คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Act III
B u t t e r f l y
E
f f e c t
A c t III
“ออกทางเดียวกับคราวที่แล้วเลย”
“แหงอยู่แล้ว
ใครมันจะประสาทให้นายออกทางปกติแล้วโดนแฟนคลับทึ้งเล่นกัน
แต่คราวนี้จะต่างกับคราวที่แล้วตรงที่นายไม่ได้ออกไปปุ๊ปแล้วขึ้นรถปั๊ปนะ นายต้องไปพบเจ้าหน้าที่ทางจีนก่อน
แล้วเขาจะพาพวกเราไปที่พักและจัดการอะไรให้เสร็จสรรพเลย นี่ไม่ได้นั่งเทียนเอานะ
แต่เขาบอกมาว่างี้ในเอกสาร”
“ขนาดนั้นเลยหรอ?
เห็นม้ายยยย จงแด คุณเซฮุน บอกแล้วๆว่าคุณลู่หานอะไรนั่นต้องเป็นคนใจดี
ทีนี้รู้รึยังว่าไม่ได้มโนไปเอง”
“จ้าๆ
ไม่ได้มโน” เซฮุนพูดกลั้วหัวเราะ ยกมือขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้คนตัวเล็กกว่า
“แต่อย่าเพิ่งไปแจกยิ้มหวานแบบนี้ใส่คุณกวางอะไรนั่นตั้งแต่ตอนเข้าไปนะ
ทำตัวเรียบร้อยหน่อย..”
“..เพราะไม่งั้นเดี๋ยวเขาคิดเอาได้ว่าเราอยากได้งานนี้จนเนื้อตัวสั่นเพราะค่าตัวสูง”
จงแดปิดประโยคให้ด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
“ถ้าเป็นงานเชิงพาณิชย์ล้วนๆในนามบริษัทก็จะปล่อยให้ทำตามใจชอบหรอกนะ
แต่นี่มันมาในนามประเทศด้วย ก็..”
“นี่ไม่เชื่อฝีมือคิม..
เอาใหม่ นี่ไม่เชื่อฝีมือซิ่วหมินคนนี้หรือไงกันเล่า?
นี่เจ้าของรางวัลดาราหน้าใหม่ ดารายอดนิยม ดารานู่นนี่นั่นโน่นเชียวนะ ถึงจะดี๊ด๊าเพราะงานนี้เงินดีขนาดไหนก็เถอะ
แต่ก็พอจะรู้นะว่าต่อหน้าผู้ใหญ่ควรจะวางตัวยังไง ว่าแต่
คุณกวางนี่ควรจะเป็นผู้ใหญ่ใช่ไหม? เหลือบเห็นตำแหน่งในเอกสารว่าเป็นพลตรี”
“แหงสิ
ฉันว่าเกินสี่สิบอ่ะ ไม่งั้นคงเป็นพลตรีไม่ได้หรอก”
“เลิกเถียงเรื่องอายุเถอะ
เข้าไปเดี๋ยวก็รู้เอง”
เซฮุนพูดขึ้นเรียบๆเมื่อพวกเขาทั้งสามเดินมาหยุดตรงหน้าประตูไม้สีเข้มที่มีป้ายสีทองพิมพ์ด้วยตัวหนังสือสีดำเขียนว่า
“ห้องรับรองชั้นพิเศษ” อยู่
ชายที่ยืนอยู่หน้าห้องมองพวกเขาอยู่ไม่นานก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยภาษาจีนสำเนียงเมืองหลวงว่า
“คุณซิ่วหมินกับผู้ติดตามใช่ไหมครับ?”
มินซอกเกือบจะพยักหน้าใส่อยู่แล้วแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นกิริยาที่ไม่เรียบร้อยเท่าไหร่เขาเลยเลือกที่จะตอบไปเป็นภาษาจีน
(ที่ไม่มีสำเนียงจีนเลยซักนิด.. เอาน่า อย่างน้อยเขาก็ฟังได้พูดเป็นนะ) ว่า “ครับ”
“เชิญเลยครับ
พลตรีลู่กับพันโทหวงรอพบพวกคุณอยู่ในห้องแล้ว” พูดจบเขาก็เปิดประตูให้ทันที
มินซอกจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่อีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องด้วยความมั่นใจ
ตั้งแต่เขาเหยียบเขามาในวงการมายา
เขาก็เจอคนมาหลากหลายรูปแบบ ทั้งที่มีชื่อเสียง ทั้งที่มีอำนาจ แม้แต่ที่มีทั้งอำนาจและชื่อเสียงก็เคยเจอ
ดังนั้น ตามที่เขาคาดการณ์
ผู้ชายในห้องที่เขากำลังจะไปเจอน่าจะเป็นคนที่มีแค่อำนาจ และน่าจะใจดีด้วย
แค่นี้เขารับมือได้สบายมาก
แล้วจะไม่ให้เดินเข้าไปด้วยความมั่นใจได้ยังไงกันล่ะ
⍟
ลู่หานเข้าใจขึ้นมารำไรแล้วว่าทำไมคิม
มินซอกคนนี้ถึงเป็นขวัญใจของใครหลายๆคน
(รวมทั้งไอ้เด็กที่ยืนกำคลิปบอร์ดในมือแน่นจนพลาสติกดังกร๊อบแกร๊บอยู่ข้างหลังเขาด้วย)
ถ้ามองแค่ภายนอกแบบที่คนส่วนใหญ่มองดาราแล้วละก็
เด็กคนนี้มีทุกอย่างที่จะใช้หยุดสายตาคนให้มองมาที่ตัวเองครบถ้วน
ถึงจะไม่อยากยอมรับ
แต่ลู่หานก็ต้องบอกว่าเขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เขาเผลอจ้องหน้าเด็กคนนั้นไปเต็มๆอยู่ตั้งครึ่งนาทีเลยล่ะมั้ง?
