คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : บทที่7 เทศกาลชุมนุมบุปผา(2/4)
โดยปกติ รัชทายาทมักมีราชกิจรัดตัว ต้องเดินทางขึ้นเหนือลงใต้ทั่วแคว้น จึงไม่ค่อยมีโอกาสร่วมงานเลี้ยงในวงสังคมมากนัก ช่วงที่พระชายาหลิวแต่งเข้าตำหนักบูรพาช่วงแรก นางจึงต้องออกงานคนเดียว ภายหลังติดตามรัชทายาทไปยังแดนใต้นางเองก็พลอยไม่ได้ออกงานสังคมเช่นกัน นี่เป็นงานสังคมงานแรกในรอบหลายปีของนาง
ตอนแรก นางนั่งทอดถอนหายใจ ทำใจ เตรียมตัวให้พร้อมต่อการโดนแดกดันและรุมทึ้งเพียงลำพังอยู่นานพอสมควร
ไม่รู้ครั้งนี้อะไรดลใจให้รัชทายาทเกิดอยากจะมาร่วมงานเลี้ยงเสียอย่างนั้น
นับตั้งแต่แต่งเข้าตำหนักบูรพามาสามปีนี่เป็นครั้งแรกที่พระชายาหลิว หลิวอิง ไม่ได้มาร่วมงานสังคมอย่างโดดเดี่ยว
ทั้งสองมีสายสัมพันธ์ที่ทั้งบางเบาและห่างเหินยิ่ง ตลอดระยะทางเข้าวังหลวงจึงเต็มไปด้วยความเงียบ ไร้ซึ่งบทสนทนาระหว่างกัน
จังหวะที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าธรณีประตูอุทยานหลวง รัชทายาทหยุดเดินกะทันหัน พลอยทำให้ฝีเท้าของนางชะงักไปเช่นกัน
นางเยี่ยมหน้ามองผ่านไหล่ของสวามีไป พบว่าเบื้องหน้า จิ้นอ๋อง เว่ยอ๋องและพระชายาของทั้งสองกำลังยืนพูดคุยกันอยู่ บรรยากาศชวนให้ประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่าประหลาดที่ใด
นางพิจารณาภาพตรงหน้าอีกครั้ง
พระชายาอันมีผ้าแพรบางปิดบังครึ่งหน้ากำลังกอดอกประจันหน้ากับจิ้นอ๋องที่กำลังทำหน้าเหม็นเบื่ออย่างที่สุด ด้านข้างของจิ้นอ๋องพระชายาซูยืนแย้มยิ้มงงดงาม กิริยางดงามแตกต่างจากท่าทางก้าวร้าว เหยียดหยามผู้คนของพระชายาอันอย่างสิ้นเชิง
พลันเพ่งสายตาไปด้านข้าง พระชายาหลิวมองไปที่เว่ยอ๋องลมหายใจของนางสะดุดเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว
เว่ยอ๋องเจิดจ้ามาก เขาแย้มยิ้มฝ่ามือข้างหนึ่งประคองแผ่นหลังของพระชายาอัน เขาพูดคุยราวกับท่าทีของพี่ชายและพระชายาไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
เพ่งมองดี ๆ แล้ว นางพลันรู้สึกว่าเว่ยอ๋องที่นางเห็นในวันนี้ แตกต่างจากเว่ยอ๋องในความทรงจำของนางอยู่ไม่น้อยทีเดียว...คล้ายว่า คนที่อยู่ในความทรงจำของนางไม่ใช่ผู้ที่เปล่งประกายถึงเพียงนี้
นางเหลือบมองแผ่นหลังของรัชทายาทที่ยืนนำหน้านางอยู่แต่ไม่ยอมขยับเดินไปด้านหน้าเสียที
