“มาสเตอร์ ขอกะเพราหมูไข่ดาวเพิ่มอีกจาน กับอะไรแรงๆสักแก้วที” สาวร่างเล็กในเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ตะโกนสั่งอาหารทั้งที่ยังฟุบหน้าไปบนเคาเตอรยกสูงสไตล์ลอฟท์ โบกมือไปมาก่อนจะหลับไปจริงๆ
ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อว่า ซินเดอเรลล่า ร้านอาหารตามสั่งที่ตกแต่งเหมือนกับบาร์หรูราคาแพง ตั้งอยู่ในตรอกเล็กระหว่างตึกสำนักงานสูงระฟ้าสองแห่งขนาบข้าง ทั้งที่เลยเที่ยงคืนมาแล้วแท้ๆ แต่ตึกทั้งสองกลับเปิดไฟสว่างโร่ ครึกครืนไปด้วยผู้คน แสงนีออนจากตึกทั้งสองสะท้อนกันไปมาจนเกิดภาพคล้ายท้องฟ้ายามค่ำคืน
“นี่! มาสเตอร์ ถ้าจะขายอาหารโต้รุ่งแบบนี้ ก็น่าจะเปิดห้องพักให้คนมานอนซะเลยนะ ยังไงเจ้าพวกนี้ก็แอบมานอนที่นี้ฟรีเพื่อรอรถไฟกลับบ้านตอนเช้า หรือทำงานต่อกันพรุ่งนี้อยู่แล้ว” หญิงสาวร่างสูงในชุดพนักงานออฟฟิศเต็มยศอีกคนเปรยเสียงดังฟังชัด หวังให้คนที่ไม่รู้ว่าแกล้งหลับหรือเปล่าได้ยิน ก่อนกระดกน้ำสีแดงประกายทับทิมเข้าปากและกระแทกแก้วเสียงดังกับเคาเตอร์ “น่าหงุดหงิดจริงๆ”
“หงุดหงิดเพราะคิดถึงวันวานหรือครับ คุณพร” มาสเตอร์หนุ่มร่างสูงอดแซ่วไม่ได้ ก่อนรีบปลีกตัวเข้าครัวเปิดหลังร้าน หนีสายตาเขียวปั๊ดของสาวแกร่ง และทำอาหารที่ได้รับออเดอร์มา
พรหายใจฟึดฟัด หงุดหงิดเหมือนหมีกินผึ้ง เธอตัดสินใจเอื้อมตัวผ่านเคาเตอร์เพื่อไปหยิบเบียร์ที่มาสเตอร์ซ่อนเอาไว้ เปิดกินทั้งที่ยังไม่ได้สั่งด้วยซ้ำ
“พี่ค่ะ” สาวร่างที่ยังฟุบหลับบนโต๊ะงึมงำ
“อะไร ยัยหนูกะเพราไข่ดาว” พรตอบ
“ถ้าใช้ชีวิตแล้วไม่มีความสุข ก็แปลว่าควรถึงเวลาที่จะจบชีวิตตัวเองแล้วใช่ไหมคะ?”
“เสร็จแล้วครับคุณลูกค้า อ่าว...ไม่อยู่ซะแล้ว” มาสเตอร์เดินออกมาจากครัว พร้อมกะเพราไข่ดาวหอมกระจาย แต่ลูกค้าสาวร่างเล็กกลับหายไปเสียแล้ว
“มาสเตอร์”
“ครับ คุณพร”
“พรุ่งนี้เตรียมอะไรให้ฉันสักอย่างสิ”
สวัสดีค่ะ หนูชื่อกะเพราหมูไข่ดาว อายุ 25 ปี จบจากสถาบันอันดับต้นๆของประเทศ ได้เข้าทำงานในบริษัทข้ามชาติชั้นนำทันทีที่เรียนจนด้วยเงินเดือนสูงลิ่ว บรรลุทุกความฝันที่อยากจะทำแล้วในวัยเรียน แต่ตอนนี้...หนูไม่มีความสุขเลยค่ะ
งานในฝันมันช่างยากเหลือเกิน หนูล้มเหลวมาตลอดกว่าสองปีที่ทำงานมา ทำงานที่ได้รับมาไม่เคยสำเร็จ ถูกตำหนิกลางห้องประชุมใหญ่ ไม่ว่าจะทุ่มเทไปมากเท่าไร ก็รู้สึกเหมือนวิ่งตามคนอื่นอยู่ตลอดเวลา บางที...นี้อาจจะเป็นขีดจำกัดระหว่างความฝันและความเป็นจริง เป็นเพียงภาพลวงตาของค่านิยมในเมืองใหญ่ ที่ต้องตื่นเช้าแต่งตัวดูดี เข้าทำงานในออฟฟิศหรู เดินออกมาเฉิดฉาย ช๊อปปิ้งของแบรนด์เนมในวันหยุดสุดสัปดาห์ ออกไปเทียวยามค่ำคืนกับเพื่อน อัพภาพชวนอิจฉาลงโลกออนไลน์ แต่แล้วมันยังไงละ ชีวิตของหนู มันมีเพียงเท่านี้เองหรือ ปกปิดความล้มเหลวด้วยภาพลวงตา หรือนี่อาจจะเป็นสัญญาณ ว่าถึงเวลาที่จะยอมแพ้เสียที
จำไม่ได้แล้วว่า ครั้งสุดท้ายที่มีความสุขจากใจคือเมื่อไหร่
ทั้งที่ต้องเตรียมเอกสารที่จะเข้าประชุมในอีกชั่วโมงแท้ๆ แต่กลับอดคิดถึงเหตุการณ์แปลกๆเมื่อคืนไม่ได้
เมื่อคืนเป็นครั้งแรกที่ได้กินข้าวกะเพราหมูไข่ดาวที่ไม่ได้กินมานาน แถมเป็นในร้านประหลาดใกล้ๆกับที่ทำงานที่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย อร่อยมากๆเลยละ อร่อยจนเผลอพูดบางอย่างประหลาดออกไปกับคนแปลกหน้า เป็นพี่สาวที่ดูแกร่งสุดๆ
“ถ้าใช้ชีวิตแล้วไม่มีความสุข ก็แปลว่าควรถึงเวลาที่จะจบชีวิตตัวเองแล้วใช่ไหมคะ?”