คิ้วเข้มๆบนผิวที่ขาวจัดแสดงถึงเชื้อเกาหลีในตัวชัดเจน
จมูกที่รับกับโครงหน้า ปากได้รูปสีแดงจิ้มลิ้ม (อย่างที่อี้ฝานบอก) ..
และที่สำคัญที่สุดคือดวงตาสีดำสนิทเหมือนตุ๊กตาสวยๆซักตัวนั่น..
ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าของมั่วชาติจะออกมาดูดีขนาดนี้ได้ด้วย
“ท่านครับ..”
เสียงจื่อเทาที่ถ้าไม่คุ้นเคยกันคงจับไม่ได้ว่ามันสั่นน้อยๆดังขึ้นข้างหลังเขา
ลู่หานกระพริบตาแรงๆหนึ่งทีเมื่อได้ยินเสียง นึกโมโหตัวเองนิดหน่อยที่จ้องหน้า.. หน้าสวยๆ?
ของเด็กคนนี้นานไปหน่อยจนลูกน้องต้องเรียก
เขาชิงค้อมหัวน้อยๆให้กับร่างเล็กกว่าตรงหน้าและความโมโหในใจเมื่อครู่ก็เปลี่ยนไปเป็นความพอใจทันทีเมื่อเห็นมือขาวๆของเด็กคนนั้นที่ยื่นออกมาชะงักกึกก่อนที่เจ้าตัวจะรีบดึงมันกลับไปประสานกันตรงหน้าหลวมๆเหมือนตอนเดินเข้ามา
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ประเทศจีน.. อันที่จริงผมไม่ควรพูดประโยคนี้ซักเท่าไหร่เพราะคุณคงมาบ่อยจนไม่ต้องการคำว่ายินดีต้อนรับแล้ว..”
มินซอกอยากจะขมวดคิ้วเหลือเกินเมื่อหางเสียงภาษาจีนสำเนียงปักกิ่งแท้ค่อยๆละลายหายไปกับอากาศ
แต่ก็นั่นแหละ.. การขมวดคิ้วใส่หน้าผู้ใหญ่ไม่ใช่มารยาทที่ควรกระทำ แต่ผู้ใหญ่ที่พูดติดตลกที่ไม่ตลกซักนิดแบบนี้มันก็..
จะมากี่ครั้งกี่หนเขาก็อยากได้ยินคำว่ายินดีต้อนรับอยู่ดี! ถึงเขาจะเป็นลูกครึ่งจีนแต่เขาไม่ได้เกิดและโตที่นี่ซักหน่อย
จะได้รู้สึกว่ามันเป็นบ้านจนไม่ต้องการคำว่ายินดีต้อนรับน่ะ!
“..ผม
พลตรีลู่หาน เจ้าหน้าที่พิเศษจากกระทรวงกลาโหม
มีความยินดีเป็นอย่างมากที่ได้รับหน้าที่ดูแลคุณครับ”
พูดจบก็ค้อมหัวให้มินซอกอีกทีหนึ่ง มินซอกรีบค้อมกลับ
(ดีนะที่ไม่ยื่นมือออกไปให้จับอีกหน) ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและแนะนำตัวเองบ้าง
“เป็นเกียรติของผมเหมือนกันฮะที่ได้รับการดูแลจากคุณ
ผมซิ่วหมิน..”
“คิม
มินซอก?” เออ.. นอกจากจะคือซิ่วหมินแล้ว เขาก็คือคิม มินซอกด้วยน่ะแหละ
สงสัยถามเพื่อความมั่นใจมั้ง?
“ครับ
นั่นก็ด้วย แต่คุณลู่หานเรียกผมว่าซิ่วหมินก็ได้
ไหนๆผมก็จะมาทำงานที่นี่แล้วนี่เนอะ มีชื่อจีนไว้ก็สะดวกดีนี่ครับ” พูดจบมินซอกก็ยิ้มน้อยๆให้อีกฝ่ายไป..
ซึ่งผลที่ได้กลับมาก็ทำเอาเข้าอึ้งไม่น้อย
ผลที่ได้คือพลตรีลู่หานยังทำหน้าเหมือนเดิมเป๊ะ
นี่มันบ้าชัดๆ
มีคนเห็นยิ้มของซิ่วหมินคนนี้ตรงๆแล้วไม่ยิ้มตอบอยู่บนโลกนี้ด้วย!
