ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชายาวิปลาส

    ลำดับตอนที่ #19 : บทที่ 7 เทศกาลชุมนุมบุปผา(1/4)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.41K
      6
      1 ธ.ค. 66

    บทที่ 7

    เทศกาลชุมนุมบุปผา

     

    ในหนึ่งปี วังหลวงจะจัดงานชุมนุมขึ้นมาหนึ่งงาน เรียกกว่างานชุมนุมบุปผา แรกเริ่ม เป็นงานที่ทางกรมพิธีการจะส่งเทียบเชิญคุณหนูสูงศักดิ์วัยใกล้ออกเรือนจากตระกูลต่าง ๆ เข้าพบฝ่ายในเพื่อเรียนรู้มารยาทจากฝ่ายใน ว่าด้วยเรื่องศาสตร์ศิลป์ต่าง ๆ

    หากแต่ความหมายโดยนัยของงานนี้เป็นการให้ฝ่ายในทำความรู้จักกับเด็กสาวทั่วเมืองหลวงเพื่อมองหาคนที่มีแววโดดเด่นให้กับเหล่าองค์ชายหรือแม้กระทั่งรับเข้ามาเป็นสนมใหม่ของฝ่ายใน อีกนัยหนึ่งก็เป็นพื้นที่ให้เหล่าเด็กสาวที่มีใจใฝ่ทะยานอวดความสามารถว่าตนเองเพียบพร้อม เหมาะสมต่อตำแหน่งที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งต่อราชวงศ์เพียงใด

    แต่ในปัจจุบันงานชุมนุมบุปผามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

    มีเรื่องเล่าที่เล่าต่อ ๆ กันมาว่า เถียนฮองเฮาไม่ชอบงานนี้เท่าไหร่ ถึงแม้จะบอกว่าเรียกเข้ามาเพื่อรับการสั่งสอนจากวังหลัง แต่แท้จริงแล้ววิธีการกลับคล้ายให้เหล่าเด็กสาวแข่งขันจนกว่าจะพบคุณหนูที่โดดเด่นเป็นอันดับหนึ่งมากกว่า ว่ากันว่าฮองเฮารู้สึกว่านี่เป็นงานเลี้ยงที่น่ารำคาญ บ้างก็ว่านางมีประสบการณ์ไม่มีกับงานนี้จึงเกลียดงานชุมนุมบุปผาเป็นพิเศษ

    ในปีแรกที่ได้นั่งตำแหน่งฮองเฮา นางสั่งยกเลิกงานชุมนุมบุปผาทันที ไทเฮาและเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างไม่พอใจอย่างมาก เถียนฮองเฮาโดนข้อครหาและวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ลิ่วหวงกุ้ยเฟยที่ขณะนั้นยังมีตำแหน่งเป็นลิ่วกุ้ยเฟยได้ไปคุกเข่าหน้าตำหนักฮ่องเต้ ร้องโทษว่าฮองเฮาทำการผิดประเพณี ไม่เคารพบรรพบุรุษ อกตัญญู ไม่เป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยงมารดาแผ่นดินควรเป็น ทำลายเกียรติของสตรีแค้วนเยียน ทำเช่นนั้นอยู่นานสามวันสามคืนจนล้มไข้ ฮ่องเต้จึงมีบัญชาให้ฮองเฮาไปสำนึกผิดที่เขากุ้ยซานจนกว่าจะมีคำสั่งให้กลับ ทั้งยังแต่งตั้งลิ่วกุ้ยเฟยขึ้นเป็นลิ่วหวงกุ้ยเฟยดูแลวังหลังแทน