หนูรู้สึกผิดทันทีที่พูดออกไป ใครเขาพูดเรื่องแบบนี้กับคนที่พึงเจอกัน ไม่สิ ไม่มีใครในโลกคุยกับเรื่องแบบนี้หรอก
พี่สาวคนนั้นนิ่งไปสักพัก ก็แน่ละ เป็นใครก็คงจะตกใจ ทำความลำบากใจให้คนอื่นซะแล้ว
“เธอนะ...” พี่สาวเอ่ยเสียเข้ม
“ค่ะ?”
“อ่อนโยนกับตัวเองบ้างก็ได้นะ”
“อึก...” ไม่รู้ทำไม อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีก้อนขนาดใหญ่มาจุกที่คอของหนู น้ำตาที่เคยแอบซ่อนเอาไว้จากทุกคนเอ่อล้นชวนปริ่มที่ขอบตา
“เธอถามถึงความสุขสินะ ของแบบนั้นไม่มีใครตอบได้นอกจากตัวเองหรอก อร่อยไหมล่ะ ข้าวกะเพรานะ”
“ค่ะ?”
“ฉันถามว่าข้าวกะเพราหมูไข่ดาวที่เธอกำลังกินนะ อร่อยไหม”
“อะ...อร่อยคะ”
“แล้วตอนกินนะ มีความสุขไหม”
หนูรู้สึกเหมือนถูกตีที่หัว นี่หนูพึงมีความสุขไปงั้นหรอ?
“ความสุขนะ ไม่ว่าจะมาจากเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็คือความสุขเหมือนกัน แม้แต่ความสุขจากการได้กินของธรรมดาๆ ความสุขจากการใช้ชีวิตปกติธรรมดา ของธรรมดาอะไรแบบนั้นก็สร้างความสุขได้เหมือนกัน ไม่ใช่จะมีความสุขจากความสำเร็จอย่างเดียวเสียหน่อย”
“...” หนูทำได้แค่เงียบฟังพี่สาวพูดรำพึง คล้ายพูดกับตัวเอง พลางเหลือบตามองมา
“ไม่ต้องเร่งรีบ ใช้ชีวิตไปเรื่อย ไม่ต้องกดดันตัวเองไปหรอกนะ บรรทัดฐานลวงตา เป้าหมายจอมปลอมที่ถูกสร้างในใจของตัวเองนะ ปล่อยวางไปบ้างก็ได้ ถึงจะทำได้ไม่สำเร็จ ก็ไม่ได้หมายความว่าล้มเหลว แค่ลองใหม่อีกครั้งก็ได้นิ หรือจะเปลี่ยนไปทำแบบอื่นก็ได้นิ เพราะแบบนั้น อ่อนโยนกับตัวเองบ้างก็ได้” พี่สาวพูดจบก็กระดกเบียร์จนหมดหกระป๋อง ส่วนหนูก็ทำได้แค่นั่งอยู่ตรงนั้นสักพัก
หนูรีบกระโจนออกจากร้าน ลืมแม้กระทั้งจ่ายเงินค่าอาหารทันทีที่ได้กลิ่นหอมของหมูกะเพรามาจากในครัว
หนูส่ายหัวไปมา เรียกสติของตัวเองกลับมาโฟกัสกับงานตรงหน้า ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกจากเพื่อนว่ามีอาหารมาส่ง
อาหารหรือ? หนูไม่ได้สั่งอะไรไว้นะ หนูคิดพลางเดินลงมาที่ล๊อบบี้ของตึกสำนักงาน พร้อมส่งเสียงตกใจทันทีที่เจอหนุ่มร่างโปร่งสูงรออยู่
“มาสเตอร์...”