“ครับ ถ้ามีไว้แค่ให้สะดวกผมก็ว่าไม่น่าจะเสียหายอะไร”
ลู่หานตอบกลับไปเสียงเรียบๆ
ความละเอียดลอออันขึ้นชื่อของเขาทำให้เขาจับกิริยาของเด็กคนนี้ได้บางส่วน
ตลกดีเหมือนกัน
คิดว่าทุกคนต้องยิ้มตอบนายด้วยหรือไง?
หน้าตาเหมือนเด็กไม่พอ
ความคิดยังง่ายๆเหมือนเด็กอีกต่างหาก นี่เป็นผู้ใหญ่อายุยี่สิบสามหรือเด็กอายุสิบสามกันแน่?
และถ้าเป็นข้อหลังเขาก็ไม่อยากอยู่ด้วยเท่าไหร่หรอกนะ
รีบตัดบทให้จบๆไปน่าจะดีที่สุด “คุณคงจะเหนื่อย..”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกฮะ
เกาหลีกับที่นี่เวลาต่างกันแค่สองชั่วโมงเอง”
“แต่คุณก็เดินทางมาอยู่ดี”
ลู่หานชะงักไปครู่หนึ่งเพราะเสียงสดใส (คิดคำอื่นไม่ออก ขอใช้คำนี้แล้วกัน)
เมื่อครู่เปลี่ยนไปเป็นเสียงนิ่งๆกะทันหัน จะกล่าวหาว่าไร้มารยาทก็ไม่ได้ซะด้วย
เพราะมันเป็นแค่เสียงนิ่งๆ ไม่ใช่เสียงห้วนๆ “ดังนั้น
ทางเราจะพาคุณไปพักผ่อนที่โรงแรมก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเริ่มงานกัน
หวังว่าคงไม่ขัดข้องใช่ไหมครับ?”
“ครับ
ไม่ขัดข้องอะไรอยู่แล้ว เพราะผมก็ไม่ได้มาที่นี่ครั้งแรก
พอจะรู้อยู่เหมือนกันแหละครับว่าต้องทำยังไง” พูดจบก็แจกยิ้มให้ลู่หานอีกหนหนึ่ง เป็นยิ้มที่เหมือนเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน
แต่ลู่หานก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเขารู้สึกไม่สบายใจพิกลเมื่อเห็น
ทั้งๆที่เมื่อกี้เขาก็คิดว่ามันก็ดูได้แท้ๆนะ..
“งั้นตามผมมาเลยครับ รถของเราจอดรออยู่ด้านนอกแล้ว
สัมภาระของพวกคุณจะตามไปทีหลัง รับรองว่าถึงมือคุณปลอดภัยครบทุกชิ้นแน่”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องสัมภาระของพวกเรามากขนาดนั้นหรอกครับ
มันก็แค่กระเป๋าเดินทางของคนธรรมดา ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอก”
รอยยิ้มน้อยๆถูกจุดขึ้นที่มุมปากสีสดอีกครั้ง
และแน่นอนว่าลู่หานเองก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอีกครั้งเช่นกัน
⍟
มินซอกนั่งอยู่ที่เบาะหลัง
ตรงกลางระหว่างจงแดกับคุณเซฮุน ด้านหน้าคือนายพลลู่หานคนนั้น
ส่วนคนขับรถก็คือผู้ชายตัวสูงในเครื่องแบบทหารอีกคนที่อยู่ในห้อง
มินซอกรู้แค่ว่าเขาชื่อพันโทหวงจากการแนะนำตัวด้วยเสียงสั่นๆนิดหน่อย
ถ้าจะให้มินซอกเดาแล้ว เขาก็คิดว่าพันโทหวงนี่ต้องเป็นแฟนบอยเขาแน่ๆ
(ไม่ตกใจหรอกนะว่าทำไมถึงมีผู้ชายชอบเขาน่ะ
เรื่องปกติพอๆกับพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเลย) ดังนั้น
เขาก็เลยคิดว่าเขาสมควรตีสนิทพันโทที่หน้าเหมือนตุ๊กตาหมีแพนด้าคนนี้ไว้เยอะๆ
จะได้มีคนจีนซักคนไว้คุยด้วย
ตอนแรกก็กะจะตีสนิทพลตรีลู่อยู่หรอกนะ
เพราะสนิทกับคนที่ยศสูงกว่าก็น่าจะมีผลประโยชน์มากกว่า
แต่จากบทสนทนาสั้นๆในห้องวีไอพีที่สนามบินเมื่อครู่ทำให้มินซอกเปลี่ยนใจได้ไม่ยากนัก
เขาจะไม่เชื่อสกิลการมโนของตัวเองไปอีกนานเลย
ลู่แปลว่ากวางก็เลยน่าจะเป็นคนใจดีบ้าอะไรกัน
คนใจดีที่ไหนทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวยิ่งกว่าใส่เสื้อขนเฟอร์คันยุ่บยั่บแบบนี้
แว่บแรกที่เขาเห็นหน้าตาของพลตรีลู่เนี่ย
เขาแอบยิ้มในใจเลยซะด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะอายุผิดคาดหรือหน้าตาดีๆที่ไม่สมควรมาถูกเก็บอยู่ในคณะรัฐบาลจีนหรอก
แต่เพราะตาสวยๆคู่นั้นต่างหาก ตาที่มินซอกสบด้วยแวบแรกแล้วรู้สึกดี
แต่พอสบครั้งที่สองเท่านั้นแหละ
มินซอกก็รู้เลยว่าคำว่าเข้าใจผิดจริงๆมันเป็นอย่างไง แพขนตาที่หนายาวเหมือนผู้หญิงนั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม
มันเหมือนม่านที่ปิดความคิดของผู้ชายคนนี้ไม่ให้แสดงออกมาทางดวงตามากจนเกินไปต่างหาก
และความคิดที่ว่านั่นก็น่าจะเป็น ผู้ชายคนนี้ไม่ชอบเขาเอามากๆเลย
เขามั่นใจว่าผู้ชายคนนี้เห็นมือเขาที่ส่งออกไป
แต่ก็เลือกที่จะไม่จับ แล้วก็ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาอะไรซักอย่างกับชื่อจีนของเขา
ยิ้มให้ก็ไม่ยิ้มกลับ..