    เพียงแต่ ลิ่วหวงกุ้ยเฟยก็เสพสุขเป็นใหญ่ที่สุดในวังหลังได้เพียงปีกว่า ๆ เท่านั้นฮองเฮาก็หวนคืน ครานี้นางแก้แค้นลิ่วหวงกุ้ยเฟยด้วยการหาเรื่องส่งลิ่วหวงกุ้ยเฟยไปยังดินแดนทุรกันดารได้หลายปี ทั้งยังไม่ยอมปล่อยวางเรื่องของงานชุมนุมบุปผาเลยแม้แต่น้อย เพื่อเป็นการประนีประนอม กรมพิธีการจึงมีการปรับเปลี่ยนให้เหล่าคุณชายและฮูหยินของตระกูลต่าง ๆ เข้าร่วมงานชุมนุมนี้ด้วยเช่นกัน

    ดังนั้น งานชุมนุมบุปผาของแค้วนเยี่ยนจึงกลายเป็นเทศกาลดูตัวครั้งยิ่งใหญ่ในรอบปีของเหล่าคุณหนูคุณชาย ที่ยังคงแอบสอดไส้การแข่งขันเพื่อเฟ้นหาสตรีอันดับหนึ่งแห่งปีอยู่ดี

    ในส่วนของอันเจี๋ย ตั้งแต่อายุเข้าเกณฑ์ที่จะสามารถเข้าร่วมงานได้ นางเคยปรากฏตัวในงานชุมนุมบุปผาหนึ่งครั้งถ้วน และยังออกจากงานหลังจากที่เข้าร่วมได้เพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น

    เหตุผลนั้นก็เป็นเพราะศาสตร์ที่ใช้แสดงนั้นล้วนไม่มีศาสตร์ใดเลยที่นางถนัด ไม่ว่าจะเป็น ร่ายรำ พิณ วาดภาพ คัดอักษร ปักผ้า ไม่มีสิ่งใดที่ถนัดเลยแม้แต่น้อย

    บรรพชนกล่าวไว้ว่าอย่าได้แข่งขันในสิ่งที่รู้แจ้งอยู่แล้วว่าจะต้องพ่ายแพ้

    เช่นนั้นแล้วนางจะหาเรื่องให้ตนเองอับอายผู้คนไปทำไม

    นอกจากนี้ในอดีตร่างกายของเยียนเว่ยยังไม่ได้ดีเช่นนี้ นางจึงต้องสาระวนอยู่กับตำราแพทย์กองท่วมหัวกับสมุนไพรอีกกองเท่าภูเขา ยากที่จะปลีกตัวออกมาได้ อีกทั้งในบรรดาเด็กสาวที่อายุไล่เลี่ยกัน นางไม่สนิทกับผู้ใดเลย จึงไม่มีเหตุให้ต้องมาร่วมงานเพื่อให้กำลังใจผู้ใด

    ส่วนเยี่ยนเว่ย อันเจี๋ยอยู่ที่ใดเขาก็อยู่นั่น สภาพร่างกายในยามนั้นก็มิได้เหมาะแก่การอวดโฉมต่อผู้คนมากมายเท่าใดนัก จึงมีน้อยครั้งที่เขาจะปรากฏกายในงาน

    เดิมทีนางไม่นิยมเข้าร่วมในกิจกรรมที่ไม่ถนัดและไม่มีคนคุ้นเคย

    ยามเป็นอันเจี๋ยนางสามารถหาข้ออ้างสารพัดอย่างมาปฏิเสธไม่เข้าร่วมงาน แต่ยามที่มีตำแหน่งเป็นพระชายา การเข้าร่วมกลับเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ยากหลบเลี่ยง โดยเฉพาะเมื่อคนในวังส่งจดหมายลับมาสำทับว่า ต้องไป

    จัดการตนเองเรียบร้อย นางก็ออกมาด้านนอก พบว่าเยี่ยนเว่ยและคณะติดตามรอนางอยู่หน้าเรือนอยู่แล้ว

    เยี่ยนเว่ยใส่ชุดม่วงขลิบทองโดดเด่นเป็นชุดเข้าคู่กับชุดของอันเจี๋ยที่ยังคงต้องใช้ผ้าบางปิดบังใบหน้าครึ่งล่างอยู่

    ด้านหลังมีอาหลิวที่แต่งกายคล้ายคลึงกับจิ่วเหมยที่ดูงกเงิ่นวางตัวไม่ถูกติดตามอยู่ด้านหลัง

