีกแล้วใช่ไหมล่ะ? เสียใจนะฮะ ผมต้องทำงานอยู่ที่นี่อีกนานเลย ไปทำงานใหญ่ๆให้คุณเซฮุนไม่ได้หรอก”

     

                    “ก็ชมไว้ก่อนไง เดี๋ยวเสร็จจากงานนี้ก็ค่อยไปทำให้ฉันก็ได้”

     

                    “แสดงว่าชมผมเพราะอยากให้ผมไปทำงานให้แค่นั้นหรอครับ?”

     

                    “ม่ายช่าย ทำไมคิดแบบนั้นเล่า ถึงไม่มีงานให้ทำฉันก็อยากชมมินซอกนะ มินซอกของพวกเราน่ารักจะตาย”

     

                    ไอ้บทพ่อแง่แม่งอนนี่มันอะไรกัน? มันใช่เรื่องที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลกับดาราดาวรุ่งต้องมาปฏิบัติต่อกันไหม? “ถึงห้องแล้วครับ”

     

                    มันต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ๆ!

     

                    “ขอบคุณครับที่อุตส่าห์พาพวกเรามา” เจ้าเด็กหน้าตุ๊กตาเบือนหน้าจากเซฮุนที่ยังง้องอนกันไม่เลิกกลับมาหาเขาไม่ลืมไปซะเลยล่ะว่ามีคนอื่นอยู่ตรงนี้เนี่ย!

     

                    “คุณลู่หานจะเข้ามานั่งพักหรือ..”

     

                    “ไม่ล่ะครับ พันโทหวงรอผมอยู่ข้างล่าง อีกอย่าง ผมว่าพวกคุณน่าจะอยากพักผ่อน พบกันพรุ่งนี้เลยน่าจะดีกว่าครับ ประมาณแปดโมงที่ล็อบบี้.. ไม่เช้าเกินไปใช่ไหมครับ?”

     

                    “ไม่ครับ ถือว่ากำลังดีเลยเมื่อเทียบกับการต้องรอให้หิมะตกยันตีสองเพื่อถ่ายเอ็มวี” เจ้าเด็กนั่นพูดเสียงสบายๆเหมือนการหลับตอนตีสองนั่นเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ทุกคนทำกัน “ขอบคุณคุณลู่หานอีกครั้งนะครับที่ไปรับ แล้วก็พามาถึงที่นี่ พักผ่อนให้ดีนะครับ เจอกันในเวลาสบายๆพรุ่งนี้ครับ”

     

                    แล้วก็ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มที่ลู่หานคิดว่าจื่อเทาคงวิ่งเอาหัวโขกประตูตายด้วยความถูกใจแน่ๆถ้ามาเห็น แต่สำหรับเขา.. ไม่รู้ทำไม รอยยิ้มนี้มันเหมือนแอปเปิ้ลที่แม่มดให้เจ้าหญิงไม่มีผิด

     

                    สวยงาม แต่เป็นเปลือกของยาพิษน่ะ..

     

                    “ครับ เจอกันพรุ่งนี้” พอลู่หานพูดจบมินซอกก็โค้งตัวให้น้อยๆก่อนจะรับหันหลังไปไขกุญแจห้อง จงแดกับเซฮุนเองก็ทำแบบเดียวกัน ลู่หานเลยโค้งกลับก่อนจะหมุนตัวเดินจากมา

     

                    จังหวะที่ลู่หานเดินเลี้ยวตรงหัวมุมและลับสายตาไปนั้นเป็นจังหวะเดียวกับที่มินซอกไขกุญแจห้องเสร็จพอดี มือเล็กผลักประตูก่อนจะก้าวพรวดๆเข้าไปในห้องโดยไม่สนใจอีกสองคนด้านหลัง เซฮุนหันไปเลิกคิ้วถามจงแดที่สั่นหัวนิดๆ

     

                    “อารมณ์เสียอะไรอีกตามเคยนั่นแหละ อาจจะเสียมาตั้งแต่สนามบินแล้วก็ได้ แต่รายนี้เก็บอาการเก่ง ไม่เคยแสดงออกต่อหน้าที่สาธารณะ”

     

                    “เคล็ดลับที่ทำให้มีงานและแฟนคลับชุกชุมมาจนถึงทุกวันนี้สินะ” เซฮุนพูดกลั้วหัวเราะ “เราตามเจ้าชายน้อยเข้าไปในห้องกันดีกว่า เผื่อจะช่วยให้อารมณ์เสียได้ไวขึ้น”

     

                    พูดจบเซฮุนก็เดินเข้าไปในห้อง จากการสังเกตคร่าวๆมันเป็นห้องที่สวย ตกแต่งอย่างมีรสนิยม และการที่เขาเข้าไปเจอร่างเล็กที่นั่งปากคว่ำ ไขว่ห้าง กอดอกอยู่บนเก้าอี้นวมด้านในห้องเหมือนกับเจ้าชายที่ถูกขัดใจนั้นก็ทำให้ห้องนี้เหมือนห้องซักห้องในพระราชวังไปเลยทีเดียว

     

                    “ใครขัดพระทัยพะย่ะค่ะ เจ้าหญิง.. อุ่ย..” เซฮุนรีบแก้ประโยคของตัวเองเมื่อดวงตากลมโตของคนที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ตวัดกลับมามอง “..เจ้าชายของกระหม่อม”

     

                    “นี่ไม่มีใครรู้สึกเลยหรอ?”

     

                    “รู้สึกว่าอะไรล่ะ?” จงแดที่เดินตามเข้ามาถามงงๆ มินซอกเม้มปากแน่น

     

                    ลองถ้าเขารู้สึกคนเดียวก็แสดงว่าคุณลู่หาน.. หมอนั่นที่เขาเคยคิดว่าน่าจะใจดีนั่น..

     

                    “ว่าไงเล่า รู้สึกอะไร?”

     

                    “..รู้สึกว่าพลตรีลู่หานนั่นไม่ชอบขี้หน้าฉันเอามากๆน่ะสิ”

     

    tbc.


    เหตุผลที่มาลงวันนี้ ทำให้เสร็จวันนี้ก็มีเหตุผลเดียวแหละค่ะ แฮะ

    ยังไงก็ตาม หวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับการเจอกันครั้งแรกของพลตรีลู่กับซุปตาร์มินซอก แล้วก็ช่วยกันลุ้นนะคะว่าต่อไปความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้จะเป็นยังไงต่อไป 55555

    ขอบคุณสำหรับยอดวิว คอมเม้นท์ และแท็กในทวิตเตอร์นะคะ <3

    เจอกันข้างล่าง ในทวิตเตอร์ แล้วก็ตอนหน้านะคะ ปย๊ง!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×