ถึงขนาดนี้แล้วมินซอกก็ไม่สมควรเป็นมินซอกเด็กดีแล้วมั้ง?
ช่างหัวพลตรีลู่
ไม่อยากสนิทกับเขาก็ไม่เป็นไร เขาสนิทกับพันโทหวงก็ได้
ดูน่ารักและใจดีกว่าตั้งเยอะ ขัดกับหน้าตาลิบลับเลย
(พอๆกับหน้าและนิสัยของพลตรีลู่นั่นแหละ) “ผมเองก็มาทำงานที่นี่หลายครั้งแล้วนะครับ
พันโทหวง..”
“อ่า..
เรียกผมว่าจื่อเทา.. หรือเทาเฉยๆก็ได้ครับ พวกเราคงต้องเจอกันอีกหลายครั้ง
เรียกผมแบบนั้นมันน่าจะขัดๆปากไปซักหน่อย..” แล้วเขาต้องเรียกผู้ชายหน้ากวางแต่นิสัยอย่างกะเสือ
(หรือเปล่า?) คนนั้นว่าพลตรีลู่ไปอีกนานแค่ไหนละนั่น.. จนจบโปรเจคต์นี้เลยรึเปล่า?
“งั้นก็ได้ครับ..
ผมเองก็มาทำงานที่นี่หลายหนแล้ว..”
“ครับ
ผมซื้อทุกเล่มที่คุณมาถ่ายที่นี่ เอ่อ..”
มินซอกอมยิ้ม
โดยก่อนที่เขาจะยิ้มนั่นเขาก็ทำให้ตัวเองมั่นใจก่อนว่าหน้าของเขานั้นอยู่ในรัศมีที่กระจกมองหลังตรงกลางรถจะส่องเห็นพอดี
พันโทหวง.. เอ่อ ไม่ใช่.. คุณจื่อเทาจะได้เห็นเขาอมยิ้มด้วย “หรอครับ?
ขอบคุณมากนะครับ สงสัยว่าบางเล่มผมต้องขอซื้อต่อจากคุณแน่ๆเลย..”
“ซื้อต่อ..”
ไวเท่าความคิด เท้าในรองเท้าผ้าใบคู่สวยของมินซอกเหยียบลงไปบนเท้าของเมเนเจอร์ตัวเองเต็มแรง
จงแดอ้าปากค้างพูดไม่จบ
ร้องโอ้ยแบบไม่มีเสียงเพราะมินซอกเหล่ตาไปมองแบบที่รู้กันระหว่างเขากับจงแด คนโดนเหยียบเท้าเลยยกขาเขาออกและปล่อยให้เขากับคุณจื่อเทาคุยกันแค่สองคนต่อ
“คุณไม่ได้เก็บงานของตัวเองไว้หรอครับ?”
“เก็บเฉพาะเล่มที่เก็บทันครับ”
ถ้าให้เขาไปเก็บเองก็คงไม่ทันซักเล่ม งานรัดตัวขนาดนี้
แต่ถ้าให้จงแดไปเก็บน่ะ.. ทัน.. แล้วเขาก็ให้จงแดไปเก็บตลอดเลยด้วย
ตอนแรกมินซอกก็คิดว่าดีนะที่กระจกมองหลังของรถมันติดอยู่ในมุมที่สะท้อนเห็นหน้าเขาและคนที่นั่งเบาะหน้าทั้งสองคนละครึ่งหน้า
แต่ตอนนี้มินซอกว่ามันไม่ดีแล้วล่ะ..
เพราะเขาเห็นรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากของลู่หานน่ะสิ
ถ้าจะยิ้มแบบนี้ก็ไม่ต้องยิ้มเหมือนเดิมก็ได้นะ!