    “ไปกันเถอะ” นางเอ่ยขึ้น เยี่ยนเว่ยจึงยื่นมือมาให้นางจับ

    นางไม่ได้อิดออด ยื่นมือให้เขาประคองเดินไปขึ้นรถม้า

    บนรถม้ามีน้ำชาชั้นดี อาหารอย่างง่ายและขนมหอมกรุ่นให้ทานหยิบขนมหวานเข้าปาก ทานอาหารไปเพลิน ๆ คุยกันไปพลาง ๆ ไม่นานก็มาถึงวังหลวง

     

    งานชุมนุมนี้จัดขึ้นที่อุทยานหลวง ยามนี้มีดอกไม้นานาพรรณกำลังเบ่งบานและส่งกลิ่นหอมฟุ้งกำจายทั่ว ภายในตำหนักรับรองกลางอุทยานหลวงยังไม่ปรากฏผู้สูงศักดิ์ในวังหลวง แต่เหล่าครอบครัวชนชั้นสูง คหบดีใหญ่ในเมืองหลวงทยอยเดินทางมาถึงนานแล้ว

    ในตำหนักรับรองโอ่โถงแห่งนี้จึงเนืองแน่นไปด้วยคนสำคัญในเมืองหลวง บ้างพึ่งทำความรู้จัก บ้างจับกลุ่มพูดคุยอย่างชิดเชื้อ

    คุณหนูคุณชายจากตระกูลต่าง ๆ แต่งกายประณีตหมดจด โดยเฉพาะเหล่าเด็กสาวที่วันนี้พวกนางบรรจงแต่งกายงดงามเป็นพิเศษ

    คนที่โดดเด่นเป็นพิเศษในวันนี้หนีไม่พ้นเจียงซู่ วันนี้นางแต่งกายด้วยชุดสีชมพูอ่อนปักลายดอกโบตั๋น ดูงดงามอ่อนหวาน น่าทะนุถนอม ขณะเดียวกันจังหวะการเยื้องย่าง การยิ้ม การหัวเราะที่ฝึกฝนมาอย่างดีก็แสดงออกอย่างพอเหมาะพอเจาะ ส่งเสริมให้นางมิได้ดูเป็นเด็กสาวที่ไร้เดียงสาจนเกินไป ยังดูสูงส่งกว่าผู้อื่นอยู่อีกหนึ่งขั้น

    ข้างกายของนางยังมีคุณหนูหน้าตางดงาม กิริยามารยาทเรียบร้อยอีกสองสามจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

    “พวกเจ้าได้ข่าวหอเสี้ยวบุปผาหรือไม่” เฮ่อเหมย คุณหนูหน้าตาจิ้มลิ้มนางหนึ่งเดินเข้ามายังกลุ่มของเจียงซู่ถามขึ้นด้วยเสียงสดใสดวงตาเป็นประกาย

    “เรื่องใหญ่ถึงเพียงนั้นก็ต้องได้ยินอยู่แล้ว” เป็นเจียงซู่ที่เอื้อนเอ่ยขึ้นมาอย่างอ่อนโยน

    เรื่องที่กำลังเป็นที่พูดถึงในเมืองหลวงอย่างร้อนแรงในขณะนี้หนีไม่พ้นเรื่องที่หอรื่นเริงที่เป็นที่นิยมที่สุดในเมืองหลวงอย่างหอเสี้ยวบุปผาถูกแมลงประหลาดโจมตีจนเกิดจลาจลขนาดย่อมและพังถล่มในที่สุด

    “เมื่อวานท่านพ่อกับท่านพี่วุ่นวายทั้งคืน กว่าจะจัดการเรียบร้อยก็เกือบรุ่งสางเชียว” ลี่อินบุ้ยปากไปทางบิดาและพี่ชายที่กำลังคุยกับสหายในราชสำนักด้วยใบหน้าซีดเซียว