ภายใต้ความนิ่งเงียบของเขา นางได้ยินเสียงพรูดลมหายใจหนักๆ ออกมาหนึ่งครั้งก่อนที่ทุกอย่างจะเป็นความนิ่งเช่นเดิม
เขากำลังหนักใจอะไรบางอย่าง
“นึกว่าน้องหกมากับผู้ใด ที่แท้ก็สตรีบ้านป่า ผู้หยาบกระด้างผู้นั้นนั่นเอง” หลิวอิงที่กำลังจะเอ่ยปากเตือนรัชทายาทให้ขยับเดินก็ต้องชะงักคำพูดเพราะวาจาเสียดสี ดูแคลนอย่างชัดเจนจากปากของจิ้นอ๋อง
“ข้าก็มองอยู่นานว่าเป็นผู้ใดกันที่สวมแพรพรรณเนื้อดีงามตาแต่ก็ยังไม่อาจห่อหุ้มความกระจอกงอกง่อยของตนเองได้ ที่แท้ก็อ๋องปลายแถวผู้หนึ่งนี่เอง” แล้วนางก็ต้องหน้าถอดสีเมื่อได้ยินพระชายาอันตอบกลับด้วยวาจาเผ็ดร้อนไม่ต่างกันมากนัก
“หึ! ไม่เจอกันนานก็ยังปากดีเหมือนเดิม ฝีปากเช่นนี้ก็สมแล้วที่โดนเสด็จย่าทำโทษจนหน้าบาก ธรรมดาก็ไม่งามตา ไม่น่าชมอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้จะบุบบี้เพียงใด ฮ่า ๆ ”
“เสด็จพี่สี่ พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮื่อ! ผู้ใดจะปากหวาน โอภาปราศรัยเช่นจิ้นอ๋องเล่า แล้วคำพูดหวานหู จรุงจิตของท่านอ๋องพิชิตใจพระชายาได้รึยังเล่าเพคะ” อยู่ ๆ พระชายาอันก็ลากเข้าสู่บทสนทนาที่จี้ใจดำจิ้นอ๋องและพระชายาอย่างจัง
ซูฉิววางหน้าไม่ถูกเล็กน้อยที่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามน้ำลายระหว่างทั้งสอง จิ้นอ๋องเห็นหน้าชายารักของตนมีสีหน้าไม่สู้ดีก็รู้สึกโกรธอันเจี้ยอย่างยิ่ง
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า! อันเจี๋ย! เจ้าคนนิสัยสีย เจ้ามันไม่คู่ควรกับตำแหน่งพระชายาน้องหกแม้แต่น้อย เป็นแค่นกกระจาบได้พระราชทานสมรสเสพสุขชั่วคราว ก็อย่าได้จองหอง ลำพองใจคิดว่าตนเองเป็นเฟิ่งหวงตัวจริงไปเสียเล่า! ระวังให้ดี เปิ่นหวางจะหาสาวงามที่สุดในใต้หล้ามาให้น้องหกให้จงได้! ส่วนเจ้าจะต้องอยู่อย่างแห้งแล้ง โดนหนอนแทะ ตายอย่างโดดเดี่ยว!”
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าจะเอาปัญญาที่ไหนมาทำได้ ชีวิตคู่ตนเองยังจะเอาตัวไม่รอด ยังจะมีใจมายุ่งชีวิตคู่ของผู้อื่น ก่อนจะมาวุ่นวายเรื่องของข้ากับสวามี อ๋องปลายแถวเช่นเจ้าเอาเวลาไปเกี้ยวภรรยาตนเองดีกว่าหรือไม่ เป็นอย่างไรบ้าง สามปีผ่านไปนางรักเจ้าขึ้นบ้างหรือไม่”
“อันเจี๋ย!!”
“ทำไม! ข้าทำไม...”
“เอาล่ะ ๆ พอแล้ว...”