“คงยุ่งน่าดูสินะครับ
ถึงขนาดไม่มีเวลาเก็บงานตัวเองเนี่ย ยังไงก็.. พักผ่อนมากๆนะครับ”
“ผมก็อยากพักครับ
ยังไงพวกคุณก็ช่วยเห็นใจเด็กตาดำๆด้วยนะครับ
อย่าใช้งานผมจนไม่มีเวลาไปเก็บงานตัวเองเลย”
“ได้ยังไงกันล่ะครับ”
เสียงนุ่มๆน่าฟังของพลตรีลู่ดังขึ้นขัด
มินซอกเห็นตาของตัวเองจากภาพสะท้อนที่เมื่อกี้กำลังโค้งด้วยอารมณ์ดีเปลี่ยนเป็นรูปตาปกติกะทันหัน
ต้องตั้งการ์ดให้ตัวเองสูงขนาดไหนนะเวลาผู้ชายคนนี้พูดเนี่ย..
“เราจ้างคุณมานี่ไม่ใช่ถูกๆนะครับ
ตอนผมเห็นตัวเลขผมนี่นิ่งไปเลย
คุณหารายได้จากการเซ็นสัญญาแค่ครั้งเดียวได้มากกว่าผมทำงานครึ่งปีอีก”
เซ็นสัญญาครั้งเดียวก็จริง แต่งานที่ตามมามันยาวยิ่งกว่าแม่น้ำฮันอีกไหมครับคุณ?
คุณอาจจะทำงานหนักแต่อย่างน้อยคุณก็รู้ว่าตัวเองจะได้นอนตอนไหน ไม่เหมือนผมละกัน!
“เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากได้งานไหนก็บอกผมละกันครับ
ผมจะไปซื้อมารอเลย แลกกับลายเซ็นของคุณบนงานที่ผมซื้อก็พอ”
เมื่อเห็นท่าไม่ดีจื่อเทาเลยรีบพูดแทรกขึ้นมา
โดนนายด่าทีหลังก็ไม่เป็นไรวะ
ทำตามที่คุณคริสบอกก่อนละกัน (..นี่ทำตามคำสั่งคุณคริสจริงๆนะ
ไม่ได้ติ่งส่วนตัวแต่อย่างใด เชื่อสิ)
“ถ้าคุณจื่อเทารับปากอย่างนั้นผมก็สบายใจครับ
โชคดีจังที่มาทำงานใหญ่ครั้งนี้แล้วมีคนดีๆอย่างคุณ.. แล้วก็คุณลู่หาน.. ดูแล”
มินซอกหยุดไปเพื่อยิ้มอีกที
คราวนี้เล็งให้ยิ้มคัวเองอยู่ในกระจกหนักกว่าคราวที่แล้วอีก
“ผมแค่อยากจะบอกว่าผมมาบ่อยก็จริง แต่มาทุกทีก็งานยุ่งมากๆ
ผมไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนเลยฮะ ขนาด..”
ทุกคนมองตามนิ้วเล็กๆที่ชี้ออกไปยังวิวนอกหน้าต่างรถอัตโนมัติ
“..จตุรัสเทียนอันเหมินผมยังไม่เคยเหยียบเลย
ไม่ต้องพูดถึงพวกกำแพงเมืองจีนหรือพระราชวังต้องห้ามเลยครับ”
“ไม่ยักรู้นะครับว่าดาราดังแบบคุณจะสนใจประวัติศาสตร์ด้วย” ต้องยกการ์ดขึ้นอีกแล้วสินะ ว้อย!
“ทำไมจะไม่สนใจล่ะครับ
นอกจากจะเป็นดาราผมก็เป็นนักเรียนด้วย แถมมีเชื้อจีนอยู่ตั้งครึ่งหนึ่งแน่ะ”
มินซอกพูดแล้วยิ้มกว้าง
“งั้นหรอครับ
ผมนึกว่าคุณจะอยู่ที่เกาหลีมากกว่าจนไม่เหลือพื้นที่ไว้สนใจประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ซะอีก”
“ถ้าพูดถึงประเทศที่ผมอยู่เยอะน่าจะเป็นญี่ปุ่นมากกว่านะครับ
ผมเพิ่งมาอยู่ที่เกาหลีก็หลังจบมอต้นจากญี่ปุ่น..”
“แบบนั้นยิ่งน่าตกใจใหญ่เลยที่คุณสนใจประวัติศาสตร์จีนเนี่ย..”
“เอาเป็นว่าถ้าคุณซิ่วหมินมีเวลาว่าง
ผมหมายถึงถ้ามี..” จื่อเทารีบพูดแทรก โดนนายด่าอีกหนเพราะพูดแทรกก็ยอมวะ! “..ก็มาบอกผมได้นะครับ ถ้าผมบังเอิญมีเวลาว่างตรงกับคุณ
ผมจะได้พาคุณเที่ยว”
“นายแน่ใจหรอว่านายทำได้
หื้ม? พันโทหวง” อะไรอีกล่ะเนี่ย!
“ทะ..
ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ?”
“ก็ได้แหละ
แต่คงไม่ครบถ้วน เพราะนายไม่ใช่คนปักกิ่งแท้ๆ”
ลู่หานว่าก่อนจะเหลือบตาของตัวเองไปสบตาตุ๊กตาในกระจกแว่บหนึ่ง
“เรื่องเที่ยวชมสถานที่ในปักกิ่งปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันดีกว่า”
“นี่คุณลู่หาน..”