    แม้จะเป็นโชคดีที่ไม่เกิดการสูญเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่ผู้บาดเจ็บมากมาย ทหารเมืองและสำนักแพทย์หลวงจึงมีงานให้ทำมากมาย ไม่เว้นกรมโยธาที่บิดาและพี่ชายของลี่อินทำงานก็ต้องเข้าร่วมในภารกิจนี้ด้วยเช่นกันเนื่องด้วยอาคารที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างวิจิตรและซับซ้อนก็ล้วนพินาศไม่เหลือชิ้นดี

    “เป็นโชคดีทีเดียวที่ไม่มีการสูญเสียเกิดขึ้น หาไม่แล้วงานวันน่าจะไม่เกิดขึ้น” ลี่อินถอนหายใจ โล่งใจ ทุกคนที่นี่ทุ่มเวลาฝึกฝนตนเองอย่างเคร่งครัดทุกวันนับปี ๆ เพื่องานชุมนุมบุปผาในครั้งนี้โดยเฉพาะ หากไม่ได้เผยประกายให้ผู้อื่นได้เห็น ที่เตรียมการมาอย่างดีฝึกฝนอย่างหนักย่อมเสียเปล่า

    “ว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็น่าประหลาดนัก เหตุใดอยู่ ๆ หอเสี้ยวบุปผาถึงได้ถูกแมลงนับพันนับหมื่นโจมตีอย่างกะทันหันทั้งยังรุนแรงถึงเพียงนั้น เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยได้ยินว่าเคยเกิดขึ้นมาก่อน” เจียงซู่ออกความเห็นบ้าง

    “ใครว่าไม่เคยเล่า” เสียงนุ่มละมุนดังขึ้นมาจากด้านหลัง เรียกความสนใจจากกลุ่มของเจียงซู่

    หญิงงามในอาภรณ์สีฟ้าเรียบง่ายทว่าเป็นผ้าพิเศษคุณภาพสูง ตัดเย็บอย่างประณีต นางส่งยิ้มน้อย ๆ มายังกลุ่มของเจียงซู่

    “พี่จิน!” เฮ่อเหมยร้องทักเสียงใส ก่อนเดินเร็ว ๆ เข้าไปจับมือของสตรีตรงหน้าอย่างสนิทสนม

    “นึกว่าท่านจะกลับมาไม่ทันเสียแล้ว ทางเหนือเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

    “ดีทีเดียว”

    นางคือซูจิน บุตรสาวคนรองของใต้เท้าซูเจิ้ง เสนาบดีเจ้ากรมขุนนางผู้มีอำนาจในการเลื่อนลดปลดย้ายขุนนางโดยตรง ทั้งยังเป็นน้องสาวมารดาเดียวกันกับซูฉิวพระชายาองค์ชายสี่เยี่ยนจิ้น

    ซูจินเป็นเด็กสาวที่โดดเด่นอีกผู้หนึ่งของแค้วนเยี่ยน รูปโฉมไม่ด้อยไปกว่าเจียงซู่แม้แต่น้อย บุคลิกและความสามารถยังได้เปรียบอีกเล็กน้อย

    ตระกูลเจียงเป็นตระกูลเก่าแก่ที่เกื้อหนุนราชวงศ์ก่อร่างสร้างแว่นแคว้นขึ้นมา มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับเชื้อพระวงศ์มานาน สถานะไม่ต่างจากราชนิกุลตระกูลหนึ่ง พวกเขาจึงมีความหยิ่งทะนงสายหนึ่งแฝงในกาย แม้เจียงซู่จะมีชื่อเสียงดีงาม ผู้คนแซ่ซ้องสรรเสริญมากน้อยเพียงใด แต่ก็ให้ความรู้สึกเข้าถึงยาก ไม่อาจเจรจาได้โดยง่าย

    แต่กับคนตระกูลซูมิใช่เช่นนั้น พวกเขาตระกูลบัณฑิตที่พึ่งเข้ารับราชการได้เพียงสามรุ่น มีความสุภาพอ่อนโยน อ่อนน้อม ใจกว้าง และเป็นมิตรตามฉบับของบัณฑิต บุตรหลานตระกูลซูล้วนมีนิสัยเช่นนี้