ระหว่างนั้นก็เกิดการโต้เถียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ระหว่างจิ้นอ๋องและพระชายาอัน โดยที่มีพระชายาซูและเว่ยอ๋องพยายามที่จะห้ามปรามคนของตนเอง
ระหว่างที่รัชทายาทมองภาพชวนปวดหัวด้านหน้า เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงสะกิดไหล่เบา ๆ เมื่อหันหลังกลับไปมองตามทิศทางการสัมผัสจึงสบเข้ากับดวงหน้าของพระชายาหลิว
ดวงหน้าที่มักเฉยชาไร้อารมณ์ของนางยามนี้ฉายแววเหลอหลา ลุกลนทำตัวไม่ถูกจนเขาเผลอเลิกคิ้ว เอ่ยปากถาม
“อะไร”
“ข้าคิดว่า...พวกเราไปรอทางอื่นก่อน ให้พวกเขา ‘พูดคุย’ กันให้แล้วเสร็จก่อน เราค่อยตามเข้าไปทีหลังดีหรือไม่”
หลิวอิงเห็นเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นแล้วในใจของนางกระวนกระวาย นางเป็นคนรักสงบ ไม่ชอบการเป็นจุดสนใจ ไม่ชอบการมีเรื่องราว ยิ่งไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าได้ไร ใจอยากจะหลีกหนีเป็นทุน เมื่อสัมผัสได้ถึงความหนักใจจาง ๆ จากเขาจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยออกไป
รัชทายาทมองนางนิ่ง ไม่ตอบรับ
...แต่ก็ไม่ยังปฏิเสธนะ
นางจึงจ้องหน้าเขาทวงถามคำตอบ
อึดใจต่อมารัชทายาทจึงส่งเสียงออกมาว่า
“อืม”
หลิวอิงจึงพรูดลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ปะ..ไปกัน” ด้วยความโล่งใจนางจึงเผลอตัว ฉวยมือของรัชทายาทมาจับจูงแล้วเดินนำหน้าเขาแทน
“โอ๊ะ! เสด็จพี่รัชทายาท”
พระชายาหลิวจับจูงรัชทายาทเดินได้เพียงสามก้าวเท่านั้น เสียงเรียกของเว่ยอ๋องก็ดังไล่หลังมาอย่างเหมาะเจาะ
ทั้งสองจึงต้องหันหลังกลับไปยังทิศทางที่พึ่งจาก ฝ่ายอันเจี๋ยและจิ้นอ๋อง เมื่อเห็นรัชทายาทจึงสงบปากลงเป็นการชั่วคราว
“เสด็จพี่รัชทายาท...พระชายา” เป็นจิ้นอ๋องที่เอ่ยขึ้น เขาและพระชายาทำความเคารพอย่างสงบเสงี่ยม เว่ยอ่องทำความอย่างเรียบร้อยไม่ต่างกันทว่ายังคงแย้มยิ้มแจ่มใส ต่างจากอันเจี๋ยที่ดูทำไปอย่างนั้น
จิ้นอ๋องที่เห็นนางทำอย่างขอไปทีจึงถลึงตามองอันเจี๋ยอย่างดุดันเอาเรื่อง ทว่าก่อนที่จะได้เอ่ยปากหาความอันใด เว่ยอ๋องก็ชิงจังหวะเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ได้ยินเสด็จแม่บอกว่าวันนี้ห้องต้นเครื่องจะอาหารจากหอหยวนชวนขึ้นถวาย หอหยวนชวนพึ่งเปิดได้ไม่นาน เสด็จพี่สี่และเสด็จพี่รัชทายาทพึ่งจะกลับมาถึงเมืองหลวงน่าจะยังไม่เคยลิ้มลองใช่หรือไม่ รสชาติยอดเยี่ยมอย่าบอกใครเชียว ข้าว่าพวกเรารีบไปในงานกันเถิด อ้อ! ได้ข่าวมามีสุราดีจากต้าเฉินด้วยนะ!”
ฟังความยาวเหยียดของเว่ยอ๋องแล้ว รัชทายาทเพียงพยักหน้าร้อง ‘อืม’ ในลำคอเป็นการรับคำแล้วเดินนำหน้าทุกคนเข้าไปยังตำหนักรับรองโดยที่เปลี่ยนเป็นฝ่ายจับจูงมือพระชายาหลิวแทน
จิ้นอ๋อง แต่ไหนแต่ไรมาก็วางตัวเป็นเด็กดี เชื่อฟังและสงบเสงี่ยมต่อหน้ารัชทายาทเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อรัชทายาทอยู่ตรงหน้าจึงไม่กล้าแสดงกิริยาก้าวร้าวไม่น่ารักน่าชมต่อหน้ารัชทายาท เมื่อเห็นรัชทายาทเดินนำหน้าไปแล้วจึงประคองพระชายาซูตามเข้าไปโดยไม่วายทิ้งสายตา ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ!’ ให้แก่อันเจี๋ย ซึ่งคราวนี้อีกฝ่ายก็ไม่ได้ใส่ใจท่าทางของจิ้นอ๋องอีกแล้ว