ไม่ให้เรียกก็จะเรียกอ่ะ เรียกพลตรีลู่นี่มันยาวไปไหม
“..เป็นคนปักกิ่งหรอครับเนี่ย ถึงว่า.. ดูเป็นคนเมืองหลวงจัง”
ลู่หานต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ขมวดคิ้ว
เป็นคนเมืองหลวงแล้วมันเป็นอย่างไง “งั้นหรอครับ? ไม่เห็นรู้ตัวมาก่อนเลย”
“คนที่เป็นคนเมืองหลวงแต่กำเนิดเองส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ตัวหรอกครับ
แต่กับผมที่ไม่ได้เป็นคนเมืองหลวงแต่กำเนิดถึงจะไปอยู่มาแล้วสามประเทศ..”
“เยอะจริงๆเลยนะครับ”
“..รู้สึกครับ”
มินซอกจบประโยคโดยไม่สนใจเสียงที่แทรกชึ้นมาเบาๆ “คนเมืองหลวงน่ะ มักจริงจังเกินไป
รีบร้อนเกินไป ไม่สนใจความรู้สึกอีกฝ่ายมากเกินไป..”
ไม่ทันที่ลู่หานจะขมวดคิ้วเพราะโดนด่าอย่างสุภาพ
เงาสะท้อนของเจ้าเด็กหน้าตุ๊กตาในกระจกก็พูดต่อทันทีว่า
“..ซึ่งผมคิดว่าคุณลู่หานคงไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก ใช่ไหมฮะ?”
ถึงจะเป็นเด็กแต่ก็เป็นเด็กที่เจ้าเล่ห์พอตัวเลยล่ะ..
ต้องเจ้าเล่ห์ล่ะมั้ง
ไม่งั้นคงไม่อยู่ในวงการสามประเทศมาจนทุกวันนี้โดยที่ชื่อเสียงไม่ด่างพร้อยแบบจะๆเลยไม่ได้
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รบกวนคุณซิ่วหมินช่วยตัดสินให้หน่อยละกันนะครับ”
“ตอนนี้คงยังตัดสินไม่ได้หรอกครับ
รอให้ผมรู้จักคุณมากกว่านี้ก่อนได้ไหมครับ?” เพราะผมไม่ใช่คนชอบตัดสินคนทันทีที่เห็นหน้าแบบคุณน่ะครับ
หึ
“ได้อยู่แล้วครับ
เรายังมีเวลารู้จักกันอีกตั้งนาน” แต่แค่นี้ฉันก็ว่าฉันรู้จักนายไปเยอะแล้วนะ
ไอ้เด็กมั่วชาติจอมเจ้าเล่ห์
“ถึงโรงแรมแล้วครับ”
จื่อเทาพูดหยุดการสนทนาของเจ้านายและขวัญใจของตัวเองรอบที่ร้อย ขอบคุณพระเจ้าที่ถึงซะที
“งั้นเดี๋ยวนายส่งฉันกับพวกคุณซิ่วหมินหน้าโรงแรมก็ได้
แล้วเอารถไปจอด เดี๋ยวฉันพาคุณๆเข้าที่พักเอง”
“ได้ครับ”
ตายโหงแล้วไง.. รู้งี้ขับวนอีกซักสามรอบท่าจะดี
เจ้านายกับคุณซิ่วหมินไปอยู่ในห้องเดียวกันนี่น้องๆสงครามโลกเลยรึเปล่าวะเนี่ย!
ไม่น่ารีบถึงรีบทำให้สงครามเกิดเลย!
⍟
“ที่พักพวกคุณมีสองห้องนะครับ
ไม่ทราบว่าโอเคไหม?”
“โอเคครับ เดี๋ยวผมกับคุณเซฮุนแบ่งห้องกันนอนได้
ไม่มีปัญหา” จงแดพูดแล้วยิ้มให้นายทหารยศสูงตรงหน้าที่เลิกคิ้วก่อนจะถาม
“ขอโทษที่ละลาบละล้วงนะครับ
แต่ผมแค่แปลกใจ
ตอนแรกผมนึกว่าคุณจะแบ่งห้องนอนกับคุณซิ่วหมินเพราะคุณเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขา..”
จงแดยกมือขึ้นโบกไปมาก่อนจะยิ้มจนตาเหลือแค่เส้นขีด
“เคยลองแล้วครับ ไม่เวิร์คเท่าไหร่ คุณเซฮุนเองก็รู้ดีเพราะรู้จักมิน.. เอ่อ..
ซิ่วหมินมานาน รายนั้นนอนกับใครไม่ได้หรอกครับ ระเบียบจัดจนน่าเวียนหัวเลย”
หน้าตุ๊กตาแบบนั้นน่ะนะ?
“งั้นก็ตามสบายครับ.. งั้นเราขึ้นไปที่ห้องกันเลยดีไหม?”