    สองดรุณีผู้โดดเด่นของตระกูลซู ซูฉิวและซูจิน พวกนางคนหนึ่ง สุขุม อ่อนโยน ใจกว้าง มากความสามารถ อีกคนหนึ่ง นุ่มนวลและอัธยาศัยดีเป็นอย่างยิ่ง ล้วนมีชื่อเสียงดีงาม ผู้คนรักใคร่เอ็นดู

    ในใจของเจียงซู่นางรู้สึกชื่นชมทั้งเกลียดสองพี่น้องตระกูลซู นางมองพวกนางเป็นคู่แข่งคนสำคัญ

    เป็นที่ทราบกับทั้งเมืองหลวงว่าองค์ชายสี่เยี่ยนจิ้น หรือจิ้นอ๋องมีใจปฏิพัทธ์ต่อซูฉิวอย่างล้ำลึก วาสนาของทั้งสองจึงเป็นที่แน่นอน เจียงซู่ไม่อาจแข่งขัน ทั้งซูฉิวนางเป็นคนสุขุม อ่อนโยนและใจกว้างมาก ไม่หวงแหนวิชาความรู้แม้แต่น้อย ยามมีเรื่องใดที่ไม่อาจไขข้อข้องใจได้ หากมีโอกาสเจียงซู่ก็มักไปขอความเห็นกับซูฉิวเช่นกัน ซึ่งอีกฝ่ายก็มอบคำแนะนำอย่างจริงใจให้เสมอ เจียงซู่จึงรู้สึกดีกับซูฉิว ณ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งพระชายาซูเป็นพิเศษ

    กับซูจิน แท้จริงแล้วซูจินก็ถูกเสนอชื่อเป็นตัวเลือกหนึ่งของตำแหน่งพระชายาเว่ยอ๋องเช่นเดียวกันกับนาง

    ถึงแม้ชั่วขณะหนึ่งจะมีข่าวลือหนาหูเรื่ององค์หญิงแคว้นจ้าว จ้าวซื่อผิงผู้นั้น แต่ไทเฮามั่นใจอย่างยิ่งว่าเยี่ยนหลงฮ่องเต้ไม่มีทางเชื่อมสัมพันธ์กับแค้วนจ้าวด้วยการอภิเษกอย่างเด็ดขาด

    ฮองเฮาไม่มีทางยินยอม

    ...ตระกูลเถียนไม่มีทางยินยอม

    แม้จ้าวซื่อผิงจะมีรูปโฉมงดงาม มากความสามารถเพียงใดนางก็มั่นใจว่านางไม่มีทางเข้ามานั่งในตำหนักของเยี่ยนอ๋องได้อย่างแน่นอน

    ซูจินต่างหากคือคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อของนาง!

    ชื่อเสียง ชาติกูล ความสามารถไม่ต่างกันมาก ความงามก็ไม่หนีห่างกันมาก โอกาสก็มีเท่า ๆ กัน

    แม้ว่าซูจินจะมีท่าทางเฉยชาต่อตำแหน่งพระชายา กับเว่ยอ๋องนางก็ไม่เคยเผยธาตุแท้ว่ามีใจเสน่หาต่อเว่ยอ๋องแต่อย่างใด เจียงซู่ก็ไม่เคยลดความระวังฐานะ ‘คู่แข่ง’ ที่มีต่อนางลงแม้แต่น้อย

    ในใจลึก ๆ เจียงซู่ย่อมตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าสถานะของซูจินเป็นต่ออย่างมาก หนึ่งคือชื่อเสียงดีงามไม่แพ้นาง แต่เป็นที่รักและถูกใจประชาชนมากกว่า ว่าด้วยเรื่องความรู้ความสามารถ แท้จริงเป็นอย่างไร ผู้ใดมีฝีมือกว่าผู้ใดนั้นหาใช่เรื่องสำคัญ สำคัญคือผู้อื่นเชื่ออย่างไรต่างหาก