“สองคนนั้นสนิทชิดเชื้อกันตั้งแต่เมื่อไหร่” อันเจี๋ยถามเยี่ยนเว่ย โดยที่สายตายังจับจ้องรัชทายาทและพระชายาหลิวอย่างจับสังเหตุ
“เมื่อกี้ละมั้ง” ได้ยินคำตอบแบบกำปั้นทุบดินของเขา นางก็อดไม่ได้ที่จะปรายตามองเขาอย่างละเหี่ยใจ ขณะเดียวกันสมองก็ไพล่นึกถึงเรื่องราวที่ชงหลินและถงชางรายงานเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองเฟิง
เยี่ยนอ๋องเห็นว่านางกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับอะไรบางอย่างจึงเคาะหน้าผากนางเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้นมาว่า
“พักเรื่องอื่นไว้ก่อนเถิด...เข้าไปด้านในกันเถอะ” แล้วจึงแตะแผ่นหลังของนางเบา ๆ เป็นการเร่งให้ก้าวเดิน
“ไม่แน่ว่าวันนี้พี่หญิงใหญ่ก็อาจจะมาร่วมงานด้วยนะ”
ได้ยินคำว่า ‘พี่หญิงใหญ่’ อันเจี๋ยพลันขนลุกชัน หน้าถอดสีอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็น จนเว่ยอ๋องอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะดันหลังให้นางเข้าไปด้านใน
เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่ารัชทายาทไม่โปรดงานสังสรรค์เท่าใด แต่เดิมก็น้อยครั้งที่ปรากฏกายนัก เมื่อได้รับภารกิจไปปราบกบฏแดนใต้จึงหายไปจากวงสังคมโดยสิ้นเชิง นี่เป็นการปรากฏกายครั้งแรกในงานเลี้ยงในรอบหลายปีของรัชทายาท...ทั้งยังดูเหมือนว่าจะเป็นครั้งแรกที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับพระชายา
จิ้นอ๋องเจ้าสำราญและพระชายานั้นแต่เดิมไม่ว่าจะงานราษฎร์ งานหลวงล้วนไม่เคยขาด แต่เมื่อได้รับภารกิจเดินทางไปยังแดนเหนือจึงหายไปจากวงสังสรรค์พักใหญ่แล้ว งานนี้จึงเป็นการปรากฏตัวในงานสังคมของเมืองหลวงในรอบปีของคนทั้งคู่ ด้านเว่ยอ๋อง...ทั้งที่ก็ดูเจ้าสำราญไม่ต่างจากจิ้นอ๋องเท่าใดนัก แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงปรากฏกายในงานเลี้ยงน้อยครั้งนักครั้งนี้ก็เป็นการปรากฏตัวที่พบเห็นได้ยากเช่นกัน ยิ่งกว่านั้น...พระชายาอันผู้นั้น...เหมือนว่า...นี่จะเป็นการปรากฏกายในงานสังคมเป็นครั้งแรกเช่นกัน
เป็นอันว่า การปรากฏตัวของรัชทายาท จิ้นอ๋อง เว่ยอ๋องและพระชายาของทั้งสามล้วนเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังน่าสนใจเป็นที่สุด
หลังจากที่รัชทายาทส่งสัญญาณให้ทุกคนทำตัวตามสบายได้ กลุ่มแรกที่ตรงเข้ามาทักเชื้อพระวงศ์ทั้งสามและพระชายาคือ กลุ่มของเจียงซู่ที่นำโดยซูจินที่มีศักดิ์เป็นน้องสาวของซูฉิว
“ถวายบังคมเพคะ” นางนำเด็กสาวคนอื่น ๆ ถวายบังคมผู้สูงศักดิ์อย่างงดงาม รัชทายาทจึงส่งสัญญาณมือตามสบายอีกครั้ง ก่อนจะเดินจากไปอีกด้านโดยทิ้งพระชายาหลิวไว้ทั้งอย่างนั้น
ให้อันเจี๋ยที่มองอยู่ขมวดคิ้ว นางจึงลากเว่ยอ๋องและเกี่ยวแขนเสื้อของพระชายาหลิวเดินตามรัชทายาทจากไป ไม่แม้แต่จะชายตามองเหล่าแม่นางน้อยที่กำลังรอทักทายอยู่แม้แต่น้อย
..................................
แอบตัดยากมากเลยค่ะตอนนี้
เดี๋ยวตอนเช้ามาต่ออีกตอนค่ะ
ความคิดเห็น