“ดีครับ
ดูท่าผมจะต้องรีบทำอะไรๆให้เสร็จแล้วบังคับให้ซิ่วหมินกินข้าว จะได้รีบนอน..
เขานอนแค่สี่ชั่วโมงมาสามวันแล้ว ถ้านอนแบบนั้นอีกวันหน้าได้โทรม
สุชภาพได้พังแล้วก็ถ่ายงานให้พวกคุณไม่ได้กันพอดี”
“ขนาดนั้นเลยหรอครับ?”
เกินไปรึเปล่าเนี่ย..
“ครับ
มินซอก คุณเซฮุน ไปกันเถอะ”
จงแดหันไปตะโกนเรียนคนตัวเล็กผิวขาวกับคนตัวผอมผิวซีดที่กำลังเดินดูนู่นนี่ในล็อบบี้อยู่ให้เดินมาสมทบ
ลู่หานกดลิฟต์รอแต่หางตาก็ไม่วายชำเลืองไปมองคนที่แต่งตัวสีแสบกว่าใคร
เด็กเป็นบ้า
ไหนบอกว่าเป็นดาราดังเดินทางไปทำงานมาหลายที่ไง ทำไมทำท่าเหมือนเด็กไม่เคยเจอโรงแรมไปได้..
ลิฟต์มาถึงพอดีกับที่ซิ่วหมินและเซฮุนเดินกลับมา
ทั้งสี่ก้าวเข้าไปในลิฟต์ ก่อนที่เสียงใสๆของคนตัวเล็กสุดจะทำลายความเงียบ
“โรงแรมสวยมากเลยนะครับ ขอบคุณที่จัดที่พักให้ดีขนาดนี้”
“ไม่เป็นไรครับ
มันเป็นเรื่องที่ทางเราสมควรต้องทำอยู่แล้ว
เราไม่อยากโดนเปรียบเทียบกับเจ้าภาพชาวเกาหลีหรือชาวญี่ปุ่นหรอกนะครับว่าจัดที่พักให้คุณได้ไม่สมฐานะ”
“ฐานะอะไรกันล่ะครับ
ที่จริงผมเป็นคนไม่มีฐานะนะ แฟนๆผมให้ฐานะผมมาทั้งนั้นแหละ”
เสียงสดใสดูจะนุ่มนวลขึ้นมาเมื่อพูดถึงแฟนๆ แสดงละครให้แฟนคลับดูแบบนี้นี่เอง
แฟนคลับเลยรักชนิดหัวปักหัวปำ
“มินซอกของพวกเราไม่มีฐานะตรงไหน?”
เซฮุนพูดขึ้นมา “มินซอกของพวกเราออกจะทำงานหนัก
สร้างฐานะมาด้วยตัวเองเหมือนกันนี่นา
นี่จงแดฟ้องฉันแล้วนะว่าเมื่อวานไม่ยอมกินมื้อเย็น..”
“ก็น้ำหนักมันขึ้นอ่า
คุณเซฮุนก็รู้ว่าผมเวลาอ้วนมันดูออกง่าย และนี่ก็ต้องถ่ายงานตั้งนาน
จะมาตกม้าตายเพราะมีรูปอ้วนๆนี่ก็ไม่ใช่เรื่องนะ!”
“..เนี่ย
ออกจะทำงานหนักแล้วก็ห่วงภาพลักษณ์ขนาดนี้
ไม่เรียกว่ามีฐานะโดยความพยายามของตัวเองได้ยังไงกัน?”
“คุณเซฮุนไม่ต้องมาชมผมเลย” มินซอกพูด ในขณะที่ประตูลิฟต์ค่อยๆเปิดออก
“จะจีบผมไปทำงานให้อีกแล้วใช่ไหมล่ะ? เสียใจนะฮะ ผมต้องทำงานอยู่ที่นี่อีกนานเลย
ไปทำงานใหญ่ๆให้คุณเซฮุนไม่ได้หรอก”
“ก็ชมไว้ก่อนไง
เดี๋ยวเสร็จจากงานนี้ก็ค่อยไปทำให้ฉันก็ได้”
“แสดงว่าชมผมเพราะอยากให้ผมไปทำงานให้แค่นั้นหรอครับ?”
“ม่ายช่าย
ทำไมคิดแบบนั้นเล่า ถึงไม่มีงานให้ทำฉันก็อยากชมมินซอกนะ
มินซอกของพวกเราน่ารักจะตาย”
ไอ้บทพ่อแง่แม่งอนนี่มันอะไรกัน?
มันใช่เรื่องที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลกับดาราดาวรุ่งต้องมาปฏิบัติต่อกันไหม? “ถึงห้องแล้วครับ”
มันต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ๆ!
“ขอบคุณครับที่อุตส่าห์พาพวกเรามา”
เจ้าเด็กหน้าตุ๊กตาเบือนหน้าจากเซฮุนที่ยังง้องอนกันไม่เลิกกลับมาหาเขาไม่ลืมไปซะเลยล่ะว่ามีคนอื่นอยู่ตรงนี้เนี่ย!
“คุณลู่หานจะเข้ามานั่งพักหรือ..”