    ว่ากันด้วยความรู้ความสามารถ ในใจของผู้คนย่อมเกิดความเชื่อถือและยอมรับตระกูลบัณฑิต มากกว่าตระกูลผู้ดีเก่าอย่างตระกูลเจียงอยู่แล้ว ข้อสองที่สำคัญที่สุดคือตระกูลซูไม่มีเรื่องหมางใจกับราชวงศ์ดังเช่นตระกูลเจียงของนาง

    นางถึงขั้นเคยถอดใจ เผื่อใจพ่ายแพ้ซูจินไว้แล้วเสียด้วยซ้ำ

    ยามที่นางกำลังหวั่นใจ ไม่มั่นใจที่สุด ไทเฮาถึงขั้นวางอุบายให้ซูจินติดตามจิ้นอ๋องและพระชายาเดินทางไปแดนเหนือ กำจัดนางไปให้พ้นทางเพื่อรอเวลาหยิบยกเรื่องการอภิเษกของเว่ยอ๋องขึ้นมาพูดอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่า ยามที่สภาขุนนางหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยฮ่องเต้จะลงมือรวดเร็วกว่า

    เพื่อปฏิเสธตระกูลเจียงฮ่องเต้ถึงขั้นหยิบหมากตระกูลอันมาใช้

    ทรงถึงกับเลือกฟั่นเฟือน เลือกสตรีไร้คุณธรรมอย่างอันเจี๋ย!

    นางและซูจินขับเคี่ยวกันมาอย่างยาวนาน ทว่าสุดท้ายแล้วผู้ชนะกับเป็นสตรีนางนั้น!

    ที่น่าหงุดหงิดใจอีกอย่างก็คือเมื่อมานึกถึงให้ดีแล้วก็พบข้อเท็จจริงที่ว่า อันเจี๋ยเองก็มีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน

    แม้รูปโฉมไม่จับใจผู้คน คุณธรรมยังเป็นที่กังขา ทว่า สถานะตระกูลอันที่ฮ่องเต้เป็นผู้อุปถัมภ์นั่นเล่า เงินทอง กิจการ เส้นทางการค้าที่พวกเขาครอบครองนั่นเล่า ความสามารถด้านการค้าและการแพทย์ของอันเจี๋ยนั่นเล่า สถานะสหายคนสนิทของเว่ยอ๋องนั่นเล่า!

    นางประมาทไป! อันเจี๋ยคือความประมาทของนาง!

    ยามเมื่อนึกไปถึงอันเจี๋ย เจียงซู่ก็รู้สึกขุ่นมัวขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนไล่ความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นออกไป แล้วจดจ่อกับปัจจุบัน

    “คารวะพี่จิน” เจียงซู่เอื้อนเอ่ยขึ้น เสียงนุ่มนวลเสนาะหูยิ่งนัก ลี่อินเห็นเช่นนั้นจึงคารวะตามอย่างเสียไม่ได้

    “น้องสาวตามสบายเถิด ไม่พบกันนานสบายดีหรือไม่”

    “ซู่ซู่น่ะ กายก็สบายดีอยู่หรอก แต่ใจน่ะเหมือนจะมีปัญหานิดหน่อยเจ้าค่ะ” เฮ่อเหมย  กระซิบกระซาบบอกซูจินตาใส ซูจินทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ส่วนเจียงซู่เผยสีหน้าอึดอัดใจ

    ซูจินทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยอย่างไม่แน่ใจ

    “ก็เรื่องของเว่ยอ๋องอย่างไรเล่าเจ้าคะ ซู่ซู่นางซูบผอมลงไปตั้งมากเพราะเรื่องนั้น” เป็นเฮ่อเหมยอีกเช่นกันที่เผยความจริงแก่ซูจิน ครานี้นางกระซิบเสียงเบากว่าเดิม