“สวัสดีครับคุณลูกค้า มีอาหารมาส่ง เป็นกะเพราหมูไข่ดาวสำหรับหนึ่งท่านครับ”
“แต่หนูไม่ได้สั่ง”
“มีออเดอร์มาจากคุณพรครับ” มาสเตอร์ยิ้ม ทั้งยัดข้าวกล่องใส่มือหนูโดยไม่ฟังคำทัดทาน แล้วเดินหายไปทันทีโดยไม่รอรับเงิน
หนูสับสนงงงวยมาก อะไรกัน เรื่องแปลกๆแบบนี้ ก็มีได้งั้นหรือ หนูเปิดข้าวกล่องดูพบว่ามีโน้ตอันเล็กแนบเอาไว้ข้างกล่อง ทันทีที่อ่านจบ ไม่รู้ทำไม น้ำตาที่อดทนมาตลอดกลับไหลออกมา หนูทรุดตัวลงกับพื้นร้องไห้อยู่ตรงนั้น ไม่สนใจใครทั้งนั้น ความอุ่นจากกล่องข้าวในอ้อมกอด ยิ่งทำให้น้ำตาของหนูไหลหนักมากกว่าเดิม
ณ ร้านอาหารตามสั่ง คืนก่อนหน้า
“ให้ผมไปส่งอาหารตอนกลางวันหรือครับ” มาสเตอร์หลุดเสียงสูง
“ใช่” พรเอ่ยเสียงเรียบ
“แต่คุณพรก็รู้นะครับว่าร้านของผมไม่เปิดตอนกลางวัน”
“ถือว่าเป็นค่าตอบแทนของเรื่องครั้งนั้นเป็นไง” พรยกคิ้วสูง ลวงมือเข้าไปในกระเป๋า หยิบกระดาษโน้ตและปากกาออกมาขีดเขียนอะไรบ้างอย่าง เธอทิ้งกระดาษโน้ตพร้อมค่าอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมด ทั้งของเธอและคุณลูกค้ากระเพราหมูไข่ดาวไว้ แถมกำชับให้ส่งโน้ตไปพร้อมกับอาหารในวันพรุ่งนี้ ก่อนเดินจากร้านไปเงียบๆ
“ฉันอนุญาตให้เธอมีความสุขได้...งั้นหรือ” มาสเตอร์ยิ้มพลางทำความสะอาดเคาเตอร์ไป อีกค่ำคืนของร้านอาหารตามสั่งเที่ยงคืนใกล้ผ่านไปอีกคืนแล้ว
หนึ่งเดือนผ่านไป
“มาสเตอร์ ขอกะเพราหมูไข่ดาว กับอะไรแรงๆสักแก้ว” เสียงใสกังวานดังขึ้นที่ประตูหน้าร้าน ร่างเล็กในเสื้อกันหวานคุ้นตาก้าวเข้ามาในร้าน แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากปกติคือบรรยากาศรอบๆตัว
“รอสักครู่นะครับ” มาสเตอร์ขานรับและเดินเข้าครัวทันที อาจเพราะตอนนี้มีหนูเป็นลูกค้าเพียงคนเดียว
หนูมาที่ร้านอาหารแห่งนี้เกือบทุกคืนมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว เพื่อมารอพบคุณพร แต่ก็ไม่เคยเจอเธอเลย หลังจากที่ได้รับโน้ต ในที่สุดหนูก็เข้าใจตัวเอง ไม่ใช่หนูไม่มีความสุข แต่ไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุขต่างหากล่ะ อาจจะเพราะความตั้งใจจริงที่มากเกินพอดีของตัวเอง ทำให้หนูคาดหวังในตัวเองไปด้วยว่าต้องประสบความสำเร็จ พอทุกอย่างไม่เป็นไปตามนั้น หนูเลยปิดกั้นตัวเองจากความสุข ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับตัวเอง จนถึงจุดที่ไม่รู้อีกเลยว่าความสุขคืออะไร
หนูไม่รู้หรอกนะว่าความสุขที่หนูนิยามไว้ตอนนี้มันจริงหรือไม่ แต่ความสุขที่รู้สึกในตอนนี้เป็นของจริง
แค่ข้าวกะเพราหมูไข่ดาวจานหนึ่ง อาหารแสนธรรมดา ก็คือความสุขแสนสามัญ
“ข้าวกะเพราหมูไข่ดาวสำหรับหนึ่งท่านครับ” มาสเตอร์เดินเข้ามาเสิร์ฟ หนูยิ้มตอบกลับ
“ทานแล้วนะคะ”
สวัสดีค่ะ นักอ่านทุกคนที่แวะเวียนมา ไรท์มือใหม่มากสำหรับงานเขียนมากเลย เขียนๆหยุดๆเขียนๆ มาหลายปี ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะค่า เรื่องสั้นตอนนี้เป็นนิยายทดสอบ อยากทราบความเห็นของเพื่อนๆนักอ่านว่าเป็นยังไงบ้าง
อย่ารุนแรงกับไรท์มากนะ ไรท์กลัว