“ไม่ล่ะครับ
พันโทหวงรอผมอยู่ข้างล่าง อีกอย่าง ผมว่าพวกคุณน่าจะอยากพักผ่อน
พบกันพรุ่งนี้เลยน่าจะดีกว่าครับ ประมาณแปดโมงที่ล็อบบี้..
ไม่เช้าเกินไปใช่ไหมครับ?”
“ไม่ครับ
ถือว่ากำลังดีเลยเมื่อเทียบกับการต้องรอให้หิมะตกยันตีสองเพื่อถ่ายเอ็มวี”
เจ้าเด็กนั่นพูดเสียงสบายๆเหมือนการหลับตอนตีสองนั่นเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ทุกคนทำกัน
“ขอบคุณคุณลู่หานอีกครั้งนะครับที่ไปรับ แล้วก็พามาถึงที่นี่ พักผ่อนให้ดีนะครับ
เจอกันในเวลาสบายๆพรุ่งนี้ครับ”
แล้วก็ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มที่ลู่หานคิดว่าจื่อเทาคงวิ่งเอาหัวโขกประตูตายด้วยความถูกใจแน่ๆถ้ามาเห็น
แต่สำหรับเขา.. ไม่รู้ทำไม
รอยยิ้มนี้มันเหมือนแอปเปิ้ลที่แม่มดให้เจ้าหญิงไม่มีผิด
สวยงาม
แต่เป็นเปลือกของยาพิษน่ะ..
“ครับ
เจอกันพรุ่งนี้”
พอลู่หานพูดจบมินซอกก็โค้งตัวให้น้อยๆก่อนจะรับหันหลังไปไขกุญแจห้อง
จงแดกับเซฮุนเองก็ทำแบบเดียวกัน ลู่หานเลยโค้งกลับก่อนจะหมุนตัวเดินจากมา
จังหวะที่ลู่หานเดินเลี้ยวตรงหัวมุมและลับสายตาไปนั้นเป็นจังหวะเดียวกับที่มินซอกไขกุญแจห้องเสร็จพอดี
มือเล็กผลักประตูก่อนจะก้าวพรวดๆเข้าไปในห้องโดยไม่สนใจอีกสองคนด้านหลัง
เซฮุนหันไปเลิกคิ้วถามจงแดที่สั่นหัวนิดๆ
“อารมณ์เสียอะไรอีกตามเคยนั่นแหละ
อาจจะเสียมาตั้งแต่สนามบินแล้วก็ได้ แต่รายนี้เก็บอาการเก่ง ไม่เคยแสดงออกต่อหน้าที่สาธารณะ”
“เคล็ดลับที่ทำให้มีงานและแฟนคลับชุกชุมมาจนถึงทุกวันนี้สินะ”
เซฮุนพูดกลั้วหัวเราะ “เราตามเจ้าชายน้อยเข้าไปในห้องกันดีกว่า
เผื่อจะช่วยให้อารมณ์เสียได้ไวขึ้น”
พูดจบเซฮุนก็เดินเข้าไปในห้อง
จากการสังเกตคร่าวๆมันเป็นห้องที่สวย ตกแต่งอย่างมีรสนิยม
และการที่เขาเข้าไปเจอร่างเล็กที่นั่งปากคว่ำ ไขว่ห้าง
กอดอกอยู่บนเก้าอี้นวมด้านในห้องเหมือนกับเจ้าชายที่ถูกขัดใจนั้นก็ทำให้ห้องนี้เหมือนห้องซักห้องในพระราชวังไปเลยทีเดียว
“ใครขัดพระทัยพะย่ะค่ะ
เจ้าหญิง.. อุ่ย..” เซฮุนรีบแก้ประโยคของตัวเองเมื่อดวงตากลมโตของคนที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ตวัดกลับมามอง
“..เจ้าชายของกระหม่อม”
“นี่ไม่มีใครรู้สึกเลยหรอ?”
“รู้สึกว่าอะไรล่ะ?”
จงแดที่เดินตามเข้ามาถามงงๆ มินซอกเม้มปากแน่น
ลองถ้าเขารู้สึกคนเดียวก็แสดงว่าคุณลู่หาน..
หมอนั่นที่เขาเคยคิดว่าน่าจะใจดีนั่น..
“ว่าไงเล่า
รู้สึกอะไร?”
“..รู้สึกว่าพลตรีลู่หานนั่นไม่ชอบขี้หน้าฉันเอามากๆน่ะสิ”
tbc.
เหตุผลที่มาลงวันนี้ ทำให้เสร็จวันนี้ก็มีเหตุผลเดียวแหละค่ะ แฮะ
ยังไงก็ตาม
หวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับการเจอกันครั้งแรกของพลตรีลู่กับซุปตาร์มินซอก
แล้วก็ช่วยกันลุ้นนะคะว่าต่อไปความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้จะเป็นยังไงต่อไป 55555
ขอบคุณสำหรับยอดวิว คอมเม้นท์ และแท็กในทวิตเตอร์นะคะ <3
เจอกันข้างล่าง ในทวิตเตอร์ แล้วก็ตอนหน้านะคะ ปย๊ง!
ความคิดเห็น