    “จริงด้วยสิ เรื่องนั้นข้าอยู่แดนเหนือก็พอจะได้ข่าวบ้าง”

    “นอกจากนี้นะพี่จิน...เมื่อเร็วๆ นี้ พระชายาผู้นั้นน่ะ เพราะความหึงหวง นางถึงกับกล้าเล่นงานซู่ๆ ต่อหน้าคนมากมายเชียว”

    “เกิดเรื่องเช่นนี้จริงหรือ” ซูจินมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย เอ่ยอย่างไม่กล้าเชื่อมากนัก

    “ช่างเรื่องของข้าเถิด พูดเรื่องของพี่จินดีกว่า เมื่อครู่ท่านบอกว่าเหตุการณ์ที่หอเสี้ยวบุปผาไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้นเช่นนั้นหรือ เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นเลยเล่า”

    เจียงซู่มีท่าทีอึดอัดใจ นัยน์ตาเจือความเสียใจอยู่บาง ๆ และเปลี่ยนเรื่องทันทีราวกับต้องการลืมเรื่องเหล่านั้น

    ซูจินที่เห็นดังนั้นจึงไม่ต่อความในเรื่องราวที่เฮ่อเหมยพยายามจะเล่าให้นางฟัง

    “เรื่องนั้นเป็นเรื่องเมื่อหลายสิบปีก่อน ในงานชุมนุมบุปผา เกิดการวิวาทของเหล่าสตรีกลุ่มหนึ่งขึ้น ไม่นานก็มีสตรีมากมายที่ถูกฝูงแมลงฝูงใหญ่โจมตี....” นางต่อบทสนทนาอย่างไหลลื่น ราวกับไม่เห็นสิ่งผิดปกติในท่าทีผิดธรรมชาติของเจียงซู่

    “ส่วนเหตุผลที่ไม่ค่อยมีผู้ใดรู้เรื่องนี้มากนัก นั่นเป็นเพราะเหตุการณ์นั้นเกี่ยวพันกับผู้เป็นใหญ่ในปัจจุบันนี้น่ะสิ เรื่องราวจึงถูกเก็บเงียบไว้” ซูจินไม่เอ่ยมาโดยตรงว่าผู้เป็นใหญ่ในปัจจุบันที่กล่าวถึงในข้างต้นว่าเป็นผู้ใด แต่คนฉลาดย่อมคาดเดาได้ไม่ยาก

    “ท่านพี่ยังคงรอบรู้อยู่เสมอ”

    “รู้เข้าโดยบังเอิญเพียงเท่านั้น...” พวกนางต่อบทสนทนาอย่างลื่นไหล มีเพียงแม่นางน้อยลี่อินที่ถามคำตอบคำ อย่างเสียไม่ได้

    “ที่จริงแล้ว เมื่อวานข้าก็อยู่ที่หอเสี้ยวบุปผานะ” เฮ่อเหมยเอ่ยขึ้นเสียงใส เรียกความสนใจจากวงสนทนา

    “หืม...นับว่าโชคดีที่ปลอดภัย” ซูจินมุ่นหัวคิ้ว เอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง เฮ่อเหมยเก้อเขินเล็กน้อยจึงเผลอเกาแก้มเบา ๆ

    “ใช่ โชคดีจริง ๆ ...แต่ว่าก่อนที่ฝูงแมลงจะโจมตีมีเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่ง...ระหว่างที่หลาย ๆ คน กำลัง ‘พูดคุย’ กันเรื่องพระชายาคนใหม่มีสตรีนางหนึ่ง...” ก่อนที่เฮ่อเหมยจะได้เล่าความจนจบกงกงผู้ดูแลก็ประกาศขึ้นมาก่อนว่า รัชทายาท จิ้นอ๋อง เว่ยอ๋องและพระชายามาถึงแล้ว

     

    """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

    กลับมาแล้วค่าาาาา 

    แฮ่ะๆๆ 

    เดี๋ยว เที่ยงคืนสิบห้ามาต่อให้อีกตอนน้าาาาาา  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×